ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )
เขียนโดย Wuzhenni
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) แก้ไขเสร็จแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ชายหนุ่ม หุ่นมาดแมน กับชุดเสื้อยืด คอกลม แขนยาว สีขาวลายตัดเขียว เข้ากันดีระหว่างกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อนพร้อมคอนเวิร์สสีน้ำตาลเข้ม เหมือนคนใส่
ท่วงท่าอิริยาบถที่ถูกผ่อนปรนเพราะอ่อนเพลียจับใจ ท่ามกลางแมกไม้ที่ปลิวไสวพร้อมพิรุณ
ปวงโชคนอนพริ้มตาลงด้วยภาวะจิตใจที่แน่นิ่ง
กรุ่นกลิ่นน้ำกระจับยามบ่าย พอทำให้โลหิตสูบฉีดหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านภายในร่างกายได้เกือบทุกส่วน
" คุณปวงโชค"
ไอ้พ่อบ้านวัยกระเตาะ เรียกกระซิบเสียงที่ไม่ดังมากไม่เบาเกิน เพียงเพราะกลัวว่าประเดี๋ยวจะขัดอารมณ์ฝันหวานของเจ้านายของตนเสีย
เปลือกตาหนาปิดสนิท หากแต่รอยยิ้มที่ประดับหน้าในยามหลับพักผ่อน
คงจะฝันหวานอยู่กระมัง....
ฝันหาใครกันหนอ
ใครที่มันก็มิรู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายที่ทำให้เจ้านายตัวล่ำ ต้องฝันละเมอเพ้อหา
" มีคนมาหาครับ คุณ.."
เขา ผู้เป็น "นาย" ลืมตาขึ้น หันมามองนิ่วหน้าใส่
ไอ้ห่า...เดี๋ยวจะด่าให้ปัญญานิ่มเลยประไร
ชอบมากวนใจเวลากูนอนจริงเชียว
" ใคร?"
" ไม่ทราบครับ"
" แล้วทำไมไม่ถาม..." เขาตะคอกลงเสียงใส่ หากแต่คุณพ่อบ้านกลับสงบเสงี่ยม ใจเย็น ไม่วิ่งเต้นร้องผางๆ แหกปากด่าคืน
" ก็อยากถามเหมือนกัน แต่เพื่อความปลอดภัย ผมไม่ไว้วางใจเพื่อนของคุณโชคมากเท่าไหร่ เกิดขโมยของขึ้นมาจะยุ่งเสีย ก็เลยให้ไอ้ตาล ไปยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูรั้วแล้วครับ"
เสียงเห่าโฮกๆของไอ้ตาลดังก้องอยู่ทางทิศประตูใหญ่ เขาเงี่ยหูพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
มึงจะยกโขยงกันมา...โทร.บอกกูเสียก่อนไม่ได้รึไง
เจอฤทธิ์หมาสายลับกับพ่อบ้านสารวัตรจอมเนี้ยบ
ลำบากให้กูมาต่อปากต่อคำกับมันอีกแล้ว เซ็งฉิบ!!
" คนของฉันมันไม่ได้มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยเหมือนโจรนะเว้ย พูดให้ดีๆหน่อย ไอ้นี้!!!"
" ผมทำตามหน้าที่พ่อบ้าน ผิดตรงไหน?" มันยอกย้อนใส่ หน้าซื่อแต่มุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ได้ใจจริง
" ผิดตรงที่ไม่เชิญแขก"
" แต่ถ้าแขกไม่น่าไว้วางใจ ผมก็ต้องทำหน้าที่สแกนคนดี ไม่ดี เสียก่อน เพื่อความปลอดภัย"
" แล้วจะให้ฉันทำยังไงต่อไปล่ะ ห่ะ ...คุณพ่อบ้านรักษาการณ์"
ตำแหน่งใหม่...ที่ทำหน้าที่ได้ไม่ต่างจาก ยามหมาหน้าด่าง "ไอ้ตาล" หมาไทยผสมที่ถูกยกย่องให้เป็นบอดี้การด์ประจำตัวของคุณพ่อบ้านวัยกระเตาะ
แต่ดูเหมือน..คุณพ่อบ้านนันทินกลับทำหน้าที่สูดกลิ่นคว้านหาผู้ประสงค์ดี และผู้ประสงค์ร้ายต่อผู้อยู่อาศัยในคฤหาสน์ได้ดียิ่งกว่าไอ้จมูกยาวคู่ซี้ของมันเสียอีก
อำนาจและอิทธิพล สองสิ่งนี้แล
ที่ทำให้ "พ่อ" ของเขาต้องสะบัดควักเงินจ้างยามมาคุ้มกันอณาเขตรอบบ้านหลังสีขาว โอ่อ่า สง่ากระจัด
ทว่า...ถ้าจะหวงและห่วง ชีวิตของตนได้ละเอียด รอบคอบขนาดนี้
แล้วไยจึงไม่ใส่ใจ มอบความรักและห่วงแหนชีวิตของคนเป็นลูก เสียหน่อย
ปล่อยให้เสี่ยงตาย ฆ่ารันฟันแทงกับคนอื่นเป็นว่าเล่น
จะถามสารทุกข์สุขดิบ เรื่องงานเรื่องเรียน ก็มิเคยโผล่หน้าเข้ามาแวะเวียน
พ่อ ที่ทำหน้าที่ของพ่อแล้วจริงหรือ??
" แต่อย่างน้อยคุณท่านก็ยังอยู่ในบ้าน ถึงคุณโชคจะไม่ไว้หน้าผม ก็ต้องเกรงใจคุณท่านบ้าง"
" เกรงใจทำไม? คนของฉัน ไม่ใช่คนของเขา" น้ำเสียงกระทุ้งกระแทกใส่ ถูกพ่นออกมาพร้อมๆกับใบหน้าบูดบึ้งของเขาเอง
ปวงโชคเบือนหน้าหนี แขนทั้งสองยันกายให้ลุกขึ้นอย่างไว ก่อนจะเดินหนีลิ่วๆไม่สนใจคุณพ่อบ้านที่ยืนหน้าบึ้งไม่แพ้คนตัวโตเลยสักนิด
ร่างหนุ่มใหญ่ใต้อาภรณ์ลำลองตัวเก๋ เดินมุ่งหน้าไปยังประตูรั้วสลักลายทองวิจิตรสุดฝีมือ โดยมีเสียงไอ้ตาลยืนเห่าตะคอกยอกใส่คนนอกรั้วอยู่ไม่วางวาย
" พี่โชค! พี่โชค โว้ยย พาไอ้หมาบ้านี้ออกไปที แม่งมันจะกัดโผม"
ไอ้คนเป็น "แขก"ทั้งหลาย กระโดดเหยงๆหลบซ้ายขวาไอ้ปากยาวที่กำลังแยกเขี้ยวพร้อมตะครุบเหล่าบรรดาชายแปลกหน้าได้ทุกเมื่อ
" มึงอยู่นอกรั้วจะกลัวไปทำไม? กะอีแค่หมา"
" ปู้โธ่..ก็หมาบ้านพี่ ไม่ใช่หมาบ้านผม" มันคนใดคนหนึ่งแหวกเสียงพูดเหนือยๆใส่ ในขณะที่สายตาพากันหวาดระแวงเจ้าตูบขนสีน้ำตาลมันเลื่อมที่กำลังยืนตีซี้กับคุณพ่อบ้าน
ทั้งหมาทั้งคน ถึงคนจะดูหน้าตาหน้าละอ่อนกว่าแต่สายตาที่จับจ้องมองดูพวกมันในคราวแรก
ช่างน่าหวาดหวั้น พรั่นพรึงจิต
อารมณ์ต่างๆถูกฉาบฉายให้เห็นได้ดียิ่ง
แววตาที่สามารถเฉือดคนมองได้
แต่อาจจะไม่ถึงตาย เพราะรอยยิ้มที่ประดับไว้ใต้จมูก
พอทำให้แขกยังมีกระจิตกระใจจะค้อนหางตาใส่ได้บ้าง
ส่วนไอ้ปากยาว ถ้าจับยัดใส่กระสอบลงเรือไปส่งขายแถบตะเข็บชายแดน
มันก็หมดฤทธิ์ ไม่คึกมาขู่โฮกๆให้น่าถีบอยู่อย่างนี้หรอก
" หมาบ้านพี่ ถ้าเอาไปขายคงได้ราคาดีเนอะ ตัวอ้วนเชียว "
ลูกน้องคนหนึ่งโพล่งปากพูดออกมา แต่ทว่า...ลูกพี่ใหญ่ของมันดูจะไม่สบอารมณ์มากนัก
" จะหาเงินไปแดกเหล้าอีกล่ะสิ"
" แหม..รู้ทัน แถวบ้านผม เขายังขายหมาไปแลกกะลามังได้เลยนา ยิ่งเป็นพวกหมาพันธุ์ผสม กินแล้วโด๊ปดีจะตาย ถ้าพี่ขายให้ผม จะจ่ายราคาถูกๆเป็นกันเองเลย ดีมั้ย?"
มันชูนิ้วโอเค แต่คนถูกถามดูเหมือนจะไม่เออ ออ ไปกับมันด้วย ในขณะที่เสียงกระแอมไอของใครบางคนดังขึ้น
" เอากะละมังมาแลกกับสุนัข ผมไม่ยักจะรู้ว่ายังมีคนทำอาชีพแบบนี้อยู่อีก"
พ่อบ้านหนุ่มพูดขึ้นลอยๆ แต่แขกคนสำคัญที่ดูไม่สำคัญในสายตาของเขากลับสวนขึ้นมาทันที
" ใครให้สอด ...เป็นแค่คนใช้ อย่ามาสะเออะเรื่องของชาวบ้าน!"
" อ่อ ครับ คุณพูดถูก..ผมเป็นคนใช้ " เขาเอ่ยพลางหันมาสบตาไม่พอใจกับเจ้านายของตนที่ทำเป็นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
" โดนจิกหัว ตามตัวถูกใช้งานทุกรูปแบบ แต่ขอโทษ...คนใช้อย่างผมก็ยังมีดีกว่านักเลงหางแถวอีกมากมายและมีนักเลงอีกหลายคนที่เขายังรู้จักมารยาทได้ดีกว่าพวกคุณเสียอีก แค่มารยาททักทายคนอื่นยังทรามซม เรื่องอย่างอื่นคงไม่ต้องพูดถึง.."
รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนมุมปากหายไปเสียสิ้น ก่อนร่างสูงเกือบบ่าจะหันหลังเดินอ้อมกลับไปยังหลังตึกใหญ่สีขาวพร้อมกับไอ้ปากยาวคู่ใจของเขา โดยไม่สนใจบรรดาแขกสันดานถ่อย ของเจ้านายตนอีก
" พี่โชค ไอ้พ่อบ้านปากเปราะคนนี้ใช่มั้ย? ที่แม่งชอบห้ามไม่ให้พี่ออกเที่ยวอยู่เรื่อย"
" เออ!" เขาตะคอกใส่ไล่หลัง พลางสาวเท้ายาวๆ ข่มใจไม่หันกลับไปด่าพวกมันชุดใหญ่
อุตส่าห์พูดรักษาภาพพจน์ให้พวกมันดูดีขึ้น
รู้ทั้งรู้ว่า เหล่าเพื่อนร่วมแก็งค์ของเขามันไม่ได้ดีเลิศประเสริฐพอจะก้าวย่างเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้โดยง่าย
คำว่า "โจร" ในคำพูดของไอ้พ่อบ้านจอมทระนง มิได้เป็นเพียงพวกหน้าโหดมือไวเท้าไวอยู่อย่างเดียว
หากแต่เป็น "โจรไร้เงา" ที่ถูกจารึกไว้ใต้ดวงจิต
ไม่จำเป็นต้องหยิบฉวยสิ่งของมีค่าใดๆ
เพราะโจรที่เป็นพวก สันดานถ่อยด้วยนิสัย มิได้แสดงผ่านดวงหน้า
ไม่ได้ปล้นทรัพย์สินให้หายสูญสิ้น เหมือนอย่างโจรจริงๆ
หากแต่ฉกฉวยเอาความดี มีพร้อมของคนอื่นติดมือกลับไปด้วย
หรือไม่เสีย ก็กลืนกลินความดีของมนุษย์เข้าไปอย่างช้าๆ
ขโมยแลทำลายไปจากใจของคนที่ถูกขโมยจนชีวิตนั่นต้องมอดมวยลง
นี้แหล่ะ..ความน่ากลัวของโจรที่ไร้คมดาบ โจรในคราบของอันธพาลปากมอมคนหนึ่ง
ปวงโชคเดินนำหน้ามุ่งไปยังศาลานั่งเล่น หรืออีกชื่อที่เขาชอบเรียกมันว่า ศาลาพักใจ
ตัวหลังคาทำจากไม้สักราคาหนักๆ จากกระเป๋าคนมักมากด้วยเงินทองจริง
เนื้อไม้สีน้ำตาลแกมส้มเข้ม เติมเต็มความงามด้วยแสงในยามบ่ายคล้อย เผยให้เห็นเงาประดับประดาด้วยลวดลายอันวิจิตรเพลิดพิศ น่ามอง
บ่งบอกถึงงานฝีมือของช่างไม้ระดับสูงได้ดียิ่งยวด
หากแม้นคนสร้างก็สร้างมาแค่ประดับบารมี
แต่กระนั้น คนที่จ่ายค่าสร้างปรุงแต่ง กลับมิเคยเคลื่อนตัวเข้ามาพักผ่อนในศาลาเรือนน้อยที่รายล้อมด้วยพฤกษานานาไพร
ไหนจะภูเขาน้ำตกจำลองที่ไม่ใหญ่มากไม่เล็กเกิน แต่มองแล้วเพลินยามทุกข์ตรม
ไม่มีใครเคยรู้..อารมณ์แห่งสุนทรีย์จะเกิดมีในตัวของเขา
ผู้เป็นเฉกเช่นหมีควายที่คอยตะบั้นตะบี้ไล่ขวิดคนอื่นเขาไปเสียทั่ว
" น่านอนจัง....ยังกะอยู่ในสวนคณะเกษตรเลยว่ะ" ไอ้ลูกน้องตัวผอมแก้มโหนกเนินสูง กรีดกรายเอ่ยปากชมนกชมไม้เกือบตลอดทาง
หากแต่..เจ้าของพื้นที่คงจะอยากฟังเสียงนกเสียงกา หรือเสียงเห่าของไอ้ตาลเสียซะมากกว่า จึงส่งเสียงตวาดใส่ด้วยโวลุ่มที่แน่ชัดว่า ได้ยินกันแค่ในกลุ่มเขาเท่านั้น
" เบาๆหน่อยสิวะ ไอ้รงค์...มัวแต่พล่ามเสียงดังไปเรื่อย เกิดมาไม่เคยเห็นต้นไม้รึไง?"
" เคยเห็นสิพี่.." มันพูดพลางผิวปาก ฮัมเพลงไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลยจริงๆ
" แต่คนสวนบ้านพี่เขาคงขยันกันเกินไปหน่อย เลยลืมไปว่า บ้านพี่อยู่ในเมืองไม่ได้อยู่ในดง ปลูกเยอะซะจนจะเป็นสวนให้สัตว์อยู่แล้วสิ พี่.."
ปวงโชคหยุดเท้ากึก หันกลับมายืนเท้าเอว สีหน้าบ่งบอกอารมณ์ที่ทั้งโกรธผสมความงุนงงในคำพูดหลอกด่าแบบมีชั้นเชิงอย่าง ไอ้รงค์ปากทระนง
ด่าตรงๆ เจ็บจริงๆ...
แต่ไอ้คนเจ็บไม่ใช่คนที่ถูกด่า
หากแต่กลายเป็น ไอ้คนที่ด่าปาวๆ นั้นแหล่ะ จะโดนมือกาวตะปบหน้าเข้าให้
" ถ้ามึงว่ากูไม่ใช่คน พวกมึงก็คงเป็นเฟอรากลับชาติมาเกิดแล้วล่ะ ไอ้หัวฟองน้ำ ไอ้เวร!"
ปวงโชคกับมาดที่ไม่เหมาะกับลูกคุณหนูของบ้าน ยืนด่าแว้ดๆใส่ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเบาะเก้าอี้หวายตัวเดิมที่เขาได้นั่งชมแมกชมไม้ ชมอากาศอยู่ก่อนหน้านั่น
" วันนี้คาบข่าวอะไรมาได้อีกล่ะ" ผู้เป็น "นาย" เอนกายให้ขนาบไปตามผนังเบาะที่ถูกทักสานด้วยไม้หวายเนื้อดี
ไอ้พวกลูกน้องสายสืบมหาภัย ไม่ต่างอะไรกับองครักษ์ที่เฝ้าตัวหัวติดอยู่มิห่าง
หากแต่..เป็นการตามติดประชิดแบงค์หลากสีในมือเขาเสียมากกว่า
ลูกน้องที่เข้าหา ถ้าไม่ใช่เพราะเงินหรอกรึ?
มันถึงได้คลานกันเข้ามาประจบจนลิ้นจะขาดกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน
" ข่าวนะมีแน่ แต่ตอนนี้หิวข้าวกันฉิบหายเลย....อยากกินข้าว" น้ำเสียงช่วงท้ายออดอ้อนหน่อยๆ
ปวงโชคค้อนตาหมั่นไส้
" แล้วก่อนมาทำไมไม่ซื้อหาอะไรกินกันก่อนล่ะวะ จะมาหลอกแดกข้าวฟรีอีกเหรอ? ห่ะ "
" หลอกอาร้ายย ก็แม่บ้านที่นี้เขาทำอาหารเก่ง คราวที่แล้วมากินยังติดใจไม่หาย"
" รอบที่เเล้ว" เขาทำท่านึกคิด รอบที่แล้ว กูให้มันกินอะไรว่ะ?
" ข้าวไข่เจียว " เสียงแจ้วๆในกลุ่มดังขึ้น
"พิเศษตรงไหน รสชาติก็งั้นๆ" ลูกน้องหัวหยิกผมหยอย อ้าปากพูดออกมาได้อารมณ์มาก
เหมือนกะเทยร้องยี้ไล่ชะนี ไอ้เวรนี้ก็เหมือนกัน...
ปวงโชคนึกหัวเราะในใจ คนบ้านนี้เขากินข้าวอยู่กับบ้านเสียเมื่อไหร่
แม่บ้านที่นี่ ทำได้หมดทุกอย่างยกเว้นเรื่องอาหารเนี่ยแหล่ะ
อาจจะทำถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้าง หรือพอจะพูดได้ว่า ทำเป็นอยู่
โดยเฉพาะข้าวไข่เจียว ตอกไข่ใส่ถ้วย ใส่เครื่อง ใส่หัวหอม ตีให้เข้ากัน แล้วก็ราดใส่กระทะ
มันไม่พิเศษอย่างที่ไอ้ฟูฟู่ พูดแน่นอน ยิ่งรสชาติด้วยแล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าทำไมคนในบ้านถึงไม่อยากอยู่กินข้าวเช้าข้าวเย็นกัน
จะมีแต่ ไอ้พ่อบ้านวัยอ่อนที่ดูจะชอบทานข้าวที่บ้านมากกว่า จนคนจับกระทะแทบจะตัวลอย เมื่อเห็นหน้า ไอ้คุณพ่อบ้านรักษาการณ์เหยียบเท้าเข้าเขตแดนประหาร
" กระผมก็สั่งกินไปงั้นแหล่ะครับ" นี้คือคำเฉลย ในยามที่มันได้เข้ามาพูดคุยกับเขา แค่ไม่กี่ยามเท่านั้น
" ผมไม่มีเงินจะไปสั่งอาหารหรูๆกินหรอกครับ ได้กินไข่เจียวก้นับว่าดีพอแล้ว ดีกว่าได้กินน้ำข้าว"
มันเดินหน้ายิ้มผ่านเลยไป ทิ้งให้เขาผู้ซึ่งไม่เข้าใจว่าน้ำข้าวที่มันเอ่ยถึงนั้นคืออะไร
กว่าจะรับรู้ได้ก็ตอนที่ไปฟาดฟันกับแม่เสือพยัคฆ์ร้ายจนพลาดท่า
กลับมานอนหยอด "น้ำข้าว" แหมะๆอยู่บนเตียงหนานุ่มที่บ้านเสีย
" มีแต่น้ำนะครับ ข้าวผมไม่รู้ว่ามันจมลึกเกินไปรึเปล่า งมหาก็เจอแต่เม็ดเกลือ ดูน่าอร่อยดีนะครับ"
คงไม่แปลกอะไร ถ้าหลังจากวันนั้น ปวงโชคจะกลับบ้านดึดดื่นเที่ยงคืน เพื่อรู้ให้แน่ชัดว่า
พวกแม่ครัวเข้านอนกันหมดแล้วจริงๆ
และเป็นคราวที่พวกมันได้ลองชิมฝีมือแม่ครัวตัวกลมดูบ้าง
คำตอบที่ได้รับในวันนั้น คือ อาการเงียบกริบ มีแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกับแผ่นจาน
ตราบจนพวกมันลากพุงออกจากบ้านเขาไป ก็ไม่เห็นจะติชมฝีมือแม่ครัวบ้านเขาเลยซักนิด
ทุกอย่างกำลังเฉลยออกมาจากปากของ ไอ้ฟูฟู่
แลดูเหมือนมันจะไม่เข้าใจในแผนการ "ขอข้าวกินฟรี" ของหัวหน้ากลุ่ม เลยซักนิด แถมยังทำให้คณะสายสืบมหาภัย
ต้องกู้ภัยชีวิตของตัวเองให้พ้นเสือลายพาดที่กำลังนั่งอิงแอบจ้องตาหาความจริงจากพวกมัน
" หรือไม่จริง คราวที่แล้วพี่รงค์พูดแบบนี้เอง ผมก็ว่ามันไม่อร่อยจริงๆนั้นแหล่ะ สู้กับข้าวตามทางไม่ได้ รสชาติล้ำเลิศเพอร์เฟคสุดๆ"
แค่นั้นแหล่ะ กระบวนการ "กู้ภัย" ขนาดย่อมก็บังเกิดขึ้นจนได้
พวกที่เหลือเดินกรูมายืนอยู่นอกศาลา ในขณะที่ไอ้ฟูฟู่กับหัวหน้าคณะสายสืบกำลังสนทนาปาจิโก๊ะไปเรื่อย
อีกคนคุยสนุกสนาน หน้าตาแข่มชื่น ส่วนอีกคนนั่งหน้าขาวราวกระดาษยับยู่ ไม่รู้ว่า ควรจะนั่งทำพิธีผูกดวงชะตาตรงนี้เลยดีมั้ย?
หรือ...โทรไปสั่งเสียพ่อแก่แม่ป้าน้าอา วงศาคณาญาติตนเสียก่อนหนอ
แสงแวววาวจากแก้วใสสะท้อนแสงสีทองของยามวันใกล้เย็น น้ำกระจับรับแสงส่องฟ้า สีชมพูอ่อนวนเด่นหราอยู่ภายใน ไม่ผิดแผกไปจากความรู้สึกทุกเสี้ยวอารมณ์อยู่ในขณะจิต
" กินข้าวฟรี งั้นเหรอ" เขาเอ่ยแทรกขึ้น หากทว่า..มืออีกข้างแตะปุ่มกดสัญญาณเรียกหาใครบางคน ชื่อของใครที่พวกมันก็มิอาจคาดเดาได้
คนใช้มีเป็นร้อย จะใช้สอยนับว่ายาก แต่บ้านหลังนี้ ใหญ่โตโออ่าสง่าล้ำ....แต่ไร้เงาหัวใครโผล่ออกมาเลยซักคน
นอกจากไอ้พ่อบ้านหน้าหยก กะ ไอ้ปากยาวที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ แสดงว่า คนที่นายของเขาเรียกให้มา ก็คงไม่พ้นไอ้พ่อบ้านวัยกระเตาะคนนี้อีกแล้วสิ
" มึงรู้มั้ย? คนที่ชอบแอบด่าลับหลังคนอื่น บทลงโทษมันจะเป็นยังไง" แววตาร้ายลึกแบบแปลกๆ ละม้ายคล้ายจะโกรธแต่ไม่เกลียด ไร้ซึ่งอารมณ์แค้นคิดในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
" นันทิน พาไอ้ตาลออกกำลังยามช้าวหน่อย ดูมันอยากจะวิ่งรอบบ้านแล้วมั้งนั่น"
ไอ้ตาลสุนัขสายลับประจำบ้าน กับ หัวหน้าคณะสายลับมหาภัย
ใครมันจะรอด ใครมันจะร่วง เอาให้รู้ๆกันไป
คำพูดเหมือนหมา เลียแข้งเลียขาเอาใจ ถ้าคลานสี่เท้าได้คงทำไปแล้วล่ะมั้ง!
" เฮ้ย พี่โชค ไม่อาวนะ ผมไม่ชอบหมา" ไอ้ตัววางแผนเริ่มคร่ำครวญ
ให้ควายไล่ขวิดกูเสียยังดีกว่า เอาหมามาไล่ขู่ใส่กันแบบนี้ ชีวีหารอดไม่
มุมปากแสยะยิ้ม ลำตัวหัวหางเริ่มกระชากลากโซ่ ลูกตาดับขลับจับจองมองเไอ้รงค์ปากทระนง ที่กำลังสับเท้าเตรียมวิ่งได้ทุกขณะ
" ไอ้พาย ..... มึงมีคาถาไล่หมามั้ยว่ะ? กูเกลียดหมา" มันหันหาทีมกู้ภัยคนใหม่ ที่พอจะช่วยชีวิตมันได้
ไอ้พระพาย คนขายหมา ชื่อตามหลังบ่งบอกได้ถึงความรักใคร่เอ็นดูสัตว์สี่เท้า ปากยาวได้เป็นอย่างดี
แต่ทว่า..การได้ยืนดูเพื่อนเป็นทุกข์ กลับสร้างความสุขในหัวใจให้พองโตขึ้นยิ่งนัก
" ไม่มีวะ คาถาไล่หมา มีแต่คาถาไล่เมีย ใช้ได้เหมือนกันมั้ยว่ะ?"
" ไอ้เวร มึงชอบหมาไม่ใช่เหรอ? มาเล่นกับมันหน่อยสิ" ไอ้คนซวยประจำวันเริ่มวิงวอนอ้อนวอน เมื่อเสียงโซ่กระทบซ้อนกันหลายครั้ง และเสียงทุ้มลึก แข็งกร้าว ดุดัน สัญญาณแห่งมรณะของไอ้ปากยาว กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
" ชอบ...เวลามันนอนหลับ หรือ โดนโปะยา ยิ่งชอบเลย อุ้มง่าย ไม่งอแง จับส่งขาย สะดวกดี"
" ไอ้เวร!!! นี่ มึงยังไม่เลิกลักหมาชาวบ้านเขาไปขายอีกเหรอ ห่ะ"
เสียงบ่นแกมด่า ไล่มาพร้อมหางดวงเนตรที่คุกกรุ่นไม่สบอารมณ์ของวาทะที่โพล่งออกมา
ไอ้คนขายสัตว์สะดุ้งเอื้อก ก่อนจะหันมายิ้มประจบส่ายหัว เปลี่ยนตัวเปลี่ยนตนให้กลายเป็นคนรักสัตว์ในทันที
" ไม่แล้วจ้า พี่โชค ผมก็แค่พูดเล่นเท่านั้น..."
เขาพยักหน้าหงึกหงักพลางละสายตามองดู ไอ้ตัวนำแผนโครงการขอข้าวฟรี กำลังวิ่งสับขาหน้าหอบหน้าหืดรอบๆศาลา พลางตะโกนร้องสวดหาพ่อหาแม่มันไม่หยุดไม่หย่อน
โดยมีไอ้ตาล สุนัขตัวโปรดของคุณพ่อบ้านคอยเป็นเทรนเนอร์วิ่งประกบซ้ายขวาตลอดรอบกายมัน
" เอ้า...ไอ้ฟู่ วันนี้มาถึงที่นี้ คงมีเรื่องด่วนใช่มั้ย? พูดมา ฉันจะฟัง " คนเป็นนายเริ่มออกคำสั่งด้วยสีหน้าเอาจริงมากยิ่งขึ้น
" อ่อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกพี่" ไอ้ผมฟู หน้ายู่ไม่ต่างกัน เอียงคอเอ่ยด้วยน้ำเสียงละม้ายเหมือนเด็กน้อยก็มิปาน หากแต่ความเป๋อปั้นบวกกับหน้าตาน่าเอ็นดูหน่อยๆของมัน
จะหลอกสิงกินตับกินไส้ ล้วงความลับจากใครคนอื่น
ก็ผ่านสะดวก เพราะหน้าปลวกๆ ไม่มีพิษมีภัยของมันเอง
" แต่ผมแค่ไปสืบหาข่าว แต่คนรายงานข่าว พี่ดันให้มันวิ่งอยู่นู่นแน่ะ"
" มึงอยากจะวิ่งเป็นเพื่อนมันงั้นซิ" เขาถลึงตาดุใส่มัน ก่อนที่เสียงหัวเราะแหะๆจะดังขึ้นมาไล่หลัง
" โธ่ พี่โชค จะถามหาความกับผม จะไปได้อะไร๊ พี่รงค์..สั่งให้ผมสืบก็สืบ แต่คนจะขัดเกลาคำให้สวยหรูไม่ใช่ผมแน่"
" กูไม่ได้ให้มึงมาประพันธ์คำกลอนให้กูฟัง กูขอแค่เนื้อข่าว...อย่างเดียว"
" งั้นพี่ก็ลองทายดู"
นักรายงานข่าว เริ่มย้ายตำแหน่งเป็นนักเล่นกลไปเสียแล้ว หากแต่ คนชมกล กับไม่หลงกลเข้าเสียงั้น
" ถ้ากูรู้ จะตั้งกลุ่มสายสืบมาทำห่าทำเหวอะไรล่ะ ไอ้งั่ง!!"
ปวงโชคทำท่าเขวี้ยงแก้วน้ำเจียระไนใส่หน้ามัน แต่ดีที่ฉุกคิดได้ว่า ราคามันสูงลิบลิ่วปานใด
" เอ้า ไอ้พระพาย มึงบอกกูมาสิ ว่าได้ข่าวอะไรมาบ้าง ถ้าเล่นแบบไอ้หัวเงาะอีกนะมึง...พ่อจะเอาปังตอฟันคอซะ"
" พูดได้ แล้วกล้าทำมั้ย?" ไอ้พาย ยิ้มขันๆ เอาเถิด...ขู่ได้ก็ขู่ไป
แต่พอทำอะไรจริงๆ กลับไม่กล้าลงมือ
ความรักก็เช่นกัน..
รู้ว่ารัก แต่มิอาจเอ่ยปากบอกได้
ก็เพราะกลัวใจของอีกฝ่ายจะไม่คิดมากไปกว่า ศัตรูคู่อาฆาต
" ก็ข่าวทั่วๆไป พี่โชคฟังเอาละกัน" มันกระแอมไอ ยกคอเตรียมพูด คนฟังก็เตรียมฟังในทันที
" ข่าวคู่ปรับของพี่นั่นแหล่ะ...."
ปวงโชคเลิกคิ้วเรียวนิล พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แม้เสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้นำคณะจะดังก้องไปทั่วบริเวณ พร้อมเสียงเห่าโฮกของไอ้ตาลที่ดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันมากนัก
" มีคนบอกมาว่า นังหญ้าฟาง มันไม่ได้ออกฝึกสอนที่โรงเรียนสาธิตแล้ว
แต่มันเปลี่ยนไปเป็นโรงเรียนจงเหวินนู่นแน่ะ แต่ก็ดี ให้อีบ้านั่น ไปอยู่โรงเรียนเกือบๆชานเมือง จะได้ไม่มาเกาะแกะวุ่นวายกับแก๊งค์เราอีก....."
สารพัดถ้อยคำที่มันพรั่งพรูออกมา
หากคนพูดมิได้เฉลียวหางตาหันมามอง คนฟังนั่งนิ่งอึ้ง คล้ายวิญญาแลปัญญามิได้อยู่ในตัวในตน
มือที่จับแก้ว สั่นระริกทุกขณะ แววตาที่ฉาบฉายความสงสัย ถูกปลดปล่อยด้วยอารมณ์ที่ยากจะหยั่งรู้ถึง
โรงเรียนจงเหวินวิทยา!!
ม่านปริศนาสีดำที่ทับถมอยู่ภายใน
อันตรายจากใครคนหนึ่ง ที่เขาเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง
จะไปอยู่ ณ หนใด เขาคงพอคลายกังวล
แต่ทำไมจะต้องเป็น ที่แห่งนี้
ปวงโชคแน่นิ่ง สำเหนียกเสียงรอบข้างดูจะค่อยๆเลือนหายไปจนสิ้น
เหลือแต่ความอ้างว้างในดวงใจ
" เขาว่าเป็นฝีมือของจางอี้เซียว"
เสียงของลุงนนท์ พ่อบ้านคนเก่ายังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงถึง
โซ่ตรวนแห่งการผูกมัด ยากที่จะตัดให้ขาดได้
ญาติที่เขาไม่นับร่วมในสายเลือด พยายามอย่างไรก็ถอยห่างไปไม่พ้น
ฆาตกรที่แย่งงานจากยมทูต สวมหน้ากากเป็นคนดี ดูน่ายำเกรง
เอาเข้าจริง ก็แค่กุ๊ยจอมหลอกลวงเท่านั้น
" แต่ผมว่ามันแปลกนะ..." เสียงไอ้พระพายดังขึ้น สะกิดให้คุณหนูใหญ่ของบ้านหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาฟังมันพูดทันที
"มีคนเขาว่า รอง ผอ. เป็นคนติดต่ออยากได้ ไอ้ฟาง ไปฝึกสอนที่โรงเรียนเอง ทั้งๆที่โรงเรียนจงเหวินก็ไม่เคยรับนักศึกษาฝึกสอนจากที่ไหน แถมประเด็นสำคัญคือ "
มันเงียบอยู่ครูหนึ่ง คล้ายกับจะหยุดนึกคิดคำพูด หากแต่คนที่นั่งรอฟังกลับอดรนทนรอต่อไปไม่ไหว
" คืออะไร....รีบๆพูดออกมาสิเว้ย มันแต่นั่งอมพะนำอยู่ได้!" เสียงตะโกนเชิงบังคับให้อีกฝ่ายเปิดปากพูดให้ไว้
"เออๆ ก็จะพูดอยู่นี้ไง พี่โชคล่ะก็....ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลือกนังนี้ไปฝึกสอน ต่อให้มันเรียนดีจนลือชื่อไปทั่ว แต่พี่อย่าลืมสิ วีรกรรมด้านแย่ๆของมันก็มีอีกเยอะ เพราะถ้าอยากได้ครูมาสอนจริงๆ ก็ไม่น่าจะเลือกคนที่มีประวัติด่างพร้อยเข้าไปสอน ใครๆเขาก็พูดกันว่า รอง ผอ. คนนี้แกดุและจริงจังกับเรื่องพฤติกรรมของครูในโรงเรียนอยู่แล้ว พี่โชคก็รู้ไม่ใช่เหรอ ... คนเป็นญาติกันก็น่าจะรู้จักกันดีหนิ"
" ญาติเหรอ?"
เหมือนสายฟ้าผ่ากลางยามแลง แก้วน้ำลายสวยหล่นลงสู่เบื้องล่าง เศษแก้วใสหล่นกระจัดกระจายตามพื้น
" พี่โชคเป็นอะไรอ่ะพี่" ไอ้คนรายงานข่าวสีหน้าตกใจเล็กน้อย หากแต่ก็พอจะประคับประคองสติ เอื้อมมือไปแตะที่แขนของคนที่นั่งแข็งทื่ออยู่นั้น
" ผมพูดอะไรให้พี่ไม่สบายใจรึเปล่า?" มันยังคงถามเพราะความเป็นห่วง
" เปล่า... " เขาบอกปฏิเสธพลางปัดมือมันออกแต่ไม่ถึงกับแรงจนถึงขั้นรังเกียจ
อารมณ์ที่พุ่งพร่านไปตามดวงจิต เส้นโลหิตสูบฉีดให้เนื้อกายเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
คนที่เป็นฆาตกรที่เคยฆ่าคนสำคัญในชีวิตของเขา
หญ้าฟาง...ชีวิตของหล่อน หัวใจของหล่อนก็เฉกเช่นเดียวกัน
คนสำคัญในหัวใจเขา...
แต่มันอาจไม่สำคัญอะไรกับคนที่ไร้หัวใจ แบบนั้น....
จางอีเซียว!
จบตอนที่ 10
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ