Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
-
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
26 บท
0 วิจารณ์
29.41K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) บทที่ 21 ค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 21
ค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยว
สายตาของผมจ้องมองไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ด้วยเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ทำให้สถานที่แห่งนี้เหมาะจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากกว่าจะเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตเสียอีก
แต่ถึงแม้ทัศนียภาพจะสวยสักเพียงไร สีสันเหล่านั้นก็ไม่อาจมีส่วนรวมในความคิดของผมตอนนี้ได้เลย สายลมอ่อนๆพัดพาความหนาวมากระทบร่าง ยิ่งทำให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างพุ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
ตัวผมตอนนี้คล้ายคนเสียสติ ที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ภายใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ที่พอจะบังแสงแดดยามเย็นของวันในฤดูหนาวได้ในระดับหนึ่ง
ภาพความทรงจำในวันนี้ค่อยๆย้อนกลับมาเรื่อยๆราวกับเครื่องเล่นวีดีโอ ภาพของใครบางคนวนไปวนมาอยู่ในห้วงคิดที่แม้จะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่สามารถลบล้างมันออกไปได้
“ริกะซัง” คำอุทานเบาๆจางหายไปกับสายลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าที่เคยสว่างตอนนี้กลับค่อยๆมืดลง ราวกับเป็นภาพสะท้อนจิตใจของผมในตอนนี้ที่กำลังจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดเช่นเดียวกัน
แต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะมอดดับไป ก็กลับมีใครบางคนมาเติมเชื้อไฟเข้าไปใหม่ ช่วยยื้อสติที่มีอยู่ไม่ให้หายไป
“พี่ฟีล เป็นอะไรไปล่ะ เห็นนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานสองนานแล้ว” พลอยนั่งพับเพียบลงอย่างเรียบร้อย ตามสไตล์สาวเงียบ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกเหนื่อยๆ”
“จะโกหกก็ให้มันเนียนกว่านี้หน่อยเถอะค่ะ”
“อะไรกัน น้องคนนี้ไม่ยอมเชื่อพี่อีกและ” การมาของพลอยช่วยฉุดรั้งผมไม่ให้เข้าไปในห้วงความคิดอันมืดมนไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ท้อสินะ ความฝันน่ะ” ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยาจากผู้ชายรอบตัวที่กำลังจ้องมองมา คงเป็นเพราะความสวยระดับไม่บันยะบันยังของพลอยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
“อืม มองยังไงก็ไม่เห็นหนทางเลยนี่นา นักดนตรีท่ามกลางประเทศที่เราไม่รู้จักอย่างนี้น่ะ” ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด แต่ผมก็ตัดสินใจบอกความจริงออกไป ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวก็ตาม
“ถ้างั้น” พลอยส่งสายตาเฉียบคม “ก็ไม่เกรงใจล่ะนะคะ”
ยังไม่ทันที่จะตั้งตัว เด็กสาวร่างบางผู้เป็นเจ้าของหน้าตาสวยพริ้ง ก็ออกหมัดเต็มแรงเข้าปะทะกับใบหน้าของผมเข้าอย่างจัง ความรุนแรงของหมัดทำให้ศีรษะพุ่งเข้ากระแทกต้นไม้เบื้องหลังเข้าอย่างจัง
“ยัยพลอย ทำบ้าอะไรเนี้ย!!!” แผลเก่าที่เกิดจากการโดนอัดเละเมื่อช่วงเช้ากำเริบความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำตามสัญญาไง”
“สัญญา?” พลอยไม่รีรอช้า รีบพุ่งหมัดเข้าที่ท้องน้อย ความรุนแรงของหมัดที่มากเกินกว่าจะมาจากผู้หญิงร่างเล็กตรงหน้าทำให้ตัวผมงอเป็นกุ้งด้วยความเจ็บปวด
เหล่าผู้ชายที่แอบมองพลอยอยู่ห่างๆ ก็ต่างตกใจกับเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน
“ยัยพลอย...” ผมแทบไม่อาจพูดออกมาเป็นประโยคได้เพราะความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย
“พอใจหรือยังค่ะ หรือจะเอาอีกสักหมัด ถึงจะกลับมา” พลอยไม่ได้ดีแต่พูด เพราะเธอคิดจะทำจริงๆ หมัดขวาถูกยกขึ้นมาหมายที่จะทะยานเข้าสู่เป้าหมาย
“พะ...พอใจอะไรยัยพลอย อธิบายมาหน่อยสิ”
“พี่จำไม่ได้เหรอค่ะ?” พลอยเอียงคอทำท่าทางน่ารัก ขัดกับแรงหมัดของคุณเธอซะเหลือเกิน
“จำได้อะไร?” ผมพยายามอดกลั้นความเจ็บปวด เพื่อเร่งสมาธิขึ้นไปแล่นสมอง เหตุการณ์ต่างๆครั้นอยู่กับพลอยมาตลอดหลายปี ถูกไล่เรียงขึ้นมาราวกับหนังสือที่ถูกกรีดหน้าอย่างไม่ใส่ใจเนื้อหาภายใน
และแล้วก็ดูเหมือนว่าหน้านั้น จะมีอยู่ในหนังสือความทรงจำจริงๆ “ยัยบ้า เอาจริงเหรอเนี้ย”
“ก็พี่บอกหนูเองนี่นา ว่ายามใดที่พี่ท้อ ก็ขอให้ช่วยต่อยให้ตายไปข้างหนึ่ง”
“พูดเล่น!!! เข้าใจมั้ยว่าพูดเล่น!!!” ผมหัวเราะออกมา ถึงแม้จะเจ็บกับแรงหมัดที่เหนือคนของผู้เป็นน้องสาว แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะได้ใช้ได้ผลชะงัด ผมหลุดออกจากห้วงความคิดที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ท้อแท้ ได้ด้วยสายตามุ่งมั่นของพลอยที่ถ่ายทอดเข้ามาจนผมรู้สึกได้
“กลับมาแล้วใช่มั้ยค่ะ พี่ฟีล”
“แน่นอนสิ ใครจะไปทนเหงาหงอย ไม่พูดไม่จาล่ะ น่าเบื่อจะตายชัก แถมพรุ่งนี้ต้องมีเรื่องสนุกๆรออยู่อีกเพียบแน่ๆ” ผมพูดพร้อมลูบท้องน้อยและโหนกแก้มที่เริ่มปรากฏความเขียวจากอาการฟกช้ำ
พลอยยิ้มให้กับคำพูดของผม ก่อนที่คุณเธอจะทำอะไรที่ผมไม่คาดคิด
“ยัยบ้าพลอย!!!” พลอยกระโดดเข้ากอดผม เธอรัดแน่นเสียจนแม้การหายใจก็กลายเป็นเรื่องลำบากไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงจะเป็นรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างชายหนุ่มรอบข้างนับ 10 คน ที่ทำเอาผมขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว
ผมพยายามพูดเกลี่ยกล่อมพลอยให้ถอยออกห่างไป เพราะกลัวจะถูกรุมกระทืบ แต่ดูเหมือนคุณหนูพลอยจะไม่ใส่ใจเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ผมยกออกมาเลย ผมจึงต้องทำใจก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป โดยมีคติประจำใจที่ว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
เวลาผ่านไปเกือบนาที ในที่สุดพลอยก็ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ แต่เธอก็ยังไม่วายที่จะจ้องมองผมใกล้ๆ จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชมออกมา “น้องสาวคนนี้นี่...สวยจริงๆ”
พลอยหน้าแดงก่ำหลังจากได้รับคำชมจากผู้เป็นพี่ชาย “พี่บ้า!!!”
ด้วยความเขินอายหรืออะไรสักอย่าง พลอยผลักผมให้ล้มลงไปกองกับพื้นหญ้า ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป โดยที่ไม่ลืมบอกว่าอีก 20 นาที รถจะออกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ให้รีบมาขึ้นรถด้วย
ผมอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทีของผู้เป็นน้องสาว แต่แล้วเสียงหัวเราะนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 6 คน เดินรุมเข้ามาที่ผม โดยที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขามีธุระอะไร
“ไม่ทราบว่าคุณกับผู้หญิงคนเมื่อกี้ เป็นอะไรกันเหรอครับ” ในใจได้แต่แอบด่าพลอย โทษฐานที่ชอบสร้างภาระให้แก้อยู่เรื่อย
ผมใช้เวลากว่า 5 นาที ก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นจะเข้าใจและถอยร่นออกไป เสียงถอดหายใจด้วยความโล่งอกดังขึ้นทันทีหลังจากที่รอดพ้นวิกฤตการณ์เสี่ยงโดนรุมกระทืบมาได้
ทันทีที่นาฬิกาข้อมือตีบอกเวลาทุ่มตรง ผมก็รีบเดินไปหารถตู้ที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนักตามคำสั่งขององค์หญิงพลอย
ผมก้าวขึ้นรถตู้คนเดิมด้วยอาการประหม่าเพราะกลัวจะเจอกับ ริกะ เข้า ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่ริกะจะกลับรถคันเดียวกับฮานะ
แต่เมื่อเห็นว่าในรถไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกจากอากิและพลอยที่เสริมเข้ามา กับยูกิที่ย้ายรถไปนั่งคันเดียวกับเพื่อนในวง ก็ทำให้ผมโล่งใจ ทั้งๆที่ในใจลึกๆกลับรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน
ที่ว่างยังคงเหลืออยู่ที่เดียวเหมือนเดิม คือเบาะข้างๆฮานะ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นการจัดที่นั่งที่นาโอะเป็นคนจัดให้
“พลอย ระวังตัวดีๆล่ะ” ผมพูดเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งข้างน้องสาวของตัวเองไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นยัยพี่สาวบ้าที่ถึงแม้จะใส่แว่นตากันแดด ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังสนุกกับการได้แกล้งผม
“โย่ ฟีล” ฮานะทักทายอย่างเป็นกันเอง
“เหนื่อยมั้ยครับวันนี้”
“ก็นิดหน่อนแหละน่า แต่วันนี้ฉันกับริกะจังหวะเข้ากันได้ดีสุดเลยแหละ” ฮานะพูดพลางนึกอย่างสนุกสนาน
ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับผม แต่เรื่องนี้กับทำให้ผมรู้สึกดียิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเสียอีก
“ส่วนริกะไม่ต้องห่วงไปหรอก เธอมีธุระด่วนก็เลยขอตัวไปทำธุระให้เสร็จ” ฮานะตอบคล้ายรู้ว่าผมกำลังจะถาม
ทันทีที่ล้อหมุน ฮานะก็เข้าสู่ห้วงภวังค์ภายใต้หูฟังสีสันสดใสของเธอ ส่วนพลอยและนาโอะก็แอบกระซิบคุยกับพร้อมหัวเราะออกมาเป็นพักๆ แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเธอกำลังนินทาผมอยู่ แต่น่าแปลกตรงที่ทำไมพลอยกับนาโอะถึงสนิทกันถึงขนาดนั้น ซึ่งนี้เป็นคำถามที่ผมยังไม่ได้คำตอบ
รถใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานที่เป้าหมาย ทันทีที่ผมลงจากรถก็ต้องตกตะลึงกับความใหญ่โตโออ่าของโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ถูกตกแต่งสไตล์ยุโรป
“โรงแรมฟูยุมิจิ โรงแรมที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราติดอันดับ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1990 และได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมใหม่เมื่อปีที่แล้ว” พลอยที่พึ่งลงมาจากรถ อ่านข้อมูลที่ถูกจดอยู่ในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ
ผมยอมรับเลยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไปในสถานที่ที่หรูหราขนาดนี้มาก่อน แค่มองภายนอกก็รู้สึกได้ถึงความต่างชั้นระหว่างฐานะเสียเหลือเกิน
“ฟีล มีห้องว่างเหลืออยู่ห้องนึง นายนอนกับพลอยก็แล้วกัน ส่วนอากิจะนอนกับฉันเอง” นาโอะเดินออกมาหลังจากไปสอบถามจำนวนห้อง
ผมรู้สึกเกรงใจเสียเหลือเกินกับกุญแจห้องที่อยู่ๆก็ลอยเข้ามาในมือ ถึงไม่ต้องเดา ก็รู้แน่ๆว่าราคาค่าห้องคงไม่ต่ำกว่า 50000 เยนแน่ๆ
ฮานะดูเหมือนจะอ่านความคิดผมออก “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก นายมาช่วยทำงาน ก็เหมือนพนักงานนั้นแหละ ค่าห้องก็ถือว่าเป็นเงินค่าจ้างของนายก็แล้วกัน”
ผมมองไปยังพลอยที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อขอความคิดเห็น
“ว่าไงพลอย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ฟีล เราก็แค่ช่วยงานเขาให้คุ้มค่าก็พอ” พลอยส่งสัญญาณไปให้นาโอะ คล้ายพยายามบอกว่า ได้พูดตามที่วางแผนไว้แล้ว คล้ายรู้ว่าฟีลจะต้องเกรงใจ และไม่อยากรับกุญแจห้องเอาไว้แน่
ถึงแม้จะไม่อยาก แต่ในเมื่อพลอยพูดอย่างงั้น ผมก็ต้องจำใจรับกุญแจห้องไว้อย่างช่วยไม่ได้
ค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยว
สายตาของผมจ้องมองไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ด้วยเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ทำให้สถานที่แห่งนี้เหมาะจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากกว่าจะเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตเสียอีก
แต่ถึงแม้ทัศนียภาพจะสวยสักเพียงไร สีสันเหล่านั้นก็ไม่อาจมีส่วนรวมในความคิดของผมตอนนี้ได้เลย สายลมอ่อนๆพัดพาความหนาวมากระทบร่าง ยิ่งทำให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างพุ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
ตัวผมตอนนี้คล้ายคนเสียสติ ที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ภายใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ที่พอจะบังแสงแดดยามเย็นของวันในฤดูหนาวได้ในระดับหนึ่ง
ภาพความทรงจำในวันนี้ค่อยๆย้อนกลับมาเรื่อยๆราวกับเครื่องเล่นวีดีโอ ภาพของใครบางคนวนไปวนมาอยู่ในห้วงคิดที่แม้จะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่สามารถลบล้างมันออกไปได้
“ริกะซัง” คำอุทานเบาๆจางหายไปกับสายลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าที่เคยสว่างตอนนี้กลับค่อยๆมืดลง ราวกับเป็นภาพสะท้อนจิตใจของผมในตอนนี้ที่กำลังจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดเช่นเดียวกัน
แต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะมอดดับไป ก็กลับมีใครบางคนมาเติมเชื้อไฟเข้าไปใหม่ ช่วยยื้อสติที่มีอยู่ไม่ให้หายไป
“พี่ฟีล เป็นอะไรไปล่ะ เห็นนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานสองนานแล้ว” พลอยนั่งพับเพียบลงอย่างเรียบร้อย ตามสไตล์สาวเงียบ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกเหนื่อยๆ”
“จะโกหกก็ให้มันเนียนกว่านี้หน่อยเถอะค่ะ”
“อะไรกัน น้องคนนี้ไม่ยอมเชื่อพี่อีกและ” การมาของพลอยช่วยฉุดรั้งผมไม่ให้เข้าไปในห้วงความคิดอันมืดมนไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ท้อสินะ ความฝันน่ะ” ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยาจากผู้ชายรอบตัวที่กำลังจ้องมองมา คงเป็นเพราะความสวยระดับไม่บันยะบันยังของพลอยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
“อืม มองยังไงก็ไม่เห็นหนทางเลยนี่นา นักดนตรีท่ามกลางประเทศที่เราไม่รู้จักอย่างนี้น่ะ” ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด แต่ผมก็ตัดสินใจบอกความจริงออกไป ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวก็ตาม
“ถ้างั้น” พลอยส่งสายตาเฉียบคม “ก็ไม่เกรงใจล่ะนะคะ”
ยังไม่ทันที่จะตั้งตัว เด็กสาวร่างบางผู้เป็นเจ้าของหน้าตาสวยพริ้ง ก็ออกหมัดเต็มแรงเข้าปะทะกับใบหน้าของผมเข้าอย่างจัง ความรุนแรงของหมัดทำให้ศีรษะพุ่งเข้ากระแทกต้นไม้เบื้องหลังเข้าอย่างจัง
“ยัยพลอย ทำบ้าอะไรเนี้ย!!!” แผลเก่าที่เกิดจากการโดนอัดเละเมื่อช่วงเช้ากำเริบความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำตามสัญญาไง”
“สัญญา?” พลอยไม่รีรอช้า รีบพุ่งหมัดเข้าที่ท้องน้อย ความรุนแรงของหมัดที่มากเกินกว่าจะมาจากผู้หญิงร่างเล็กตรงหน้าทำให้ตัวผมงอเป็นกุ้งด้วยความเจ็บปวด
เหล่าผู้ชายที่แอบมองพลอยอยู่ห่างๆ ก็ต่างตกใจกับเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน
“ยัยพลอย...” ผมแทบไม่อาจพูดออกมาเป็นประโยคได้เพราะความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย
“พอใจหรือยังค่ะ หรือจะเอาอีกสักหมัด ถึงจะกลับมา” พลอยไม่ได้ดีแต่พูด เพราะเธอคิดจะทำจริงๆ หมัดขวาถูกยกขึ้นมาหมายที่จะทะยานเข้าสู่เป้าหมาย
“พะ...พอใจอะไรยัยพลอย อธิบายมาหน่อยสิ”
“พี่จำไม่ได้เหรอค่ะ?” พลอยเอียงคอทำท่าทางน่ารัก ขัดกับแรงหมัดของคุณเธอซะเหลือเกิน
“จำได้อะไร?” ผมพยายามอดกลั้นความเจ็บปวด เพื่อเร่งสมาธิขึ้นไปแล่นสมอง เหตุการณ์ต่างๆครั้นอยู่กับพลอยมาตลอดหลายปี ถูกไล่เรียงขึ้นมาราวกับหนังสือที่ถูกกรีดหน้าอย่างไม่ใส่ใจเนื้อหาภายใน
และแล้วก็ดูเหมือนว่าหน้านั้น จะมีอยู่ในหนังสือความทรงจำจริงๆ “ยัยบ้า เอาจริงเหรอเนี้ย”
“ก็พี่บอกหนูเองนี่นา ว่ายามใดที่พี่ท้อ ก็ขอให้ช่วยต่อยให้ตายไปข้างหนึ่ง”
“พูดเล่น!!! เข้าใจมั้ยว่าพูดเล่น!!!” ผมหัวเราะออกมา ถึงแม้จะเจ็บกับแรงหมัดที่เหนือคนของผู้เป็นน้องสาว แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะได้ใช้ได้ผลชะงัด ผมหลุดออกจากห้วงความคิดที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ท้อแท้ ได้ด้วยสายตามุ่งมั่นของพลอยที่ถ่ายทอดเข้ามาจนผมรู้สึกได้
“กลับมาแล้วใช่มั้ยค่ะ พี่ฟีล”
“แน่นอนสิ ใครจะไปทนเหงาหงอย ไม่พูดไม่จาล่ะ น่าเบื่อจะตายชัก แถมพรุ่งนี้ต้องมีเรื่องสนุกๆรออยู่อีกเพียบแน่ๆ” ผมพูดพร้อมลูบท้องน้อยและโหนกแก้มที่เริ่มปรากฏความเขียวจากอาการฟกช้ำ
พลอยยิ้มให้กับคำพูดของผม ก่อนที่คุณเธอจะทำอะไรที่ผมไม่คาดคิด
“ยัยบ้าพลอย!!!” พลอยกระโดดเข้ากอดผม เธอรัดแน่นเสียจนแม้การหายใจก็กลายเป็นเรื่องลำบากไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงจะเป็นรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างชายหนุ่มรอบข้างนับ 10 คน ที่ทำเอาผมขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว
ผมพยายามพูดเกลี่ยกล่อมพลอยให้ถอยออกห่างไป เพราะกลัวจะถูกรุมกระทืบ แต่ดูเหมือนคุณหนูพลอยจะไม่ใส่ใจเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ผมยกออกมาเลย ผมจึงต้องทำใจก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป โดยมีคติประจำใจที่ว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
เวลาผ่านไปเกือบนาที ในที่สุดพลอยก็ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ แต่เธอก็ยังไม่วายที่จะจ้องมองผมใกล้ๆ จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชมออกมา “น้องสาวคนนี้นี่...สวยจริงๆ”
พลอยหน้าแดงก่ำหลังจากได้รับคำชมจากผู้เป็นพี่ชาย “พี่บ้า!!!”
ด้วยความเขินอายหรืออะไรสักอย่าง พลอยผลักผมให้ล้มลงไปกองกับพื้นหญ้า ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป โดยที่ไม่ลืมบอกว่าอีก 20 นาที รถจะออกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ให้รีบมาขึ้นรถด้วย
ผมอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทีของผู้เป็นน้องสาว แต่แล้วเสียงหัวเราะนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 6 คน เดินรุมเข้ามาที่ผม โดยที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขามีธุระอะไร
“ไม่ทราบว่าคุณกับผู้หญิงคนเมื่อกี้ เป็นอะไรกันเหรอครับ” ในใจได้แต่แอบด่าพลอย โทษฐานที่ชอบสร้างภาระให้แก้อยู่เรื่อย
ผมใช้เวลากว่า 5 นาที ก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นจะเข้าใจและถอยร่นออกไป เสียงถอดหายใจด้วยความโล่งอกดังขึ้นทันทีหลังจากที่รอดพ้นวิกฤตการณ์เสี่ยงโดนรุมกระทืบมาได้
ทันทีที่นาฬิกาข้อมือตีบอกเวลาทุ่มตรง ผมก็รีบเดินไปหารถตู้ที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนักตามคำสั่งขององค์หญิงพลอย
ผมก้าวขึ้นรถตู้คนเดิมด้วยอาการประหม่าเพราะกลัวจะเจอกับ ริกะ เข้า ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่ริกะจะกลับรถคันเดียวกับฮานะ
แต่เมื่อเห็นว่าในรถไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกจากอากิและพลอยที่เสริมเข้ามา กับยูกิที่ย้ายรถไปนั่งคันเดียวกับเพื่อนในวง ก็ทำให้ผมโล่งใจ ทั้งๆที่ในใจลึกๆกลับรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน
ที่ว่างยังคงเหลืออยู่ที่เดียวเหมือนเดิม คือเบาะข้างๆฮานะ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นการจัดที่นั่งที่นาโอะเป็นคนจัดให้
“พลอย ระวังตัวดีๆล่ะ” ผมพูดเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งข้างน้องสาวของตัวเองไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นยัยพี่สาวบ้าที่ถึงแม้จะใส่แว่นตากันแดด ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังสนุกกับการได้แกล้งผม
“โย่ ฟีล” ฮานะทักทายอย่างเป็นกันเอง
“เหนื่อยมั้ยครับวันนี้”
“ก็นิดหน่อนแหละน่า แต่วันนี้ฉันกับริกะจังหวะเข้ากันได้ดีสุดเลยแหละ” ฮานะพูดพลางนึกอย่างสนุกสนาน
ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับผม แต่เรื่องนี้กับทำให้ผมรู้สึกดียิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเสียอีก
“ส่วนริกะไม่ต้องห่วงไปหรอก เธอมีธุระด่วนก็เลยขอตัวไปทำธุระให้เสร็จ” ฮานะตอบคล้ายรู้ว่าผมกำลังจะถาม
ทันทีที่ล้อหมุน ฮานะก็เข้าสู่ห้วงภวังค์ภายใต้หูฟังสีสันสดใสของเธอ ส่วนพลอยและนาโอะก็แอบกระซิบคุยกับพร้อมหัวเราะออกมาเป็นพักๆ แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเธอกำลังนินทาผมอยู่ แต่น่าแปลกตรงที่ทำไมพลอยกับนาโอะถึงสนิทกันถึงขนาดนั้น ซึ่งนี้เป็นคำถามที่ผมยังไม่ได้คำตอบ
รถใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานที่เป้าหมาย ทันทีที่ผมลงจากรถก็ต้องตกตะลึงกับความใหญ่โตโออ่าของโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ถูกตกแต่งสไตล์ยุโรป
“โรงแรมฟูยุมิจิ โรงแรมที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราติดอันดับ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1990 และได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมใหม่เมื่อปีที่แล้ว” พลอยที่พึ่งลงมาจากรถ อ่านข้อมูลที่ถูกจดอยู่ในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ
ผมยอมรับเลยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไปในสถานที่ที่หรูหราขนาดนี้มาก่อน แค่มองภายนอกก็รู้สึกได้ถึงความต่างชั้นระหว่างฐานะเสียเหลือเกิน
“ฟีล มีห้องว่างเหลืออยู่ห้องนึง นายนอนกับพลอยก็แล้วกัน ส่วนอากิจะนอนกับฉันเอง” นาโอะเดินออกมาหลังจากไปสอบถามจำนวนห้อง
ผมรู้สึกเกรงใจเสียเหลือเกินกับกุญแจห้องที่อยู่ๆก็ลอยเข้ามาในมือ ถึงไม่ต้องเดา ก็รู้แน่ๆว่าราคาค่าห้องคงไม่ต่ำกว่า 50000 เยนแน่ๆ
ฮานะดูเหมือนจะอ่านความคิดผมออก “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก นายมาช่วยทำงาน ก็เหมือนพนักงานนั้นแหละ ค่าห้องก็ถือว่าเป็นเงินค่าจ้างของนายก็แล้วกัน”
ผมมองไปยังพลอยที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อขอความคิดเห็น
“ว่าไงพลอย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ฟีล เราก็แค่ช่วยงานเขาให้คุ้มค่าก็พอ” พลอยส่งสัญญาณไปให้นาโอะ คล้ายพยายามบอกว่า ได้พูดตามที่วางแผนไว้แล้ว คล้ายรู้ว่าฟีลจะต้องเกรงใจ และไม่อยากรับกุญแจห้องเอาไว้แน่
ถึงแม้จะไม่อยาก แต่ในเมื่อพลอยพูดอย่างงั้น ผมก็ต้องจำใจรับกุญแจห้องไว้อย่างช่วยไม่ได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ