Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
-
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
26 บท
0 วิจารณ์
29.40K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทนำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทนำ
วันนี้ท้องฟ้าก็ยังคงสดใส สายลมอ่อนๆพัดกลิ่นอายของดอกไม้ที่มีอยู่ประปรายเคล้ากับกลิ่นของมลพิษที่ไม่อาจแก้ไข วันนี้ก็ยังคงเป็นวันธรรมดาๆไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นประจำที่ฉันต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าและกลับมาพักผ่อนในเวลาหลังเที่ยงคืน แต่ถึงกระนั้นวันนี้ก็กลับมีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดออกไป สิ่งที่แปลกประหลาดในวันธรรมดาๆวันหนึ่ง แต่กลับมีความหมายยิ่งใหญ่มากจนฉันไม่อาจรู้ตัว
“ริกะ เธอต้องถึงในอีก 1 ชั่วโมงนะ ห้ามสายเด็ดขาด” ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านหลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จพลางฟังเสียงของต้นสายที่คล้ายจะพยายามจี้โทรตลอดการเดินทาง เหมือนเห็นฉันเป็นเด็กๆที่ต้องมีคนคอบคุมตลอด 24 ชั่วโมง
“ค่ะ ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” ไม่ว่าอีกฝั่งจะโทรมากี่สายต่อกี่สาย คำตอบของฉันก็ยังคงเป็นคำตอบเดิมๆ น้ำเสียงเดิมๆ ความหมายเดิมๆ ในที่สุดจากที่โทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าถือ ก็เปลี่ยนย้ายที่มาสิงสถิตอยู่ในกระเป๋ากางเกงเพื่อง่ายต่อการรับสาย
ฝีเท้าของฉันเร่งผ่านฝูงชนที่กำลังเร่งรีบ ใบหน้าแต่ล่ะคนคล้ายกำลังเคร่งเครียดเรื่องอะไรบางอย่าง บางคนก็ถือโทรศัพท์พลางพูดแต่คำว่า ขอโทษๆ บางคนก็กำลังตัดพ้อต่อว่าอีกฝ่าย โดยไม่อายผู้คนที่อยู่โดยรอบ บางคนก็คล้ายคนเหม่อลอยไม่ได้สติ สร้างความลำบากให้ผู้อื่น
สิ่งที่ดูจะเป็นความสวยงามอย่างเดียวของถนนเส้นนี้ ก็น่าจะเป็นรอยยิ้มระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ที่ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว คู่เดตวัยทำงาน หรือคนชราที่ออกมาหาความสำราญรื่นเริง ซึ่งทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อเดินสวนทางกับพวกเขา
การที่เราได้มีคนสำคัญ การที่เราต้องมีคนให้ปกป้องดูแล การที่เราต้องห่วงใยใครบางคนคล้ายชีวิตของตัวเอง คือสิ่งที่คอยปลอบประโลมจิตใจของมนุษย์ไม่ให้หลงผิดไปกับความเน่าเฟะของความบาป สิ่งนี้คล้ายจะเป็นสิ่งเดียวในจิตใจของมนุษย์ที่สามารถปรับเปลี่ยนจิตใจส่วนหนึ่งให้กลับมาบริสุทธิ์ คล้ายแสงเทียนท่ามกลางห้องมืดสนิท
แต่ถึงอย่างไร แสงนั้นก็ช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับความมืดที่มากกว่า สุดท้ายคนเราก็นึกแต่ตนเองเป็นสำคัญ นี่คือความจริงที่เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ ความรักระหว่างคนสองคนไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจทั้งดวงให้เต็มไปด้วยความสว่างได้
ฉันเดินผ่านผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน แน่นอน ย่อมมีบางครั้งที่พวกเขาเดินมาชนฉันหรือฉันเดินไปชนพวกเขา
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยฉันก็ต้องพูดคำว่า ขอโทษ แต่น่าเศร้า...กลับไม่มีใครเลย ที่พูด ขอโทษ กลับมาหาฉันแม้เพียงสักคนเดียว
ในที่สุดฉันก็เห็นตึกเป้าหมายของฉันที่ไม่อยู่ห่างไกลจากจุดที่ยืนอยู่ในตอนนี้ ความโล่งอกไล่ยึดพื้นที่จากความกังวลกลับคืนมาเกือบทั้งหมด ถึงแม้จะมีความกังวลเล็กๆในใจ แปลกๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ตาม
ฉันยืนรอสัญญาณคนข้ามถนนที่ยังคงแสดงไฟสีแดงที่หมายถึงยังไม่อนุญาตให้ข้ามไปได้ เสียงรถโหวกเหวกจอแจไปมาถึงแม้สภาพการจราจรจะไม่ติดมาก แต่ด้วยความเร่งรีบของคนก็กลับดูเหมือนฝูงมดที่แย่งพื้นที่กันไปมาในรัง ถึงแม้รังของมันจะมีพื้นที่สักเพียงใด ก็ไม่อาจรองรับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ได้
และด้วยความเร่งรีบของผู้คนนี้เอง ที่ทำให้มีคนบางคนที่มักจะฝ่าฝืนกฎจราจร อย่างเช่นตอนนี้ ที่มีผู้ชายคนหนึ่งเบียดเสียดฉันออกไปข้ามถนนทั้งๆที่ไฟยังคงเป็นสีแดง
ไม่มีใครเลยที่คิดจะพูดเตือนเขา เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัว การที่ทำเขาทำอย่างนั้นก็คือการตัดสินใจของเขาที่ตัวเองไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
แต่ถึงกระนั้น...ก็กลับมีผู้ชายคนนึงข้างฉันร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายเตือนคนที่เดินออกไปให้รีบกลับมา
แต่ไม่ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างฉันจะร้องแหกปากดังสักเท่าไหร่ ก็คล้ายผู้ชายคนที่เดินออกไปจะไม่สนใจเสียงเตือนของเขาเลย จนบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนกลัวว่าจะเกิด และไม่มีใครอยากให้เกิด...ก็เกิดขึ้น
“ปู๊ดๆ” เสียงบีบแตรของรถเก๋งคนหนึ่งดังขึ้นจนชายที่เดินข้ามถนนต้องรีบหันมามอง เขาไม่มีเวลาพอที่จะวิ่งกลับมาหรือวิ่งไปให้ถึงอีกฝากหนึ่งอีกแล้ว ความตกใจทำให้เขายืนนิ่งไปหลายวินาที จนรถใกล้เข้ามาจนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหวาดเสียว
ไม่มีใครช่วยผู้ชายคนนั้นได้อีกแล้ว ไม่มีใครที่จะกล้าเสี่ยงเอาชีวิตเป็นเดิมพันไปช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คนมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ...ที่จะทำอย่างนั้น
แต่...ดูท่าทางฉันจะได้พบกับคนบ้าแบบนั้นจริงๆ
ผู้ชายที่ยืนตะโกนอยู่ข้างฉัน รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตนับตั้งแต่เสียงบีบแตรเริ่มดังขึ้น ภาพที่เห็นต่อจากนี้ เป็นภาพที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิต ภาพที่ฉันได้แต่จินตนาการถึงโลกอันวิเศษและอ่อนโยนอยู่ในหัว
“เปรี้ยง!!!” ผู้ชายคนนั้นถูกชายคนที่วิ่งออกไปผลักจนหลุดจากรัศมีของรถได้อย่างฉิวเฉียด แต่ถึงอย่างไร เสียงรถปะทะกับวัตถุก็ยังคงเกิดขึ้น พร้อมกับร่างของชายแปลกประหลาดที่กระเด็นไปตามแรงของรถ พร้อมกระเป๋าสีดำที่สะพายอยู่ด้านหลัง
ฉันไม่นึกเลย ว่าฉันจะได้มาเจอกับคนบ้าๆอย่างนี้ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอเขา ผู้ชายประหลาดๆที่จุดแสงเทียนในจิตใจของฉันให้สว่างเจิดจ้ากว่าที่เคยเป็น...
วันนี้ท้องฟ้าก็ยังคงสดใส สายลมอ่อนๆพัดกลิ่นอายของดอกไม้ที่มีอยู่ประปรายเคล้ากับกลิ่นของมลพิษที่ไม่อาจแก้ไข วันนี้ก็ยังคงเป็นวันธรรมดาๆไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นประจำที่ฉันต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าและกลับมาพักผ่อนในเวลาหลังเที่ยงคืน แต่ถึงกระนั้นวันนี้ก็กลับมีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดออกไป สิ่งที่แปลกประหลาดในวันธรรมดาๆวันหนึ่ง แต่กลับมีความหมายยิ่งใหญ่มากจนฉันไม่อาจรู้ตัว
“ริกะ เธอต้องถึงในอีก 1 ชั่วโมงนะ ห้ามสายเด็ดขาด” ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านหลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จพลางฟังเสียงของต้นสายที่คล้ายจะพยายามจี้โทรตลอดการเดินทาง เหมือนเห็นฉันเป็นเด็กๆที่ต้องมีคนคอบคุมตลอด 24 ชั่วโมง
“ค่ะ ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” ไม่ว่าอีกฝั่งจะโทรมากี่สายต่อกี่สาย คำตอบของฉันก็ยังคงเป็นคำตอบเดิมๆ น้ำเสียงเดิมๆ ความหมายเดิมๆ ในที่สุดจากที่โทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าถือ ก็เปลี่ยนย้ายที่มาสิงสถิตอยู่ในกระเป๋ากางเกงเพื่อง่ายต่อการรับสาย
ฝีเท้าของฉันเร่งผ่านฝูงชนที่กำลังเร่งรีบ ใบหน้าแต่ล่ะคนคล้ายกำลังเคร่งเครียดเรื่องอะไรบางอย่าง บางคนก็ถือโทรศัพท์พลางพูดแต่คำว่า ขอโทษๆ บางคนก็กำลังตัดพ้อต่อว่าอีกฝ่าย โดยไม่อายผู้คนที่อยู่โดยรอบ บางคนก็คล้ายคนเหม่อลอยไม่ได้สติ สร้างความลำบากให้ผู้อื่น
สิ่งที่ดูจะเป็นความสวยงามอย่างเดียวของถนนเส้นนี้ ก็น่าจะเป็นรอยยิ้มระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ที่ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว คู่เดตวัยทำงาน หรือคนชราที่ออกมาหาความสำราญรื่นเริง ซึ่งทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อเดินสวนทางกับพวกเขา
การที่เราได้มีคนสำคัญ การที่เราต้องมีคนให้ปกป้องดูแล การที่เราต้องห่วงใยใครบางคนคล้ายชีวิตของตัวเอง คือสิ่งที่คอยปลอบประโลมจิตใจของมนุษย์ไม่ให้หลงผิดไปกับความเน่าเฟะของความบาป สิ่งนี้คล้ายจะเป็นสิ่งเดียวในจิตใจของมนุษย์ที่สามารถปรับเปลี่ยนจิตใจส่วนหนึ่งให้กลับมาบริสุทธิ์ คล้ายแสงเทียนท่ามกลางห้องมืดสนิท
แต่ถึงอย่างไร แสงนั้นก็ช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับความมืดที่มากกว่า สุดท้ายคนเราก็นึกแต่ตนเองเป็นสำคัญ นี่คือความจริงที่เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ ความรักระหว่างคนสองคนไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจทั้งดวงให้เต็มไปด้วยความสว่างได้
ฉันเดินผ่านผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน แน่นอน ย่อมมีบางครั้งที่พวกเขาเดินมาชนฉันหรือฉันเดินไปชนพวกเขา
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยฉันก็ต้องพูดคำว่า ขอโทษ แต่น่าเศร้า...กลับไม่มีใครเลย ที่พูด ขอโทษ กลับมาหาฉันแม้เพียงสักคนเดียว
ในที่สุดฉันก็เห็นตึกเป้าหมายของฉันที่ไม่อยู่ห่างไกลจากจุดที่ยืนอยู่ในตอนนี้ ความโล่งอกไล่ยึดพื้นที่จากความกังวลกลับคืนมาเกือบทั้งหมด ถึงแม้จะมีความกังวลเล็กๆในใจ แปลกๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ตาม
ฉันยืนรอสัญญาณคนข้ามถนนที่ยังคงแสดงไฟสีแดงที่หมายถึงยังไม่อนุญาตให้ข้ามไปได้ เสียงรถโหวกเหวกจอแจไปมาถึงแม้สภาพการจราจรจะไม่ติดมาก แต่ด้วยความเร่งรีบของคนก็กลับดูเหมือนฝูงมดที่แย่งพื้นที่กันไปมาในรัง ถึงแม้รังของมันจะมีพื้นที่สักเพียงใด ก็ไม่อาจรองรับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ได้
และด้วยความเร่งรีบของผู้คนนี้เอง ที่ทำให้มีคนบางคนที่มักจะฝ่าฝืนกฎจราจร อย่างเช่นตอนนี้ ที่มีผู้ชายคนหนึ่งเบียดเสียดฉันออกไปข้ามถนนทั้งๆที่ไฟยังคงเป็นสีแดง
ไม่มีใครเลยที่คิดจะพูดเตือนเขา เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัว การที่ทำเขาทำอย่างนั้นก็คือการตัดสินใจของเขาที่ตัวเองไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
แต่ถึงกระนั้น...ก็กลับมีผู้ชายคนนึงข้างฉันร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายเตือนคนที่เดินออกไปให้รีบกลับมา
แต่ไม่ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างฉันจะร้องแหกปากดังสักเท่าไหร่ ก็คล้ายผู้ชายคนที่เดินออกไปจะไม่สนใจเสียงเตือนของเขาเลย จนบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนกลัวว่าจะเกิด และไม่มีใครอยากให้เกิด...ก็เกิดขึ้น
“ปู๊ดๆ” เสียงบีบแตรของรถเก๋งคนหนึ่งดังขึ้นจนชายที่เดินข้ามถนนต้องรีบหันมามอง เขาไม่มีเวลาพอที่จะวิ่งกลับมาหรือวิ่งไปให้ถึงอีกฝากหนึ่งอีกแล้ว ความตกใจทำให้เขายืนนิ่งไปหลายวินาที จนรถใกล้เข้ามาจนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหวาดเสียว
ไม่มีใครช่วยผู้ชายคนนั้นได้อีกแล้ว ไม่มีใครที่จะกล้าเสี่ยงเอาชีวิตเป็นเดิมพันไปช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คนมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ...ที่จะทำอย่างนั้น
แต่...ดูท่าทางฉันจะได้พบกับคนบ้าแบบนั้นจริงๆ
ผู้ชายที่ยืนตะโกนอยู่ข้างฉัน รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตนับตั้งแต่เสียงบีบแตรเริ่มดังขึ้น ภาพที่เห็นต่อจากนี้ เป็นภาพที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิต ภาพที่ฉันได้แต่จินตนาการถึงโลกอันวิเศษและอ่อนโยนอยู่ในหัว
“เปรี้ยง!!!” ผู้ชายคนนั้นถูกชายคนที่วิ่งออกไปผลักจนหลุดจากรัศมีของรถได้อย่างฉิวเฉียด แต่ถึงอย่างไร เสียงรถปะทะกับวัตถุก็ยังคงเกิดขึ้น พร้อมกับร่างของชายแปลกประหลาดที่กระเด็นไปตามแรงของรถ พร้อมกระเป๋าสีดำที่สะพายอยู่ด้านหลัง
ฉันไม่นึกเลย ว่าฉันจะได้มาเจอกับคนบ้าๆอย่างนี้ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอเขา ผู้ชายประหลาดๆที่จุดแสงเทียนในจิตใจของฉันให้สว่างเจิดจ้ากว่าที่เคยเป็น...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ