Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก

8.3

เขียนโดย justin

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.

  23 ตอน
  1 วิจารณ์
  29.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ความลับที่ซ่อนเร้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
อาร์ทและอันวาเรซมาปรากฏตัวอีกครั้งที่คฤหาสน์ย่านชาญเมืองที่อาร์ทได้ซื้อไว้ อันวาเรซกวาดสายตาไปรอบบริเวณ อาร์ทเดินตรงไปหยิบกล่องที่บันจุเลือดสังเคราะห์ มีแบรนด์เขียนไว้ว่า “บลัด ซิกตี้ซิก” หรือที่เหล่าแวมไพร์รู้จักกันใน “บี หกสิบหก” เลือดสังเคราะห์ถูกรินใส่แก้วค่อยๆ เอ่อล้นขึ้นถึงปากแก้ว อาร์ทส่งให้อันวาเรซก่อนที่จะเอ่ยเชื้อเชิญให้นั่งคุย


“อ่า รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที”

อันวาเรซวางแก้วลงที่โต๊ะเค้าน์เตอร์บาร์สุดหรูในคฤหาสน์ หลังจากดื่ม บลัค ซิกตี้ซิก ไปครึ่งแก้ว

“ข้าดีใจนะที่ได้พบกับท่านอีกนะ อันวาเรซ”

“อ๋อ แน่นอน ข้าเป็นตัวแทนขององค์กรผู้คุมกฎ ดูแลพวกอมตะชนในพื้นที่เอเชียทั้งหมด”

อาร์ทพยักหน้ารับ

“ไม่ว่ามีแวมไพร์ในพื้นที่ใดแถบนี้ กระทำผิดกฎธรรมนูญขององค์กร ข้าจะเป็นผู้จัดการกับแวมไพร์ตนนั้นเอง”

“ข้าเข้าใจดีอันวาเรซ”

“ฮ่ะ ขนาดเจ้าเข้าใจเจ้าก็ยังทำผิดซ้ำซากเหมือนเคยนะอาทิต”

“ครั้งนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนนัทเป็นเหมือนพวกเรานะ แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ “

“เหตุสุดวิสัย มันใช้เป็นคำอ้างในการทำผิดกฎไม่ได้หรอก”

อันวาเรซปรายตามองไปที่อาร์ทเหมือนอยากให้มีคำอธิบายที่มีเหตุผลกว่านี้ ถึงแม้เขาทั้งสองจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ในเหตุการณ์ครั้งที่เกิดขึ้นที่เชียงตุง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถช่วยอาร์ทได้ทุกครั้ง

“ข้าเข้าใจอันวาเรซ”

“เราไม่สามารถปล่อยเขาไปได้นะอาทิต แม้แต่ตัวเจ้าเองก็หาที่จะพ้นผิดด้วยเช่นกัน”

“ข้ามีเหตุผลของข้า จริงๆ แล้ว ข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่เปลี่ยนเขาให้เป็นแวมไพร์ ข้าอยากให้เขามีชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไป เติบโตและแก่ตายเหมือนกับมนุษย์ทุกคน แต่ที่ข้าเปลี่ยนเขา เพราะชีวิตเขาสั้นเกินไป สั้นเกินไปที่จะจากโลกนี้ เหมือนกับข้าในตอนนั้น ตอนที่อานาทาเซียเปลี่ยนข้า”


“ตอนที่อานาทาเซียเปลี่ยนเจ้า องค์กรของเรายังไม่มีกฎเช่นนี้ ในตอนนี้มันแตกต่างกันไปแล้ว”

“แต่ข้ามีข้อยกเว้นในเรื่องนี้นะอันวาเรซ”

“ข้อยกเว้น อะไร”

อันวาเรซมองใบหน้าอาร์ทด้วยความแปลกใจปนความสงสัย เขากำลังมองและฟังอยู่ว่าอาร์ทจะมีเหตุผลในข้อแก้ต่างอย่างไร ถึงตัวอันวาเรซเองก็ต้องการจะช่วยเช่นกัน


“คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ที่เจ้าได้ดื่มเลือดของจอมราชาแวมไพร์นะ นั่นไม่ใช่อภิสิทธ์ที่เจ้าจะใช้มาเป็นข้ออ้างได้ เพราะอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ราชา”

“ไม่ อันวาเรซ ไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจ”

“แล้วอย่างไรละอาทิต ข้าต้องการเหตุผลจากเจ้า เพื่อที่ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้”

อาร์ทเหลือบตามองดูที่ใบหน้าของอันวาเรซอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนก้าวเท้าออกจากเค้าน์เตอร์บาร์

“ตามข้ามาสิ อันวาเรซ ข้าจะให้ดูเหตุผลของข้า”

อันวาเรซยกแก้วที่เหลือ บลัด ซิกตี้ซิก อีกครึ่งแก้วขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นก้าวเท้าเดินตามอาร์ทไป


อาร์ทเดินนำผู้คุมกฎลงไปทางห้องใต้ดินของคฤหาสน์จนมาถึงหน้าห้องแห่งความลับ เขาเอื้อมมือไปกดรหัสความปรอดภัย เมื่อประตูปลดล๊อค และถูกเปิดออก อาร์ทพาผู้คุมกฎเข้าไปในห้อง เดินตรงไปที่ผนังห้องด้านในสุด เขาหยิบรีโมทกดปุ่มเปิดม่านอัตโนมัติที่ถูกปิดคลุมผนังไว้ เมื่อม่านถูกเปิดออกผนังห้องเผยให้เห็นบอร์ดขนาดใหญ่ มีชาร์ตเป็นชื่อบุคคลแปะไว้ไล่ลั่นลงมา


อันวาเรซเดินไปดูที่ชาร์ตนั่นเขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย อาร์ทหันไปมองหน้าผู้คุมกฎยิ้มมุมปากเล็กน้อย ผายมือชี้ไปที่ชาร์ตในบอร์ดนั้น

“นี่คือเหตุผลของข้า ที่ข้าไม่ได้ทำผิดกฎขององค์กร”

“มันคือชาร์ตอะไรหรือ”

“มันคือชาร์ตบรรพบุรุษและสายโลหิตที่สืบทอดกันมาของข้า มันเริ่มจาก ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ของข้า”

อาร์ทเดินตรงเข้าไปใกล้ๆ ชาร์ตนั้นก่อนจะหยิบเลเซอร์พอยเตอร์ยิงแสงไปที่ชาร์ตที่เขียนชื่อนายเชิดไว้

“ตรงนี้คือข้า และนี่คือเมียข้า ไล่ลงมาตรงนี้คือลูกชายข้าผู้สืบสายโลหิตจากข้าโดยตรง”

“นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า...”

“ถูกแล้ว”



....ในตอนนั้นก่อนที่พวกพม่าจะยกทัพเข้ามาตีถึงในกรุงศรีอยุธยา ข้าได้แต่งงานอยู่กินกับนางเอียดคนรักของข้า เรามีบุตรชายด้วยกันหนึงคน จนกระทั้งพม่าบุกเข้ามาถึงกรุงศรีฯ พวกเราต่างหลบหนีกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง พ่อกับแม่ข้าได้เสียชีวิตในครั้งนี้ ส่วนเมียและลูกข้าหายไปลูกข้ามีอายุได้เพียงแค่สามขวบ


ข้ากับอานาทาเซียได้หนีไปพร้อมกับพรรคพวกของพระยาตาก ในตอนนั้นข้าไม่อาจจะตามหาเมียและลูกของข้าได้ ข้าจึงได้เข้าร่วมกับกองทัพของพระยาตาก จนกระทั้งข้าพลาดพลั้งในการศึกที่จันทบุรีถูกฟันบาดเจ็บเจียนตาย ท่านพ่อได้เปลี่ยนข้าเป็นแวมไพร์
หลังจากที่ท่านพ่อได้หนีจากข้าไป

ข้าได้ออกตามหาเมียและลูกของข้า การตามหาไม่ยากอย่างที่คิด ข้าตามกลิ่นของสายโลหิตของข้า จนพบเมียและลูกของข้าที่บ้านเจ้าพระยาคนหนึง ในสมัยที่พระยาตากได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ของกรุงธนบุรี ในคืนนั้นลูกของข้าป่วยหนัก ข้าเข้าไปในห้องของเมียและลูกข้า แต่ข้าไม่พบนางเอียด ข้าเห็นแต่ลูกข้านอนป่วยเจียนตาย


“ไอ้จัน เจ้าลูกชายข้า เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

เชิดก้มลงเอื้อมมือเข้าประคองเจ้าจันลูกชายไว้

“พ่อออ... “

เจ้าจันลืมตาขึ้นมาดูในขณะอาการไข้ป่ากำเริบขึ้นอย่างนัก เจ้าจันจำใบหน้านั่นได้ ใบหน้านั้นคือเชิดผู้เป็นบิดา

“เจ้าไม่สบายอย่างหนัก”

ข้าเอาหลังมือแตะไปที่หน้าฝากของบุตรชายตัวเล็ก เด็กชายวัยสามขวบที่ยังไม่รู้ความมากนัก ความร้อนในตัวของจันทำให้เชิดรู้ว่าเจ้าจันนั่นป่วยอย่างหนักเอาการทีเดียว

“ลูกชายข้าเจ้าต้องไม่เป็นไรนะ”

ขณะที่ข้ากำลังประคองร่างของลูกข้าขึ้นมาอุ้ม มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาทางด้านนอกระเบียง เปิดประตูเข้ามาในห้อง เมื่อข้าหันหน้าไปดูผู้ที่เดินเข้ามา นางคือเมียข้าเอง

“ไอ้เชิด ไอ้เชิดนี่เจ้ายังไม่ตายดอกรึ ข้ามิได้ตาฝาดไปใช่ไหม”

“นังเอียดข้าเอง”

“นี่เจ้ารอดมาได้เยี่ยงไร”

เมียของข้านางดีใจที่เห็นข้ายังไม่ตาย นางโผเข้ามากอดกายข้าไว้

“ข้าดีใจเหลือเกิน ข้าคิดว่าเอ็งตายไปในสงครามที่กรุงเสียแล้ว”

ข้าโอบกอดเมียและลูกของข้าพร้อมกัน เราต่างก็ดีใจที่รู้ว่าทุกคนยังมีชีวิตอยู่

“ลูกของเราไม่สบายหนักเลยนะนังเอียด”

“ข้ารู้ ท่านเจ้าพระยาก็ให้ยามาต้มให้ไอ้จันมันกินแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้นเลย”

ข้าค่อยๆ วางลูกของข้าลงขณะเจ้าจันหลับตาตัวสั่นด้วยอาการไข้

“ไอ้เชิด ทำไมตัวของเอ็งเย็นจัง”

เอียดผละตัวออกจากข้าถามด้วยความสงสัย พร้อมกับใช้มือลูบคลำแขนของข้าขึ้นลงไปมา

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าคงตากน้ำค้างนานไปหน่อย”

“แล้วเอ็งขึ้นเรือนท่านเจ้าพระยามาได้อย่างไรรึ”

“ข้าแอบขึ้นมา เมื่อข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่”

“หลังจากที่ข้ากับไอ้จันพลัดหลงกับเอ็ง ก็ได้หนีตามขบวนพ่อค้าจนมาถึงธนบุรี ท่านเจ้าพระยาเจ้าของเรือนนี้ ท่านเป็นสหายสนิทกับพ่อเอ็ง เมื่อท่านทราบว่าข้ากับไอ้จันเป็นสะใภ้และหลานของพ่อเอ็ง ท่านจึงนำข้ากับไอ้จันมาอยู่ที่เรือนนี้ด้วย”

“เป็นความโชคดีของเอ็งแล้วนังเอียด ไอ้จันด้วย ข้าเที่ยวออกตามหาพวกเอ็งสองคนมาตลอด”

“แล้วนี่เอ็งจะไปพบกับท่านพระยากับข้าด้วยไหม”

“ไม่ละ ข้าแค่มาดูอาการของไอ้จันมัน”


ในขณะที่เชิดกับเอียดกำลังถามไถ่กันอยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนออกมาจากด้านนอกทางระเบียงเรือน

“นังเอียดเอ้ย นังเอียด เอ็งหลับหรือยัง”

“ยังเจ้าคะ”

เอียดลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูไม้ พบกับโต้โผของครัวท่านเจ้าพระยา ในมือถือหม้อดินต้มยามาด้วย

“ท่านพระยาให้ข้าต้มยามาให้ไอ้จันมันนะ อาการมันเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

“อาการมันยังไม่ดีขึ้นเลยเจ้าคะ”

“แล้วนี่เอ็งพูดคุยกับใครอยู่เรอะ ข้าได้ยินเสียงแว่วๆ “

“ข้ากำลัง.....”

เอียดเอี้ยวตัวกลับมาเพื่อจะบอกว่าเชิดพ่อของเจ้าจันยังไม่ตายและได้ขึ้นมาเยี่ยม แต่เมื่อเอียดหันมาก็ไม่ปรากฏร่างของเชิดอยู่ที่ห้องนั่นแล้ว


“เอา..ว่ายังไงเอ็งคุยกับใครเรอะ”

“เอ้อ เปล่าเจ้าคะ ไม่มีอะไร”

“อืมม ถ้างั้นเอ็งก็เอายาไปป้อนไอ้จันมันซะนะ”

“เจ้าคะ”

เอียดรับหม้อดินต้มยาเดินเข้ามาในห้อง นางรู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆ เชิดก็หายตัวไป นางรินยาใส่ถ้วยใบเล็ก ค่อยๆ ยกถ้วยไปตรงปากเจ้าจัน

“กินยาซะไอ้จัน”



จากนั้นทุกค่ำคืนข้าก็เทียวไปหาลูกข้าที่ยังนอนป่วยอยู่อย่างหนัก ข้าบอกกับเอียดว่าไม่ต้องบอกให้ผู้ใดรู้ ข้าอยากมาอย่างเงียบๆ
เอียดเข้าใจในสิ่งที่ข้าบอก จนกระทั้งค่ำคืนหนึง ขณะที่ข้าเข้าไปดูลูกชายข้าที่อาการป่วยหนักยิ่งขึ้นจนเจียนตาย ไม่มีใครอยู่ที่ห้องนั่น


“ไอ้จันเอ้ย เอ็งป่วยถึงขนาดนี้ เป็นความผิดของข้าเอง ที่ไม่ได้อยู่ดูแลเอ็ง”

เชิดยื่นมือเข้าไปลูบที่หัวของเจ้าจัน ตัวมันร้อนดุจไฟรุมเผา ข้าสงหารลูกของข้าเป็นอย่างมากจนน้ำตาโลหิตของข้าเอ่อล้นขอบตา

“ข้าจะช่วยเจ้าเองนะ ลูกชายข้า”

ในตอนนี้ร่างของเชิดเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ เขายกมือขึ้นใช้เล็บกรีดไปที่ปลายนิ้วชี้จนเลือดไหลซึมออกมา เขายื่นมือเข้าไปที่ปากของเจ้าจัน เอาเลือดนั้นป้ายเข้าไปในปาก ในตอนนั้นเอียดเปิดประตูเข้ามาอย่างกะทันหันจนเชิดไม่ทันตั้งตัว

เชิดหันใบหน้าที่กลายเป็นแวมไพร์ จ้องมองไปที่เอียด นางตกใจมากกรีดร้องด้วยความกลัว

“ว้ายย !!! ช่วยด้วย !!! ปีศาจ ปีศาจ”

เชิดเคลื่อนตัวลอยเข้าไปหาเอียด นางถอยล่นไปที่หน้าต่าง

“อย่าเข้ามานะ ไอ้ปีศาจ ข้ากลัวแล้ว อย่าทำข้า อย่าทำลูกข้า”

เชิดจ้องมองไปที่เอียดอีกครั้ง

“นังเอียด นี่ข้าเอง ผัวของเจ้าไง”

“ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ เจ้า...เจ้าเป็นปีศาจ”


ด้วยความหวาดกลัวเอียดก้าวเท้าถอยหลังล่นไปถึงขอบหน้าต่าง จนพลัดตกลงไปคอของนางหักและสิ้นใจทันที มีเสียงฝูงคนจากในเรือนและด้านล่างต่างวิ่งกรูออกมาดูกันเป็นจำนวนมาก

ข้าเสียใจมากที่เป็นเหตุให้นังเอียดต้องตาย แต่ข้าอยู่ที่นั่นไม่ได้ ข้าหายไปในเงามืดของป่าทึบด้านหลัง


จากนั้นเจ้าจันก็หายจากอาการป่วย ใช่แล้ว เลือดของแวมไพร์มีฤทธิ์อำนาจในการรักษาความเจ็บป่วย หรือทำให้อายุยืนยาวได้ถ้าใช้ดื่มกินตลอดอายุขัย แต่ฤทธิ์นี้ไม่อาจเปลี่ยนผู้ดื่มเป็นแวมไพร์ นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะถูกกัดเสียก่อน


“ข้าได้เฝ้าติดตามดูลูกชายของข้าเติบใหญ่ ท่านพระยารับลูกข้าเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนที่ข้าจะเข้าสู่การนิทรา ลูกชายของข้าได้สืบทอดสกุลของท่านพระยา จนกระทั้งออกเรือนมีลูกหลายมากมาย และทุกครั้งที่ข้าตื่นมา ข้าจะเที่ยวตามหาสายโลหิตของข้าทุกครั้งไป จากลูกสู่หลาน จากหลานสู่เหลน จากเหลนสู่โหลน“

อาร์ทหยุดเล่าเหลือบตาไปมองที่อันวาเรซ


“เจ้ากำลังจะบอกกับข้าว่า เด็กของเจ้าที่เปลี่ยนเป็นแวมไพร์........”


“ใช่แล้วอันวาเรซ เด็กคนนั้นเป็นสายโลหิตของข้าเอง”







........................... * ............................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา