Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก
8.3
เขียนโดย justin
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.
23 ตอน
1 วิจารณ์
29.16K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) เปลี่ยนเจ้านาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่องานพิธีเริ่ม แม่เจ้าเทพไกรสรมหาเทวีและพระเจ้าอินทวิชยานนท์แห่งนครเชียงใหม่ดำเนินออกมาเป็นประธานงาน ในงานครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร ผู้ดำรงตำแหน่งเทียบได้กับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้อัญเชิญพระกุณฑล (ตุ้มหู) และพระธำมรงค์เพชร ไปพระราชทานเป็นของเฉลิมพระขวัญแก่จ้าวดารารัศมี นัยว่าเป็นของทรงหมั้น
และแท้ที่จริงแล้วงานพิธีโสกันต์ฯ ในครั้งนี้ เป็นพระราชพิธีที่ทรงโปรดเกล้า ให้จัดพระราชทานแด่จ้าวดารารัศมี ตามแบบอย่างเจ้านายใน "ราชวงศ์จักรี" เป็นกรณีพิเศษ
“เห็นการนี้จักบ่สำเร็จแล้วละจ้าวอิน พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยามได้ทรงหมั้นหมายกับจ้าวดารารัศมีไปเสียแล้ว นั่นหมายความว่านครเชียงใหม่คงต้องขึ้นกับประเทศสยาม จักบ่ได้ขึ้นกับสหราชอาณาจักรตามที่คาดหวังไว้”
จ้าวอุ่นคำทำหน้าผิดหวังเมื่องานครั้งนี้ที่จ้าวพ่อหลวงแห่งเชียงตุงกำชับไว้ให้ได้ความ
“ข้าเจ้าคิดว่าเราต้องส่งข่าวฮื้อจ้าวพ่อหลวงทราบล่วงหน้า ก่อนที่เราจะเดินทางกลับไปถึงเชียงตุงนะจ้าวปี้อุ่นคำเมือง”
“นั่นซิ ควรจะเป็นเช่นนั้น เผื่อท่านกริ้วที่งานเราทำบ่สำเร็จ กว่าเราจะเดินทางกลับไปถึง ความกริ้วของจ้าวพ่อหลวงคงลดลงบ้าง”
เมื่อส่งม้าเร็วเดินทางล่วงหน้าไปแจ้งข่าวที่เชียงตุง จ้าวอุ่นคำเมืองกับจ้าวอินก็ลาพระเจ้าอินทวิชยานนท์ จ้าวหลวงแห่งนครเชียงใหม่เพื่อกลับเชียงตุง แต่ก่อนจะกลับจ้าวอุ่นคำเมืองกับจ้าวอินได้แวะพักค้างแรมนอกคุ้มหลวงเพื่อแวะหาซื้อสินค้ากลับไปด้วย
“วันนี้เราจะพักที่นี่กันนะ เพื่อวันรุ่งข้าจักได้ออกเดินหาซื้อสินค้ากลับไปบ้านเมืองเรา”
“ได้สิจ้าวปี้ ข้าเจ้าก็จักหาซื้อข้าวของกลับไปที่คุ้มเช่นกัน”
“ดีเลยจ้าวอิน เราจักได้มาหาลือกันเรื่องของจ้าวนางฟ้อนแก้วกับจ้าวจายแก่นทอง ข้าอยากฮื้อทั้งสองคนนั้นออกเรือนร่วมกัน”
“จ้าวปี้ว่าอย่างไร ข้าเจ้าก็เห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกันเจ้า”
จ้าวอุ่นคำเมืองหันไปบอกทหารรับใช้ให้ไปบอกคำสร้อยกับคนรับใช้จ้าวชายแก่นทองว่าท่านทั้งสองเรียก เมื่อจ้าวชายแก่นทองมาถึงห้องรับรองแล้วต่างก็พากันรอคอยจ้าวนางฟ้อนแก้ว เมื่อทหารรับใช้หายไปได้สักครู่ใหญ่ ก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับมา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว !! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้า”
“มีอะไรรึวิ่งหน้าตาตื่นมาเชียว แล้วข้าฮื้อเจ้าไปตามจ้าวนางฟ้อนแก้ว นางอยู่ไหนละ”
“จ้าวนางฟ้อนแก้วข้าเจ้า !!! จ้าวนางฟ้อนแก้ว”
“ทำไม จ้าวนางเป็นอย่างไรไปรึ”
“จ้าวนางน้อยหายตัวไปข้าเจ้า”
“อะไรนะ !! เจ้าหานางดีแล้วรึ”
“ข้าเจ้าตามหาทุกซอกทุกมุมของเรือน ตามที่พักคนรับใช้ หรือแม้ในที่ทหารนายกองพักอยู่ก็บ่มีข้าเจ้า”
“จะทำอย่างไรดีจ้าวปี้ เราฮื้อคนออกตามหาเต๊อะ นี่ก็ค่ำลงแล้วนะจ้าวปี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตามหานางฮื้อเจอ นางอาจจะพลัดหลงตอนที่เราเดินทางมาก็ได้”
จ้าวอุ่นคำเมืองพูดเสร็จก็หันไปบอกกับทหาร และคนรับใช้ที่ติดตามมา ให้แยกกันออกหาจ้าวนางฟ้อนแก้ว
ข้าอยู่ที่นั้นตอนที่นางหายตัวไป และนางอยู่กับข้า หญิงที่ข้ารักนางรู้สึกแปลกใจที่เห็นข้าปรากฏกายต่อหน้านาง นางเข้าใจว่าข้าแอบเดินทางติดตามขบวนของนางมา อย่างนั้นแหละข้าต้องการให้นางเข้าใจ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ข้าได้แอบเข้ามาพบกับนางไม่ไกลจากเรือนที่พักของนางมากนัก
“บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าท่านรักข้าปานใด ถึงยอมลำบากลำบนติดตามขบวนของจ้าวป้อมาถึงที่นี่”
“จ้าวนาง เจ้าเป็นดังดวงใจของข้า ข้าจักไม่ให้เจ้าห่างไกลจากสายตาของข้า เพราะข้าเป็นห่วงเจ้านัก”
“ท่านอาทิต แต่มันอันตรายเกินไปที่ท่านติดตามมาแบบนี้ หากจ้าวป้อรู้เรื่องเข้าเกรงว่าจ้าวป้อจะบ่ไว้ชีวิตของท่าน”
“ไม่ต้องกลัวหรอกจ้าวนาง ข้าปลอดภัยดี ถึงแม้จักมีอันตรายมาถึงข้า ข้าก็ไม่หวั่นเกรงสิ่งเหล่านั้น”
“ข้ารู้ว่าท่านรักข้าเพียงใด แต่ข้าก็อดห่วงท่านบ่ได้”
เมื่อสิ้นเสียงของหญิงที่ข้ารัก ข้าก็ดึงนางเข้ามาโอบกอด ด้วยความรัก ด้วยความคิดถึง ด้วยความเสน่หา ข้าก้มลงจุมพิตนาง ข้าปลดปล่อยความรักของข้าที่มีต่อนาง ที่เก็บซ่อนมาตลอด
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว !!!”
เสียงหนึง ตวาดใส่ด้วยความโกรธลั่นออกมาอย่างดังด้านหลังของเราสองคน
“จ้าวป้อ !!!”
นางรีบผละตัวออกจากข้า สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเต็มไปด้วยตกใจและความหวาดกลัว
เพี๊ยะ !!!..
เสียงตบใบหน้าของนางดังก้องจนแถบจะกระชากหัวใจของข้าออกมา
“นังลูกบ่รักดี เจ้าทำงามหน้านักแอบออกมาพลอดรักกับชายไร้สกุลเช่นนี้ เป็นถึงจ้าวเชื้อจ้าวนาง ทำไมถึงกระทำต่ำช้าเพียงนี้”
“จ้าวป้อ ฟังลูกก่อน”
เพี๊ยะ !!!...
เสียงตบใบหน้าดังอีกครั้ง จนข้าสุดจะทานทนกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าข้า
“นี่ยังงัย ฟังก่อน เจ้าทำเยี่ยงนี่มานานเท่าใด เจ้าทำกับพ่ออย่างนี้ได้อย่างไร”
จ้าวอุ่นคำเมืองเงื้อมือขึ้นจะตบที่หน้าของจ้าวนางอีกครั้ง ข้าโผเข้าคว้ามือจ้าวอุ่นคำเมือง ผลักร่างนั้นจนถลาไป
“เอ็งนี่ !! บังอาจนัก”
จ้าวอุ่นคำเมืองแผดเสียงใส่ข้า แต่ข้าไม่ได้แสดงอาการยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้น จ้าวอุ่นคำเมืองพยักหน้าเรียกคนรับใช้สองคนให้มาพาตัวจ้าวนางกลับเรือน
“พวกเอ็ง พานางกลับไปที่เรือนพัก ข้าจักจัดการกับนางเอง”
จ้าวอุ่นคำเมืองมองไปที่ทหารที่ติดตามมาราวสิบห้านาย
“พวกเอ็งจัดการกับมันซะ อย่าฮื้อมันรอดไปเป็นเสนียดลูกของข้าได้”
“จ้าวป้ออย่าเจ้า จ้าวป้ออย่าทำอันตรายคนรักของลูกเลย จ้าวป้อลูกขอร้อง”
จ้าวนางร้องขอชีวิตให้แก่ข้า เพราะนางไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไร และข้าก็ไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้านาง ข้าอยากให้นางรักข้าอย่างที่ข้าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อย่างที่ข้าเป็นแวมไพร์
“จ้าวป้อลูกขอ ลูกขอละจ้าวป้อ.....”
เสียงของจ้าวนางเริ่มถอยห่างไกลออกไป จ้าวอุ่นคำเมืองหันมามองใบหน้าข้าสายตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความโกรธา ก่อนที่เดินตามกลุ่มทหารหายไปทางด้านเรือนที่พัก
คงเหลือทิ้งข้าไว้กับเหล่าทหารติดตาม มันเป็นการเผชิญหน้ากันอย่างที่ข้าไม่มีความหวาดกลัวอันใดเลย มนุษย์แค่สิบกว่าคนรึจะสู้ข้าซึ่งเป็นผู้มีพลังและอำนาจ ถึงแม้ก่อนหน้าที่ข้าจะกลายเป็นแวมไพร์ข้าก็เป็นทหารศึกออกสู้รบมาก่อนอยู่แล้ว
“พวกมด น่าสงสาร”
“เอ้ย เอ็งบ่นพลืมพรำอะไรว่ะ เตรียมตัวไปยมโลกเถิดเอ็ง จัดการมัน”
หัวหน้าหมู่ทหารพยักหน้าบอกทหารลูกหมู่ให้เข้ามาจัดการกับข้า
ทหารสองคนแรกวิ่งถลาเข้าใส่ข้า แต่ข้าเคลื่อนตัวเร็วดุจลมพายุ มือของข้าคว้าที่คอเจ้าสองคนนั้น ค่อยๆ ยกมันสูงขึ้นจนเท้าลอยจากพื้นดิน และโยนมันไปจนร่างมันกระเด็นไปชนกับต้นไม้
“แอร๊กกกก”
ข้ามองดูเจ้ามดตัวเล็กๆ ของของข้า ต่างก็ตกใจและหวาดกลัวในสิ่งที่พวกมันเห็น ข้ายิ้มแสยะมุมปากอย่างซะใจ
“ หึ หึ “
แต่ไม่หรอก ข้าไม่ยอมเปลี่ยนกายข้าเป็นแวมไพร์ ข้าจักไม่มีวันให้หญิงที่ข้ารักได้รับรู้เรื่องนี้
ก่อนที่ข้าจะกระโจนใส่พวกทหารเหล่านั้น ก็มีเสียงหนึงตะโกนออกมาเรียกพวกทหารที่กำลังบรรเลงเพลงศึกกับข้าอยู่
“เฮ้ย พวกเจ้าสามสี่คนมาช่วยทางนี้หน่อย จ้าวนางวิ่งหนีไปอีกทางหนึงแล้ว”
พวกเหล่าทหารหันไปมองตามเสียงนั้น “ จ้าวนาง “ ข้ารำพึงขึ้นมา ก่อนที่พวกทหารจะหันกลับมาที่ข้า ข้าได้เคลื่อนตัวลอยขึ้นไป
เหนือต้นไม้ใหญ่ และหายไปภายใต้เงามืด
“อ้าว ไอ้เจ้านั่นหายไปไหนละ ฮื้อตายเถอะ”
พวกทหารต่างมองหาข้า แต่หาเท่าไรก็หาตัวข้าไม่เจอ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ามาทางนี้ มาช่วยกันตามหาจ้าวนางก่อน ตอนนี้จ้าวอุ่นคำเมืองโมโหโกรธายิ่งนักแล้ว”
จ้าวนางฟ้อนแก้ววิ่งหนีแหวกความมืดไปทางด้านหน้าผา มีแสงจันทร์เป็นเงาบางๆ สลับกับเมฆดำที่เคลื่อนตัวไปมา เหล่าทหารวิ่งตามมาจนถึงสุดทางตรงหน้าผา จ้าวอุ่นคำเมืองและเหล่าทหารยืนประจันหน้ากับจ้าวนาง
“จ้าวป้อ จ้าวป้อบ่เข้าใจลูก”
“นี่เจ้าจะทำอะไร ถอยออกมานะฟ้อนแก้ว”
“ไม่ ข้าไม่ถอย จ้าวป้อฆ่าชายที่ลูกรัก”
“มันสมควรตาย มันดูหมิ่นและเหยียดยามศักดิ์ศรีของข้ายิ่งนัก”
จ้าวอุ่นคำเมืองข่มพูดด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่
“ถ้าคนรักของลูกบ่มีชีวิตอยู่ ลูกก็ขอบ่มีชีวิตอยู่เช่นกัน”
จ้าวนางพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“นี่เจ้า มันหลอกเจ้า มันหลอกฮื้อเจ้ารัก มันหลอกเจ้าฮื้อเจ้าหลง ถอยออกมาฟ้อนแก้ว”
เมื่อจ้าวนางฟ้อนแก้วเห็นทหารที่เคยอยู่ต่อสู้กับข้าวิ่งตามมารวมกลุ่มกับจ้าวอุ่นคำเมือง ทำให้นางคิดว่าข้าได้สิ้นชีวิตไปเสียแล้ว
“จ้าวป้อ ลูกขอโทษ ลูกบ่อาจจะอยู่ทดแทนบุญคุณของจ้าวป้อได้อีก และลูกบ่อาจอยู่โดยที่คนรักของลูกจากไปเช่นกัน จ้าวป้อลูกขอลาก่อน”
“อย่า ฟ้อนแก้ว !!!”
พอสิ้นเสียงของนาง นางก็ทิ้งร่างของนางลงจากหน้าผานั้น ร่างของนางร่วงหล่นไปที่พื้นที่เต็มได้ด้วยหินน้อยใหญ่ และพงหนามและนางสิ้นใจทันที
ข้ายืนอยู่ที่นั้น แต่ข้ามาไม่ทัน ไม่ทันที่จะช่วยอุ้มร่างของนางที่กำลังร่วงหล่นไป
“ มะ ม่ายยย “
ข้าแผดร้องตะโกนสุดเสียง ความโกรธของข้าพุ่งขึ้น ร่างของข้ากลายเป็นแวมไพร์ พวกมันเห็นร่างที่แท้จริงของข้าแล้ว ความกลัวและความสยองเข้าครอบงำพวกมัน พวกมันต่างวิ่งหนีข้าเหมือนหนูสกปรกวิ่งหนีความตาย ข้าโผเข้ากระชากวิญญาณของจ้าวอุ่นคำเมืองและเหล่าทหารของมันจนหมดสิ้น
บัดนี้ ข้ามายืนอยู่ตรงร่างของหญิงที่ข้ารัก ความเงียบเข้ามาปลุกคลุมแทนที่ น้ำตาโลหิตของข้ารินไหลเอ่อล้นออกอาบสองแก้ม ดวงตาข้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธ ข้าค่อยๆ ก้มลงพยุงร่างของคนรักข้าขึ้นมา ข้าแผดเสียงร้องให้อย่างโหยหวน เสียงของข้าดังก้องดุจเสียงของฟ้าคำราม แม้แต่อสูรกายในหุบเขายังต้องหลีกหนี
“ข้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตขึ้นมาใหม่ ข้าจักไม่ยอมเสียเจ้าไป จ้าวนางของข้า”
ข้าตัดสินใจเปลี่ยนนาง ฝังเขี้ยวที่คอดูดดื่มกินเลือดที่ตายไปแล้วของนาง ข้ากัดที่ข้อมือข้าและปล่อยให้เลือดไหลรินเข้าสู่ปากนาง แต่ในเวลาไม่นาน ร่างกายของข้าปวดร้าวไปทั่ว เจ็บปวดเหลือคณา ข้าดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจ ชั่วครู่หนึงร่างกายของข้าก็เข้าสู่ปรกติ แต่หญิงที่ข้ารักยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ น้ำตาโลหิตของข้าไหลเอ่อขอบตาทั้งสองข้าง
ข้าไม่อาจจะได้นางกับคืนมาอีกแล้ว ข้าพยุงร่างที่ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรง เต็มไปด้วยความเจ็บปวดในความรู้สึกอย่างเหลือคณา รึความตายจะพรากนางไปจากข้าเสียแล้ว ไม่มีสายลมใดพัดผ่านเข้ามา ความเงียบที่น่าอืดอัดปกคลุมอยู่อย่างยาวนาน และเหมือนข้าถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงฝันอันมืดดำ
ทันใดนั้น !!!! ข้าเห็นร่างกายของนางค่อยๆ เคลื่อนไหว
“จ้าวนาง เจ้าเป็นขึ้นมาแล้วรึ”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากนาง ข้าได้ยินเสียงหายใจฝืดฝาด ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน นางมองมาที่ข้า ไม่ใช่อย่างคนที่รักข้าอีก แววตาของนางเปลี่ยนไปดุจปีศาจร้ายกระหายเลือดเนื้อ
“เออออ อ๊ากกก”
นางส่งเสียงหวีดร้อง โผเข้ามาสู่กายข้า ข้าเคลื่อนตัวถอยล่นหลบนาง
“เฮ้อะๆ แฮร่ๆ”
นางแสยะเขี้ยวร้องขู่คำรามใส่ข้า จนข้าตลึงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
............................... * .....................................
และแท้ที่จริงแล้วงานพิธีโสกันต์ฯ ในครั้งนี้ เป็นพระราชพิธีที่ทรงโปรดเกล้า ให้จัดพระราชทานแด่จ้าวดารารัศมี ตามแบบอย่างเจ้านายใน "ราชวงศ์จักรี" เป็นกรณีพิเศษ
“เห็นการนี้จักบ่สำเร็จแล้วละจ้าวอิน พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยามได้ทรงหมั้นหมายกับจ้าวดารารัศมีไปเสียแล้ว นั่นหมายความว่านครเชียงใหม่คงต้องขึ้นกับประเทศสยาม จักบ่ได้ขึ้นกับสหราชอาณาจักรตามที่คาดหวังไว้”
จ้าวอุ่นคำทำหน้าผิดหวังเมื่องานครั้งนี้ที่จ้าวพ่อหลวงแห่งเชียงตุงกำชับไว้ให้ได้ความ
“ข้าเจ้าคิดว่าเราต้องส่งข่าวฮื้อจ้าวพ่อหลวงทราบล่วงหน้า ก่อนที่เราจะเดินทางกลับไปถึงเชียงตุงนะจ้าวปี้อุ่นคำเมือง”
“นั่นซิ ควรจะเป็นเช่นนั้น เผื่อท่านกริ้วที่งานเราทำบ่สำเร็จ กว่าเราจะเดินทางกลับไปถึง ความกริ้วของจ้าวพ่อหลวงคงลดลงบ้าง”
เมื่อส่งม้าเร็วเดินทางล่วงหน้าไปแจ้งข่าวที่เชียงตุง จ้าวอุ่นคำเมืองกับจ้าวอินก็ลาพระเจ้าอินทวิชยานนท์ จ้าวหลวงแห่งนครเชียงใหม่เพื่อกลับเชียงตุง แต่ก่อนจะกลับจ้าวอุ่นคำเมืองกับจ้าวอินได้แวะพักค้างแรมนอกคุ้มหลวงเพื่อแวะหาซื้อสินค้ากลับไปด้วย
“วันนี้เราจะพักที่นี่กันนะ เพื่อวันรุ่งข้าจักได้ออกเดินหาซื้อสินค้ากลับไปบ้านเมืองเรา”
“ได้สิจ้าวปี้ ข้าเจ้าก็จักหาซื้อข้าวของกลับไปที่คุ้มเช่นกัน”
“ดีเลยจ้าวอิน เราจักได้มาหาลือกันเรื่องของจ้าวนางฟ้อนแก้วกับจ้าวจายแก่นทอง ข้าอยากฮื้อทั้งสองคนนั้นออกเรือนร่วมกัน”
“จ้าวปี้ว่าอย่างไร ข้าเจ้าก็เห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกันเจ้า”
จ้าวอุ่นคำเมืองหันไปบอกทหารรับใช้ให้ไปบอกคำสร้อยกับคนรับใช้จ้าวชายแก่นทองว่าท่านทั้งสองเรียก เมื่อจ้าวชายแก่นทองมาถึงห้องรับรองแล้วต่างก็พากันรอคอยจ้าวนางฟ้อนแก้ว เมื่อทหารรับใช้หายไปได้สักครู่ใหญ่ ก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับมา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว !! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้า”
“มีอะไรรึวิ่งหน้าตาตื่นมาเชียว แล้วข้าฮื้อเจ้าไปตามจ้าวนางฟ้อนแก้ว นางอยู่ไหนละ”
“จ้าวนางฟ้อนแก้วข้าเจ้า !!! จ้าวนางฟ้อนแก้ว”
“ทำไม จ้าวนางเป็นอย่างไรไปรึ”
“จ้าวนางน้อยหายตัวไปข้าเจ้า”
“อะไรนะ !! เจ้าหานางดีแล้วรึ”
“ข้าเจ้าตามหาทุกซอกทุกมุมของเรือน ตามที่พักคนรับใช้ หรือแม้ในที่ทหารนายกองพักอยู่ก็บ่มีข้าเจ้า”
“จะทำอย่างไรดีจ้าวปี้ เราฮื้อคนออกตามหาเต๊อะ นี่ก็ค่ำลงแล้วนะจ้าวปี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตามหานางฮื้อเจอ นางอาจจะพลัดหลงตอนที่เราเดินทางมาก็ได้”
จ้าวอุ่นคำเมืองพูดเสร็จก็หันไปบอกกับทหาร และคนรับใช้ที่ติดตามมา ให้แยกกันออกหาจ้าวนางฟ้อนแก้ว
ข้าอยู่ที่นั้นตอนที่นางหายตัวไป และนางอยู่กับข้า หญิงที่ข้ารักนางรู้สึกแปลกใจที่เห็นข้าปรากฏกายต่อหน้านาง นางเข้าใจว่าข้าแอบเดินทางติดตามขบวนของนางมา อย่างนั้นแหละข้าต้องการให้นางเข้าใจ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ข้าได้แอบเข้ามาพบกับนางไม่ไกลจากเรือนที่พักของนางมากนัก
“บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าท่านรักข้าปานใด ถึงยอมลำบากลำบนติดตามขบวนของจ้าวป้อมาถึงที่นี่”
“จ้าวนาง เจ้าเป็นดังดวงใจของข้า ข้าจักไม่ให้เจ้าห่างไกลจากสายตาของข้า เพราะข้าเป็นห่วงเจ้านัก”
“ท่านอาทิต แต่มันอันตรายเกินไปที่ท่านติดตามมาแบบนี้ หากจ้าวป้อรู้เรื่องเข้าเกรงว่าจ้าวป้อจะบ่ไว้ชีวิตของท่าน”
“ไม่ต้องกลัวหรอกจ้าวนาง ข้าปลอดภัยดี ถึงแม้จักมีอันตรายมาถึงข้า ข้าก็ไม่หวั่นเกรงสิ่งเหล่านั้น”
“ข้ารู้ว่าท่านรักข้าเพียงใด แต่ข้าก็อดห่วงท่านบ่ได้”
เมื่อสิ้นเสียงของหญิงที่ข้ารัก ข้าก็ดึงนางเข้ามาโอบกอด ด้วยความรัก ด้วยความคิดถึง ด้วยความเสน่หา ข้าก้มลงจุมพิตนาง ข้าปลดปล่อยความรักของข้าที่มีต่อนาง ที่เก็บซ่อนมาตลอด
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว !!!”
เสียงหนึง ตวาดใส่ด้วยความโกรธลั่นออกมาอย่างดังด้านหลังของเราสองคน
“จ้าวป้อ !!!”
นางรีบผละตัวออกจากข้า สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเต็มไปด้วยตกใจและความหวาดกลัว
เพี๊ยะ !!!..
เสียงตบใบหน้าของนางดังก้องจนแถบจะกระชากหัวใจของข้าออกมา
“นังลูกบ่รักดี เจ้าทำงามหน้านักแอบออกมาพลอดรักกับชายไร้สกุลเช่นนี้ เป็นถึงจ้าวเชื้อจ้าวนาง ทำไมถึงกระทำต่ำช้าเพียงนี้”
“จ้าวป้อ ฟังลูกก่อน”
เพี๊ยะ !!!...
เสียงตบใบหน้าดังอีกครั้ง จนข้าสุดจะทานทนกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าข้า
“นี่ยังงัย ฟังก่อน เจ้าทำเยี่ยงนี่มานานเท่าใด เจ้าทำกับพ่ออย่างนี้ได้อย่างไร”
จ้าวอุ่นคำเมืองเงื้อมือขึ้นจะตบที่หน้าของจ้าวนางอีกครั้ง ข้าโผเข้าคว้ามือจ้าวอุ่นคำเมือง ผลักร่างนั้นจนถลาไป
“เอ็งนี่ !! บังอาจนัก”
จ้าวอุ่นคำเมืองแผดเสียงใส่ข้า แต่ข้าไม่ได้แสดงอาการยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้น จ้าวอุ่นคำเมืองพยักหน้าเรียกคนรับใช้สองคนให้มาพาตัวจ้าวนางกลับเรือน
“พวกเอ็ง พานางกลับไปที่เรือนพัก ข้าจักจัดการกับนางเอง”
จ้าวอุ่นคำเมืองมองไปที่ทหารที่ติดตามมาราวสิบห้านาย
“พวกเอ็งจัดการกับมันซะ อย่าฮื้อมันรอดไปเป็นเสนียดลูกของข้าได้”
“จ้าวป้ออย่าเจ้า จ้าวป้ออย่าทำอันตรายคนรักของลูกเลย จ้าวป้อลูกขอร้อง”
จ้าวนางร้องขอชีวิตให้แก่ข้า เพราะนางไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไร และข้าก็ไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้านาง ข้าอยากให้นางรักข้าอย่างที่ข้าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อย่างที่ข้าเป็นแวมไพร์
“จ้าวป้อลูกขอ ลูกขอละจ้าวป้อ.....”
เสียงของจ้าวนางเริ่มถอยห่างไกลออกไป จ้าวอุ่นคำเมืองหันมามองใบหน้าข้าสายตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความโกรธา ก่อนที่เดินตามกลุ่มทหารหายไปทางด้านเรือนที่พัก
คงเหลือทิ้งข้าไว้กับเหล่าทหารติดตาม มันเป็นการเผชิญหน้ากันอย่างที่ข้าไม่มีความหวาดกลัวอันใดเลย มนุษย์แค่สิบกว่าคนรึจะสู้ข้าซึ่งเป็นผู้มีพลังและอำนาจ ถึงแม้ก่อนหน้าที่ข้าจะกลายเป็นแวมไพร์ข้าก็เป็นทหารศึกออกสู้รบมาก่อนอยู่แล้ว
“พวกมด น่าสงสาร”
“เอ้ย เอ็งบ่นพลืมพรำอะไรว่ะ เตรียมตัวไปยมโลกเถิดเอ็ง จัดการมัน”
หัวหน้าหมู่ทหารพยักหน้าบอกทหารลูกหมู่ให้เข้ามาจัดการกับข้า
ทหารสองคนแรกวิ่งถลาเข้าใส่ข้า แต่ข้าเคลื่อนตัวเร็วดุจลมพายุ มือของข้าคว้าที่คอเจ้าสองคนนั้น ค่อยๆ ยกมันสูงขึ้นจนเท้าลอยจากพื้นดิน และโยนมันไปจนร่างมันกระเด็นไปชนกับต้นไม้
“แอร๊กกกก”
ข้ามองดูเจ้ามดตัวเล็กๆ ของของข้า ต่างก็ตกใจและหวาดกลัวในสิ่งที่พวกมันเห็น ข้ายิ้มแสยะมุมปากอย่างซะใจ
“ หึ หึ “
แต่ไม่หรอก ข้าไม่ยอมเปลี่ยนกายข้าเป็นแวมไพร์ ข้าจักไม่มีวันให้หญิงที่ข้ารักได้รับรู้เรื่องนี้
ก่อนที่ข้าจะกระโจนใส่พวกทหารเหล่านั้น ก็มีเสียงหนึงตะโกนออกมาเรียกพวกทหารที่กำลังบรรเลงเพลงศึกกับข้าอยู่
“เฮ้ย พวกเจ้าสามสี่คนมาช่วยทางนี้หน่อย จ้าวนางวิ่งหนีไปอีกทางหนึงแล้ว”
พวกเหล่าทหารหันไปมองตามเสียงนั้น “ จ้าวนาง “ ข้ารำพึงขึ้นมา ก่อนที่พวกทหารจะหันกลับมาที่ข้า ข้าได้เคลื่อนตัวลอยขึ้นไป
เหนือต้นไม้ใหญ่ และหายไปภายใต้เงามืด
“อ้าว ไอ้เจ้านั่นหายไปไหนละ ฮื้อตายเถอะ”
พวกทหารต่างมองหาข้า แต่หาเท่าไรก็หาตัวข้าไม่เจอ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ามาทางนี้ มาช่วยกันตามหาจ้าวนางก่อน ตอนนี้จ้าวอุ่นคำเมืองโมโหโกรธายิ่งนักแล้ว”
จ้าวนางฟ้อนแก้ววิ่งหนีแหวกความมืดไปทางด้านหน้าผา มีแสงจันทร์เป็นเงาบางๆ สลับกับเมฆดำที่เคลื่อนตัวไปมา เหล่าทหารวิ่งตามมาจนถึงสุดทางตรงหน้าผา จ้าวอุ่นคำเมืองและเหล่าทหารยืนประจันหน้ากับจ้าวนาง
“จ้าวป้อ จ้าวป้อบ่เข้าใจลูก”
“นี่เจ้าจะทำอะไร ถอยออกมานะฟ้อนแก้ว”
“ไม่ ข้าไม่ถอย จ้าวป้อฆ่าชายที่ลูกรัก”
“มันสมควรตาย มันดูหมิ่นและเหยียดยามศักดิ์ศรีของข้ายิ่งนัก”
จ้าวอุ่นคำเมืองข่มพูดด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่
“ถ้าคนรักของลูกบ่มีชีวิตอยู่ ลูกก็ขอบ่มีชีวิตอยู่เช่นกัน”
จ้าวนางพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“นี่เจ้า มันหลอกเจ้า มันหลอกฮื้อเจ้ารัก มันหลอกเจ้าฮื้อเจ้าหลง ถอยออกมาฟ้อนแก้ว”
เมื่อจ้าวนางฟ้อนแก้วเห็นทหารที่เคยอยู่ต่อสู้กับข้าวิ่งตามมารวมกลุ่มกับจ้าวอุ่นคำเมือง ทำให้นางคิดว่าข้าได้สิ้นชีวิตไปเสียแล้ว
“จ้าวป้อ ลูกขอโทษ ลูกบ่อาจจะอยู่ทดแทนบุญคุณของจ้าวป้อได้อีก และลูกบ่อาจอยู่โดยที่คนรักของลูกจากไปเช่นกัน จ้าวป้อลูกขอลาก่อน”
“อย่า ฟ้อนแก้ว !!!”
พอสิ้นเสียงของนาง นางก็ทิ้งร่างของนางลงจากหน้าผานั้น ร่างของนางร่วงหล่นไปที่พื้นที่เต็มได้ด้วยหินน้อยใหญ่ และพงหนามและนางสิ้นใจทันที
ข้ายืนอยู่ที่นั้น แต่ข้ามาไม่ทัน ไม่ทันที่จะช่วยอุ้มร่างของนางที่กำลังร่วงหล่นไป
“ มะ ม่ายยย “
ข้าแผดร้องตะโกนสุดเสียง ความโกรธของข้าพุ่งขึ้น ร่างของข้ากลายเป็นแวมไพร์ พวกมันเห็นร่างที่แท้จริงของข้าแล้ว ความกลัวและความสยองเข้าครอบงำพวกมัน พวกมันต่างวิ่งหนีข้าเหมือนหนูสกปรกวิ่งหนีความตาย ข้าโผเข้ากระชากวิญญาณของจ้าวอุ่นคำเมืองและเหล่าทหารของมันจนหมดสิ้น
บัดนี้ ข้ามายืนอยู่ตรงร่างของหญิงที่ข้ารัก ความเงียบเข้ามาปลุกคลุมแทนที่ น้ำตาโลหิตของข้ารินไหลเอ่อล้นออกอาบสองแก้ม ดวงตาข้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธ ข้าค่อยๆ ก้มลงพยุงร่างของคนรักข้าขึ้นมา ข้าแผดเสียงร้องให้อย่างโหยหวน เสียงของข้าดังก้องดุจเสียงของฟ้าคำราม แม้แต่อสูรกายในหุบเขายังต้องหลีกหนี
“ข้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตขึ้นมาใหม่ ข้าจักไม่ยอมเสียเจ้าไป จ้าวนางของข้า”
ข้าตัดสินใจเปลี่ยนนาง ฝังเขี้ยวที่คอดูดดื่มกินเลือดที่ตายไปแล้วของนาง ข้ากัดที่ข้อมือข้าและปล่อยให้เลือดไหลรินเข้าสู่ปากนาง แต่ในเวลาไม่นาน ร่างกายของข้าปวดร้าวไปทั่ว เจ็บปวดเหลือคณา ข้าดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจ ชั่วครู่หนึงร่างกายของข้าก็เข้าสู่ปรกติ แต่หญิงที่ข้ารักยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ น้ำตาโลหิตของข้าไหลเอ่อขอบตาทั้งสองข้าง
ข้าไม่อาจจะได้นางกับคืนมาอีกแล้ว ข้าพยุงร่างที่ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรง เต็มไปด้วยความเจ็บปวดในความรู้สึกอย่างเหลือคณา รึความตายจะพรากนางไปจากข้าเสียแล้ว ไม่มีสายลมใดพัดผ่านเข้ามา ความเงียบที่น่าอืดอัดปกคลุมอยู่อย่างยาวนาน และเหมือนข้าถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงฝันอันมืดดำ
ทันใดนั้น !!!! ข้าเห็นร่างกายของนางค่อยๆ เคลื่อนไหว
“จ้าวนาง เจ้าเป็นขึ้นมาแล้วรึ”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากนาง ข้าได้ยินเสียงหายใจฝืดฝาด ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน นางมองมาที่ข้า ไม่ใช่อย่างคนที่รักข้าอีก แววตาของนางเปลี่ยนไปดุจปีศาจร้ายกระหายเลือดเนื้อ
“เออออ อ๊ากกก”
นางส่งเสียงหวีดร้อง โผเข้ามาสู่กายข้า ข้าเคลื่อนตัวถอยล่นหลบนาง
“เฮ้อะๆ แฮร่ๆ”
นางแสยะเขี้ยวร้องขู่คำรามใส่ข้า จนข้าตลึงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
............................... * .....................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ