Vampire Bangkok แวมไพร์ แบงค็อก
8.3
เขียนโดย justin
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.33 น.
23 ตอน
1 วิจารณ์
28.99K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) เจ้านาง (2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในคุ้มคำหลวง หลังจากอาหารในยามเที่ยง
“จ้าวนางเจ้า จ้าวอุ่นคำเมืองเรียกจ้าวนางฮื้อไปพบที่ห้องทำงานเจ้า”
คำสร้อยหญิงรับใช้หน้าห้องรายงานจ้าวนางน้อย
“จ้าวป้อมีอันหยังกับข้าหรือคำสร้อย”
“ข้าเจ้าก็บ่ฮู้นะเจ้า เมื่อตะกี้คนต้นห้องจ้าวอุ่นคำเมืองมาบอกฮื้อข้าเจ้า แจ้งจ้าวนางเจ้า”
จ้าวนางฟ้อนแก้ว วางคันฉ่องลงบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะลุกเดินไปหาจ้าวอุ่นคำเมืองที่ห้องงาน
“จ้าวป้อมีอันหยังกับลูกหรือเจ้า ถึงให้คำสร้อยตามลูกมาที่นี่”
จ้าวอุ่นคำเมืองมองใบลูกสาวคนเล็ก แล้วยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“อืม มาก็ดีแล้วลูก พ่อมีเรื่องสำคัญอยากจะบอกกับเจ้า ถึงเรียกเจ้ามาพบที่นี่”
“เจ้า”
“พ่ออยากฮื้อเจ้าออกเรือน นี่จ้าวแม่ของเจ้าก็สิ้นไปตั้งนานแล้ว บรรดาพี่สาวเจ้าก็ออกเรือนสมรสกับจ้าวจายนายทหารไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่เจ้าที่พ่อยังเป็นห่วงอยู่”
“จ้าวป้อ แต่ลูก.....”
ยังไม่ทันที่จ้าวนางฟ้อนแก้วจะพูดจบ จ้าวอุ่นคำเมืองก็พูดตัดบทนาง
“เรื่องนี้ฮื้อพ่อเป็นผู้ตัดสินใจเอง พ่อได้พูดคุยกับจ้าวอิน ที่คุ้มเวียงโกษัย เราเห็นดีเห็นงามจักให้เจ้าสมรสกับจ้าวจายคนกลางของท่าน”
“จ้าวป้อ แต่ลูกยังบ่ออยากออกเรือนตอนนี้เจ้า”
“ทำไม เจ้ามีชายในดวงใจอยู่แล้วรึ เป็นผู้ใดเล่าฟ้อนแก้ว”
จ้าวอุ่นคำเมืองมองใบหน้าลูกสาว ถามถึงด้วยความสงสัย
“บ่อไจ้เช่นนั้นเจ้า จ้าวป้อ”
จ้าวนางฟ้อนแก้วตอบปฏิเสธจ้าวอุ่นคำเมืองไป นางไม่อาจจะกล่าวได้ว่า นางได้พบกับคนที่นางรักแล้ว เพราะการที่จ้าวนางจะออกเรือนกับชายต่างด้าวท้าวต่างเมืองได้นั้น จะต้องเป็นบุตรของจ้าวหลวง หรือจ้าวคุ้มต่างเมืองได้เท่านั้น
การที่นางจะบอกว่านางได้พบรักกับอาทิต ชายผู้เดินทางมาจากแดนใต้แห่งเมืองสยาม ชายที่ไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ชายที่จ้าวนางแอบพบมานานแรมปี มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเจ้าอุ่นคำเมืองคงไม่ปล่อยให้อาทิตรอดชีวิตไปได้อย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น ก็ทำตามที่พ่อบอก ในอีกสามวันเตรียมตัวรอพบกับจ้าวอิน ท่านจะพาลูกชายท่านมาดูตัวเจ้าด้วยเช่นกัน”
“จ้าวป้อ”
จ้าวนางฟ้อนแก้วเหลือบตามองผู้เป็นบิดา ด้วยท่าทีลำบากใจ ความกดดันเริ่มก่อตัวขึ้น
จ้าวอุ่นคำเมืองลุกเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้จ้าวนางฟ้อนแก้วนั่งตลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน มันจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อคนที่นางรักคืออาทิตชายหนุ่มปริศนาจากเมืองสยาม
ที่สระหนองตุง ข้าได้นัดพบกับจ้าวนางฟ้อนแก้วหญิงอันเป็นที่รักของข้าริมสระน้ำ จ้าวนางฟ้อนแก้วมาพร้อมกับคำสร้อยข้ารับใช้ของนางเช่นเคย ตอนนี้คำสร้อยเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจกับความรักของเราทั้งสอง และช่วยปิดบังเรื่องทุกสิ่งให้พ้นสายตาของจ้าวอุ่นคำเมือง
คำสร้อยถือคบไฟเดินนำหน้าผู้เป็นนาย ก่อนที่จะปักลงบนขอนไม้เก่า และเดินหลบไป ปล่อยให้ข้ากับหญิงที่ข้ารักอยู่กันตามลำพัง
แสงคบไฟไหวไปมาตามแรงเคลื่อนไหวของลม ข้ามองใบหน้าของนาง ดวงตาทั้งคู่ของข้ากำลังบอกกับนางว่าข้าคิดถึงนางเพียงใด ในแวบแรกข้ารู้สึกได้ว่านางรู้สึกเหนื่อยล้า
“ดูสีหน้าเจ้าไม่ค่อยสู้ดีนัก”
จ้าวนางฟ้อนแก้วเหลือบตามองมาที่ข้าก่อนที่จะหย่อนกายลงนั่งราวกับสิ้นแรง
“จ้าวป้อจะฮื้อข้าออกเรือนกับจ้าวจายคุ้มเวียงโกษัย”
“แล้วจ้าวนางตัดสินใจอย่างไรขอรับ”
“ข้ารักท่าน ข้าจักบ่ออกเรือนกับจ้าวจายคุ้มเวียงโกษัย แต่การขัดขืนคำสั่งของจ้าวป้อต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน”
สีหน้าของจ้าวนางฟ้อนแก้วเปลี่ยนไปดูมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“จ้าวนาง ข้ารักเจ้าดุจดวงใจของข้า ข้าจักไม่ยอมให้มีผู้ใดมาพรากเจ้าไปจากข้า”
“แต่ข้าบ่อยากฮื้อท่านต้องมาเดือดร้อน ถ้าจ้าวป้อรู้เรื่องนี้ จ้าวป้อคงบ่ปล่อยท่านไปแน่”
หญิงที่ข้ารักมองมาที่ข้าด้วยแววตาห่วงใย ใครหรือจะต้านทานอำนาจของจ้าวอุ่นคำเมืองผู้เป็นพระญาติกับจ้าวหลวงแห่งนครเชียงตุงได้
“หนีไปกับข้าเถอะจ้าวนาง”
“ข้าทำเยี่ยงนั้นบ่ได้ ถึงแม้ใจข้าอยากจะทำก็ตาม การที่ลูกแม่หญิงออกเรือนหนีตามผู้ชายไป จะสร้างความเสื่อมเกียรติ์ฮื้อกับจ้าวป้อ อาจจะสะเทือนถึงจ้าวหลวงก็เป็นได้”
ข้าเดินมาโอบไหล่ของหญิงที่ข้ารัก นางซบใบหน้ามาที่ไหล่ของข้า จ้าวนางฟ้อนแก้วจับมือของข้าขึ้นเหมือนจะปลอบใจ ในช่วงเวลาที่อันแสนจะอึดอัด
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว อย่างไรเสียข้าจักไม่ยอมเสียคนที่ข้ารักไป ข้าจะต่อสู้กับทุกอย่างเพื่อให้ข้ากับเจ้าได้อยู่ร่วมกัน”
“ท่านจะทำอย่างไรได้ท่านอาทิต จ้าวป้อและจ้าวหลวงมีข้าบริพารเป็นจำนวนมาก ข้าบ่อยากฮื้อเกิดสิ่งใดกับท่าน”
“จ้าวนาง เจ้าอย่ากังวลเรื่องนี้เลย”
ข้าเอื้อมมือไปลูบศีรษะนางเบาๆ อย่างเอ็นดู หญิงที่ข้ารัก และนางก็รักข้า นางอ่อนโยนและห่วงใยข้า
ข้าและคนรักของข้าเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ค่ำคืนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆสีดำปกคลุม ไม่มีดวงดาวส่องแสงเป็นประกายเหมือนคืนอื่นๆ เหมือนกำลังเตือนข้าว่าจะเกิดพายุร้ายในไม่ช้านี้
ที่คุ้มเวียงโกษัย จ้าวอุ่นคำเมืองและจ้าวนางฟ้อนแก้วเดินทางถึงคุ้มก็เข้าที่พักและพากันไปที่ห้องงานของจ้าวอิน ในครั้งนี้จ้าวพ่อหลวงและจ้าวแม่หลวงก็เดินทางมาเป็นประธานในการร่วมประชุมด้วยซึ่งไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เหล่าเชื้อพระวงศ์จะต้องเดินทางกันไปประชุมในเรื่องสำคัญๆ กันที่คุ้มของเจ้าพ่อหลวง
“จ้าวอุ่นคำเมือง เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าเจ้าสบายดีเจ้า ขอถวายพระพรจ้าวพ่อหลวงและจ้าวแม่หลวงเจ้า”
“อืม ตามสบายนะ วันนี้เราเรียกพวกท่านมาประชุมกันพร้อมหน้ามีเรื่องสำคัญอยากฮื้อจ้าวอุ่นคำเมืองกับจ้าวอินดำเนินการแทนเราสักหน่อย”
จ้าวพ่อหลวงตรัสพร้อมกับหันไปมองดูที่จ้าวนางฟ้อนแก้ว
“นี่คงเป็น จ้าวนางฟ้อนแก้วสินะ ดูโตขึ้นเยอะเลยทีเดียว”
“ข้าเจ้า จ้าวพ่อหลวง ข้าเจ้าจ้าวนางฟ้อนแก้วเจ้า”
“แล้วออกเรือนรึยังละเรา”
“ยังเลยข้าเจ้า ข้าเจ้าพาจ้าวนางมาครานี้ ก็หมายมั่นปั้นมือฮื้อจ้าวจายแก่นทองของจ้าวอินดูตัวด้วยข้าเจ้า”
จ้าวอุ่นคำเมืองกล่าวพร้อมหันหน้าไปมองที่จ้าวจายแก่นทอง
“เหรอ ดีๆ งั้นก็ถือว่าจักเป็นข่าวดีในราชวงศ์ของเรานะ”
“ข้าเจ้า แล้วจ้าวพ่อหลวงมีงานอันหยั่งจะฮื้อข้าเจ้าและจ้าวอุ่นคำเมืองรับใช้เจ้า”
จ้าวอินยกขึ้นมือไหว้ พร้อมถามถึงเรื่องงานของจ้าวหลวง
“คืออย่างนี้นะ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรได้ส่งราชทูตมาทูลขอจ้าวดารารัศมี พระราชธิดาพระองค์เล็กของแม่เจ้าเทพไกรสรมหาเทวีและพระเจ้าอินทวิชยานนท์แห่งนครเชียงใหม่ ไปเป็นพระราชธิดาบุญธรรม แต่ความว่ายังไม่สำเร็จ พระนางจึงอยากฮื้อเราเข้าเกลี้ยกล่อมจ้าวหลวงนครเชียงใหม่อีกครั้ง เราได้ข่าวจะมีการจัดงานพระราชพิธีโสกันต์ฯ แด่เจ้าดารารัศมีในอีกไม่กี่วัน จึงอยากฮื้อเจ้าสองคนไปร่วมงานในครั้งนี้ เพื่อจักได้ชักชวนฮื้อพระเจ้าอินทวิชยานนท์ยอมรับพระเมตตาจากพระนางเจ้าวิกตอเรีย”
ในรัชสมัยนั้นอังกฤษได้เข้ามาครอบครองเหนือนครเชียงตุง พม่า ฉานและหัวเมืองต่างๆ ยังเหลืออยู่ก็เพียงนครเชียงใหม่ที่ยังไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
“ได้ข้าเจ้า จ้าวพ่อหลวง”
“เราอยากฝากเรื่องนี้ฮื้อกับท่านทั้งสองด้วยนะ หวังว่าจักสำเร็จด้วยดี”
“ถ้าอย่างนั้นข้าเจ้ากับจ้าวอินจะออกเดินทางในวันรุ่งแต่เช้า เพื่อจักฮื้อทันงานพระราชพิธีโสกันต์ฯ ของเจ้าดารารัศมี และจักนำความของจ้าวพ่อหลวงไปแจ้งแก่จ้าวหลวงนครเชียงใหม่เจ้า”
“อืม เราฝากเรื่องนี้ไว้กับพวกท่านด้วย ขอบใจมาก”
“ข้าเจ้า”
เมื่อวันรุ่งจ้าวอุ่นคำเมือง จ้าวนางฟ้อนแก้ว จ้าวอินและจ้าวชายแก่นทอง คนรับใช้และทหารคุ้มครอง ออกเดินทางไปสู่นครเชียงใหม่ ข้าได้ติดตามหญิงรักของไปด้วยในครั้งนั้น แต่นางมิอาจรู้ได้ว่าข้ากำลังติดตามนางไป
เมื่อขบวนของจ้าวชายแห่งนครเชียงตุงมาถึงคุ้มจ้าวหลวงนครเชียงใหม่ ก็มีขบวนออกมาต้อนรับอย่างเป็นทางการ งานพิธีโสกันต์ฯ จ้าวดารารัศมี ในครั้งนี้ดูใหญ่โตอลังกาลอย่างมาก
มีจ้าวชายจากคุ้มต่างๆ ของเชียงใหม่มาเข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างมากหน้าหลายตา ข้าได้แอบแฝงไปในท่ามกลางคนเหล่านั้น
................................ * ..........................
“จ้าวนางเจ้า จ้าวอุ่นคำเมืองเรียกจ้าวนางฮื้อไปพบที่ห้องทำงานเจ้า”
คำสร้อยหญิงรับใช้หน้าห้องรายงานจ้าวนางน้อย
“จ้าวป้อมีอันหยังกับข้าหรือคำสร้อย”
“ข้าเจ้าก็บ่ฮู้นะเจ้า เมื่อตะกี้คนต้นห้องจ้าวอุ่นคำเมืองมาบอกฮื้อข้าเจ้า แจ้งจ้าวนางเจ้า”
จ้าวนางฟ้อนแก้ว วางคันฉ่องลงบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะลุกเดินไปหาจ้าวอุ่นคำเมืองที่ห้องงาน
“จ้าวป้อมีอันหยังกับลูกหรือเจ้า ถึงให้คำสร้อยตามลูกมาที่นี่”
จ้าวอุ่นคำเมืองมองใบลูกสาวคนเล็ก แล้วยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“อืม มาก็ดีแล้วลูก พ่อมีเรื่องสำคัญอยากจะบอกกับเจ้า ถึงเรียกเจ้ามาพบที่นี่”
“เจ้า”
“พ่ออยากฮื้อเจ้าออกเรือน นี่จ้าวแม่ของเจ้าก็สิ้นไปตั้งนานแล้ว บรรดาพี่สาวเจ้าก็ออกเรือนสมรสกับจ้าวจายนายทหารไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่เจ้าที่พ่อยังเป็นห่วงอยู่”
“จ้าวป้อ แต่ลูก.....”
ยังไม่ทันที่จ้าวนางฟ้อนแก้วจะพูดจบ จ้าวอุ่นคำเมืองก็พูดตัดบทนาง
“เรื่องนี้ฮื้อพ่อเป็นผู้ตัดสินใจเอง พ่อได้พูดคุยกับจ้าวอิน ที่คุ้มเวียงโกษัย เราเห็นดีเห็นงามจักให้เจ้าสมรสกับจ้าวจายคนกลางของท่าน”
“จ้าวป้อ แต่ลูกยังบ่ออยากออกเรือนตอนนี้เจ้า”
“ทำไม เจ้ามีชายในดวงใจอยู่แล้วรึ เป็นผู้ใดเล่าฟ้อนแก้ว”
จ้าวอุ่นคำเมืองมองใบหน้าลูกสาว ถามถึงด้วยความสงสัย
“บ่อไจ้เช่นนั้นเจ้า จ้าวป้อ”
จ้าวนางฟ้อนแก้วตอบปฏิเสธจ้าวอุ่นคำเมืองไป นางไม่อาจจะกล่าวได้ว่า นางได้พบกับคนที่นางรักแล้ว เพราะการที่จ้าวนางจะออกเรือนกับชายต่างด้าวท้าวต่างเมืองได้นั้น จะต้องเป็นบุตรของจ้าวหลวง หรือจ้าวคุ้มต่างเมืองได้เท่านั้น
การที่นางจะบอกว่านางได้พบรักกับอาทิต ชายผู้เดินทางมาจากแดนใต้แห่งเมืองสยาม ชายที่ไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ชายที่จ้าวนางแอบพบมานานแรมปี มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเจ้าอุ่นคำเมืองคงไม่ปล่อยให้อาทิตรอดชีวิตไปได้อย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น ก็ทำตามที่พ่อบอก ในอีกสามวันเตรียมตัวรอพบกับจ้าวอิน ท่านจะพาลูกชายท่านมาดูตัวเจ้าด้วยเช่นกัน”
“จ้าวป้อ”
จ้าวนางฟ้อนแก้วเหลือบตามองผู้เป็นบิดา ด้วยท่าทีลำบากใจ ความกดดันเริ่มก่อตัวขึ้น
จ้าวอุ่นคำเมืองลุกเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้จ้าวนางฟ้อนแก้วนั่งตลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน มันจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อคนที่นางรักคืออาทิตชายหนุ่มปริศนาจากเมืองสยาม
ที่สระหนองตุง ข้าได้นัดพบกับจ้าวนางฟ้อนแก้วหญิงอันเป็นที่รักของข้าริมสระน้ำ จ้าวนางฟ้อนแก้วมาพร้อมกับคำสร้อยข้ารับใช้ของนางเช่นเคย ตอนนี้คำสร้อยเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจกับความรักของเราทั้งสอง และช่วยปิดบังเรื่องทุกสิ่งให้พ้นสายตาของจ้าวอุ่นคำเมือง
คำสร้อยถือคบไฟเดินนำหน้าผู้เป็นนาย ก่อนที่จะปักลงบนขอนไม้เก่า และเดินหลบไป ปล่อยให้ข้ากับหญิงที่ข้ารักอยู่กันตามลำพัง
แสงคบไฟไหวไปมาตามแรงเคลื่อนไหวของลม ข้ามองใบหน้าของนาง ดวงตาทั้งคู่ของข้ากำลังบอกกับนางว่าข้าคิดถึงนางเพียงใด ในแวบแรกข้ารู้สึกได้ว่านางรู้สึกเหนื่อยล้า
“ดูสีหน้าเจ้าไม่ค่อยสู้ดีนัก”
จ้าวนางฟ้อนแก้วเหลือบตามองมาที่ข้าก่อนที่จะหย่อนกายลงนั่งราวกับสิ้นแรง
“จ้าวป้อจะฮื้อข้าออกเรือนกับจ้าวจายคุ้มเวียงโกษัย”
“แล้วจ้าวนางตัดสินใจอย่างไรขอรับ”
“ข้ารักท่าน ข้าจักบ่ออกเรือนกับจ้าวจายคุ้มเวียงโกษัย แต่การขัดขืนคำสั่งของจ้าวป้อต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน”
สีหน้าของจ้าวนางฟ้อนแก้วเปลี่ยนไปดูมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“จ้าวนาง ข้ารักเจ้าดุจดวงใจของข้า ข้าจักไม่ยอมให้มีผู้ใดมาพรากเจ้าไปจากข้า”
“แต่ข้าบ่อยากฮื้อท่านต้องมาเดือดร้อน ถ้าจ้าวป้อรู้เรื่องนี้ จ้าวป้อคงบ่ปล่อยท่านไปแน่”
หญิงที่ข้ารักมองมาที่ข้าด้วยแววตาห่วงใย ใครหรือจะต้านทานอำนาจของจ้าวอุ่นคำเมืองผู้เป็นพระญาติกับจ้าวหลวงแห่งนครเชียงตุงได้
“หนีไปกับข้าเถอะจ้าวนาง”
“ข้าทำเยี่ยงนั้นบ่ได้ ถึงแม้ใจข้าอยากจะทำก็ตาม การที่ลูกแม่หญิงออกเรือนหนีตามผู้ชายไป จะสร้างความเสื่อมเกียรติ์ฮื้อกับจ้าวป้อ อาจจะสะเทือนถึงจ้าวหลวงก็เป็นได้”
ข้าเดินมาโอบไหล่ของหญิงที่ข้ารัก นางซบใบหน้ามาที่ไหล่ของข้า จ้าวนางฟ้อนแก้วจับมือของข้าขึ้นเหมือนจะปลอบใจ ในช่วงเวลาที่อันแสนจะอึดอัด
“จ้าวนางฟ้อนแก้ว อย่างไรเสียข้าจักไม่ยอมเสียคนที่ข้ารักไป ข้าจะต่อสู้กับทุกอย่างเพื่อให้ข้ากับเจ้าได้อยู่ร่วมกัน”
“ท่านจะทำอย่างไรได้ท่านอาทิต จ้าวป้อและจ้าวหลวงมีข้าบริพารเป็นจำนวนมาก ข้าบ่อยากฮื้อเกิดสิ่งใดกับท่าน”
“จ้าวนาง เจ้าอย่ากังวลเรื่องนี้เลย”
ข้าเอื้อมมือไปลูบศีรษะนางเบาๆ อย่างเอ็นดู หญิงที่ข้ารัก และนางก็รักข้า นางอ่อนโยนและห่วงใยข้า
ข้าและคนรักของข้าเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ค่ำคืนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆสีดำปกคลุม ไม่มีดวงดาวส่องแสงเป็นประกายเหมือนคืนอื่นๆ เหมือนกำลังเตือนข้าว่าจะเกิดพายุร้ายในไม่ช้านี้
ที่คุ้มเวียงโกษัย จ้าวอุ่นคำเมืองและจ้าวนางฟ้อนแก้วเดินทางถึงคุ้มก็เข้าที่พักและพากันไปที่ห้องงานของจ้าวอิน ในครั้งนี้จ้าวพ่อหลวงและจ้าวแม่หลวงก็เดินทางมาเป็นประธานในการร่วมประชุมด้วยซึ่งไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เหล่าเชื้อพระวงศ์จะต้องเดินทางกันไปประชุมในเรื่องสำคัญๆ กันที่คุ้มของเจ้าพ่อหลวง
“จ้าวอุ่นคำเมือง เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าเจ้าสบายดีเจ้า ขอถวายพระพรจ้าวพ่อหลวงและจ้าวแม่หลวงเจ้า”
“อืม ตามสบายนะ วันนี้เราเรียกพวกท่านมาประชุมกันพร้อมหน้ามีเรื่องสำคัญอยากฮื้อจ้าวอุ่นคำเมืองกับจ้าวอินดำเนินการแทนเราสักหน่อย”
จ้าวพ่อหลวงตรัสพร้อมกับหันไปมองดูที่จ้าวนางฟ้อนแก้ว
“นี่คงเป็น จ้าวนางฟ้อนแก้วสินะ ดูโตขึ้นเยอะเลยทีเดียว”
“ข้าเจ้า จ้าวพ่อหลวง ข้าเจ้าจ้าวนางฟ้อนแก้วเจ้า”
“แล้วออกเรือนรึยังละเรา”
“ยังเลยข้าเจ้า ข้าเจ้าพาจ้าวนางมาครานี้ ก็หมายมั่นปั้นมือฮื้อจ้าวจายแก่นทองของจ้าวอินดูตัวด้วยข้าเจ้า”
จ้าวอุ่นคำเมืองกล่าวพร้อมหันหน้าไปมองที่จ้าวจายแก่นทอง
“เหรอ ดีๆ งั้นก็ถือว่าจักเป็นข่าวดีในราชวงศ์ของเรานะ”
“ข้าเจ้า แล้วจ้าวพ่อหลวงมีงานอันหยั่งจะฮื้อข้าเจ้าและจ้าวอุ่นคำเมืองรับใช้เจ้า”
จ้าวอินยกขึ้นมือไหว้ พร้อมถามถึงเรื่องงานของจ้าวหลวง
“คืออย่างนี้นะ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรได้ส่งราชทูตมาทูลขอจ้าวดารารัศมี พระราชธิดาพระองค์เล็กของแม่เจ้าเทพไกรสรมหาเทวีและพระเจ้าอินทวิชยานนท์แห่งนครเชียงใหม่ ไปเป็นพระราชธิดาบุญธรรม แต่ความว่ายังไม่สำเร็จ พระนางจึงอยากฮื้อเราเข้าเกลี้ยกล่อมจ้าวหลวงนครเชียงใหม่อีกครั้ง เราได้ข่าวจะมีการจัดงานพระราชพิธีโสกันต์ฯ แด่เจ้าดารารัศมีในอีกไม่กี่วัน จึงอยากฮื้อเจ้าสองคนไปร่วมงานในครั้งนี้ เพื่อจักได้ชักชวนฮื้อพระเจ้าอินทวิชยานนท์ยอมรับพระเมตตาจากพระนางเจ้าวิกตอเรีย”
ในรัชสมัยนั้นอังกฤษได้เข้ามาครอบครองเหนือนครเชียงตุง พม่า ฉานและหัวเมืองต่างๆ ยังเหลืออยู่ก็เพียงนครเชียงใหม่ที่ยังไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
“ได้ข้าเจ้า จ้าวพ่อหลวง”
“เราอยากฝากเรื่องนี้ฮื้อกับท่านทั้งสองด้วยนะ หวังว่าจักสำเร็จด้วยดี”
“ถ้าอย่างนั้นข้าเจ้ากับจ้าวอินจะออกเดินทางในวันรุ่งแต่เช้า เพื่อจักฮื้อทันงานพระราชพิธีโสกันต์ฯ ของเจ้าดารารัศมี และจักนำความของจ้าวพ่อหลวงไปแจ้งแก่จ้าวหลวงนครเชียงใหม่เจ้า”
“อืม เราฝากเรื่องนี้ไว้กับพวกท่านด้วย ขอบใจมาก”
“ข้าเจ้า”
เมื่อวันรุ่งจ้าวอุ่นคำเมือง จ้าวนางฟ้อนแก้ว จ้าวอินและจ้าวชายแก่นทอง คนรับใช้และทหารคุ้มครอง ออกเดินทางไปสู่นครเชียงใหม่ ข้าได้ติดตามหญิงรักของไปด้วยในครั้งนั้น แต่นางมิอาจรู้ได้ว่าข้ากำลังติดตามนางไป
เมื่อขบวนของจ้าวชายแห่งนครเชียงตุงมาถึงคุ้มจ้าวหลวงนครเชียงใหม่ ก็มีขบวนออกมาต้อนรับอย่างเป็นทางการ งานพิธีโสกันต์ฯ จ้าวดารารัศมี ในครั้งนี้ดูใหญ่โตอลังกาลอย่างมาก
มีจ้าวชายจากคุ้มต่างๆ ของเชียงใหม่มาเข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างมากหน้าหลายตา ข้าได้แอบแฝงไปในท่ามกลางคนเหล่านั้น
................................ * ..........................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ