Love Never Die
-
1) ยมทูตกับเด็กสาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เวลาล่วงเลยมานับพันปีแล้ว ข้าได้ลิ้มรสชาติอันแสนขมแห่งความสูญเสียมากมายบนโลกมนุษย์และรสชาติอันแสนหวานหอมหวนยากลืมเลือนแห่งความสุขสันต์บนโลกมนุษย์ สำหรับข้าแล้วมันก็แค่ผ่านมาไม่นานก็จากไป... ซึ่งยิ่งยากจะทำให้ข้าเข้าใจมนุษย์ว่าต้องการความอมตะอันทรมานนี้ไปเพื่ออันใด ชายหนุ่มผู้แปลกแยกคิดคำนึงถึงสิ่งต่างๆเขาเลือกที่จะอยู่คนเดียวมาเนินนานหลังจากที่สูญเสียคนรอบข้างให้แก่ความโลภ กิเลสและความตาย
"เจ้ามานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย" เสียงใสดั่งกระดิ่งแก้วอันไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเขาทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมองเธอ ข้าควรจะไล่นางไปใช่ไหม? เขาเกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นในใจอีกครั้งหลังจากไม่มีใครพูดคุยกับเขามานานเป้นสิบปี หากทำได้บางทีเขาก้อยากจะลืมเลือนการมีมนุษย์สัมพันธ์ไปเช่นกัน
ชายหนุ่มไม่ทันพูดอะไรก็ถูกเลิกผ้าคลุมขึ้นอย่างถือวิสาสะเผยให้เห็นผมสีเงินยาวระบ่าและนัยน์ตาสีเงินอันดูราวกับคนตาบอด คงจะกลัวและหนีข้าไปเอง เขาคิดในใจในขณะที่เงยหน้าขึ้นเพื่อใช้นัยน์ตาสีประหลาดมองลึกลงไปในจิตใจของเด็กสาวเพื่อกดดันให้เธอหนีไป แต่แล้วก็ต้องหยุดพยายามและกลายเป็นฝ่ายมึนงงเสียเอง
"มากับข้าเถอะ" เด็กผมผู้คาดผ้าสีขาวบดบังดวงตาเอาไว้เ่อ่ยกับเขาแล้วยื่นมือเรียวขาวซีดราวกับศพให้เขาจับ "ข้าชื่อซีเรฟเจ้าชื่ออะไรหละ" เธอถามในขณะที่ย่อตัวนั่งลงในระดับเดียวกับเขา
"อย่ามายุ่งกับข้าเจ้ามนุษย์ประหลาด!"
"แล้วคนที่มีกลิ่นอายแห่งความตายคละคลุ้งเช่นเจ้าไม่ประหลาดกว่าข้าอีกหรือไร" ซีเรฟเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องปกติ "แล้วเรียกข้าว่ามนุษย์เจ้าไม่ใช่หรือไรเล่า มากับข้าเถอะ ขอร้องหละ ข้าไม่ทำอะไรให้เจ้าเสียหายหรอก..." เด็กสาวพยายามทั้งดึงทั้งฉุนกระชากลากคอแต่ร่างผอมบางของชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ขยับไปไหนเลยราวกับว่าถูกเย็บติดกับพื้นถนน
"ท่านซีเรฟขอรับ เหตุใดปราชญ์เช่นท่านจึงมาคลุกคลีอยู่กับคน... เอ่อ... บุคลากรชั้นล่างเยี่ยงนี้" ชายคนหนึ่งในชุดทรงอัศวินปรากฏตัวขึ้น เขาเหลือบมองชายหนุ่มในตรอกแคบด้วยสายตาที่บอกชัดถึงความดูถูกเหยียดหยามเพียงแตกต้องรักษากริยาอันดีงามตามเกียรติของอัศวินเท่านั้น "หม่อมฉันคิดว่าองค์หญืงเล็กไม่ควรที่จะคลุกคลีกับสามัญชน... พะยะค่ะ" อัศวินผู้น้อยเปลี่ยนคำทันทีที่องค์หญิงในชุดดำของเขาปรายตามองอย่างเหยียดๆเหมือนเห็นสิ่งน่าขยะแขยง
"เพิ่งรู้เหรอว่าข้าเป็นราชวงศ์? ดี เห็นหัวกันบ้างก็ดี" ซีเรฟกล่าวแล้วชี้ไปทางชายหนุ่มที่ยังนั่งพิงกำแพงตัวแข็งอยู่ที่เดิม "ฉันไม่อยากจะแสดงอะไรแบบนี้เลยจริงๆเพราะมันทำให้ฉันดูเหมือนแม่มดใจร้าย" ทันทีที่เธอพูดจบชาวหนุ่มก็ถูกมือเล็กๆนับสิบมือจับไว้แล้วบังคับให้ยืนขึ้นอย่างง่ายดายผิดกับที่เด็กสาวพยายามลองใช้เพียงกำลังเปล่าๆบังคับให้ยืนอย่างลิลับ
เวทย์มนต์... ชายหนุ่มเบิกตากว้างมองมือที่เพิ่มขึ้นบนตัวเขาเรื่อยๆและพยายามดึงเขาลงไปยังด้านล่าง... ตัวเขาค่อยๆจมลงในพื้นถนนจริงๆราวกับจมลงในน้ำ ชายหนุ่มผมเงินพยายามขัดขืนด้วยกำลังที่มีแต่ก็เปล่าประโยคเมื่อเท้าเขารู้สึกเหมือนลอยอยุ่กลางอากาศและมือที่ถูกมือเป็นสิบๆคู่จับไว้ไม่ให้สามารถกระดิกได้แม้แต่นิดเดียว มีมนุษย์ที่มีเวทย์มนต์มากมายขนาดนี้ด้วยเหรอ? เขาคิดในใจขณะที่พยายามจะตอบโต้บ้าง
"ไร้ประโยชน์ ลูกข้าไม่กระจอกขนาดจะปล่อยให้เจ้าใช้เวทย์มนต์ได้หรอกน่า" ซีเรฟพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่ตัวของเธอเองก้ค่อยๆเกิดรอยร้าวและหลุดร่อนไปอย่างช้าๆราวกับรูปปั้นทรายที่พังทลายลงตามกาลเวลา
อัศวินคนนั้นยืนอึ้งตาค้างทำอะไรไม่ถูกจนในที่สุดก็เกิดอาการเข่าอ่อนแล้วล้มพับลงเหมือนสตรีที่รู้สึกใจหายใจคว่ำยามที่ลูกหายไปต่อหน้าต่อตา
จนในที่สุดภายในตรอกตรงหน้าอัศวินองครักษ์ก็เหลือเพียงความว่างเปล่า...
ตุบ เสียงบางอย่างตกลงบนพื้นดังขึ้นพร้อมกับแสงที่สว่างวาบขึ้นทำให้เห็นทัศนวิสัยชัดเจน
สิ่งที่ตกลงมานั้นไม่ใช่สิ่งของที่ควรอยู่บนเพดานเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มผมสีเงินยาวประบ่ายันตัวลุกขึ้นจากพื้นที่ถูกปูด้วยพรมผ้ากำมะหยี่สีีแดงสดราวกับหยาดโลหิตอุ่นๆที่อาบโลมลงบนพื้นแผ่นอันเคยเป็นสนามรบแห่งนี้
ห้องทรงกลมแห่งนี้ดูราวกับอยู่บนหอคอยที่สูงเสียดฟ้า ทั้งหลังคาทรงโดมที่มีลวดลายศิลปะโบราณอันปราณีตงดงาม หน้าต่างบานใหญ่ที่สูงจากพื้นไปจนถึงส่วนบนสุดของโดมซึ่งถูกบดบังไว้ด้วยผ้าม่านสีแดงเข้ม เปียโนสีดำหลังใหญ่ที่ต้องอยู่ข้างๆหน้าต่าง บนนั้นมีแจกันแก้วใส่ดอกกุหลาบลายสีขาวปนแดงเอาไว้ เตียงขนาดใหญ่ทรงครึ่งวงกลมที่กินพื้นที่ไปกว่า1/5ของห้องและโต๊ะหนังสือที่ทำมาจากไม้ชั้นดี
"ตัวเหม็นจัง" เสียงเล็กๆอันไม่สามารถระบุชายหญิงดังขึ้นพร้อมกับมือขาวเรียวที่ยืนออมาดึงทึ้งผ้าคลุมเก่าๆของชายหนุ่มจนหลุดออกจากตัว "ท่านแม่ไม่ชอบคนตัวเหม็น ดังนั้นเจ้าจะให้ข้าอาบน้ำให้หรือจะไปอาบเอง!" เด็กหนุ่มร่างบางเล็กยืนค้ำหัวเขาอยู่ เส้นผมของเขาเป็นสีดำยุ่งเหยิงแต่กลับสะท้อนประกายวาวดั่งเส้มไหมเหล็ก นัยน์ตาสีทองที่ดูราวกับปีศาจอันทรงอำนาจ
"เจ้า...!" เป็นปีศาจ ชายหนุ่มกลืนคำพูดดังกล่าวลงคอเมื่อเขารู้สึกได้ว่าสถานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กลายเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่มีผนังด้านหนึ่เว้าเข้าด้านในซึ่งทั้งห้องนั้นเป้นสีฟ้าอ่อนๆ ร่างทั้งร่างของเขากำลังแช่อยู่ในน้ำร้อนในสภาพเปลือยเปล่าจนมองเห็นแผ่นอกและหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเนื้อ แต่ในวินาทีนี้เขาไม่สนอะไรอีกแล้วนอกจากหาทางหนีออกไปจากที่นี่
"ท่านแม่นะท่านแม่ ยมทูตที่ดีๆมีให้จับมาตั้งมากมายทำไมต้องเลือกเจ้าคนหยาบคายตัวเหม็นนี่ด้วย" เสียงบ่นเอ็ดตะโรของเด็กหนุ่มคนเดิมดังขึ้นพร้อมกับมือนับสิบๆคู่ที่โผล่ขึ้นมาจับตัวเขาไม่แน่นจากใต้น้ำ "ข้าไม่ใช่ปีศาจกระจอกนะขอรับ" เขาพูดพรางตักน้ำในอ่าวน้ำร้อนข้างๆขึ้นราดหัวที่เต็มไปด้วยผมสีเงินของชายหนุ่ม
เราช่างตกต่ำเหลือเกิน... ชายหนุ่มคิดในใจในขณะที่หยุดการดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์นั้น "ทำไมต้องรับใช้มนุษย์ในเมื่อพวกเขาไม่นานก็จากเราไปและทิ้งให้เราเดียวดาย" เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเวิ้งว้าง
"ท่านแม่... ท่านซีเรฟเป็นคนดี นางอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีคนรอให้กลับมาหาไม่ได้ เวลาแค่120ปีของข้าเท่ากับทั้งชีวิตของนาง ข้าทนดูไม่ไหวจริงๆ..."เด็กหนุ่มตอบในขณะที่ใช้มือเรียวสางเส้นผมสีเงินรุงรังนั้นให้เรียบตรงอย่างเบามือ "นางช่วยชีวิตข้าให้พ้นจากการถูกแม่แท้ๆกิน นางให้ที่อยู่ ที่พักพิง เสื้อผ้า อาหารและชีวิต ข้าไม่สามารถทดแทนมันหมดจริงๆ"
"แล้วถ้าสักวันหนึ่งนางจากเจ้าไปหละ" ชายหนุ่มผมเงินเอ่ยถามทันที
"ข้าจะตามไปทดแทนให้ถึงนาทีสุดท้าย" เด็กหนุ่มตอบด้วยคำพูดที่ดูไม่เหมาะสมกับตัวพรางตักน้ำหอมมาละลายในน้ำอุ่นอย่างชำนาญ
ภายในห้องนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ ในนั้นไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาอีกนอกจากเสียงราดน้ำที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ...
หลังจากจับชายหนุ่มอาบน้ำจนหอมฉุยก็ทำให้รู้ว่าเขาหน้าตาดีและอ่อนเกินกว่าจะเป็นชายวัยกลางคน เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับมีอายุเพียง18ปีเท่านั้น เขาแต่งตัวในชุดทรงอัศวินสีดำอย่างเป็นทางการ บนอกเสื้อของเขามีเข็มกลัดรูปหัวกระโหลกสีเงิน
"ว่าง่ายจริงนะ ทำไมเกิดติดใจลูกของข้าหรือไร" เด็กสาวผมดำเอ่ยถามในขณะที่เดินเยื้องย่างลงมาจากบันไดวนสีดำที่หายไปทีละขันทุกครั้งที่เธอก้าวเดินลงมา เธอไม่จำเป็นต้องมองก็สามารถเดินไปได้อย่างสบายๆโดยไม่ชนอะไร
"เดธ" เขาเอ่ยตอบเบาๆในขณะที่ดึงเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งตรงโต๊ะให้เด็กสาวเดินไปนั่ง "นามของข้าคือเดธ
"ขอบคุณที่ยอมมาอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่!" ซีเรฟนั่งลงบนเก้าอี้โดยละทิ้งความสงสัยจนสิ้น
"ทำสัญญา... กับข้าอีกคนได้ไหม?" เดธเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองเด็กสาวด้วยนัยน์ตาสีประหลาดนั้นด้วยความสับสนระคนลังเล "ข้าอยู่โดยขาดที่พิงไม่ได้" เขาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กๆด้วยความเขินอาย ยมทูตแบบเขาคงมีแค่คนเดียวแหละที่ทำสัญญากับมนุษย์เพื่อให้มีใครสักคนอยู่ข้างกายตลอดเวลา
"ได้สิ เพราะยังไงอย่างมากก็แค่มีคนคอยตามจิกข้าเพิ่มขึ้นอีกคน... หรือตนหว่า" ซีเรฟปลดผ้าปิดตาลงเผยให้เห็นดวงตาวาวโรยซึ่งประดับด้วยนัยน์ตาสีแดงฉานดั่งสีของโลหิตสดๆ ในนครดาวตกเชื่อมนุษย์ที่มีนัยน์ตาสีนี้ว่าเป็นได้ทั้งพระเจ้าและปีศาจของพวกเขา และอีกความเชื่อหนึ่งก็คือ...
พวกเขาไม่เป็นคนของโลกไหนดังนั้นจึงอายุสั้นและไม่ได้ไปเกิด ได้แต่อยู่ในโลกมนุษย์รอวันดับสลาย
"ตนต่างหากเล่าน้องข้า อีกอย่างนะข้าสงสัยจริงๆว่าหอคอยของเจ้ามีปีศาจกี่ชนิดกี่ตัวกันแน่? นักปราชญ์ผู้รอบรู้" เสียงหวานแกมประชดประชันดังขึ้น เมอรี่ผู้เป็นพี่ของซีเรฟปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่งของห้องพร้อมกับผู้ติดตามผู้หล่อเหลาอีกคนหนึ่ง
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งพอๆกับเดธ ผิวขาวสุภาพดี ผมสีทองตัดสั้นกระเซิง ดวงตาเรียวเล็กอันเฉียบคมประดับด้วยนัยน์ตาสีฟ้าเหลือมเงินที่ดูน่าพิศวงไม่แพ้กัน เขาใส่เสื้อกั๊กสีแดงกับกางเกงขายาว ตรงเอวมีดาบเหมือนกันเสียบอยู่2เล่ม
"ather" เดธพึมพำเบาๆด้วยน้ำเสียงเย็นชาทุ้มต่ำ
"13ตนแล้วค่ะท่านพี่" ซีเรฟพูดในขณะที่รับถาดใส่ชุดน้ำชามาจากมือเด็กหนุ่มผมดำผู้ซึ่งเธอเรียกว่าเป็น 'ลูก' ของเธอ "ขอบคุณ คาโน่ เจ้านี่เป็นเด็กดีจริงๆ" เธอกล่าวชมในขณะที่ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มดั่งขนแมวของเด็กหนุ่ม
"อันที่จริงนี่ก็66ตนพอดีต่างหากหละครับท่านแม่ แล้วยังจะมีอีก600ตนที่ท่านแม่ให้อยู่ในมิติอื่นเพราะหอคอยเราแคบ รวมกันเป็น666ตนพอดีครับ" คาโน่พูดแก้คำพูดของแม่ตนเองในขณะที่ยิ้มบางๆที่ริมฝีปากแล้วสวมกอดเด็กสาวที่สูงกว่าเขาครึ่งช่วงตัว "อย่าลืมทานยาด้วยนะครับ ท่านเมอรี่ขอรับ ดูแลท่านแม่ให้ข้าด้วยนะครับ ข้ามีธุระเล็กน้อยที่ต้องจัดการให้กับพี่ชายคนนี้" เขาพูดเสร็จก็ลากข้อมือเด็กหนุ่มร่างสูงออกไปจากห้อง
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะขอเป็นที่พิงและมีที่พิงเป็นมนุษย์
เพราะการลาจากช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ดั่งนั้นข้าจึงไม่เข้าใจว่าอาเธอร์จะตัดสินโทษนี้ให้ข้าทำไมกัน...
"เจ้ามานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย" เสียงใสดั่งกระดิ่งแก้วอันไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเขาทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมองเธอ ข้าควรจะไล่นางไปใช่ไหม? เขาเกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นในใจอีกครั้งหลังจากไม่มีใครพูดคุยกับเขามานานเป้นสิบปี หากทำได้บางทีเขาก้อยากจะลืมเลือนการมีมนุษย์สัมพันธ์ไปเช่นกัน
ชายหนุ่มไม่ทันพูดอะไรก็ถูกเลิกผ้าคลุมขึ้นอย่างถือวิสาสะเผยให้เห็นผมสีเงินยาวระบ่าและนัยน์ตาสีเงินอันดูราวกับคนตาบอด คงจะกลัวและหนีข้าไปเอง เขาคิดในใจในขณะที่เงยหน้าขึ้นเพื่อใช้นัยน์ตาสีประหลาดมองลึกลงไปในจิตใจของเด็กสาวเพื่อกดดันให้เธอหนีไป แต่แล้วก็ต้องหยุดพยายามและกลายเป็นฝ่ายมึนงงเสียเอง
"มากับข้าเถอะ" เด็กผมผู้คาดผ้าสีขาวบดบังดวงตาเอาไว้เ่อ่ยกับเขาแล้วยื่นมือเรียวขาวซีดราวกับศพให้เขาจับ "ข้าชื่อซีเรฟเจ้าชื่ออะไรหละ" เธอถามในขณะที่ย่อตัวนั่งลงในระดับเดียวกับเขา
"อย่ามายุ่งกับข้าเจ้ามนุษย์ประหลาด!"
"แล้วคนที่มีกลิ่นอายแห่งความตายคละคลุ้งเช่นเจ้าไม่ประหลาดกว่าข้าอีกหรือไร" ซีเรฟเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องปกติ "แล้วเรียกข้าว่ามนุษย์เจ้าไม่ใช่หรือไรเล่า มากับข้าเถอะ ขอร้องหละ ข้าไม่ทำอะไรให้เจ้าเสียหายหรอก..." เด็กสาวพยายามทั้งดึงทั้งฉุนกระชากลากคอแต่ร่างผอมบางของชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ขยับไปไหนเลยราวกับว่าถูกเย็บติดกับพื้นถนน
"ท่านซีเรฟขอรับ เหตุใดปราชญ์เช่นท่านจึงมาคลุกคลีอยู่กับคน... เอ่อ... บุคลากรชั้นล่างเยี่ยงนี้" ชายคนหนึ่งในชุดทรงอัศวินปรากฏตัวขึ้น เขาเหลือบมองชายหนุ่มในตรอกแคบด้วยสายตาที่บอกชัดถึงความดูถูกเหยียดหยามเพียงแตกต้องรักษากริยาอันดีงามตามเกียรติของอัศวินเท่านั้น "หม่อมฉันคิดว่าองค์หญืงเล็กไม่ควรที่จะคลุกคลีกับสามัญชน... พะยะค่ะ" อัศวินผู้น้อยเปลี่ยนคำทันทีที่องค์หญิงในชุดดำของเขาปรายตามองอย่างเหยียดๆเหมือนเห็นสิ่งน่าขยะแขยง
"เพิ่งรู้เหรอว่าข้าเป็นราชวงศ์? ดี เห็นหัวกันบ้างก็ดี" ซีเรฟกล่าวแล้วชี้ไปทางชายหนุ่มที่ยังนั่งพิงกำแพงตัวแข็งอยู่ที่เดิม "ฉันไม่อยากจะแสดงอะไรแบบนี้เลยจริงๆเพราะมันทำให้ฉันดูเหมือนแม่มดใจร้าย" ทันทีที่เธอพูดจบชาวหนุ่มก็ถูกมือเล็กๆนับสิบมือจับไว้แล้วบังคับให้ยืนขึ้นอย่างง่ายดายผิดกับที่เด็กสาวพยายามลองใช้เพียงกำลังเปล่าๆบังคับให้ยืนอย่างลิลับ
เวทย์มนต์... ชายหนุ่มเบิกตากว้างมองมือที่เพิ่มขึ้นบนตัวเขาเรื่อยๆและพยายามดึงเขาลงไปยังด้านล่าง... ตัวเขาค่อยๆจมลงในพื้นถนนจริงๆราวกับจมลงในน้ำ ชายหนุ่มผมเงินพยายามขัดขืนด้วยกำลังที่มีแต่ก็เปล่าประโยคเมื่อเท้าเขารู้สึกเหมือนลอยอยุ่กลางอากาศและมือที่ถูกมือเป็นสิบๆคู่จับไว้ไม่ให้สามารถกระดิกได้แม้แต่นิดเดียว มีมนุษย์ที่มีเวทย์มนต์มากมายขนาดนี้ด้วยเหรอ? เขาคิดในใจขณะที่พยายามจะตอบโต้บ้าง
"ไร้ประโยชน์ ลูกข้าไม่กระจอกขนาดจะปล่อยให้เจ้าใช้เวทย์มนต์ได้หรอกน่า" ซีเรฟพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่ตัวของเธอเองก้ค่อยๆเกิดรอยร้าวและหลุดร่อนไปอย่างช้าๆราวกับรูปปั้นทรายที่พังทลายลงตามกาลเวลา
อัศวินคนนั้นยืนอึ้งตาค้างทำอะไรไม่ถูกจนในที่สุดก็เกิดอาการเข่าอ่อนแล้วล้มพับลงเหมือนสตรีที่รู้สึกใจหายใจคว่ำยามที่ลูกหายไปต่อหน้าต่อตา
จนในที่สุดภายในตรอกตรงหน้าอัศวินองครักษ์ก็เหลือเพียงความว่างเปล่า...
ตุบ เสียงบางอย่างตกลงบนพื้นดังขึ้นพร้อมกับแสงที่สว่างวาบขึ้นทำให้เห็นทัศนวิสัยชัดเจน
สิ่งที่ตกลงมานั้นไม่ใช่สิ่งของที่ควรอยู่บนเพดานเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มผมสีเงินยาวประบ่ายันตัวลุกขึ้นจากพื้นที่ถูกปูด้วยพรมผ้ากำมะหยี่สีีแดงสดราวกับหยาดโลหิตอุ่นๆที่อาบโลมลงบนพื้นแผ่นอันเคยเป็นสนามรบแห่งนี้
ห้องทรงกลมแห่งนี้ดูราวกับอยู่บนหอคอยที่สูงเสียดฟ้า ทั้งหลังคาทรงโดมที่มีลวดลายศิลปะโบราณอันปราณีตงดงาม หน้าต่างบานใหญ่ที่สูงจากพื้นไปจนถึงส่วนบนสุดของโดมซึ่งถูกบดบังไว้ด้วยผ้าม่านสีแดงเข้ม เปียโนสีดำหลังใหญ่ที่ต้องอยู่ข้างๆหน้าต่าง บนนั้นมีแจกันแก้วใส่ดอกกุหลาบลายสีขาวปนแดงเอาไว้ เตียงขนาดใหญ่ทรงครึ่งวงกลมที่กินพื้นที่ไปกว่า1/5ของห้องและโต๊ะหนังสือที่ทำมาจากไม้ชั้นดี
"ตัวเหม็นจัง" เสียงเล็กๆอันไม่สามารถระบุชายหญิงดังขึ้นพร้อมกับมือขาวเรียวที่ยืนออมาดึงทึ้งผ้าคลุมเก่าๆของชายหนุ่มจนหลุดออกจากตัว "ท่านแม่ไม่ชอบคนตัวเหม็น ดังนั้นเจ้าจะให้ข้าอาบน้ำให้หรือจะไปอาบเอง!" เด็กหนุ่มร่างบางเล็กยืนค้ำหัวเขาอยู่ เส้นผมของเขาเป็นสีดำยุ่งเหยิงแต่กลับสะท้อนประกายวาวดั่งเส้มไหมเหล็ก นัยน์ตาสีทองที่ดูราวกับปีศาจอันทรงอำนาจ
"เจ้า...!" เป็นปีศาจ ชายหนุ่มกลืนคำพูดดังกล่าวลงคอเมื่อเขารู้สึกได้ว่าสถานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กลายเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่มีผนังด้านหนึ่เว้าเข้าด้านในซึ่งทั้งห้องนั้นเป้นสีฟ้าอ่อนๆ ร่างทั้งร่างของเขากำลังแช่อยู่ในน้ำร้อนในสภาพเปลือยเปล่าจนมองเห็นแผ่นอกและหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเนื้อ แต่ในวินาทีนี้เขาไม่สนอะไรอีกแล้วนอกจากหาทางหนีออกไปจากที่นี่
"ท่านแม่นะท่านแม่ ยมทูตที่ดีๆมีให้จับมาตั้งมากมายทำไมต้องเลือกเจ้าคนหยาบคายตัวเหม็นนี่ด้วย" เสียงบ่นเอ็ดตะโรของเด็กหนุ่มคนเดิมดังขึ้นพร้อมกับมือนับสิบๆคู่ที่โผล่ขึ้นมาจับตัวเขาไม่แน่นจากใต้น้ำ "ข้าไม่ใช่ปีศาจกระจอกนะขอรับ" เขาพูดพรางตักน้ำในอ่าวน้ำร้อนข้างๆขึ้นราดหัวที่เต็มไปด้วยผมสีเงินของชายหนุ่ม
เราช่างตกต่ำเหลือเกิน... ชายหนุ่มคิดในใจในขณะที่หยุดการดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์นั้น "ทำไมต้องรับใช้มนุษย์ในเมื่อพวกเขาไม่นานก็จากเราไปและทิ้งให้เราเดียวดาย" เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเวิ้งว้าง
"ท่านแม่... ท่านซีเรฟเป็นคนดี นางอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีคนรอให้กลับมาหาไม่ได้ เวลาแค่120ปีของข้าเท่ากับทั้งชีวิตของนาง ข้าทนดูไม่ไหวจริงๆ..."เด็กหนุ่มตอบในขณะที่ใช้มือเรียวสางเส้นผมสีเงินรุงรังนั้นให้เรียบตรงอย่างเบามือ "นางช่วยชีวิตข้าให้พ้นจากการถูกแม่แท้ๆกิน นางให้ที่อยู่ ที่พักพิง เสื้อผ้า อาหารและชีวิต ข้าไม่สามารถทดแทนมันหมดจริงๆ"
"แล้วถ้าสักวันหนึ่งนางจากเจ้าไปหละ" ชายหนุ่มผมเงินเอ่ยถามทันที
"ข้าจะตามไปทดแทนให้ถึงนาทีสุดท้าย" เด็กหนุ่มตอบด้วยคำพูดที่ดูไม่เหมาะสมกับตัวพรางตักน้ำหอมมาละลายในน้ำอุ่นอย่างชำนาญ
ภายในห้องนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ ในนั้นไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาอีกนอกจากเสียงราดน้ำที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ...
หลังจากจับชายหนุ่มอาบน้ำจนหอมฉุยก็ทำให้รู้ว่าเขาหน้าตาดีและอ่อนเกินกว่าจะเป็นชายวัยกลางคน เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับมีอายุเพียง18ปีเท่านั้น เขาแต่งตัวในชุดทรงอัศวินสีดำอย่างเป็นทางการ บนอกเสื้อของเขามีเข็มกลัดรูปหัวกระโหลกสีเงิน
"ว่าง่ายจริงนะ ทำไมเกิดติดใจลูกของข้าหรือไร" เด็กสาวผมดำเอ่ยถามในขณะที่เดินเยื้องย่างลงมาจากบันไดวนสีดำที่หายไปทีละขันทุกครั้งที่เธอก้าวเดินลงมา เธอไม่จำเป็นต้องมองก็สามารถเดินไปได้อย่างสบายๆโดยไม่ชนอะไร
"เดธ" เขาเอ่ยตอบเบาๆในขณะที่ดึงเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งตรงโต๊ะให้เด็กสาวเดินไปนั่ง "นามของข้าคือเดธ
"ขอบคุณที่ยอมมาอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่!" ซีเรฟนั่งลงบนเก้าอี้โดยละทิ้งความสงสัยจนสิ้น
"ทำสัญญา... กับข้าอีกคนได้ไหม?" เดธเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองเด็กสาวด้วยนัยน์ตาสีประหลาดนั้นด้วยความสับสนระคนลังเล "ข้าอยู่โดยขาดที่พิงไม่ได้" เขาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กๆด้วยความเขินอาย ยมทูตแบบเขาคงมีแค่คนเดียวแหละที่ทำสัญญากับมนุษย์เพื่อให้มีใครสักคนอยู่ข้างกายตลอดเวลา
"ได้สิ เพราะยังไงอย่างมากก็แค่มีคนคอยตามจิกข้าเพิ่มขึ้นอีกคน... หรือตนหว่า" ซีเรฟปลดผ้าปิดตาลงเผยให้เห็นดวงตาวาวโรยซึ่งประดับด้วยนัยน์ตาสีแดงฉานดั่งสีของโลหิตสดๆ ในนครดาวตกเชื่อมนุษย์ที่มีนัยน์ตาสีนี้ว่าเป็นได้ทั้งพระเจ้าและปีศาจของพวกเขา และอีกความเชื่อหนึ่งก็คือ...
พวกเขาไม่เป็นคนของโลกไหนดังนั้นจึงอายุสั้นและไม่ได้ไปเกิด ได้แต่อยู่ในโลกมนุษย์รอวันดับสลาย
"ตนต่างหากเล่าน้องข้า อีกอย่างนะข้าสงสัยจริงๆว่าหอคอยของเจ้ามีปีศาจกี่ชนิดกี่ตัวกันแน่? นักปราชญ์ผู้รอบรู้" เสียงหวานแกมประชดประชันดังขึ้น เมอรี่ผู้เป็นพี่ของซีเรฟปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่งของห้องพร้อมกับผู้ติดตามผู้หล่อเหลาอีกคนหนึ่ง
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งพอๆกับเดธ ผิวขาวสุภาพดี ผมสีทองตัดสั้นกระเซิง ดวงตาเรียวเล็กอันเฉียบคมประดับด้วยนัยน์ตาสีฟ้าเหลือมเงินที่ดูน่าพิศวงไม่แพ้กัน เขาใส่เสื้อกั๊กสีแดงกับกางเกงขายาว ตรงเอวมีดาบเหมือนกันเสียบอยู่2เล่ม
"ather" เดธพึมพำเบาๆด้วยน้ำเสียงเย็นชาทุ้มต่ำ
"13ตนแล้วค่ะท่านพี่" ซีเรฟพูดในขณะที่รับถาดใส่ชุดน้ำชามาจากมือเด็กหนุ่มผมดำผู้ซึ่งเธอเรียกว่าเป็น 'ลูก' ของเธอ "ขอบคุณ คาโน่ เจ้านี่เป็นเด็กดีจริงๆ" เธอกล่าวชมในขณะที่ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มดั่งขนแมวของเด็กหนุ่ม
"อันที่จริงนี่ก็66ตนพอดีต่างหากหละครับท่านแม่ แล้วยังจะมีอีก600ตนที่ท่านแม่ให้อยู่ในมิติอื่นเพราะหอคอยเราแคบ รวมกันเป็น666ตนพอดีครับ" คาโน่พูดแก้คำพูดของแม่ตนเองในขณะที่ยิ้มบางๆที่ริมฝีปากแล้วสวมกอดเด็กสาวที่สูงกว่าเขาครึ่งช่วงตัว "อย่าลืมทานยาด้วยนะครับ ท่านเมอรี่ขอรับ ดูแลท่านแม่ให้ข้าด้วยนะครับ ข้ามีธุระเล็กน้อยที่ต้องจัดการให้กับพี่ชายคนนี้" เขาพูดเสร็จก็ลากข้อมือเด็กหนุ่มร่างสูงออกไปจากห้อง
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะขอเป็นที่พิงและมีที่พิงเป็นมนุษย์
เพราะการลาจากช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ดั่งนั้นข้าจึงไม่เข้าใจว่าอาเธอร์จะตัดสินโทษนี้ให้ข้าทำไมกัน...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ