ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก
10.0
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.
15 ตอน
5 วิจารณ์
38.79K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) Chapter09 : อาหารมื้อแรกที่มากับหยาดน้ำตาและหยดเลื
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter09 : อาหารมื้อแรกที่มากับหยาดน้ำตาและหยดเลือดลุกซ์
ผมยืนอึ้งกับสิ่งได้ยิน ความพยายามกว่าหนึ่งชั่วโมงของผมจบลงเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว
“ทะ...ทำไมครับ?” ผมถามหลังจากยืนอ้าปากค้างไปสิบวิ มือที่กุมกันแน่นปล่อยออกเหมือนกับความหวังในใจหลุดลอยไป
“กูบอกให้เอาไปเททิ้งไง!” พี่ลุกซ์ตวัดสายตามองผมอย่างไม่ชอบใจ หางคิ้วผมตกลงอย่างเสียใจ อาหารมื้อแรกที่ผมพยายามทำเพื่อหวังจะให้พี่ลุกซ์ประทับใจแต่สุดท้ายกลับล้มเหลว
“ตะ...แต่ว่า...” ผมกำลังจะบอกว่ามันเป็นอาหารมื้อแรกที่ผมทำแต่ผมก็ต้องชะงักเพราะกลัวพี่มันจะไล่ผมไปเนื่องจากแท้จริงแล้วผมทำห่าอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
“อะไร?” พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมอย่างรำคาญ
“เปล่าครับ พี่อยากกินอะไรล่ะครับผมจะทำให้ใหม่” ผมเม้มปากก่อนจะเอาไข่ดาวกับขนมปังทาแยมไปเททิ้งที่ถังขยะด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบๆ
“กูจะออกไปกินข้างนอก” พี่มันพูดพลางลุกออกจากเก้าอี้และเดินไปสวมเสื้อแจ็กเก็ต
“ขอผมเปลี่ยนเสื้อแป๊บนะครับ มันเหม็นเหงื่อ” ผมรีบเก็บจานก่อนจะวิ่งออกไปค้นหาเสื้อใหม่ในกระเป๋าเสื้อผ้า
“กูจะไปคนเดียว” พี่มันพูดอย่างเย็นชาก่อนจะคว้ากุญแจรถเดินออกจากห้องไป ผมยืนถือเสื้อตัวใหม่นิ่งค้างก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงสะอื้นแต่อย่างใด
ผมคิดว่าตัวเองเข้มแข็งเพราะไม่เคยเจอความเจ็บปวดในลักษณะแบบนี้แต่พอได้มาเจอจริงๆ ผมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองอ่อนแอแค่ไหน ผมควรจะหยุดทำร้ายตัวเองเสียที ผมควรจะรักตัวเองบ้าง ถ้าพี่ถังกลับมาเมื่อไหร่ผมจะออกไปจากที่นี่ทันที ผมเกลียดตัวเองที่เป็นคนอ่อนแอที่สุด
ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม พี่ลุกซ์หายออกไปเกือบสามชั่วโมงแล้วและผมก็ยังไม่ได้กินข้าว ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกหิวหรอกแต่ผมกินอะไรไม่ลง มันรู้สึกฝืดคอไปหมด
แกร๊ก!
เสียงประตูเปิดออกผมจึงรีบหันไปมองเพื่อยิ้มต้อนรับพี่ลุกซ์กลับบ้าน แต่รอยยิ้มของผมก็ต้องเจื่อนลงเรื่อยๆ เมื่อพี่ลุกซ์ไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่กลับมาพร้อมกับเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนเดิมที่เจอกันที่บาร์เกย์เมื่อวาน
“อ๊ะ! คนเมื่อวานนี่ เห...ที่ทิ้งผมมานี่เพราะเหตุผลนี้เองเหรอ คิดอยู่แล้วว่ามันแปลกๆ ฮึๆ” เด็กชายน่ารักคนนั้นมองผมอย่างนึกออกก่อนจะเหล่ตามองพี่ลุกซ์พร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
“คนใช้น่ะ อะไรดิน หรือว่าหึงพี่ฮะตัวเล็ก” วลีแรกพี่มันพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ประโยคถัดไปพี่มันยิ้มกว้างพลางขยี้ผมของเด็กคนนั้นเบาๆ ผมเม้มปากอย่างเจ็บปวดกับภาพตรงหน้า
“ฮู้! มีอะไรให้น่าหึงเนี่ย” น้องคนนั้นสะบัดศีรษะนิดๆ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ฮ่าๆ ไปนั่งที่โซฟาก่อนละกันเดี๋ยวพี่ไปเอาเอกสารออกมาก่อน” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง น้องผู้ชายคนนั้นมองตามพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆ ผม ผมรีบลุกขึ้นอย่างรู้งานทันที
“เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้นะครับ” ผมบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากครับผม” น้องเขายิ้มกว้างให้ผมพลางหยิบนิตยาสารขึ้นมาอ่านระหว่างรอพี่ลุกซ์ น้องมันน่ารักมากครับ ไม่แปลกเลยหากพี่ลุกซ์จะสนใจ ผมไม่น่ารักเหมือนน้องไม่ได้สดใสจากข้างในเหมือนน้องมันจึงไม่แปลกหากผมจะไม่มีใครมารัก
ผมเอาน้ำสองแก้วไปวางไว้บนโต๊ะกระจกทึบก่อนที่พี่ลุกซ์จะเดินถือเอกสารการเรียนออกมา พี่มันหรี่ตามองผมนิดๆ ผมจึงถอยออกไปยืนที่อื่นเพราะสายตาของพี่มันกำลังบอกว่าผมเป็นตัวเกะกะ
“ดิน นี่เป็นข้อสอบเตรียมสอบเข้าม.4ลองทำดูก่อนนะ” พี่ลุกซ์พูดยิ้มๆ พลางขยี้ผมเด็กคนนั้นเบาๆ อย่างเอ็นดู ผมยืนมองด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ทำไมผมถึงไม่ได้รับความอ่อนโยนแบบนั้นบ้าง?
“โธ่พี่ พี่ก็รู้ว่าผมแม่งโง่ ผมทำไม่ได้หรอก” น้องมันบ่น
“ลองทำดูก่อน ถ้าทำได้พี่มีรางวัลให้แต่ถ้าทำไม่ได้พี่จะทำโทษ” พี่ลุกซ์พูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมหวั่นใจกับรอยยิ้มนั้นเหลือเกิน
“รางวัลอะไรครับ?” น้องมันถามตาเป็นประกาย
“จูบหวานๆ หนึ่งครั้งต่อหนึ่งข้อ ฮึๆ” พี่มันชี้ไปที่ริมฝีปากตัวเองพลางยิ้มหวาน ผมกุมมือตัวเองแน่น พยายามข่มใจไม่ให้เจ็บ
“โห่! ผมยอมถูกทำโทษครับพี่” น้องมันทำหน้าเซ็งๆ
“บทลงโทษคือจูบโหดๆ หนึ่งครั้งต่อหนึ่งข้อ เอาแบบปากแตกเลยดีไหม?” พี่มันพูดพลางทำท่ายื่นหน้าเข้าไปหาน้อง น้องมันรีบกระเถิบหนีด้วยสีหน้าเซ็งอารมณ์ ไม่ได้ตกใจหรือมีท่าทีเขินแต่อย่างใดจนเหมือนกับว่าสิ่งที่พี่ลุกซ์พูดเป็นแค่การแกล้งกันมากกว่า ผมก็ภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น
“ติดนิสัยพี่เคย์มาหรือไงครับ?” น้องมันถาม รู้จักพี่เคย์ด้วยหรือ? แสดงว่าน้องมันคงจะสนิทกับพี่ลุกซ์ทีเดียวถึงได้รู้จักนิสัยของเพื่อนพี่ลุกซ์แบบนั้น ผมก็รู้...เพราะผมสนิทกับพี่เคย์แต่ผมเข้าไม่ถึงพี่ลุกซ์เลย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่มันถึงเกลียดผมนัก
“พี่ไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคนเหมือนไอ้เคย์นะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์มองหน้าน้องเหมือนพยายามจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง น้ำตาผมร่วงผล็อยผมจึงรีบเดินเข้าไปในครัวและซุกตัวมุดลงไปใต้เคาน์เตอร์เพื่อหลบมุมแอบร้องไห้คนเดียว
ใครจะทนเห็นคนที่ตัวเองรักหัวเราะคิกคักกับคนอื่นทั้งๆ ที่เอาแต่ใจร้ายใส่เราล่ะครับ ถ้านิสัยพื้นเพของพี่มันเป็นคนใจร้ายผมจะไม่เสียใจขนาดนี้หรอก แต่นี่พี่มันใจดี...กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม
ผมนั่งชันเข่าพลางซุกหน้าซบเข่าเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกไป ริมฝีปากของตัวเองถูกกัดจนเลือดไหลเพียงเพราะไม่อยากร้องไห้เสียงดังจนพี่มันรับรู้ถึงความอ่อนแอของตัวผมเอง ผมไม่อยากให้ใครมองว่าผมอ่อนแอ
“เฮ้ย! เอาน้ำมาเติมให้น้องดินหน่อย เร็วๆ!” เสียงพี่ลุกซ์ตะโกนดังมาจากห้องนั่งเล่น ผมสะดุ้งพลางรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอาเองได้” น้องดินพูดปฏิเสธ
“ไม่ต้องเลยดิน พี่จ้างมันมาไม่ว่าพี่จะสั่งอะไรมันก็ต้องทำ” สิ้นประโยคนั้นน้ำตาผมก็ไหลรื้นทับรอยที่เพิ่งจะเช็ดออกไปทันที
ผมเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาจนผมเผ้าตกลงมาปิดหน้าไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเติมน้ำให้กับน้องดิน ผมรีบรินน้ำก่อนจะรีบหันหลังกลับแต่มือนิ่มๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือของผม ผมชะงักแต่ไม่ได้หันหน้ากลับไปเพราะกลัวว่าทั้งสองคนจะสังเกตเห็นน้ำตา
“ปากพี่แตกนี่ครับ ไปโดนอะไรมา?” น้องมันถามแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อบังคับให้ไม่ใส่เสียงสั่น
“พะ...พี่เดินชนประตูครับ” ผมรีบพูดแก้ตัวรัวๆ เพราะไม่อยากให้ถูกจับน้ำเสียงได้
“อ๋อ ครับ” น้องดินส่งเสียงอย่างเข้าใจก่อนจะปล่อยมือของผม
เมื่อหลุดจากพันธนาการผมก็รีบสับขาเดินกลับเข้าห้องครัวแต่เพราะรีบเกินไปผมจึงสะดุดขาตัวเองล้มลงทำให้เหยือกใส่น้ำที่ทำมาจากแก้วแตกกระจายเกิดเสียงดัง ผมรีบใช้มือยันตัวเองไว้เพราะไม่อยากให้คางกระแทกพื้นแต่มือข้างขวาของผมกลับทับเศษแก้วที่แตกจนเกิดบาดแผลเป็นรอยกรีดยาวจากง่ามนิ้วก้อยลงมาเกือบถึงข้อมือ มือผมกระตุกและสั่นระริกเพราะอาการเจ็บแสบๆ แต่ผมก็ทนฝืนลุกขึ้นมาเก็บเศษแก้วอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษครับ” ผมพูดพลางก้มหน้าเก็บเศษแก้วงกๆ ทั้งๆ ที่มือผมอาบไปด้วยเลือดแดงฉาน ผมพยายามใช้ตัวเองบังที่เกิดเหตุเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมได้รับบาดเจ็บเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเอง ถ้าพี่ลุกซ์เห็นพี่มันก็คงจะหัวเราะเยาะแล้วพูดสมน้ำหน้า
“ผมช่วยนะครับ” น้องดินเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“ไม่ต้อง เดินไปแถวนั้นเดี๋ยวก็เผลอเหยียบเศษแก้วหรอก เรามาทำโจทย์ต่อดีกว่า” พี่ลุกซ์พูดห้าม
“แต่ว่า...”
“มันทำแตกเองมันก็เก็บเองได้น่า อย่าดื้อกับพี่สิดิน” ผมเม้มปากแน่นเมื่อพี่ลุกซ์พูดออกมาแบบนั้น น้ำตาผมไหลร่วงลงบนพื้นไปรวมกับเลือดและน้ำจากเหยือก
เมื่อเช็คจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเศษแก้วหลงเหลืออยู่ผมจึงเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดพื้นโดยไม่สนใจจะเช็ดแผลให้ตัวเอง พอเช็ดพื้นเรียบร้อยผมก็ไปล้างแผลด้วยน้ำเปล่าที่เปิดจากก๊อกน้ำเหนือซิงค์ที่ใช้ล้างถ้วยชาม
“ซี้ดดด” ผมครางเบาๆ เพราะรู้สึกแสบเมื่อน้ำไหลผ่านแผล มือผมสั่นแต่ผมก็พยายามที่จะกลั้นความเจ็บเอาไว้ ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงร้องดังๆ เรียกร้องความสนใจไปแล้วล่ะครับ พอทำความสะอาดแผลเสร็จผมก็หยิบทิชชู่มาซับน้ำให้แห้งและเอาทิชชู่มาพันแผลไว้
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นผมตกใจรีบปาดน้ำตาที่เริ่มแห้งและหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
น้องดินที่เดินมาที่ครัวล้มอยู่ที่พื้นโดยมีเลือดไหลออกมาจากฝ่าเท้าแต่ไม่มากเท่าไหร่เพราะแผลไม่ได้ลึก พี่ลุกซ์ตกใจรีบวิ่งมาประคองน้องดินเอาไว้
“มึงเก็บแก้วยังไงให้น้องมันเหยียบได้เนี่ย!! สะเพร่า!” ไอ้พี่ลุกซ์ตวาดด่าผม ผมที่กำลังจะเข้าไปช่วยประคองน้องดินหยุดชะงักก่อนจะรีบเอามือข้างที่มีแผลไขว้ไว้ที่หลัง
“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าขอโทษ
“มึงนี่มันจริงๆ เลย สร้างแต่ปัญหา! อยู่ที่ไหนใครๆ เขาก็เดือดร้อน ไม่รู้ว่าพี่ถังทนมึงได้ไง!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอกอย่างโมโห ผมเม้มปากพยายามกลืนน้ำตากลับเข้าที่เดิมแต่ก็ทำไม่ได้ อุตส่าห์หยุดร้องไห้แล้วแท้ๆ
“พี่ลุกซ์ ผมไม่เป็นไร ผมซุ่มซ่ามเองไม่ใช่ความผิดของพี่เขาหรอกครับ” น้องดินรีบพูดเมื่อเห็นพี่ลุกซ์โมโหจนแทบกระโจนเข้าใส่ผม น้องมันนิสัยดีเนอะ ไม่แปลกหรอกถ้าพี่ลุกซ์จะเอ็นดู คนเกรียนๆ กวนตีนคนอื่นเขาไปทั่วอย่างผมคงไม่มีใครกล้าเอ็นดูหรอกครับ ฮึๆ ผมทำตัวผมเองถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเองนี่แหละที่ทำตัวให้คนอื่นเขาหมั่นไส้เอา
“ทำไมจะไม่ผิด! เพราะมันซุ่มซ่ามทำแก้วแตกดินถึงต้องเจ็บไม่ใช่หรือไง!?!” พี่ลุกซ์ตะคอก ผมไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาพี่มันเป็นอย่างไรเพราะผมไม่กล้าที่จะมองแต่เดาไม่ยากหรอกครับ หน้าตาของพี่มันเวลามองมาที่ผมมันไม่ค่อยมีอะไรที่แปลกใหม่เท่าไหร่
“ขะ...ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมโค้งตัวสามสี่รอบด้วยความรู้สึกผิดและน้อยใจ เสียงที่พูดออกไปเมื่อครู่สั่นเครือจนดูออกว่าผมกำลังร้องไห้
“ครับ ผมไม่ว่าอะไรหรอก แผลนิดเดียว พี่ลุกซ์อย่าว่าพี่เขาสิครับพี่เขาไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย” น้องดินรีบพูดเมื่อเห็นว่าผมร้องไห้ ให้ตายเถอะ ทำไมผมจะต้องมาร้องไห้ด้วยเรื่องไร้สาระต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ด้วย
“แล้วมึงจะร้องไห้หาเตี่ยมึงเหรอ? คนเจ็บเขายังไม่ร้องแล้วมึงจะสะเออะร้องทำไม อ่อนแอจริงๆ” พี่ลุกซ์พูดประชด ผมกำมือตัวเองแน่นจนรู้สึกถึงความชื้นของของเหลวที่เรียกว่าเลือด ทำไมผมจะไม่เจ็บล่ะ ตอนนี้ผมเจ็บทั้งตัวและหัวใจจนไม่อยากจะทนแล้ว
“ขอโทษนะครับ ขอโทษ” ผมก้มหัวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ดูเหมือนน้องดินจะลำบากใจที่เห็นผมร้องไห้และขอโทษไม่หยุดแต่พี่ลุกซ์ยังไม่พอใจ
“ขอโทษแล้วน้องมันจะหายไหม!?!” พี่ลุกซ์ตะคอก
“พี่ลุกซ์พอได้แล้วครับ เรื่องมันเกิดไปแล้วพี่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปคาดคั้นอะไรอีก” น้องดินเอ็ดพี่ลุกซ์ที่ยังทำตัวโมโหไม่เลิก
“เฮอะ! มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป ขวางหูขวางตาว่ะ” พี่ลุกซ์โบกมือไล่ผมก่อนจะประคองน้องดินไปนั่งทำแผลที่โซฟาตัวเดิมที่เป็นที่นอนของผม
ผมปาดน้ำตาออกก่อนจะเดินไปเปลี่ยนทิชชู่เสียใหม่เพราะอันเดิมมันชุ่มไปด้วยเลือด ผมเช็ดมือให้แห้งแล้วพันทิชชู่ทับอีกรอบก่อนจะปาดน้ำตาอีกครั้งและเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ผมไม่รู้ว่าสองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นจะมองผมด้วยสายตาแบบไหนเพราะผมไม่กล้ามองหน้าใครทั้งนั้น ผมรีบหยิบโทรศัพท์และรีบเดินออกไปให้เร็วที่สุด
“พี่ครับ! มือพี่เป็นอะไร?” ก่อนที่ผมจะจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดมันออกไปน้องดินก็ตะโกนถามขึ้น ผมรีบชักมือหลบสายตาของเด็กคนนั้นทันที ทำไมเป็นคนที่ตาดีแบบนี้นะ
“เปล่าครับ” ผมตอบเร็วๆ ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ถูกเขาไล่ขนาดนั้นผมคงจะทนอยู่หรอกครับ เอาไว้ให้พี่มันอารมณ์เย็นลงก่อนค่อยกลับมาละกัน ตอนนี้ผมต้องรีบไปทำแผลให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะติดเชื้อจนเป็นแผลใหญ่กว่านี้
“พัด มาหากูหน่อยได้ไหม?” ผมโทรหาเพื่อนรักทันทีที่หยุดร้องไห้ ข้าวก็ยังไม่ได้กินแถมยังต้องมาเสียเลือดเยอะอีก ขืนผมทนต่อไปผมคงเป็นลมเป็นแล้งให้พี่มันสมเพชแน่นอนครับ
“กูรอฟังมึงพูดคำนี้อยู่นะเปอร์” ไอ้พัดพูดเสียงจริงจัง น้ำตาผมแทบไหลเมื่อได้ยินอย่างนั้น ไอ้พัดมันคงเป็นห่วงผมมากแต่เพราะมันรู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเห็นด้านที่อ่อนแอและไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใครมันถึงไม่พูดอะไรหรือไม่ยื่นมือเข้ามาหากไม่จำเป็น นอกจากพี่ถังแล้วก็มีมันนี่แหละที่รู้จักผมดีที่สุด
“ขอบใจนะมึง กูอยู่หน้าคอนโด YYY” ผมพูดก่อนจะวางสายและยืนรอให้ไอ้พัดขับรถมารับ
“กูรู้ว่ามึงไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใครแต่ถ้ามันไม่ไหวมึงก็ควรจะขอบ้าง คนรอบข้างเขาเป็นห่วงมึงมากแค่ไหนรู้บ้างหรือเปล่า” ไอ้พัดบ่นไปพลางทำแผลให้ผมไปหลังจากที่มันพาผมมาถึงที่บ้านของมัน ตอนนี้พ่อกับแม่มันไม่อยู่บ้านเพราะต้องไปทำงาน ผมอิจฉาไอ้พัดมากนะครับ ถึงพ่อมันจะทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้มันแต่พ่อมันก็รักและดูแลมันอยู่ตลอด มีเวลาเมื่อไหร่ก็ใช้มันอยู่กับลูกและครอบครัว แม่ของไอ้พัดน่ะทำงานที่บริษัทพ่อแม่ผมแต่ก็ไม่ได้บ้างานจนไม่กลับบ้าน แม้บ้านมันจะไม่รวยเท่าบ้านของผมแต่มันกลับมีทุกๆ อย่างที่ผมไม่มี
“ขอบใจมึงนะพัดที่เป็นห่วงกู ฮึ ขนาดพ่อแม่กูเขายังไม่สนใจกูเลยแต่มึงที่เป็นเพื่อนกลับใส่ใจกูมากกว่าซะอีก” ผมบ่น
“มึงรู้บ้างไหมว่าแม่มึงโทรมาหากูกี่ครั้งต่อวัน? เขาดูเป็นห่วงมึงมากเลยนะ” ไอ้พัดพูด ผมอึ้งนิดๆ ที่ได้ยินแบบนั้นเพราะปกติแม่ไม่ค่อยโทรหาผมหรือเพื่อนของผมหรอก ผมจะหายไปไหนพวกเขาไม่เคยตามผมเลยสักครั้ง เพิ่งจะโทรตามก็ตอนที่ผมหอบข้าวของออกจากบ้านนี่แหละ
“ไม่รู้สิ ถ้าห่วงจริงป่านนี้กูคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก” ผมพูด ถ้าเป็นห่วงจริงๆ ก็คงพยายามตามหาผมแล้วแหละ ถึงเพิ่งจะผ่านไปแค่วันเดียวที่ผมออกจากบ้านมาก็เถอะ ที่จริงแล้วผมเองก็กำลังรอให้พ่อกับแม่มาง้อผมอยู่นะครับ ที่ผมเล่นตัวไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ ก็เพราะผมอยากรู้ว่าพ่อกับแม่จะรักผมมากแค่ไหน จะตื๊อให้ผมกลับบ้านบ่อยไหมก็เท่านั้นเอง ถ้าพวกเขาใส่ใจผมอีกนิดผมก็จะยอมกลับไปแต่โดยดี ผมไม่อยากอยู่คนเดียว มันทรมาน
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรพ่อกับแม่ก็ไม่มีวันทิ้งให้ลูกอยู่คนเดียวหรอกน่า” ไอ้พัดพูดปลอบก่อนจะติดพลาสเตอร์ใสแผ่นสุดท้ายให้ผม ไอ้หมอนี่ทำตัวสมเป็นลูกหมอจริงๆ พันแผลได้เนี้ยบมาก
“ฮึๆ มึงก็รู้ว่ากูอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก วันเกิดกูจะมีบ้างไหมที่จะได้ฉลองกับครอบครัว ในชีวิตพ่อกับแม่ก็มีแต่งานเท่านั้นแหละพัด” ผมพูดอย่างน้อยใจ ไอ้พัดนั่งมองหน้าผมเงียบๆ อย่างเห็นใจก่อนจะชวนคุย
“แล้วนี่มึงไปอยู่ที่ไหนวะ? มาอยู่กับกูไหม?” ไอ้พัดถามพลางชวน
“กู...อยู่กับรุ่นน้องของพี่ถังน่ะ ขอบใจนะที่อยากจะช่วยแต่กูว่าอยู่ที่นี่ไม่ดีหรอก เดี๋ยวแม่มึงไปรายงานแม่กู” ผมพูด
“เฮ้อ มึงแม่งดื้อด้านว่ะ เออๆ ทำตามใจมึงก็แล้วกัน กูจะไม่บอกใครว่ามึงมาที่นี่ ถ้าพร้อมจะกลับบ้านเมื่อไหร่บอกกูด้วยละกัน จะไปส่ง” ไอ้พัดตบหัวผมอย่างหมั่นเขี้ยว
“เบาๆ มันสะเทือนถึงแผลกู” ผมทำท่าสำออย
“ไม่ได้ใกล้กันเลยไอ้ห่า” ไอ้พัดหัวเราะก่อนจะตบหัวผมอีกรอบ ผมหัวเราะบ้าง ไม่ได้หัวเราะจริงจังแบบนี้มากี่วันแล้วนะ?
“เพื่อนพัดครับ เพื่อนเปอร์หิวม้ากมาก หาอะไรให้แดกหน่อยนะ” ผมพูดอ้อนก่อนจะโน้มหน้าไปถูไถที่ไหล่ของมัน
“ตายล่ะ น้าพรเพิ่งลากลับบ้านไปเมื่อเช้านี่เอง กูทำห่าอะไรไม่เป็นซะด้วยสิ” ไอ้พัดทำหน้าเครียดๆ ที่บ้านมันมีแม่บ้านแค่คนเดียวเพราะว่าบ้านมันไม่ได้มีอะไรให้ทำเยอะแยะมากมายเลยไม่จำเป็นต้องจ้างมาหลายคน
“เอ้อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูกลับไปกินที่บ้านของคนที่กูอยู่ด้วยก็ได้ มีของกินอยู่พอดี” ผมหน้าเจื่อนลงนิดๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเพราะไม่อยากให้ไอ้พัดลำบากใจ
“งั้นเดี๋ยวกูไปส่ง” ไอ้พัดพูดพลางคว้ากุญแจรถ ผมเม้มปากนิดๆ เพราะยังไม่อยากกลับไปเท่าไหร่ อีกอย่างที่นั่นก็ไม่ได้มีอะไรให้ผมกินอย่างที่พูดหรอก
“อ่า...ขอบใจ” ผมเงยหน้ามองมันก่อนจะลุกเดินตามไปอย่างจำใจ
ผมยืนลังเลอยู่หน้าห้องสักพักก่อนจะสะดุ้งเมื่อประตูเปิดออกมา ผมรีบซุกมือข้างที่เจ็บไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยิ้มบางๆ ให้น้องดินที่เดินออกมาพร้อมกับพี่ลุกซ์ที่ทำหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นหน้าผม
“กลับมาแล้วสินะครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ” น้องดินทำหน้าโล่งอกเมื่อเห็นผมยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า พอยืนเทียบกันแบบนี้แล้วผมก็เพิ่งจะรู้ว่าน้องมันตัวเล็กพอสมควรเลยล่ะครับ แต่ก็เป็นแค่เด็กม.ต้นนี่เนอะ(ดูจากเนื้อหาที่เรียนกับพี่ลุกซ์)มีโอกาสสูงอีกเยอะ
“จะไปเป็นห่วงมันทำไมก็ไม่รู้ โตเป็นควายร่างกายก็ไม่ได้พิการ” พี่ลุกซ์พูดจิก ผมยิ้มค้างไม่พูดอะไร
“ทำไมปากร้ายแบบนี้ฮะพี่ลุกซ์” น้องดินหันไปย่นจมูกใส่คนตัวสูงที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างน่ารัก ยิ่งมองผมก็ยิ่งรู้สึกแพ้ น้องมันน่ารักน่าทะนุถนอมและพี่ลุกซ์เองก็ดูจะตามใจน้องมันเหลือเกิน พอหันกลับมามองตัวเองผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บเพราะผมไม่เคยได้รับความอ่อนโยนจากพี่ลุกซ์เลย
“โทษนะครับ ขอเข้าไปหน่อยนะ” ผมยิ้มจนตาหยีก่อนน้องดินจะเบี่ยงตัวหลบให้ผมเดินเข้าประตูไปแต่แล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อพี่ลุกซ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังน้องดินไม่ยอมหลบให้พ้นประตู ผมเงยหน้ามองพี่มันนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตา...
“กูจะไปส่งน้องข้างล่าง อย่าก่อเรื่องจนข้าวของเสียหายอีกล่ะ” ไอ้พี่ลุกซ์พูดเสียงเย็นก่อนจะหลบให้ผมเดินเข้าไปข้างใน ผมไม่ได้ตอบรับอะไรก่อนจะเดินผ่านพี่ลุกซ์ไปแต่เดินไปได้เพียงครึ่งก้าวความรู้สึกเจ็บแปลบที่หนังศีรษะก็ทำให้ผมต้องโยกตัวกลับไปด้านหลังตามแรงดึง พี่ลุกซ์มันกระชากผมของผมเอาไว้จนน้ำตาแทบเล็ด
“โอ๊ย!” ผมร้องเสียงหลงก่อนจะหันไปมองหน้านิ่งๆ ของพี่มันอย่างไม่พอใจ
“กูบอกน่ะได้ยินไหม!?!” พี่ลุกซ์ถลึงตามองผม
“ได้ยินแล้วครับ” ผมขมวดคิ้วตอบพลางเบนสายตาหลบดวงตาคมก่อนจะยกมือขึ้นปัดมือพี่มันออกจากผมตัวเอง
หมับ!
“พันผ้าไว้ทำไม!?!” พี่ลุกซ์คว้ามือของผมเอาไว้ก่อนจะถาม ผมตกใจจะชักมือกลับแต่พี่มันกระชากเอาไว้ โธ่เอ๊ย! ผมเผลอยกมือข้างที่เจ็บขึ้นปัดมือพี่มันน่ะสิ มิน่าล่ะถึงรู้สึกเจ็บแปลบๆ
“เปล่านี่ครับ ผมว่ามันเท่ดี” ผมแก้ตัวข้างๆ คู “โอ๊ยยยยยยย!!” ผมร้องลั่นเมื่อแผลถูกนิ้วเรียวกดลงอย่างไร้ความปรานีจนเลือดซึมออกมา
“โง่!!” พี่มันสะบัดมือผมออกก่อนจะมองเหยียดๆ ผมก้มหน้าเม้มริมฝีปากแน่น ทีกับผมทำไมพี่มันถึงใจร้ายกดแผลได้ลงคอทั้งๆ ที่พอจะมองออกว่าผมพันผ้าไว้เพื่ออะไร
พี่มันเดินออกจากห้องก่อนจะปิดประตูใส่หน้า ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูสักพักก่อนจะเดินเข้าไปนั่งอยู่ในห้องครัว ผมไม่อยากให้พี่มันกลับมาตอนนี้เลยครับ เห็นหน้าแล้วเจ็บปวดแต่ก็ยังอยากจะเห็น ท่าทางผมจะเป็นพวกชอบความเจ็บปวดล่ะมั้งเนี่ย
ผมนั่งกุมท้องที่ร้องโครกครากก่อนจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะอาหารในห้องครัวพลางมองไปที่ถังขยะที่ผมเทอาหารเช้ามื้อแรกที่ตั้งใจทำขึ้นมาด้วยสายตาละห้อย น่าจะเก็บไว้กินเองว่ะ หิวจนตาลายแล้วเนี่ย จะให้ทำใหม่ก็ไม่ไหวเพราะมือข้างถนัดเจ็บแถมยังรู้สึกหมดแรง เดินขึ้นมาบนนี้ได้ก็บุญหัวแล้วครับ
โอย ไม่ไหวแล้วฮะ
ผมหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้แต่พอรู้ตัวอีกทีท้องผมก็ร้องประท้วงสนั่นหวั่นไหว เหี้ย...ตื่นขึ้นมาก็ร้องขออาหารเลยนะมึง แล้วผมจะแดกอะไรดีเนี่ย เพลียฉิบหาย แล้วนี่อะไร? ทำไมหัวมันหนักๆ มึนๆ แบบนี้วะ อากาศก็ไม่ได้หนาวแล้วขนมันจะพร้อมใจกันลุกทำไมเนี่ย เหี้ยละ หรือว่าผมจะเป็นไข้?
“นี่มึง! เอานี่ไปแดกก่อนจะมาตายในห้องกู” ผมสะดุ้งรีบหันไปมองที่ประตูห้องครัว พี่ลุกซ์ยืนสูบบุหรี่พิงสันประตูโดยที่ในมือถือถุงเซเว่นบรรจุกล่องข้าว ผมไอนิดหน่อยเนื่องจากได้กลิ่นบุหรี่อ่อนๆ
“พะ...พี่ซื้อให้ผมเหรอครับ?” ผมถามอึ้งๆ ผมควรดีใจไหมครับที่พี่มันซื้อข้าวมาให้ผม
“คิดว่ากูอยากทำเหรอ? ดินมันบอกให้เอามาให้เพราะสงสาร!” ไอ้พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมเหยียดๆ ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะลุกไปรับกล่องข้าวมานั่งกิน
ผมเงยหน้ามองนาฬิกาในห้องครัวก็พบว่านี่เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แล้ว เฮ้อ นี่ยังไม่ผ่านไปไม่ถึงวันเลยที่ผมมาอยู่ที่นี่ แค่วันแรกผมก็เสียทั้งเลือดทั้งน้ำตาไปตั้งเยอะ ผมจะทนอยู่กับพี่มันได้ถึงวันที่พี่ถังกลับมาหรือเปล่านะ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมยืนอึ้งกับสิ่งได้ยิน ความพยายามกว่าหนึ่งชั่วโมงของผมจบลงเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว
“ทะ...ทำไมครับ?” ผมถามหลังจากยืนอ้าปากค้างไปสิบวิ มือที่กุมกันแน่นปล่อยออกเหมือนกับความหวังในใจหลุดลอยไป
“กูบอกให้เอาไปเททิ้งไง!” พี่ลุกซ์ตวัดสายตามองผมอย่างไม่ชอบใจ หางคิ้วผมตกลงอย่างเสียใจ อาหารมื้อแรกที่ผมพยายามทำเพื่อหวังจะให้พี่ลุกซ์ประทับใจแต่สุดท้ายกลับล้มเหลว
“ตะ...แต่ว่า...” ผมกำลังจะบอกว่ามันเป็นอาหารมื้อแรกที่ผมทำแต่ผมก็ต้องชะงักเพราะกลัวพี่มันจะไล่ผมไปเนื่องจากแท้จริงแล้วผมทำห่าอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
“อะไร?” พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมอย่างรำคาญ
“เปล่าครับ พี่อยากกินอะไรล่ะครับผมจะทำให้ใหม่” ผมเม้มปากก่อนจะเอาไข่ดาวกับขนมปังทาแยมไปเททิ้งที่ถังขยะด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบๆ
“กูจะออกไปกินข้างนอก” พี่มันพูดพลางลุกออกจากเก้าอี้และเดินไปสวมเสื้อแจ็กเก็ต
“ขอผมเปลี่ยนเสื้อแป๊บนะครับ มันเหม็นเหงื่อ” ผมรีบเก็บจานก่อนจะวิ่งออกไปค้นหาเสื้อใหม่ในกระเป๋าเสื้อผ้า
“กูจะไปคนเดียว” พี่มันพูดอย่างเย็นชาก่อนจะคว้ากุญแจรถเดินออกจากห้องไป ผมยืนถือเสื้อตัวใหม่นิ่งค้างก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงสะอื้นแต่อย่างใด
ผมคิดว่าตัวเองเข้มแข็งเพราะไม่เคยเจอความเจ็บปวดในลักษณะแบบนี้แต่พอได้มาเจอจริงๆ ผมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองอ่อนแอแค่ไหน ผมควรจะหยุดทำร้ายตัวเองเสียที ผมควรจะรักตัวเองบ้าง ถ้าพี่ถังกลับมาเมื่อไหร่ผมจะออกไปจากที่นี่ทันที ผมเกลียดตัวเองที่เป็นคนอ่อนแอที่สุด
ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม พี่ลุกซ์หายออกไปเกือบสามชั่วโมงแล้วและผมก็ยังไม่ได้กินข้าว ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกหิวหรอกแต่ผมกินอะไรไม่ลง มันรู้สึกฝืดคอไปหมด
แกร๊ก!
เสียงประตูเปิดออกผมจึงรีบหันไปมองเพื่อยิ้มต้อนรับพี่ลุกซ์กลับบ้าน แต่รอยยิ้มของผมก็ต้องเจื่อนลงเรื่อยๆ เมื่อพี่ลุกซ์ไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่กลับมาพร้อมกับเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนเดิมที่เจอกันที่บาร์เกย์เมื่อวาน
“อ๊ะ! คนเมื่อวานนี่ เห...ที่ทิ้งผมมานี่เพราะเหตุผลนี้เองเหรอ คิดอยู่แล้วว่ามันแปลกๆ ฮึๆ” เด็กชายน่ารักคนนั้นมองผมอย่างนึกออกก่อนจะเหล่ตามองพี่ลุกซ์พร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
“คนใช้น่ะ อะไรดิน หรือว่าหึงพี่ฮะตัวเล็ก” วลีแรกพี่มันพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ประโยคถัดไปพี่มันยิ้มกว้างพลางขยี้ผมของเด็กคนนั้นเบาๆ ผมเม้มปากอย่างเจ็บปวดกับภาพตรงหน้า
“ฮู้! มีอะไรให้น่าหึงเนี่ย” น้องคนนั้นสะบัดศีรษะนิดๆ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ฮ่าๆ ไปนั่งที่โซฟาก่อนละกันเดี๋ยวพี่ไปเอาเอกสารออกมาก่อน” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง น้องผู้ชายคนนั้นมองตามพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆ ผม ผมรีบลุกขึ้นอย่างรู้งานทันที
“เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้นะครับ” ผมบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากครับผม” น้องเขายิ้มกว้างให้ผมพลางหยิบนิตยาสารขึ้นมาอ่านระหว่างรอพี่ลุกซ์ น้องมันน่ารักมากครับ ไม่แปลกเลยหากพี่ลุกซ์จะสนใจ ผมไม่น่ารักเหมือนน้องไม่ได้สดใสจากข้างในเหมือนน้องมันจึงไม่แปลกหากผมจะไม่มีใครมารัก
ผมเอาน้ำสองแก้วไปวางไว้บนโต๊ะกระจกทึบก่อนที่พี่ลุกซ์จะเดินถือเอกสารการเรียนออกมา พี่มันหรี่ตามองผมนิดๆ ผมจึงถอยออกไปยืนที่อื่นเพราะสายตาของพี่มันกำลังบอกว่าผมเป็นตัวเกะกะ
“ดิน นี่เป็นข้อสอบเตรียมสอบเข้าม.4ลองทำดูก่อนนะ” พี่ลุกซ์พูดยิ้มๆ พลางขยี้ผมเด็กคนนั้นเบาๆ อย่างเอ็นดู ผมยืนมองด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ทำไมผมถึงไม่ได้รับความอ่อนโยนแบบนั้นบ้าง?
“โธ่พี่ พี่ก็รู้ว่าผมแม่งโง่ ผมทำไม่ได้หรอก” น้องมันบ่น
“ลองทำดูก่อน ถ้าทำได้พี่มีรางวัลให้แต่ถ้าทำไม่ได้พี่จะทำโทษ” พี่ลุกซ์พูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมหวั่นใจกับรอยยิ้มนั้นเหลือเกิน
“รางวัลอะไรครับ?” น้องมันถามตาเป็นประกาย
“จูบหวานๆ หนึ่งครั้งต่อหนึ่งข้อ ฮึๆ” พี่มันชี้ไปที่ริมฝีปากตัวเองพลางยิ้มหวาน ผมกุมมือตัวเองแน่น พยายามข่มใจไม่ให้เจ็บ
“โห่! ผมยอมถูกทำโทษครับพี่” น้องมันทำหน้าเซ็งๆ
“บทลงโทษคือจูบโหดๆ หนึ่งครั้งต่อหนึ่งข้อ เอาแบบปากแตกเลยดีไหม?” พี่มันพูดพลางทำท่ายื่นหน้าเข้าไปหาน้อง น้องมันรีบกระเถิบหนีด้วยสีหน้าเซ็งอารมณ์ ไม่ได้ตกใจหรือมีท่าทีเขินแต่อย่างใดจนเหมือนกับว่าสิ่งที่พี่ลุกซ์พูดเป็นแค่การแกล้งกันมากกว่า ผมก็ภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น
“ติดนิสัยพี่เคย์มาหรือไงครับ?” น้องมันถาม รู้จักพี่เคย์ด้วยหรือ? แสดงว่าน้องมันคงจะสนิทกับพี่ลุกซ์ทีเดียวถึงได้รู้จักนิสัยของเพื่อนพี่ลุกซ์แบบนั้น ผมก็รู้...เพราะผมสนิทกับพี่เคย์แต่ผมเข้าไม่ถึงพี่ลุกซ์เลย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่มันถึงเกลียดผมนัก
“พี่ไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคนเหมือนไอ้เคย์นะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์มองหน้าน้องเหมือนพยายามจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง น้ำตาผมร่วงผล็อยผมจึงรีบเดินเข้าไปในครัวและซุกตัวมุดลงไปใต้เคาน์เตอร์เพื่อหลบมุมแอบร้องไห้คนเดียว
ใครจะทนเห็นคนที่ตัวเองรักหัวเราะคิกคักกับคนอื่นทั้งๆ ที่เอาแต่ใจร้ายใส่เราล่ะครับ ถ้านิสัยพื้นเพของพี่มันเป็นคนใจร้ายผมจะไม่เสียใจขนาดนี้หรอก แต่นี่พี่มันใจดี...กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม
ผมนั่งชันเข่าพลางซุกหน้าซบเข่าเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกไป ริมฝีปากของตัวเองถูกกัดจนเลือดไหลเพียงเพราะไม่อยากร้องไห้เสียงดังจนพี่มันรับรู้ถึงความอ่อนแอของตัวผมเอง ผมไม่อยากให้ใครมองว่าผมอ่อนแอ
“เฮ้ย! เอาน้ำมาเติมให้น้องดินหน่อย เร็วๆ!” เสียงพี่ลุกซ์ตะโกนดังมาจากห้องนั่งเล่น ผมสะดุ้งพลางรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอาเองได้” น้องดินพูดปฏิเสธ
“ไม่ต้องเลยดิน พี่จ้างมันมาไม่ว่าพี่จะสั่งอะไรมันก็ต้องทำ” สิ้นประโยคนั้นน้ำตาผมก็ไหลรื้นทับรอยที่เพิ่งจะเช็ดออกไปทันที
ผมเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาจนผมเผ้าตกลงมาปิดหน้าไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเติมน้ำให้กับน้องดิน ผมรีบรินน้ำก่อนจะรีบหันหลังกลับแต่มือนิ่มๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือของผม ผมชะงักแต่ไม่ได้หันหน้ากลับไปเพราะกลัวว่าทั้งสองคนจะสังเกตเห็นน้ำตา
“ปากพี่แตกนี่ครับ ไปโดนอะไรมา?” น้องมันถามแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อบังคับให้ไม่ใส่เสียงสั่น
“พะ...พี่เดินชนประตูครับ” ผมรีบพูดแก้ตัวรัวๆ เพราะไม่อยากให้ถูกจับน้ำเสียงได้
“อ๋อ ครับ” น้องดินส่งเสียงอย่างเข้าใจก่อนจะปล่อยมือของผม
เมื่อหลุดจากพันธนาการผมก็รีบสับขาเดินกลับเข้าห้องครัวแต่เพราะรีบเกินไปผมจึงสะดุดขาตัวเองล้มลงทำให้เหยือกใส่น้ำที่ทำมาจากแก้วแตกกระจายเกิดเสียงดัง ผมรีบใช้มือยันตัวเองไว้เพราะไม่อยากให้คางกระแทกพื้นแต่มือข้างขวาของผมกลับทับเศษแก้วที่แตกจนเกิดบาดแผลเป็นรอยกรีดยาวจากง่ามนิ้วก้อยลงมาเกือบถึงข้อมือ มือผมกระตุกและสั่นระริกเพราะอาการเจ็บแสบๆ แต่ผมก็ทนฝืนลุกขึ้นมาเก็บเศษแก้วอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษครับ” ผมพูดพลางก้มหน้าเก็บเศษแก้วงกๆ ทั้งๆ ที่มือผมอาบไปด้วยเลือดแดงฉาน ผมพยายามใช้ตัวเองบังที่เกิดเหตุเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมได้รับบาดเจ็บเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเอง ถ้าพี่ลุกซ์เห็นพี่มันก็คงจะหัวเราะเยาะแล้วพูดสมน้ำหน้า
“ผมช่วยนะครับ” น้องดินเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“ไม่ต้อง เดินไปแถวนั้นเดี๋ยวก็เผลอเหยียบเศษแก้วหรอก เรามาทำโจทย์ต่อดีกว่า” พี่ลุกซ์พูดห้าม
“แต่ว่า...”
“มันทำแตกเองมันก็เก็บเองได้น่า อย่าดื้อกับพี่สิดิน” ผมเม้มปากแน่นเมื่อพี่ลุกซ์พูดออกมาแบบนั้น น้ำตาผมไหลร่วงลงบนพื้นไปรวมกับเลือดและน้ำจากเหยือก
เมื่อเช็คจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเศษแก้วหลงเหลืออยู่ผมจึงเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดพื้นโดยไม่สนใจจะเช็ดแผลให้ตัวเอง พอเช็ดพื้นเรียบร้อยผมก็ไปล้างแผลด้วยน้ำเปล่าที่เปิดจากก๊อกน้ำเหนือซิงค์ที่ใช้ล้างถ้วยชาม
“ซี้ดดด” ผมครางเบาๆ เพราะรู้สึกแสบเมื่อน้ำไหลผ่านแผล มือผมสั่นแต่ผมก็พยายามที่จะกลั้นความเจ็บเอาไว้ ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงร้องดังๆ เรียกร้องความสนใจไปแล้วล่ะครับ พอทำความสะอาดแผลเสร็จผมก็หยิบทิชชู่มาซับน้ำให้แห้งและเอาทิชชู่มาพันแผลไว้
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นผมตกใจรีบปาดน้ำตาที่เริ่มแห้งและหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
น้องดินที่เดินมาที่ครัวล้มอยู่ที่พื้นโดยมีเลือดไหลออกมาจากฝ่าเท้าแต่ไม่มากเท่าไหร่เพราะแผลไม่ได้ลึก พี่ลุกซ์ตกใจรีบวิ่งมาประคองน้องดินเอาไว้
“มึงเก็บแก้วยังไงให้น้องมันเหยียบได้เนี่ย!! สะเพร่า!” ไอ้พี่ลุกซ์ตวาดด่าผม ผมที่กำลังจะเข้าไปช่วยประคองน้องดินหยุดชะงักก่อนจะรีบเอามือข้างที่มีแผลไขว้ไว้ที่หลัง
“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าขอโทษ
“มึงนี่มันจริงๆ เลย สร้างแต่ปัญหา! อยู่ที่ไหนใครๆ เขาก็เดือดร้อน ไม่รู้ว่าพี่ถังทนมึงได้ไง!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอกอย่างโมโห ผมเม้มปากพยายามกลืนน้ำตากลับเข้าที่เดิมแต่ก็ทำไม่ได้ อุตส่าห์หยุดร้องไห้แล้วแท้ๆ
“พี่ลุกซ์ ผมไม่เป็นไร ผมซุ่มซ่ามเองไม่ใช่ความผิดของพี่เขาหรอกครับ” น้องดินรีบพูดเมื่อเห็นพี่ลุกซ์โมโหจนแทบกระโจนเข้าใส่ผม น้องมันนิสัยดีเนอะ ไม่แปลกหรอกถ้าพี่ลุกซ์จะเอ็นดู คนเกรียนๆ กวนตีนคนอื่นเขาไปทั่วอย่างผมคงไม่มีใครกล้าเอ็นดูหรอกครับ ฮึๆ ผมทำตัวผมเองถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเองนี่แหละที่ทำตัวให้คนอื่นเขาหมั่นไส้เอา
“ทำไมจะไม่ผิด! เพราะมันซุ่มซ่ามทำแก้วแตกดินถึงต้องเจ็บไม่ใช่หรือไง!?!” พี่ลุกซ์ตะคอก ผมไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาพี่มันเป็นอย่างไรเพราะผมไม่กล้าที่จะมองแต่เดาไม่ยากหรอกครับ หน้าตาของพี่มันเวลามองมาที่ผมมันไม่ค่อยมีอะไรที่แปลกใหม่เท่าไหร่
“ขะ...ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมโค้งตัวสามสี่รอบด้วยความรู้สึกผิดและน้อยใจ เสียงที่พูดออกไปเมื่อครู่สั่นเครือจนดูออกว่าผมกำลังร้องไห้
“ครับ ผมไม่ว่าอะไรหรอก แผลนิดเดียว พี่ลุกซ์อย่าว่าพี่เขาสิครับพี่เขาไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย” น้องดินรีบพูดเมื่อเห็นว่าผมร้องไห้ ให้ตายเถอะ ทำไมผมจะต้องมาร้องไห้ด้วยเรื่องไร้สาระต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ด้วย
“แล้วมึงจะร้องไห้หาเตี่ยมึงเหรอ? คนเจ็บเขายังไม่ร้องแล้วมึงจะสะเออะร้องทำไม อ่อนแอจริงๆ” พี่ลุกซ์พูดประชด ผมกำมือตัวเองแน่นจนรู้สึกถึงความชื้นของของเหลวที่เรียกว่าเลือด ทำไมผมจะไม่เจ็บล่ะ ตอนนี้ผมเจ็บทั้งตัวและหัวใจจนไม่อยากจะทนแล้ว
“ขอโทษนะครับ ขอโทษ” ผมก้มหัวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ดูเหมือนน้องดินจะลำบากใจที่เห็นผมร้องไห้และขอโทษไม่หยุดแต่พี่ลุกซ์ยังไม่พอใจ
“ขอโทษแล้วน้องมันจะหายไหม!?!” พี่ลุกซ์ตะคอก
“พี่ลุกซ์พอได้แล้วครับ เรื่องมันเกิดไปแล้วพี่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปคาดคั้นอะไรอีก” น้องดินเอ็ดพี่ลุกซ์ที่ยังทำตัวโมโหไม่เลิก
“เฮอะ! มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป ขวางหูขวางตาว่ะ” พี่ลุกซ์โบกมือไล่ผมก่อนจะประคองน้องดินไปนั่งทำแผลที่โซฟาตัวเดิมที่เป็นที่นอนของผม
ผมปาดน้ำตาออกก่อนจะเดินไปเปลี่ยนทิชชู่เสียใหม่เพราะอันเดิมมันชุ่มไปด้วยเลือด ผมเช็ดมือให้แห้งแล้วพันทิชชู่ทับอีกรอบก่อนจะปาดน้ำตาอีกครั้งและเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ผมไม่รู้ว่าสองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นจะมองผมด้วยสายตาแบบไหนเพราะผมไม่กล้ามองหน้าใครทั้งนั้น ผมรีบหยิบโทรศัพท์และรีบเดินออกไปให้เร็วที่สุด
“พี่ครับ! มือพี่เป็นอะไร?” ก่อนที่ผมจะจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดมันออกไปน้องดินก็ตะโกนถามขึ้น ผมรีบชักมือหลบสายตาของเด็กคนนั้นทันที ทำไมเป็นคนที่ตาดีแบบนี้นะ
“เปล่าครับ” ผมตอบเร็วๆ ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ถูกเขาไล่ขนาดนั้นผมคงจะทนอยู่หรอกครับ เอาไว้ให้พี่มันอารมณ์เย็นลงก่อนค่อยกลับมาละกัน ตอนนี้ผมต้องรีบไปทำแผลให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะติดเชื้อจนเป็นแผลใหญ่กว่านี้
“พัด มาหากูหน่อยได้ไหม?” ผมโทรหาเพื่อนรักทันทีที่หยุดร้องไห้ ข้าวก็ยังไม่ได้กินแถมยังต้องมาเสียเลือดเยอะอีก ขืนผมทนต่อไปผมคงเป็นลมเป็นแล้งให้พี่มันสมเพชแน่นอนครับ
“กูรอฟังมึงพูดคำนี้อยู่นะเปอร์” ไอ้พัดพูดเสียงจริงจัง น้ำตาผมแทบไหลเมื่อได้ยินอย่างนั้น ไอ้พัดมันคงเป็นห่วงผมมากแต่เพราะมันรู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเห็นด้านที่อ่อนแอและไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใครมันถึงไม่พูดอะไรหรือไม่ยื่นมือเข้ามาหากไม่จำเป็น นอกจากพี่ถังแล้วก็มีมันนี่แหละที่รู้จักผมดีที่สุด
“ขอบใจนะมึง กูอยู่หน้าคอนโด YYY” ผมพูดก่อนจะวางสายและยืนรอให้ไอ้พัดขับรถมารับ
“กูรู้ว่ามึงไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใครแต่ถ้ามันไม่ไหวมึงก็ควรจะขอบ้าง คนรอบข้างเขาเป็นห่วงมึงมากแค่ไหนรู้บ้างหรือเปล่า” ไอ้พัดบ่นไปพลางทำแผลให้ผมไปหลังจากที่มันพาผมมาถึงที่บ้านของมัน ตอนนี้พ่อกับแม่มันไม่อยู่บ้านเพราะต้องไปทำงาน ผมอิจฉาไอ้พัดมากนะครับ ถึงพ่อมันจะทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้มันแต่พ่อมันก็รักและดูแลมันอยู่ตลอด มีเวลาเมื่อไหร่ก็ใช้มันอยู่กับลูกและครอบครัว แม่ของไอ้พัดน่ะทำงานที่บริษัทพ่อแม่ผมแต่ก็ไม่ได้บ้างานจนไม่กลับบ้าน แม้บ้านมันจะไม่รวยเท่าบ้านของผมแต่มันกลับมีทุกๆ อย่างที่ผมไม่มี
“ขอบใจมึงนะพัดที่เป็นห่วงกู ฮึ ขนาดพ่อแม่กูเขายังไม่สนใจกูเลยแต่มึงที่เป็นเพื่อนกลับใส่ใจกูมากกว่าซะอีก” ผมบ่น
“มึงรู้บ้างไหมว่าแม่มึงโทรมาหากูกี่ครั้งต่อวัน? เขาดูเป็นห่วงมึงมากเลยนะ” ไอ้พัดพูด ผมอึ้งนิดๆ ที่ได้ยินแบบนั้นเพราะปกติแม่ไม่ค่อยโทรหาผมหรือเพื่อนของผมหรอก ผมจะหายไปไหนพวกเขาไม่เคยตามผมเลยสักครั้ง เพิ่งจะโทรตามก็ตอนที่ผมหอบข้าวของออกจากบ้านนี่แหละ
“ไม่รู้สิ ถ้าห่วงจริงป่านนี้กูคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก” ผมพูด ถ้าเป็นห่วงจริงๆ ก็คงพยายามตามหาผมแล้วแหละ ถึงเพิ่งจะผ่านไปแค่วันเดียวที่ผมออกจากบ้านมาก็เถอะ ที่จริงแล้วผมเองก็กำลังรอให้พ่อกับแม่มาง้อผมอยู่นะครับ ที่ผมเล่นตัวไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ ก็เพราะผมอยากรู้ว่าพ่อกับแม่จะรักผมมากแค่ไหน จะตื๊อให้ผมกลับบ้านบ่อยไหมก็เท่านั้นเอง ถ้าพวกเขาใส่ใจผมอีกนิดผมก็จะยอมกลับไปแต่โดยดี ผมไม่อยากอยู่คนเดียว มันทรมาน
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรพ่อกับแม่ก็ไม่มีวันทิ้งให้ลูกอยู่คนเดียวหรอกน่า” ไอ้พัดพูดปลอบก่อนจะติดพลาสเตอร์ใสแผ่นสุดท้ายให้ผม ไอ้หมอนี่ทำตัวสมเป็นลูกหมอจริงๆ พันแผลได้เนี้ยบมาก
“ฮึๆ มึงก็รู้ว่ากูอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก วันเกิดกูจะมีบ้างไหมที่จะได้ฉลองกับครอบครัว ในชีวิตพ่อกับแม่ก็มีแต่งานเท่านั้นแหละพัด” ผมพูดอย่างน้อยใจ ไอ้พัดนั่งมองหน้าผมเงียบๆ อย่างเห็นใจก่อนจะชวนคุย
“แล้วนี่มึงไปอยู่ที่ไหนวะ? มาอยู่กับกูไหม?” ไอ้พัดถามพลางชวน
“กู...อยู่กับรุ่นน้องของพี่ถังน่ะ ขอบใจนะที่อยากจะช่วยแต่กูว่าอยู่ที่นี่ไม่ดีหรอก เดี๋ยวแม่มึงไปรายงานแม่กู” ผมพูด
“เฮ้อ มึงแม่งดื้อด้านว่ะ เออๆ ทำตามใจมึงก็แล้วกัน กูจะไม่บอกใครว่ามึงมาที่นี่ ถ้าพร้อมจะกลับบ้านเมื่อไหร่บอกกูด้วยละกัน จะไปส่ง” ไอ้พัดตบหัวผมอย่างหมั่นเขี้ยว
“เบาๆ มันสะเทือนถึงแผลกู” ผมทำท่าสำออย
“ไม่ได้ใกล้กันเลยไอ้ห่า” ไอ้พัดหัวเราะก่อนจะตบหัวผมอีกรอบ ผมหัวเราะบ้าง ไม่ได้หัวเราะจริงจังแบบนี้มากี่วันแล้วนะ?
“เพื่อนพัดครับ เพื่อนเปอร์หิวม้ากมาก หาอะไรให้แดกหน่อยนะ” ผมพูดอ้อนก่อนจะโน้มหน้าไปถูไถที่ไหล่ของมัน
“ตายล่ะ น้าพรเพิ่งลากลับบ้านไปเมื่อเช้านี่เอง กูทำห่าอะไรไม่เป็นซะด้วยสิ” ไอ้พัดทำหน้าเครียดๆ ที่บ้านมันมีแม่บ้านแค่คนเดียวเพราะว่าบ้านมันไม่ได้มีอะไรให้ทำเยอะแยะมากมายเลยไม่จำเป็นต้องจ้างมาหลายคน
“เอ้อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูกลับไปกินที่บ้านของคนที่กูอยู่ด้วยก็ได้ มีของกินอยู่พอดี” ผมหน้าเจื่อนลงนิดๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเพราะไม่อยากให้ไอ้พัดลำบากใจ
“งั้นเดี๋ยวกูไปส่ง” ไอ้พัดพูดพลางคว้ากุญแจรถ ผมเม้มปากนิดๆ เพราะยังไม่อยากกลับไปเท่าไหร่ อีกอย่างที่นั่นก็ไม่ได้มีอะไรให้ผมกินอย่างที่พูดหรอก
“อ่า...ขอบใจ” ผมเงยหน้ามองมันก่อนจะลุกเดินตามไปอย่างจำใจ
ผมยืนลังเลอยู่หน้าห้องสักพักก่อนจะสะดุ้งเมื่อประตูเปิดออกมา ผมรีบซุกมือข้างที่เจ็บไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยิ้มบางๆ ให้น้องดินที่เดินออกมาพร้อมกับพี่ลุกซ์ที่ทำหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นหน้าผม
“กลับมาแล้วสินะครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ” น้องดินทำหน้าโล่งอกเมื่อเห็นผมยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า พอยืนเทียบกันแบบนี้แล้วผมก็เพิ่งจะรู้ว่าน้องมันตัวเล็กพอสมควรเลยล่ะครับ แต่ก็เป็นแค่เด็กม.ต้นนี่เนอะ(ดูจากเนื้อหาที่เรียนกับพี่ลุกซ์)มีโอกาสสูงอีกเยอะ
“จะไปเป็นห่วงมันทำไมก็ไม่รู้ โตเป็นควายร่างกายก็ไม่ได้พิการ” พี่ลุกซ์พูดจิก ผมยิ้มค้างไม่พูดอะไร
“ทำไมปากร้ายแบบนี้ฮะพี่ลุกซ์” น้องดินหันไปย่นจมูกใส่คนตัวสูงที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างน่ารัก ยิ่งมองผมก็ยิ่งรู้สึกแพ้ น้องมันน่ารักน่าทะนุถนอมและพี่ลุกซ์เองก็ดูจะตามใจน้องมันเหลือเกิน พอหันกลับมามองตัวเองผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บเพราะผมไม่เคยได้รับความอ่อนโยนจากพี่ลุกซ์เลย
“โทษนะครับ ขอเข้าไปหน่อยนะ” ผมยิ้มจนตาหยีก่อนน้องดินจะเบี่ยงตัวหลบให้ผมเดินเข้าประตูไปแต่แล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อพี่ลุกซ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังน้องดินไม่ยอมหลบให้พ้นประตู ผมเงยหน้ามองพี่มันนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตา...
“กูจะไปส่งน้องข้างล่าง อย่าก่อเรื่องจนข้าวของเสียหายอีกล่ะ” ไอ้พี่ลุกซ์พูดเสียงเย็นก่อนจะหลบให้ผมเดินเข้าไปข้างใน ผมไม่ได้ตอบรับอะไรก่อนจะเดินผ่านพี่ลุกซ์ไปแต่เดินไปได้เพียงครึ่งก้าวความรู้สึกเจ็บแปลบที่หนังศีรษะก็ทำให้ผมต้องโยกตัวกลับไปด้านหลังตามแรงดึง พี่ลุกซ์มันกระชากผมของผมเอาไว้จนน้ำตาแทบเล็ด
“โอ๊ย!” ผมร้องเสียงหลงก่อนจะหันไปมองหน้านิ่งๆ ของพี่มันอย่างไม่พอใจ
“กูบอกน่ะได้ยินไหม!?!” พี่ลุกซ์ถลึงตามองผม
“ได้ยินแล้วครับ” ผมขมวดคิ้วตอบพลางเบนสายตาหลบดวงตาคมก่อนจะยกมือขึ้นปัดมือพี่มันออกจากผมตัวเอง
หมับ!
“พันผ้าไว้ทำไม!?!” พี่ลุกซ์คว้ามือของผมเอาไว้ก่อนจะถาม ผมตกใจจะชักมือกลับแต่พี่มันกระชากเอาไว้ โธ่เอ๊ย! ผมเผลอยกมือข้างที่เจ็บขึ้นปัดมือพี่มันน่ะสิ มิน่าล่ะถึงรู้สึกเจ็บแปลบๆ
“เปล่านี่ครับ ผมว่ามันเท่ดี” ผมแก้ตัวข้างๆ คู “โอ๊ยยยยยยย!!” ผมร้องลั่นเมื่อแผลถูกนิ้วเรียวกดลงอย่างไร้ความปรานีจนเลือดซึมออกมา
“โง่!!” พี่มันสะบัดมือผมออกก่อนจะมองเหยียดๆ ผมก้มหน้าเม้มริมฝีปากแน่น ทีกับผมทำไมพี่มันถึงใจร้ายกดแผลได้ลงคอทั้งๆ ที่พอจะมองออกว่าผมพันผ้าไว้เพื่ออะไร
พี่มันเดินออกจากห้องก่อนจะปิดประตูใส่หน้า ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูสักพักก่อนจะเดินเข้าไปนั่งอยู่ในห้องครัว ผมไม่อยากให้พี่มันกลับมาตอนนี้เลยครับ เห็นหน้าแล้วเจ็บปวดแต่ก็ยังอยากจะเห็น ท่าทางผมจะเป็นพวกชอบความเจ็บปวดล่ะมั้งเนี่ย
ผมนั่งกุมท้องที่ร้องโครกครากก่อนจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะอาหารในห้องครัวพลางมองไปที่ถังขยะที่ผมเทอาหารเช้ามื้อแรกที่ตั้งใจทำขึ้นมาด้วยสายตาละห้อย น่าจะเก็บไว้กินเองว่ะ หิวจนตาลายแล้วเนี่ย จะให้ทำใหม่ก็ไม่ไหวเพราะมือข้างถนัดเจ็บแถมยังรู้สึกหมดแรง เดินขึ้นมาบนนี้ได้ก็บุญหัวแล้วครับ
โอย ไม่ไหวแล้วฮะ
ผมหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้แต่พอรู้ตัวอีกทีท้องผมก็ร้องประท้วงสนั่นหวั่นไหว เหี้ย...ตื่นขึ้นมาก็ร้องขออาหารเลยนะมึง แล้วผมจะแดกอะไรดีเนี่ย เพลียฉิบหาย แล้วนี่อะไร? ทำไมหัวมันหนักๆ มึนๆ แบบนี้วะ อากาศก็ไม่ได้หนาวแล้วขนมันจะพร้อมใจกันลุกทำไมเนี่ย เหี้ยละ หรือว่าผมจะเป็นไข้?
“นี่มึง! เอานี่ไปแดกก่อนจะมาตายในห้องกู” ผมสะดุ้งรีบหันไปมองที่ประตูห้องครัว พี่ลุกซ์ยืนสูบบุหรี่พิงสันประตูโดยที่ในมือถือถุงเซเว่นบรรจุกล่องข้าว ผมไอนิดหน่อยเนื่องจากได้กลิ่นบุหรี่อ่อนๆ
“พะ...พี่ซื้อให้ผมเหรอครับ?” ผมถามอึ้งๆ ผมควรดีใจไหมครับที่พี่มันซื้อข้าวมาให้ผม
“คิดว่ากูอยากทำเหรอ? ดินมันบอกให้เอามาให้เพราะสงสาร!” ไอ้พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมเหยียดๆ ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะลุกไปรับกล่องข้าวมานั่งกิน
ผมเงยหน้ามองนาฬิกาในห้องครัวก็พบว่านี่เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แล้ว เฮ้อ นี่ยังไม่ผ่านไปไม่ถึงวันเลยที่ผมมาอยู่ที่นี่ แค่วันแรกผมก็เสียทั้งเลือดทั้งน้ำตาไปตั้งเยอะ ผมจะทนอยู่กับพี่มันได้ถึงวันที่พี่ถังกลับมาหรือเปล่านะ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ