ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก

10.0

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.

  15 ตอน
  5 วิจารณ์
  39.05K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Chapter 04 : การจากลาและการ์เริ่มใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

09/01/13
Update : 10/01/13
edit : 17/01/13

Chapter04 : การจากลาและการเริ่มใหม่



ลุกซ์


 

 

                ก๊อกๆๆๆ

                เสียงเคาะประตูดังถี่รัวพี่ลุกซ์จึงรีบลุกไปเปิด  ผมตกใจรีบดึงกางเกงขึ้นทั้งๆ ที่ตัวเองยังนอนอยู่  ผมขยับร่างกายไม่ได้เลย  มันเจ็บแปลบไปหมด

                “ไอ้เปอร์...” เสียงทุ้มๆ เรียกชื่อผมทำให้ผมรีบหันไปมองผู้มาเยือนทันที  ไอ้พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางยืนพิงสันประตู “เหี้ยลุกซ์มึงทำอะไรน้องกู!!” ไอ้พี่ถังมองมาที่ผมอย่างอึ้งๆ ก่อนจะหันไปตะคอกพลางกระชากคอเสื้อของไอ้พี่ลุกซ์อย่างเดือดดาล

                “แล้วพี่คิดว่าไงล่ะครับ” ไอ้พี่ลุกซ์อัดบุหรี่เข้าปอดทั้งๆ ที่ตัวเองถูกกระชากคอเสื้ออยู่ก่อนจะเบือนหน้านิดๆ เพื่อพ่นควันออกมา  ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพี่ลุกซ์เป็นผมไม่ใช่พี่ถังพี่แกคงจะพ่นควันใส่หน้าไปแล้วล่ะ

                ผลัวะ!!

                ร่างไอ้พี่ลุกซ์เซล้มหลังจากถูกหมัดหนักๆ อัดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังโดยที่พี่แกไม่คิดจะป้องกันหรือหลบสักนิด

                “มึงก็รู้ว่าไอ้เปอร์เป็นน้องกูแต่ทำไมถึงทำแบบนี้!!” พี่ถังตะคอกเสียงดัง  ใบหน้าของพี่ถังตอนนี้เหมือนกำลังโกรธมาก

                “ถัง...” ผมเรียกพี่ถังทั้งน้ำตาก่อนที่พี่มันจะรีบเดินดุ่มๆ เข้ามาหาผมทันที  พี่มันดึงผมให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วกอดผมเอาไว้  ผมตัวสั่นระริก ทั้งเจ็บ ทั้งเสียใจ

                “ฮึ! พี่ก็รู้ว่าผมไม่นิยมผู้ชาย  ถ้าน้องพี่มันไม่ยอมพี่คิดว่าผมจะทำเหรอ?” ไอ้พี่ลุกซ์ลุกขึ้นมายืนพิงประตูเช่นเดิมก่อนจะสูบบุหรี่แล้วพ่นควันอย่างอ้อยอิ่ง

                พี่ถังหันมามองผมเป็นเชิงถาม  ผมพยักหน้าเบาๆ  เออ กูยอมรับว่ากูตามมันมาเอง  กูยอมให้มันเอากูทั้งๆ ที่ปกติกูเอาแต่คนอื่น  กูอยากได้มันไง  กูอยากได้ไอ้พี่ลุกซ์มากถึงขั้นยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองมาอมให้ผู้ชายและยอมให้ผู้ชายเข้าข้างหลังทั้งๆ ที่กูไม่เคยคิดจะทำเรื่องแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว  ก็กูรักของกูนี่!

                “ถัง...อยากกลับบ้าน อึ๊ก ฮือ” ผมซบไหล่ไอ้พี่ถังก่อนจะขยุ้มเสื้อของมันเอาไว้

                “ป่ะกลับ  เดินได้ไหม?” ไอ้พี่ถังถามอย่างอ่อนโยน  คงอยากจะปลอบใจผมล่ะมั้งเพราะปกติพี่มันเคยพูดกับผมแบบนี้ซะเมื่อไหร่

                “ไม่” ผมตอบไอ้พี่ถังจึงค่อยๆ อุ้มผมขึ้น  ผมเบียดหน้าซุกอกพี่ชายขณะที่พี่ถังเดินผ่านพี่ลุกซ์เพราะผมไม่อยากมองหน้าพี่แก

                “มึงกลับไปทำงานเหมือนเดิม  แต่ไม่ต้องทำในส่วนของไอ้เปอร์  ถึงกูจะโกรธที่มึงทำแบบนี้แต่กูเกลียดมึงไม่ลงเพราะมึงก็น้องกู” ไอ้พี่ถังหยุดตรงหน้าพี่ลุกซ์ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วพูด

                “ผมขอโทษที่ทำให้พี่ผิดหวัง  แต่ผมไม่ขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะน้องพี่มาอ่อยผมเอง” พี่ลุกซ์พูดอย่างไม่แคร์  ผมจิกเสื้อไอ้พี่ถังแน่นเพราะรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่หัวใจ

                “ไอ้ลุกซ์มึง...!!” ไอ้พี่ถังโกรธทำท่าจะเข้าไปต่อยพี่ลุกซ์อีกครั้งแต่ติดตรงที่อุ้มผมอยู่และผมเองก็กระตุกเสื้อเพื่อรั้งพี่มันไว้  ก็ในเมื่อสิ่งที่พี่ลุกซ์พูดมามันเป็นความจริง



 

                พี่ถังพาผมมาที่รถก่อนจะถอนหายใจยาวอีกครั้งและหันมามองผมโดยที่ยังไม่ยอมออกรถ  ผมก้มหน้านิ่งเอนตัวพิงซบกระจกรถ

                “ทำไมเปอร์?” พี่มันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะถาม  ถอนหายใจบ่อยขนาดนี้เดี๋ยวอายุก็สั้นหรอก

                “ถัง...กูรักพี่ลุกซ์มาก” ผมพูดก่อนจะเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอีกครั้ง

                “ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกัน?”

                “ใช่ กูพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมกูถึงรักแต่กูก็หาไม่เจอ  รักก็คือรัก  มันต้องใช้เหตุผลด้วยเหรอ?” ผมหันกลับไปมองไอ้พี่ถังทั้งน้ำตา  ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน  ไม่เคยรู้สึกรักจนอึดอัดแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ  ไม่เคยเลย

                “มึงไม่เคยร้องไห้กับเรื่องแบบนี้เลยนะเปอร์” พี่มันขมวดคิ้วก่อนจะเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ผม

                “เพราะรักมากไง  กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน  กูไม่รู้จะทำอย่างไรแต่อยู่ดีๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง  กูแม่งอ่อนแอว่ะ” ผมเบ้ปากน้ำตารื้นไม่หยุด

                “กูขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะเปอร์  มึงห้ามร้องไห้อีก!  ทางที่ดีไม่ต้องไปยุ่งกับไอ้ลุกซ์อีกเป็นครั้งที่สอง” ไอ้พี่ถังกระแทกมือลงพวงมาลัยอย่างเจ็บใจ

                “กูก็คิดจะอ่อนแอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแต่จะห้ามไม่ให้กูรักพี่ลุกซ์กูทำไม่ได้หรอกนะ  กูอยากจะทำให้พี่ลุกซ์รักกูบ้าง” ผมพูด  

                “หมอนั่นมันรักใครไม่เป็นหรอกเปอร์  ในหัวมันคิดแต่เรื่องน้องของมันเท่านั้นแหละ” ไอ้พี่ถังบอก  ผมสงสัยมาตลอดว่าทำไมไอ้พี่ลุกซ์ถึงดูรักดูห่วงน้องนักและผมก็คิดมาตลอดว่าน้องของพี่ลุกซ์คงเป็นผู้หญิงที่สวย น่ารัก บอบบางน่าทะนุถนอมแต่สิ่งที่ผมเห็นมันกลับตรงกันข้าม  น้องของพี่ลุกซ์เป็นผู้ชาย หล่อและดูแข็งแกร่งมาก  ไม่เห็นจะน่าห่วงเลยสักนิด

                “ทำไมล่ะ? น้องพี่ลุกซ์เป็นผู้ชายไม่ใช่หรือไง?” ผมถามงงๆ

                “มึงเห็นแล้วเหรอ?” พี่ถังหันมาถาม  ผมพยักหน้า  “มันโตมากับน้องมันแต่เพราะอยู่ใกล้ชิดกันมากก็เลยหวานใส่กันไม่เป็น  วิธีที่จะแสดงความรักออกมาได้ก็มีแต่วิธีห่ามๆ ทั้งนั้น  ไอ้ลุกซ์มันปากแข็งและใจแข็ง  ห่วงก็บอกว่าไม่ห่วง  รักก็บอกว่าไม่รัก  แต่ถ้าเป็นกับคนอื่นมันจะพูดตรงๆ แต่กับคนอย่างน้องชายมัน มันจะพูดกวนตีน  ที่จริงมันมีน้องสองคน แต่อีกคนไม่ค่อยมีปัญหา” พี่ถังบอก  ผมก้มหน้า  ผมเป็นคนอื่น...แสดงว่าสิ่งที่พี่ลุกซ์พูดนั้นคือความจริงสินะ

                “เขาเป็นคนใจร้ายเนอะ” ผมพูดก่อนจะยิ้มฝืนๆ

                “อืม  มาก  แต่มีไม่กี่คนหรอกนะเปอร์ที่จะรู้ว่าความจริงแล้วไอ้หมอนี่มันเป็นคนอ่อนโยนแต่มันแค่แสดงออกไม่เป็น  ถึงกูจะรู้ว่ามันเป็นคนดีแต่กูก็ไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับมันเพราะถ้ามันไม่ชอบใครมันก็จะใจร้ายใส่มากๆ เลยล่ะ” ไอ้พี่ถังพูดเตือน  ผมกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ  “คนเรามันก็มีด้านดีและด้านร้ายกันทั้งนั้น” ไอ้พี่ถังพูดก่อนจะค่อยๆ ออกรถ


 

                ห้าเดือนผ่านไป  หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่ได้กลับไปที่โรงเรียนของไอ้พี่ถังอีกและกลับมาอ่านหนังสือเอาเองที่บ้านบางทีไอ้พี่ถังก็จะส่งครูมาสอนผมในส่วนที่ผมไม่เข้าใจ  จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพี่ลุกซ์อีกเลย  แม้จะผ่านมาห้าเดือนแต่ผมก็ยังลืมพี่ลุกซ์ไม่ลง  ความรักในใจของผมยังไม่เลือนหายไปเลยสักนิด

                และวันนี้ก็เป็นวันที่พี่ถังต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกา  ผมก็เลยตั้งใจโดดเรียนเพื่อไปส่งพี่มันโดยเฉพาะ  พี่ชายของผมทั้งคนผมก็ต้องไปส่งมันอยู่แล้วสิครับ

                คนขับรถที่บ้านไปรับผมที่โรงเรียนก่อนจะมุ่งตรงไปยังสนามบินทันที  ไอ้พี่ถังเองก็แม่งเป็นคนดังคนมาส่งมาเยอะแยะเลยล่ะครับ  ชิ! จะอะไรกันนักหันหนา  ยกขบวนกันมาส่งแบบนี้เวลาที่ผมจะร่ำลาไอ้พี่ถังก็มีน้อยลงน่ะสิ

                “เฮ้ยพวกมึงอย่าเว่อร์ได้ป่ะ? กูไปเรียนนะไม่ได้ไปรบ  ไม่รู้จะยกโขยงกันมาทำไมตั้งเยอะแยะ” ไอ้พี่ถังบ่น  ถึงปากจะบ่นแต่หน้านี่ยิ้มแป้นเชียว  ก็คงจะดีใจอยู่หรอกที่มีคนมากมายมาส่ง  ทั้งเพื่อน รุ่นพี่และรุ่นน้อง...

                รุ่นน้อง...หนึ่งในนั้นก็มีพี่ลุกซ์อยู่ด้วย  ตอนที่ผมเข้ามายังไม่มีใครเห็นผมหรอก  พี่ลุกซ์เองก็ไม่เห็นผมจึงเดินเลี่ยงออกไปห่างๆ  ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะเจอพี่ลุกซ์  จิตใจผมยังแข็งแรงไม่พอที่จะเผชิญหน้ากับคนใจร้ายที่ผมรัก

                ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้และมองไปที่กลุ่มพี่ถังเป็นระยะๆ  ตอนไหนพวกเพื่อนๆ แกจะกลับไปซักทีเนี่ย  เซ็งจริงๆ พวกเพื่อนเยอะ  ชิ! ผมไม่ได้อิจฉาหรอกนะที่พี่มันมีเพื่อนเยอะแต่ผมมีแค่คนเดียว  ก็นะ...ไม่ได้อิจฉาเล้ย

                RRRRRR

                โทรศัพท์ที่ผมกำลังกดเล่นเกมสั่นและปรากฏเบอร์ไอ้พี่ถังขึ้นบนหน้าจอ  ผมเหลือบสายตาไปมองพี่มันที่ยืนอยู่ท่ามกลางคนเยอะแยะมากมายก็พบว่าพี่มันกำลังชะเง้อคอเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง  คงจะมองหาผมล่ะมั้ง

                “ว่าไงมึง?” ผมกรอกเสียงลงไปตามสาย

                “มาว่างงว่าไงอะไรเล่า นี่มึงอยู่ไหน!?!” ไอ้พี่ถังถามอย่างหงุดหงิด  หน้าพี่มันแลดูยุ่งเหยิงไปหมด  เห็นแล้วขำว่ะ

                “หือ? ทำไมเหรอ?” ผมแกล้งถามก่อนจะเอามือปิดปากขำเมื่อพี่มันทำหน้าเหมือนคนถูกเหยียบตีนหลังจากได้ยินผมถามออกไป

                “นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงลืม  วันนี้กูจะไปเมกาแล้วนะเว้ย!!” ไอ้พี่ถังตะคอกอย่างหัวเสีย  หน้าพี่มันแลดูกังกลปนโมโห  ฮ่าๆๆ ตลกชะมัด

                “เฮ้ยถัง!! กูลืมว่ะ!” ผมแสร้งทำเป็นตกใจจนพี่มันดิ้นเร่าๆ  คนรอบข้างมองมันอย่างสงสัยว่าไอ้บ้านี่มันเป็นห่าอะไรของมัน? ฮ่าๆๆ มันขำจริงๆ นะครับ

                “ไอ้น้องเหี้ย! ไอ้เลว! ไอ้ฉิบหาย!! โคตรแม่ง!” ไอ้พี่ถังโกรธจนหน้าแดงไปหมด  พี่มันบอกว่าพ่อกับแม่มาส่งไม่ได้เพราะติดคุยกับลูกค้ารายใหญ่  คนที่เป็นครอบครัวที่พอจะมาส่งพี่มันได้ก็มีแค่ผมเท่านั้น  ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ แต่ผมกับพี่มันก็ผูกพันกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ

                “อะไรเล่า!?! คนมาส่งมึงเยอะแยะจนแทบปิดสนามบินขนาดนั้นมึงยังจะโมโหอะไรอีกฮะไอ้พี่ถัง!” ผมโวยใส่มัน  พี่มันชะงัก  สีหน้าเริ่มดีขึ้น

                “ฮึๆ นี่มึงอยู่สนามบินแล้วเหรอ? ตรงไหนล่ะแล้วทำไมไม่มาหากู?” พี่มันถามก่อนจะเริ่มกวาดสายตามองหาอีกครั้ง  ผมรีบกระเถิบถอยไปนั่งให้พ้นจากรัศมีสายตาของมันทันที

                “ไม่ได้อยู่” ผมแกล้งพูด

                “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามีคนมาส่งกูเยอะ?” พี่มันถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม  คงจะมั่นใจมากว่าผมอยู่ที่สนามบินแล้ว

                พรึ่บ!

                O_O!!

                “เดินมาด้านซ้ายมือประมาณสิบเมตรแล้วหันไปทางทิศตะวันตก” ผมนิ่งค้างเมื่อจู่ๆ ก็มีคนมาดึงโทรศัพท์ออกจากมือผมไป  ผมหันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด...

                มาได้ไงแฟะ!?!

55% left

 

                ไอ้พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้โดยที่วางสายจากไอ้พี่ถังไปแล้ว  ไม่กี่อึดใจไอ้พี่ถังก็เดินมาถึงตัวผม  พี่มันมองพี่ลุกซ์กับผมสลับกันก่อนจะโบกมือไล่ไอ้พี่ลุกซ์ให้ไปรวมอยู่กับคนอื่นๆ  จนถึงตอนนี้พี่ถังก็ยังไม่อยากให้ผมไปเจอกับพี่ลุกซ์อีก  พี่มันอยากให้ผมตัดใจเพราะมันเองก็ยังทำใจไม่ได้ที่ผมถูกทำร้ายจิตใจขนาดนั้น

                พอพี่ลุกซ์เดินออกไปพี่ถังก็ทรุดลงนั่งข้างๆ ผมทันที “กูจะไปแล้วนะเปอร์...”

                “อืม ถึงได้มาส่งนี่ไงเล่า” ผมพูด  ผมรู้ดีว่าพี่ถังหมายถึงอะไร  พี่มันหมายความว่าพี่มันจะไปแล้วคงอยู่ปกป้องผมไม่ได้เพราะฉะนั้นอย่าเข้าไปยุ่งกับพี่ลุกซ์ให้มากมาย

                “สัญญากับกูได้ไหมว่าจะตัดใจ และจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้ลุกซ์อีก” ไอ้พี่ถังโน้มตัวลงมาจ้องหน้าผมที่กำลังนั่งก้มหน้าบีบมือตัวเอง

                “...” ผมเงียบ  ผมตั้งใจจะทำจิตใจตัวเองให้แข็งแรงหลังจากนั้นผมก็จะกลับไปขอความรักจากไอ้พี่ลุกซ์อีกครั้ง 

                “เปอร์ มึงกำลังทำให้กูไม่อยากไป” ไอ้พี่ถังพูดเสียงเครียด

                “...มึงก็ทำให้กูไม่อยากให้มึงไปเหมือนกันนะถัง” ผมมองหน้าพี่มันหงอยๆ  ไอ้พี่ถังไม่อยู่แล้วผมจะอยู่อย่างไร  ถึงผมจะพูดว่าผมดูแลตัวเองได้แต่ถ้าไม่มีพี่ถังช่วยผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นได้มากแค่ไหน  ชีวิตประจำวันของผมมักจะมีพี่ถังเข้ามายุ่งด้วยอยู่เสมอ 

                เวลาผมไปกินเหล้าเมาทุกครั้งผมก็จะกดโทรออกหาไอ้พี่ถังโดยไม่รู้ตัว...พี่มันบ่นมันด่าจนหูชาแต่ก็ยอมอยู่ดูแลจนผมสร่างเมา

                เวลารถชน...ถึงผมจะบอกว่ารถมีประกันแต่คนแรกที่ผมโทรหาก็คือไอ้พี่ถัง  คนที่จัดการเรื่องประกันให้ทุกอย่างก็มีแค่มัน

                เวลาสอบตก...พี่มันก็บ่นก็ด่าว่าผมว่าโง่งี่เง่าแต่สุดท้ายตัวเองก็คอยติวให้จนผมสอบแก้ผ่าน

                เวลาผมฝันร้าย...ผมจะโทรหาพี่ถังเป็นคนแรกและถ้าวันไหนผมไม่สามารถจะข่มตาหลับได้ไอ้พี่ถังก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าผมจะหลับ

                เวลาผมไม่สบาย...พี่มันก็จะมาคอยดูแลและตามใจเนื่องจากเวลาไม่สบายผมขี้อ้อนฉิบหาย

                เวลามีงานเทศกาล...ถ้าไอ้พัดไม่ออกไปเที่ยวด้วยไอ้พี่ถังก็จะคอยไปเป็นเพื่อนเสมอ

                และวันเกิดของผมที่ไม่มีใครจำได้...แต่ก็มีพี่มันที่จำได้แม้จะมาหาผมช้าไปหน่อยเพราะมันติดงานแต่สุดท้ายมันก็มาทันเวลาทุกครั้ง

                ไอ้พี่ถังมองหน้าผมซึ้งๆ ก่อนจะยิ้มแล้วยกมือขยี้ศีรษะของผม  พี่มันคงไม่อยากให้ผมเศร้า

                “กูไม่ได้ไปตายนะเปอร์  ถ้าอยากคุยก็โทรหาหรืออยากเห็นหน้าก็สไกป์คุยกันก็ได้  ถ้ามีวันหยุดยาวกูก็จะกลับมา โอเคไหม?” ไอ้พี่ถังยิ้มตาหยีพลางโยกหัวผมให้ไปซบที่ไหล่ของตัวเอง  คนนอกที่ไม่รู้จักเราอาจจะมองว่าเราเป็นแฟนกันก็ได้เพราะท่าทางของเรามันดูรักกันมากซะเหลือเกิน  แต่ถ้าในเวลาปกติแม่งเอาแต่กัดกันจนเหมือนคนไม่ชอบขี้หน้ากัน

                “แล้วใครจะแก้ปัญหาให้กูล่ะเนี่ย?” ผมบ่นแกล้ง

                “อ้าวไอ้เหี้ย  เห็นกูเป็นแค่คนแก้ปัญหาหรือไงวะ” ไอ้พี่ถังเลิกคิ้วกวนๆ ผมหัวเราะก่อนจะเอาหัวไซร้คอจนพี่มันหัวเราะลั่นเพราะจั๊กจี้  พี่ถังมันบ้าจี้ที่คอมากเลยล่ะครับ

                ถัง...มึงไม่ไปไม่ได้เหรอ?



 

                พอพี่ถังไปผมก็เดินถือกุญแจรถของพี่มันเพื่อขับรถกลับให้  คนขับรถที่มาส่งผมก็กลับไปตั้งแต่แรกแล้วเพราะพี่ถังมันขอให้ผมเอารถมันกลับไปด้วยเนื่องจากมันต้องขับมาที่นี่เองเพราะพ่อแม่ไม่ได้มาส่ง  ส่วนคนขับรถที่บ้านมันก็ต้องไปทำงานให้พ่อกับแม่ของพี่มัน

                พ่อแม่ไอ้พี่ถังน่ะทำธุรกิจนำเข้ารถจากยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่นแต่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดแต่เป็นผู้ถือหุ้นรองและพ่อแม่ของผมก็เปิดโชว์รูมรถจากบริษัทนี้เป็นสาขาย่อยทำให้ต้องทำงานร่วมกันอยู่เสมอ  ไอ้พี่ถังไปฝึกทำงานที่บริษัทนี้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ  ผมก็แอบหวังเล็กๆ ไว้ว่าอยากให้พ่อแม่พี่ถังเป็นผู้ถือหุ้นหลักเพราะถ้าไอ้พี่ถังได้รับช่วงต่อพี่มันก็จะเป็นประธานบริษัท  ถ้าผมอยากทำงานก็ใช้เส้นแม่งเลย  เส้นใหญ่มากซะด้วย

                เนื่องจากว่าถ้าพี่ถังต้องรับช่วงต่อจากพ่อแม่  พี่มันก็ต้องเป็นผู้จัดการทั่วไปแต่พี่มันเรียนวิศวะเครื่องกลมาพี่มันก็เลยต้องไปเรียนการตลาดที่อเมริกาเพื่อที่จะสามารถพัฒนาบริษัทให้ก้าวหน้าสู่ระดับสากลได้

                ผมเดินหารถไอ้พี่ถังไปเรื่อยๆ เพราะยังมองไม่เห็นวี่แววของรถพี่มันเลย  ไหนมันบอกว่าจอดอยู่หน้าสนามบินวะ  รถก็แม่งเยอะฉิบหาย  ติดก็ติด ขี้เกียจขับเองว่ะ! ไอ้พี่ถังก็แม่งไม่รู้จักให้คนอื่นมาส่ง ชิ!

                หมับ!

                ผมตกใจสะดุ้งโหยงเมื่อข้อมือถูกกระชากจากด้านหลังและถูกลากให้เดินตามไป  ผมมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าก่อนจะเม้มปากเป็นเส้นตรง  หัวใจบีบอัดและเต้นแรงจนแทบหายใจไม่ออก  พี่ลุกซ์...


 

                พี่มันพาผมเดินมาถึงรถของไอ้พี่ถังก่อนจะแย่งกุญแจไปจากมือของผมแล้วหันไปตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังจะขึ้นรถอีกคันที่จอดต่อกัน

                “ไอ้เคย์! เอารถกูกลับให้หน่อย  เดี๋ยวกูขับรถพี่ถังกลับ” ไอ้พี่ลุกซ์ตะโกนบอกก่อนที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ผลุบเข้าไปในรถแล้วจะก้าวออกลงมาจากรถเพื่อทำตามคำที่พี่ลุกซ์บอก  ผมตะลึงเมื่อเห็นผู้ชายคนนั้น...

                ผมสีทองเข้มๆ ซอยยาว  ตาสีฟ้าขุ่นๆ เข้มๆ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วหนาโก่งนิดๆ สีเข้มกว่าผมนิดหน่อย โครงหน้าเรียวยาวและผิวขาวน้ำนม! ฉิบหาย! ผู้ชายคนนี้หล่อมาก!!  ถึงองค์ประกอบที่พูดมามันจะดูเป็นฝรั่งเสียเหลือเกินแต่น่าแปลกที่หน้าของผู้ชายคนนี้ดูหล่อแบบไทยๆ ซะมากกว่า  พระเจ้า! ผมหลงใบหน้าเขาตั้งแต่แรกเห็นเลยครับ!!  แต่ก็นะ...ก็แค่หลงใบหน้าเฉยๆ ล่ะนะเพราะคนที่ผมรักก็ยืนอยู่ข้างผมแล้วนี่ไง

                “ได้ๆ” ไอ้พี่หล่อเหี้ย(?)เดินมารับกุญแจรถของไอ้พี่ลุกซ์ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้และ...กูก็ช็อค!!

                ไอ้หล่อตัวควายสองตัวจุ๊บปากกันต่อหน้าประชาชนทั้งหลายแหล่อย่างไม่อายใครเลยครับ  ไอ้หัวทองมันโน้มหน้าหาพี่ลุกซ์ก่อนจะประทับริมฝีปากเบาๆ แล้วผละออก  ที่ต้องโน้มหน้าเพราะไอ้หมอนั่นมันสูงกว่าพี่ลุกซ์นิดหน่อย  อ๊ากกกก!! ไอ้หล่อสารเลว! มึงจูบพี่ลุกซ์ของกูได้ไงวะไอ้เหี้ย!! มึงก็อีกคนไอ้พี่ลุกซ์...มึงทำปากจู๋รับจูบมันหาพระแสงของ้าวอะไรฟร้า!! กว๊ากกกกส์!! ไอ้เปอร์พ่นไฟ!!

                ผมมองไปรอบๆ เพื่อดูว่าคนอื่นเขาจะทำหน้าอย่างไรแต่ปรากฏว่าพวกพี่ๆ คนอื่นๆ ไม่ได้สนใจเหมือนกับว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาแต่คนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมาเบิกตากว้างอย่างตกใจไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่

                “ภีร์ มึงไปรับกูที่บ้านไอ้ลุกซ์ด้วยนะ” ไอ้หล่อสารเลวนั่นตะโกนบอกเพื่อนอีกคนที่ตอนแรกมันจะขึ้นรถไปด้วย  เมื่อตกลงกันเรียบร้อยทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปส่วนผมก็เอาแต่ยืนนิ่งในขณะที่พี่ลุกซ์เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่นั่งคนขับเรียบร้อย

                “เอ่อ...ผมกลับแท็กซี่ละกันครับ” ผมบอกเสียงเบา  ผมยังไม่พร้อมที่จะไปไหนกับพี่ลุกซ์ทั้งนั้นแหละครับ

                “เชิญ” ไอ้พี่ลุกซ์ยักไหล่ก่อนจะออกรถไปทันที  อ้าวเหี้ย! ทิ้งกูเฉยเลย  แม่ง...เล่นตัวนิดเล่นตัวหน่อยก็ไม่ได้  แคร์กูหน่อยไม่ได้หรือไงเนี่ย  เฮ้อ! ใจร้ายเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ



 

                ผมเดินมายืนข้างถนนเพื่อโบกแท็กซี่อย่างเก้ๆ กังๆ  เหี้ยแล้วไหมล่ะ? คนแม่งรอขึ้นแท็กซี่เยอะฉิบหายแล้วชาติไหนกูจะได้กลับวะ

                สุดท้ายผมก็ต้องโทรเรียกคนที่บ้านให้กลับมารับผมไปส่งที่โรงเรียนเพื่อกลับไปเรียนภาคบ่าย  เดี๋ยวนี้ตั้งใจเรียนครับเพราะไม่อยากให้พี่มันเป็นห่วง  อีกอย่าง...ผมอยากจะสอบเข้าที่เดียวกันกับพี่ลุกซ์ให้ได้  เมื่อหัวใจผมเข้มแข็งขึ้นผมจะบอกรักไอ้พี่ลุกซ์อีกสักครั้ง  คราวนี้...ต่อให้ถูกทำร้ายจิตใจแค่ไหนผมก็จะทนให้ได้!



 

                ผมพยายามใช้เวลาหนึ่งปีของชีวิตม.ปลายที่เหลือตั้งใจเรียนอย่างหนัก  ทั้งเรียนพิเศษทุกวันถึงดึกดื่นแต่ก็มีบ้างบางวันที่ผมไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ตามประสาคนรักสนุกแต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้ยุ่งกับผู้หญิงสักเท่าไหร่เพราะผมไม่ค่อยจะมีเวลา

                ผมสอบติดวิศวกรรมศาสตร์สาขาเครื่องกลตามที่คาดหวังไว้พร้อมกับไอ้พัดที่แม่งเก่งแต่ไม่รู้ตัวเองว่าจะเรียนอะไรก็เลยมาเรียนกับผม  มันให้เหตุผลที่ว่า...จบมาแล้วมึงรับกูทำงานที่โชว์รูมมึงละกัน ทั้งๆ ที่พ่อกับแม่มันตั้งใจจะให้มันเป็นหมอเพราะพ่อมันเป็นหมอ  แต่ไอ้พัดมันไม่ชอบมันก็เลยไม่เรียนทั้งๆ ที่สอบติด

                พอรู้ว่าติดมหาลัยผมก็รีบโทรรายงานไอ้พี่ถังทันทีเพราะที่ที่ผมติดก็คือที่ที่มันเรียนจบมาและเป็นที่ที่พี่ลุกซ์กำลังเรียนอยู่ด้วย  ไอ้พี่ถังดูไม่ค่อยจะพอใจนักที่ผมเรียนที่เดียวกันกับพี่ลุกซ์  ก็พี่ถังมันยังเคืองไม่หายและมันกลัวว่าผมจะเข้าไปยุ่งกับไอ้พี่ลุกซ์จนเจ็บหัวใจอีก  ตอนนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปแล้ว  นอกจากคนโง่ๆ อย่างผมจะกลายเป็นคนเรียนดีขึ้นมามากหัวใจของผมก็เข้มแข็งมากเช่นเดียวกัน

                “ไหนๆ ก็แม่งติดมหาลัยแล้วเราไปฉลองกันเถอะเชี่ยเปอร์” ไอ้พัดชวน  ที่จริงไอ้หมอนี่มันติดตั้งแต่รอบรับพิเศษแล้วแต่ผมติดรอบรับตรง  ตอนนี้ก็เลยชิลล์ในขณะที่คนอื่นกำลังลุ้นผลแอดมิสชั่นกันอย่างใจจดใจจ่อ

                “โอเค ไปที่ประจำละกัน” ผมพูด  ที่ประจำของพวกผมตอนนี้ก็คือผับเปิดใหม่เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง

                “วันนี้เอารถกูไปละกันแต่มึงขับนะ  เดี๋ยวกูโทรนัดเพื่อนคนอื่นๆ ก่อน” ไอ้พัดพูดพลางยื่นกุญแจรถมาให้ผมก่อนที่มันจะหันไปกดโทรศัพท์ยิกๆ


 

                ผมรู้สึกเซ็งๆ ที่พวกเพื่อนๆ แม่งดื่มกันจนเซและปากหมาไปหาเรื่องโต๊ะข้างๆ  ดีนะที่เขาไม่กระทืบเอา  ส่วนไอ้พัดก็แม่งกลับไปก่อนเพราะน้องชายไม่สบาย  พ่อมันเป็นหมอไม่ใช่เหรอวะ  ทำไมไม่ให้พ่อดูแล  แล้วกูจะกลับยังไงเนี่ย?  ที่แน่ๆ กูไม่กลับกับพวกเหี้ยนั่นเด็ดขาด  ไม่กล้าฝากชีวิตไว้กับพวกมัน

                ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะเดินมานั่งที่เคาน์เตอร์และสั่งเหล้าเบาๆ จากบาร์เทนเดอร์มาดื่ม  ผมนั่งข้างผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวสูงๆ ผมแอบสังเกตเห็นเขาซัดเหล้าอึกๆ แต่ไม่ยักกะเมาอีกทั้งยังมีผู้หญิงแวะเวียนมานัวเนียด้วยอยู่ตลอด  ท่าทางจะหล่อไม่เบาแฮะ

                “โทษนะครับ  ขอชนแก้วด้วยได้หรือเปล่า?” ผมหันไปหาเขาเพราะอยากจะเห็นหน้า  จะหล่อแค่ไหนกันเชียวเล่นซะกูไม่มีผู้หญิงเข้าหาเลย

                “เอาสิ” เขาหันหน้ามานิดๆ พลางหรี่ตามองผมและยกแก้วของตัวเองขึ้น

                ผู้ชายคนนี้...ผมจำได้!!

                เขาเป็นน้องชายของไอ้พี่ลุกซ์!!

                “อ่า! คุณนั่นเอง” ผมยิ้มทักทายพลางชนแก้วกับเขาเบาๆ

                “เคยรู้จักกันเหรอครับ?” เขาจิบเหล้านิดๆ พลางหรี่ตามองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะถามขึ้น

                “ก็ไม่รู้จักหรอกครับ  ผมเคยเห็นคุณมาก่อน  คุณเป็นน้องของพี่ลุกซ์ใช่หรือเปล่า?” ทันทีที่ผมถามจบหน้าของผู้ชายคนข้างๆ ก็ตึงขึ้นมาทันที

                “...” ผู้ชายคนนั้นนั่งหันหน้าตรงไม่พูดอะไรเหมือนกับว่ากำลังไม่พอใจที่ผมถาม  เขาคงยังไม่หายโกรธที่พี่ลุกซ์นอนกับแฟนเขาล่ะมั้งเนี่ย  พี่ลุกซ์นี่ก็แย่จริงๆ ทำกับน้องชายแท้ๆ ของตัวเองได้  ขนาดกับน้องแท้ๆ เขายังใจร้ายขนาดนี้แล้วกับคนอย่างผมล่ะ?  ผมไปกวนตีนบอกรักเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะถูกรังเกียจ

                “ผมต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้คุณไม่พอใจ” ผมยิ้มแหยๆ ตามแบบฉบับของตัวเอง  จะมีช่วงหนึ่งที่ผมไม่ค่อยจะยิ้มไม่ค่อยหัวเราะไปกับคนอื่นๆ มันคือช่วงที่ผมกำลังทำจิตใจให้เข้มแข็ง  พอเริ่มปรับสภาพจิตใจของตัวเองได้ผมก็กลับมาเป็นไอ้เปอร์ผู้ยิ้มได้ทุกสถานการณ์เหมือนเดิม

                “ไม่เป็นไรครับ” น้องชายของพี่ลุกซ์มองผมนิดๆ ก่อนจะหันไปจิบเหล้าต่อ  ผมไม่รู้นะว่าเขาไม่พอใจอะไรผมแต่หน้าเขานิ่งมากเลยล่ะครับ  ยิ้มหน่อยก็ดีนะหน้าตาอุตส่าห์หล่อขนาดนั้นแท้ๆ

                ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาต่อแต่เราก็นั่งดื่มพลางชนแก้วกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาขอตัวกลับ  ผมเองก็คงได้เวลากลับบ้างแล้วล่ะมั้ง  พอคิดจะกลับผมก็เดินกลับไปที่โต๊ะของพวกเพื่อนๆ ก็ปรากฏว่าพวกมันกำลังมีเรื่องกับโต๊ะอื่น  ไม่วายพวกมันคงไปหาเรื่องเขาล่ะมั้งเนี่ย  ตอนนี้พวกมันแม่งก็เมากันจนพูดไม่รู้เรื่องแล้วนี่  เฮ้อ  ผมเข้าไปช่วยพูดให้ดีกว่า  ถึงยังไงก็เหี้ยนี่ก็เป็นเพื่อนผมทั้งนั้น

100%

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา