Vampire Heart
เขียนโดย BlueberuS
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 00.33 น.
แก้ไขเมื่อ 11 มกราคม พ.ศ. 2560 16.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) โลกของแวมไพร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่5
โลกของแวมไพร์
ในเช้าวันต่อมา แสงแดดอ่อนๆยามเช้าฉายส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดม่านบังแสงออกเหลือเพียงม่านลูกไม้สีขาวบางๆ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเข้ามาเป็นระลอกกระทบกับม่านผืนโปร่งบางให้สะบัดพลิ้วเป็นแนวคลื่น เมื่อชายผ้าม่านถูกพัดขึ้นสูง แสงตะวันที่สาดส่องกระทบกับกระจกที่หน้าต่างก็สะท้อนมายังเตียงนอนภายในห้อง ปลุกให้ร่างบางที่หลับใหลตื่นจากฝัน
เมลโล่ว์ลืมตาตื่นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จากการเสียเลือดไปเป็นจำนวนมากในคืนที่ผ่านมาทำให้ร่างกายของเธออ่อนเพลีย เธอยกมือขึ้นขยี้เปลือกตาเบาๆก่อนที่จะเลื่อนลงไปคลำรอยแผลที่ลำคอ มันเริ่มหายดีเพียงชั่วข้ามคืนแต่ก็ยังไม่หายสนิทนัก เพียงเท่านั้นมันก็ทำให้เธอโล่งใจขึ้น ร่างกายของเธอหายจากการกลายสภาพแล้ว เธอเหลือบมองไปที่หน้าต่าง จากตรงนี้สัมผัสได้ถึงลมจางๆและเสียงนกร้องดังมาจากข้างนอก เธอค่อยๆลุกจากเตียงนอน ผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้เช่นเดียวกันกับเสื้อผ้าตัวเดินที่เคยสวมอยู่ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอนแบบโบราณสีขาวสะอาดตา เธอมองดูรอบๆห้องที่มีแต่ตัวเองเพียงลำพัง ผนังที่มุมหนึ่งของห้องมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่และโต๊ะเขียนหนังสือยังเต็มไปด้วยกระดาษและม้วนเอกสารวางอยู่กับที่ทับกระดาษทำจากแร่ผลึกชนิดหนึ่งขัดเป็นรูปพญาอินทรีขนาดเกือบเท่าของจริงตั้งเอาไว้ข้างๆปากกาขนนกหัวปากกาทำจากทองเสียบอยู่ในขวดหมึก อีกด้านหนึ่งมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่และโต๊ะเครื่องแป้งที่มีเพียงเครื่องหอมไม่กี่อย่างวางเอาไว้ ถัดไปเป็นประตูอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูทางออกเธอถือวิสาสะเปิดประตูบานนั้นแล้วยื่นใบหน้าเข้าไปดู ภายในอีกฝั่งคือห้องน้ำกว้าง พื้นทางเดินทำจากหินอ่อนเกรดดีสีนวลตาผนังห้องสีขาวกั้นระยะด้วยเสาสีทอง อ่างอาบน้ำราคาแพง และพรมขนสัตว์อย่างดี ทั่วทั้งห้องประดับอย่างสวยงาม
เมลโล่ว์ถอยหลังกลับไปที่ห้องนอน สิ่งที่อยู่รอบตัวเธอราวกับความฝัน เธอดึงความคิดกลับมาแล้วเดินตรงไปยังหน้าต่างพลางกวาดสายตามองสิ่งที่อยู่ข้างนอกผ่านม่านลูกไม้ผืนบาง มันคือสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ มีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ถูกปลูกเอาไว้รอบๆมีทางเดินอยู่บริเวณรอบๆสวนปูด้วยอิฐชั้นดี ถัดไปเป็นกำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบบนกำแพงสร้างเป็นทางเดินมีคนสวมชุดคล้ายทหารองครักษ์ถือหอกประดับธงตราสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยว และไกลออกไปนอกกำแพงเต็มไปด้วยอาคารที่อยู่อาศัยมากมายไกลสุดลูกหูลูกตาเป็นภาพวิวที่สวยงามจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“อาณาจักร...” เมลโล่ว์กระซิบกับตัวเองเบาๆ
กรึ่ก...
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นแล้วเปิดออกจากด้านนอก เบนสายตาของร่างบางไปยังประตูทางออกแทน
ปึง...
ประตูห้องถูกปิดลงเมื่อเจ้าของ้องกลับมาถึง เบลนด์เนสเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ
“ตื่นแล้วหรอ...” ทักทายสั้นๆเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ที่หน้าต่าง
“.....” เมลโล่ว์ไม่ได้ตอบอะไรเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมายังทำให้เธอไม่อยากพูดกับเขาเสียเท่าไหร่
“ฉันเอาอาหารมาให้...กินซะ” เขาพูดพร้อมกับวางถาดอาหารไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา
“.......” เมลโล่ว์มองไปที่ถาดอาหารนั่นเล็กน้อยแล้วหันกลับมาตามเดิมพร้อมคำพูดปฏิเสธ
“ฉันไม่หิว...” คำตอบนั้นทำให้เบลนด์เนสไม่พอใจเอาเสียเลย เขาละสายตาจากเธอแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วนั่งลงก่อนที่จะพูดต่อ
“กว่าจะหาอาหารของมนุษย์มาได้มันยุ่งยากและเสียเวลา ฉันคิดว่าเธอควรจะกินมันซะ” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกเป็นเชิงบังคับแม้เขาจะไม่ได้สบตาเธอก็ตาม แต่เมลโล่ว์ก็รับรู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี
เธอเดินมานั่งที่โซฟาแล้วจ้องมองอาหารที่วางอยู่ในถาด มันถูกจัดเตรียมมาอย่างดี น้ำเปล่าในแก้วคริสตัลราคาแพงและขวดแก้วอีกสองขวดบรรจุน้ำเปล่าและนมเอาไว้สำหรับเติม ขนมปังอบร้อนๆทำจากส่วนผสมอย่างดีและแยมผลไม้ในภาชนะใสมีฝาปิดอย่างดีวางอยู่ใกล้ๆกัน ถัดมาเป็นเนื้ออบพันด้วยเบค่อนและโปะหน้าด้วยไข่ดาว เครื่องเคียงมีผลไม้หลายชนิดจัดใส่เอาไว้ในตะกร้า ภาชนะใส่อาหารทุกอย่างทำจากวัสดุราคาแพง ทุกอย่างล้วนประดิฐอย่างหรูหราไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยข้าวของเครื่องใช้กระทั่งอาหาร จนเธออดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“แวมไพร์ใช้ชีวิตหรูหราขนาดนี้กันทุกคนเลยหรอ?” เธอเอ่ยถามขณะที่ยังจ้องมองอาหารตรงหน้าอยู่ราวกับไม่กล้าที่จะแตะต้องมัน เบลนด์เนสเหลือบขึ้นมองท่าทีของเธอเล็กน้อยแล้วหลุบสายตาลงมาที่เอกสารตรงหน้าตามเดิมพร้อมกับพูดบางอย่าง
“เธอคงคุ้นชินกับการเรียกเราว่าแวมไพร์...คงเป็นเพราะนิทานปรัมปราที่มนุษย์เล่าต่อๆกันสินะ เราไม่ได้เรียกตัวเองว่าแวมไพร์กับพวกเดียวกันหรอก...แต่เราใช้คำนั้นกับเผ่าพันธุ์อื่น” เขาพูดขณะเขียนบางอย่างลงบนกระดาษด้วยปากกาขนนอกทองคำ เมลโล่ว์หันมามองเขาแล้วถามต่อ
“แล้ว...พวกนายเรียกตัวเองว่าอะไรกันล่ะ?” เธอจ้องมองเขาที่กำลังให้ความสนใจกับกระดาษและเอกสารบนโต๊ะ
“...เมเฟียอัส” เขาตอบสั้นๆพลางเอื้อมหยิบเอกสารม้วนใหม่ขึ้นมาคลี่อ่าน
“เมเฟียอัสหรอ?” เมลโล่ว์เอ่ยทวนคำพูดของเขาด้วยความสงสัย
“มันเป็นภาษาโบราณของแวมไพร์ แปลว่า ผู้เป็นนิรันดร์” คำตอบของเขาได้ไขข้อข้องใจเธอแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเรื่องถาม
“พวกนายอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน?”
“เผ่าพันธุ์ฉันเกิดก่อนสิ่งมีชีวิตอื่น...เรามีมาตั้งแต่นับวันถือกำเนิดโลก...พระเจ้าเลือกสร้างธาตุอากาศและสิ่งมีชีวิต นับเป็นเวลาเจ็ดวันจึงสร้างมนุษย์ท้ายสุด นั่นคือการนับวันสร้างโลก แต่เราถูกสร้างขึ้นก่อนนั้น...ดินแดนของเราอุดมสมบูรณ์ที่สุด ความพัฒนาหลายสิ่งในดินแดนของมนุษย์ล้วนมาจากเรา”
“มิน่าล่ะ ทั้งเบค่อนและนมสด...ของพวกนี้เหมือนคัดมาอย่างดี มนุษย์ทั่วๆไปแทบไม่มีโอกาสได้กิน” เมลโล่ว์พูดเช่นนั้นด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“เลิกพูดมากแล้วกินซะ...ในดินแดนของเธอไม่มีโอกาสได้กิน อยู่ที่นี่เธอจะได้กินมันเท่าที่ต้องการ” พูดจบเขาก็จัดการงานตรงหน้าของตนต่อ
เมลโล่ว์หันกลับมาจดจ้องที่อาหารตรงหน้าอีกครั้งก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบขนมปังขึ้นมากินเป็นอย่างแรก เธอกัดคำเล็กๆเพื่อลิ้มรสชาติของมัน
“...อร่อยจัง” เธอพึมพำเบาๆกับตัวเองด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยได้ทานอาหารรสชาติแสนอร่อยขนาดนี้มาก่อน เธอใช้เวลาพักใหญ่กับการจัดการอาหารตรงหน้าจนอิ่ม หลังจากนั้นทั้งสองใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ในห้องเงียบๆ เมลโล่ว์นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มีหลายๆเรื่องที่เธออยากรู้เกี่ยวกับดินแดนนี้ เธอมองกลับไปที่เบลนด์เนสแล้วสังเกตุบางอย่างที่ผิดปกติมาพักใหญ่แล้ว
[แวมไพร์โดนแสงแดดได้ด้วยหรอเนี่ย...] เธอถามตัวเองในใจแล้วจ้องมองอยู่เงียบๆ ขณะนั้นเองเบลนด์เนสไม่ได้สนใจท่าทีของเธอเขาเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษตรงหน้าแล้วประทับตรา
“บารอน...ช่วยส่งข่าวให้ที...” เขาพูดขึ้นราวกับว่ามีใครอยู่กับเขาด้วย ยิ่งสร้างความแปลกใจให้เมลโล่ว์มากขึ้นอีก ทันใดนั้นเองรูปปั้นหินสลักรูปนกอินทรีที่เคยวางนิ่งอยู่ก็เกิดขยับได้ขึ้นมาโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย นกอินทรีที่ถูกแกะสลักจากผลึกแวววาวกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาจริงๆจนเธอตกใจ
“อีกแล้วหรอ?...เห้อ” เสียงพร่ำบ่นดังมาจากนกอินทรีตัวนั้นขนของมันมีสีเดียวกันกับปากกาขนนกของเบลนด์เนส และมันยังพูดต่อไปอีก
“คราวนี้ที่ไหนล่ะ?”
“ป้อมปราการชายแดนทางตอนเหนือ ฝากด้วยล่ะ” เบลนด์เนสตอบพร้อมกับยื่นม้วนกระดาษที่เขาประทับตราเอาไว้ให้นกอินทรี แต่แทนที่นกตัวนั้นจะหยิบม้วนกระดาษในมือของเขา มันกลับกินเข้าไปแทนและต่างฝ่ายต่างไม่ได้มีท่าทีว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด
พรึ่บ!
นกอินทรีนามว่าบารอนกางปีกสยายออกกว้างแล้วกระโจนไปจากโต๊ะของเบลนด์เนสแล้วกระพือปีกบินออกไปทางหน้าต่างสู่ท้องฟ้ากว้างแล้วบินมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือในทันที เมลโล่ว์ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งเห็น เธอไม่เคยเห็นเวทย์มนต์มาก่อนและไม่เคยรู้ว่ามันมีจริง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนนี้ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์ แม้จะเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจและน่าชื่นชมแต่เธอก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับมันซะทีเดียว เธอยังคงทำใจยอมรับได้ยากเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมาจากแวมไพร์
“เอาล่ะ...ฉันต้องการเลือดของเธอสำหรับวันนี้ คิดว่าตอนนี้เธอคงแข็งแรงพอ” เบลนด์เนสเริ่มบทสนทนากับเมลโล่ว์หลังจากเสร็จงานแล้วพร้อมกับเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะเขียนหนังสือแล้วหยิบอุปกรณ์บางอย่างขึ้นมา เมลโล่ว์จ้องมองท่าทีของเขาโดยไม่ละสายตา ชีพจรของเธอเต้นถี่รัวขึ้นเมื่อรู้ว่าเวลานี้ฝ่ายตรงข้ามต้องการอะไร เธอหวนนึกถึงคืนที่สุสาน ความเจ็บปวดในตอนนั้นทำให้เธอไม่มีวันลืม
“ไม่ต้องกลัว...มันไม่เจ็บอย่างที่เธอคิด” เขาบอกให้เธอคลายกังวลแล้วเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะนำอุปกรณ์ที่ถือมาด้วยสวมให้กับเธอ มันคือเข็มขัดเส้นหนารูปร่างการใช้งานของมันแปลกไปจากเข็มขัดทั่วๆไป มันถูกสวมเข้าที่คอและข้อพับแขนทั้งสองข้าง มีสายยางลำเลียงยาวต่อออกมาจากเข็มขัดโยงจากเข็มขัดทุกเส้นมาเชื่อมกันเป็นเส้นเดียว
“นี่คืออะไร?” เธอถามสั้นๆขณะที่เขาเดินออกห่างไปยังผนังห้องโล่งๆแล้วสัมผัสมันเบาๆ เพียงเท่านั้นก็มีประตูลับเปิดออก ภายในนั้นเก็บขวดโหลเอาไว้มากมายบางขวดถูกบรรจุของเหลวสีสดเอาไว้และบางขวดยังคงว่างเปล่า เขาหยิบเอาขวดเปล่าออกจากตู้ลับนั่นแล้วเดินกลับมาพร้อมคำตอบ
“มันคือเครื่องเจาะเลือดมนุษย์ เราใช้มันดูดเลือดออกจากตัวมนุษย์แทนการกัดที่จะส่งผลข้างเคียงทำให้กลายร่าง เราเคยนำมนุษย์มาที่นี่จำนวนมากเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อสะสมเลือด แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่แอบหลบหนีจนถูกฆ่าก็ตรอมใจตาย” ร่างสูงนำขวดโหลมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเมลโล่ว์ แล้วนำสายยางลำเลียงใส่ลงไปในขวด
“มีมนุษย์คนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยหรอ!?”
“ตอนนี้มีเหลืออยู่ไม่มากนักหรอก” เขาตอบก่อนที่จะเอื้อมมือมาที่เข็มขัดที่คอของเธอแล้วกดปุ่มบางอย่างเพื่อเปิดกลไกการทำงานของมัน
“อ๊ะ!” เมลโ,ว์สะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกคล้ายกับว่าถูกเข็มแทงเข้าที่คอใต้เข็มขัดนั่น เบลนด์เนสไม่ได้สนใจอาการของเธอเขากดปุ่มที่เข็มขัดอีกสองเส้นที่สวมอยู่ตรงข้อพับแขนทั้งสองข้างของเธอ เข็มที่อยู่ในปลอกคอฝังเข้ามาใต้ผิวหนังเจาะเข้าเส้นเลือดใหญ่ของเธอคาอยู่แบบนั้น
“อึก!...” ร่างบางพอที่จะอดกลั้นกับสัมผัสที่เจ็บแปล๊บเพียงสั้นๆนั้นได้ ไม่นานเลือดของเธอก็ไหลผ่านเข็มที่คาอยู่ผ่านเข็มขัดแล้วส่งไปยังสายลำเลียงไหลลงไปในขวดโหลตรงหน้า
“นั่งอยู่แบบนี้ซักพักจนกว่ามันจะเต็มขวด...ระหว่างนั้นอย่าขยับให้มากนักล่ะ” พูดจบเขาก็กลับไปนั่งทำงานต่อ
ถึงจะไม่เจ็บเท่าไหร่แต่เมลโล่ว์ก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของตนเองเริ่มหมดแรงลงทุกทีกระทั่งขยับตัวไม่ได้ เธอพยายามคุมสติให้อยู่กับตัวมากที่สุดแต่ก็ไม่สามารถทำได้นานไปกว่านี้ เวลาไม่นานนักเธอก็เผลอหมดสิแล้วหลับไปกับพนักพิงหลังทั้งอย่างนั้น เบลนด์เนสคอยเหลือบมองดูที่โหลแก้วเป็นระยะๆและเมื่อเลือดของเธอบรรจุลงจนเต็มแล้วเขาก็ลุกเดินไปถอดเข็มขัดออกจากตัวของเธอและนำเลือดในโหลแก้วที่ได้มาเก็บเข้าใส่ตู้ลับตามเดิม
เบลนด์เนสจัดการปิดปากแผลให้กับเธอแล้วพันผ้าพันแผลให้อย่างดีก่อนจะอุ้มร่างไร้สติของเธอกลับไปที่เตียง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ