No Sugar!! บ้าน่า..ฉันหลงรักนายตอนไหน?

9.3

เขียนโดย Murasaki

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 23.55 น.

  7 chapter
  2 วิจารณ์
  12.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 20.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ผู้มาเยือน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Part : อิมเพรส

วันนี้ผมรีบตื่นแต่เช้าแล้วออกมารอรถเมล์คนเดียวโดยไม่รอไอ้น้องชายตัวแสบ เพราะวันนี้ผมจะไปโรงเรียนให้ได้ถึงแม้จะไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังตาของผมช่างหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงของโลกยิ่งนัก แต่เวลานี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่า...เท่ารอรถเมล์

 

“เอ! วันนี้รถเมล์ทำไมมาช้าจังว่ะ” ผมยืนพึมพำอยู่คนเดียวที่ป้ายรถเมล์ที่มีคนออกมารอรถประจำทางเยอะแยะไปหมด เร่งรีบกันจริงๆ

 

“ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ คุณภรรยา” เอ่อ..พระ พระอยู่ไหน ผมอยากทำบุญ EMS อ่ะ ทำไมเจอสัมภเวสีแต่เช้าเลยว่ะ จะใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ไอ้มาเฟียบ้ากามนามว่า ฮาเดส มายืนขอส่วนบุญอยู่ใกล้ๆ ณ ป้ายรถเมล์แห่งนี้

 

“มาทำอะไรแถวนี้?”

 

“ลืมนัดของเราหรอครับ?”

 

“เสียสติใช่ป่ะ? ไม่เคยนัดกันไว้โว้ย!” ผมทำหน้าอึนใส่ฮาเดสแล้วรีบเดินหนีมาเฟียโรคจิตนั่น วันนี้ดวงซวยแท้ๆ

 

“จะรีบไปไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง” ผมได้ยินประโยคนั้นแล้วอยากจะส่ายหัวปฏิเสธทันทีที่ได้ยินประโยคแสลงหูในยามเช้า ใครจะไปกับมันล่ะ ก็ที่ผมอุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นมาไม่ใช่เพราะจะหนีไอ้บ้านี่หรือไง เหอะ!

 

“ขอบคุณ แต่ฉันมีปัญญาไปเองได้”

 

“ไปด้วยกันเถอะนะ คุณภรรยา” อืม..กูจะไม่อยากไปก็ตรงคำนามที่เรียกนี่แหละ แล้วฮาเดสก็เข้ามาดึงแขนผมให้เดินไปด้วยกันจนมาถึงรถลัมเบอร์กินี เวเนโน สีบรอนซ์เงิน ที่มีเพียง 1 ใน 3 คันในโลกเท่านั้น มันรวยว่ะ แล้วทำไมผมถึงรู้ก็เพราะผมชอบไง แต่ไม่มีปัญญาจะซื้อ ฮ่าๆๆๆ

 

“จะยืนมองอีกนานมั้ย? เข้าไปสิ”

 

“ไม่อ่ะ เดี๋ยวตัวฉันขึ้นผื่น”

 

“หา? นายไปแพ้อะไร?”

 

“แพ้ของแพง” ผมตอบหน้าตายใส่มันแล้วทำเป็นลอยหน้าลอยตา กูไม่ขึ้นมีอะไรมั้ย?

 

“งั้นแพ้ไป เดี๋ยวฉันพาไปรักษาแถวคลินิกสัตวแพทย์” อ๊าก! มันเห็นผมเป็นมนุษย์ที่หล่อ ฉลาด และได้รับเกียรติให้ไปรักษาตัว ณ ที่แห่งนั้นเลยเหรอ (ยังใช่คนอยู่เหรอ?..ฮ่าๆๆๆ)

 

“ไม่ไปโว้ย! ไอ้หน้านันยาง ปล่อยกู” ผมร้องโวยวายและดิ้นสุดแรงเท่าที่จะทำได้ แต่ไอ้บ้าฮาเดสก็จับผมยัดใส่รถมันมาจนได้แล้วขับมาส่งที่โรงเรียน ว่าแต่มันรู้ได้ยังไงว่าผมเรียนที่ไหน? ช่างมันเถอะ รีบลงจากรถดีกว่า

 

“ไม่เห็นขอบคุณกันสักคำ”

 

“ขอร้องให้มาส่งหรือเปล่าล่ะ?”

 

“มันน่านัก เดี๋ยวจับจูบเลยนิ” ผมมองหน้ามันตาโตอย่างตะลึงแล้วก็รีบตาลีตาเหลือกหันไปเปิดประตู ต้องรีบลงเดี๋ยวมันจูบจริงแล้วจะซวยเอา

 

“ขอบคุณที่มาส่ง บ๊าย..บาย” 

 

“เย็นนี้ฉันจะมารับ” ฮาเดสเลื่อนกระจกลงแล้วยื่นหน้ามาบอกผม

 

“มะ...ไม่”

 

บรื้น...

 

“ไม่ฟังกูเลย ไอ้นรกเอ้ย!”

 

มันไปซะแหละ จะบอกว่า กูไม่ต้องการโว้ย! ไอ้เผด็จการนรก! สนใจกูหน่อยเซ่ (เรียกร้อง?)

 

ผมเหนื่อยใจมากเลยหลังจากที่เพิ่งเปิดเทอมมาแค่  4 วัน แต่เกิดเรื่องราวเยอะแยะมากมาย แล้วผมจะทำยังไงกับชีวิตดีจะเอาเชือกมามัดตรงสะพานและทำห่วงคล้องคอจากนั้นก็กระโดดลงมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มจะดีมั้ย? โตงเตงดี ได้รับลมและผ่อนคลายจะได้ไม่ต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ ขณะที่กำลังเพ้อเจ้อและส่ายหัวไปกับความคิดของตัวเองในยามเช้าที่แสนจะสดชื่น ทันใดนั้นก็มีมือปริศนายื่นมาจับ...

 

หมับ!

เอ...ใครจับหน้าอกกูว่ะ จากลักษณะทางกายภาพของมือเจ้าของน่าแม่หญิงที่สวยน่ารักและดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี มือขาวเนียนซะ ผมหันไปมองเจ้าของมือปริศนาทางด้านหลังด้วยภภาพสโลว์ ถุย! นึกว่าใคร

 

“โห่! ไม่สนุกเลย โดนจับจนชินล่ะสิ” ไอ้ไอเดียครับ กวนแต่เช้าเลย

 

“พ่องมึงเซ่  ใครโดนจนชินว่ะ เขาเรียกว่ามีสติเว้ย!”

 

“เหรอ? ถ้าเกิดว่ามึงกำลังจะถูกปล้ำ แกก็คงมีสติแล้วนอนนิ่งเลยอ่ะดิ โห่! น่าลอง” ไอเดียยิ้มแย้มดูสนุกสนานกับการแกล้งผมในเช้าวันนี้ ทั้งที่ปกติไอ้นี่มันจะมาโรงเรียนสายตลอด

 

 “ทำไมวันนี้มึงมาแต่เช้า?” ชิ้ง ชิ้ง ผมรีบพูดเปลี่ยนเรื่องพลางส่งสายตาคาดคั้นไอเดีย ก็ปกติมันจะมาช้ากว่าผมนี่ครับ น่าสงสัยนะ

 

“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก คิดมากว่ะมึง ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวกูเลี้ยง”

 

“ไม่ต้องเอาของกินมาล่อ กูไม่ใช่เด็ก 2 ขวบ”

 

“แต่สมองมึงน่าจะใช่นะ”

 

“อ๊าก! ไปตายซะ ไอ้เพื่อนสารเลว ฉันจะฆ่าแก” ผมวิ่งไล่ไอเดียไปตามทางเดินจนวิ่งไปชนร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเข้าจนได้

 

“อ๊ะ ขอโทษครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ผมรีบพูดขอโทษโดยที่ไม่ทันได้เงยหน้ามองคนที่มีบุญได้ชนเข้ากับร่างกายอันบริสุทธิ์ของผม(มันเว่อร์ได้อีก)

 

“ถ้าบอกว่าเจ็บ นายจะทำยังไง?” ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำถามแปลกๆ นึกแปลกใจจนอดที่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหนังหน้า(?)ของคนที่บังอาจถามคำถามแปลกๆนั้น

 

“เอ่อ..ขะ..ขอโทษครับ”

ว้าว...ผมเห็น..เห็นชายหนุ่มรูปหล่อหน้าตาเหมือนลูกครึ่ง เอ..คนไทย-ญี่ปุ่นหรือเปล่าว่ะ น่าจะใช่นะ ดวงตาสีดำรัตติกาลแพรวพราวเหมือนเจอของเล่นชิ้นใหม่กำลังจ้องหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มมีเลศนัยของร่างสูงใหญ่ แต่เจ้าหมอนี่หุ่นดีอย่างกับนายแบบเลย อะไรจะเพอร์เฟ็กต์ซะขนาดนั้น อิจฉาอ่ะ

 

“มองอะไร หืม?” ผู้ชายคนนั้นก้มหน้าลงมาใกล้ๆจนผมตกใจแล้วเดินถอยหลังหนี

 

“มะ...ไม่มีอะไร ขะ..ขอโทษนะ ไม่เจ็บตรงไหนใช่ป่ะ?”

 

“ไม่เป็นไรหรอก จะไปเจ็บได้ไง ตัวนายเล็กอย่างกับลูกแมว” อ้าว! เดี๋ยวกูต่อยตาแตกเลย หาว่ากูเป็นพญาเสือโคร่งเหรอ! (นายเอกมันหูหนวก...เขาบอกว่า ลูกแมว ว่ะ)

 

“ถ้าไม่เป็นไร งั้นฉันขอตัวก่อน”

 

“เฮ้! จะทิ้งกันเฉยๆเลยหรอ? นายมาเป็นไกด์พาทัวร์โรงเรียนหน่อยสิ” อ๋อ! เด็กใหม่นี่เอง เหอะ! อย่าว่าแต่พาทัวร์โรงเรียนเลย พาไปนรกง่ายกว่ามั้ย?

 

“ไม่ดีกว่า ฉันเพิ่งอยู่ที่นี่มาแค่  4 วัน ยังไม่ค่อยรู้ทางอ่ะ แต่ถ้าเป็นเพื่อนๆของฉันน่าจะช่วยได้นะ”

 

“เฮ้ย! กูรอมึงนานแล้วนะเพรส เมื่อไรจะเดินมาที่โต๊ะว่ะ กูหิวข้าวนะโว้ย!” ไอเดียเดินมาทักแล้วบ่นใส่ผมที่ปล่อยให้มันรอ แล้วหันไปจ้องผู้ชายแปลกหน้าที่อยากจะไปทัวร์โรงเรียนกับผมซะเต็มที่

 

“นางฟ้า” หือ? ใครมาเพ้อเจ้อแถวนี้ว่ะ นางฟ้าที่ไหน? กูไม่เห็นเลย ไอ้บ้านี่มันเพ้ออะไรของมัน

 

“มึงบ้าหรือเปล่า? โรงเรียนชายล้วนจะมีนางฟ้าได้ไงว่ะ” ไอเดียหันไปถามไอ้เด็กใหม่ที่จ้องหน้ามันไม่วางตา มันแอบคิดอะไรหรือเปล่าว่ะ?

 

“ก็เธอไงที่เป็นนางฟ้าของฉัน” กรรมแล้วสิ มันคิดกับไอเดียจริงๆด้วย ผมมองทั้งสองคนแล้วพลางทำหน้าสยองไปด้วย คู่นี้มีความลับกันหรอ?

 

“เฮ้ย! ไอ้โรคจิต นี่ตามึงยังปกติอยู่หรือเปล่าว่ะ กูเป็นผู้ชายนะโว้ย!” ไอเดียโวยวายใส่เด็กใหม่อย่างตกใจ ดวงตาสวยจ้องเขม็งไปที่คนตรงหน้าอย่างหงุดหงิด

 

“หึๆ ฉันไม่ถือชายหญิงหรอก” อ้าว! ไอ้พอร์ตน้องรัก กูเจอแฝดตัวจริงของมึงแหละ ส่วนไอเดียก็หน้าเหวอเลยครับ ฮาๆๆๆ ตลกมันว่ะ

 

“อุ๊บ! คิกๆๆ “

 

“มึงไม่ต้องมาพยายามกลั้นขำกูเลยไอ้เพรส ไปเหอะว่ะ เดี๋ยวกูจะกินข้าวไม่ลง”

 

“เดี๋ยวสิ ฉันไปด้วยนะนางฟ้า” เฮ้ย!เจ้ากรรมนายเวรเรียกไอเดียแล้ว

 

“ถ้ามึงไม่หยุดเรียกนางฟ้า เดี๋ยวเจอกูกระทืบกล่องเสียงแน่” แอบซาดิสต์ว่ะ

 

“ไม่เรียกก็ได้ งั้นผมไปด้วยนะ Angel”

 

“Angel ก็ไม่ได้โว้ย!”

พอไอเดียตะโกนใส่คนตรงหน้าเสร็จก็เดินสะบัดหน้าอย่างหัวเสียเดินเข้าไปในโรงอาหารเลย แถมลืมไปแล้วด้วยว่ามันเดินออกมาตามผมไปกินข้าว เสียใจว่ะ อะฮึกๆ เจอผู้ชายแล้วลืมกันได้ลงคอ ผมมองตามไอเดียที่เดินจากไปและหันมาหาคนตรงหน้าที่ยังไม่ยอมไปไหน มัวแต่ทำหน้าตาเพ้อฝันมองไปทางโรงอาหาร

 

“เอ่อ..ถ้านายจะตามมาก็ได้นะ แต่อย่าเรียกไอเดียว่า นางฟ้า หรือ Angel อะไรนั่นเลยนะ”

 

“หึ! ได้สิ ยังไงก็ได้อยู่แล้ว”

 

“ไอ้ใจง่าย สรุปมึงจะไปด้วยกันมั้ย?”

 

“ไปสิครับ คนสวย” เดี๋ยวนางฟ้า เดี๋ยว Angel แล้วยังมาตบท้ายด้วยคนสวย ไอ้นี่วอนโดนเตะ

 

“กูว่ากระทืบกล่องเสียงคงไม่พอ น่าจะกระสวกไส้แล้วเอาไปแขวนไว้บนจรวดด้วยซะเลยนะ” ผมหันไปพูดใส่ไอ้บ้าปัญญาอ่อนตรงหน้าที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อแล้วยังทำหน้าอึนอีก ผมเลยตัดสินใจเดินหนีมันซะเลย เชอะ! กูกริ้วแล้วนะ

 

ณ โรงอาหาร

ผมเข้ามาในโรงอาหารก็เจอคุณเพื่อนทั้ง 3 หน่อคุยเรื่องเด็กใหม่ที่เจอพร้อมกับไอเดียเมื่อเช้า ซึ่งเด็กใหม่คนนั้นก็นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปใกล้ๆกับที่พวกผมนั่งอยู่ ส่วนไอ้พวกนี้มารยาทงดงามน่าจับตามองยิ่งกว่าก็เล่นนินทากันเสียงดังเหมือนกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยินซะงั้น เพื่อ?

 

“เฮ้ย! แกว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใครว่ะ นักเรียนใหม่ป่ะ?” มิวนิคถามขึ้นอย่างสงสัย

 

“ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้นะ” ไอเดียพูดแล้วทำหน้าหงุดหงิด

 

“เอ้า! ไอ้นี่ ก็มันสงสัยนี่ ทำไมตอนปฐมนิเทศไม่เคยเห็นมันเลยนี่”

 

“แล้วมิวนิคแน่ใจได้ยังไงว่าไม่เคยเห็นหน้าน่ะ?” ไซคีถามขึ้นแล้วเอียงคอทำหน้าตาสงสัยใส่เพื่อนๆ ด้วยความน่ารักบ๊องแบ๊วที่หาไม่ได้ในพวกผมนอกจากไซคี

 

“เออ..นั่นสิ ไซคีพูดถูกนะเว้ย!” หลังจากที่เงียบมานาน อิมเพรสก็ได้มีบทพูดซะที ผมพูดได้แล้วล่ะทุกคน

 

“แล้วรุ่นเราจะมีนักเรียนกี่คนกันว่ะ ใครจะบ้าขนาดจำหน้าเพื่อนรุ่นตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องคุ้นหน้ากันบ้างแหละ โรงเรียนก็เล็กนิดเดียว”

 

“เออว่ะ” ไอเดียเริ่มสงสัยแล้วหันไปมองหน้าเด็กใหม่ที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ที่โต๊ะข้างๆแล้วส่งยิ้มหวานให้

ระหว่างที่พวกผมกำลังถกเถียงกันเรื่องเด็กใหม่ภายในกลุ่ม จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงสายตาจากที่ไหนสักแห่งจ้องมองมาที่พวกผมจนพวกผมรู้สึกได้

 

“เอ่อ...พวกนายรู้สึกว่าเหมือนมีคนมองพวกเราอยู่หรือเปล่า?” ไซคีถามแล้วทำหน้าตาหวาดระแวงไปด้วย

 

“อย่าพูดสิ..เดี๋ยวไก่ตื่นตัว” มิวนิคเอ่ยดุไซคีแล้วบรรยากาศก็เริ่มอึมครึมขึ้นมาซะอย่างนั้น

 

“มึงไม่ต้องเติมคำว่า ตัว มาก็ได้นะ ไอ้นี่” ไอเดียพูดแล้วทำหน้าเซ็งจิตใส่มิวนิค

 

“จ๊ะเอ๋!”

 

ผลั๊วะ ตุบ

 

“โอ๊ยยยยย...” ไม่ใช่เสียงหมาหอนที่ไหนครับ ก็แค่เสียงไอ้รุ่นพี่ฟลอร์โดนมิวนิคฟาดแข้งใส่หน้าท้องอย่างจัง แม่ไม้มวยไทยจัดเต็มอ่ะ

 

“เอ้า! ไปนั่งทำอะไรตรงนั้นครับ จะปูเสื่อนอนหรอรุ่นพี่?” มิวนิคถามเสียงเย็นแล้วทำหน้าตาแอ๊บแบ๊วใส่พี่ฟลอร์เหมือนไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น มันเนียนบริสุทธิ์จริงๆ

 

“ใจร้ายที่สุด น้องมิลค์ทำอย่างนี้กับพี่ได้ยังไง!”

 

“แล้วใครใช้ให้แกทำเสียงปํญญาอ่อนแล้วโผล่มาข้างหลังคนอื่นว่ะ” มิวนิคสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้แล้วหันไปเผชิญหน้ากับพี่ฟลอร์ทันทีที่พี่แกยืนทรงตัวได้แล้วพลางจ้องหน้ามิวนิคด้วยสายตาหมาหงอย ดวงหน้าหวานยังคงจ้องเขม็งที่ไอ้คนเซ่อซ่าชอบนึกแกล้งคนอื่นยามเผลออย่างพี่ฟลอร์ด้วยความรำคาญแกมหมั่นไส้

 

“เชอะ!”  สงสัยจะสู้สายตาไม่ไหว พี่ฟลอร์สะบัดหน้างอนใส่มิวนิคจนผมกระจาย ทำให้คนรอบข้างอย่างพวกผมเองที่นั่งมองแล้วอมยิ้มกับท่าทางงี่เง่าน่าเตะของรุ่นพี่หน้าหล่อที่คอยตามมิวนิคอย่างกับเงาตามตัว

 

“แล้วพี่มีอะไรกับพวกผมหรือเปล่า?” ไอเดียหันไปถามพี่ฟลอร์เพื่อทำลายความบรรยากาศสวีทหวานแหว๋วของเพื่อนกับรุ่นพี่

 

“ก็เห็นนั่งหน้าเครียดกัน..ว่าจะมาคลายเครียดดันถูกต่อยซะกูเครียดเองเลย” พี่ฟลอร์พูดเสียงเศร้าพลางทำหน้าหงอยๆเหลือบมองมิวนิคที่ไม่หันมาสนใจแถมยังนั่งลงแล้วหันไปมองทิวทัศน์ข้างนอกโรงอาหาร

 

“สมน้ำหน้า”

 

“เธอมันซาตาน!”  แล้วพี่ฟลอร์แกก็ทำหน้างอนใส่มิวนิคอย่างน่ารักน่าโดนถีบต่อไป

 

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกเราแค่สงสัยเรื่องเด็กใหม่ที่เพิ่งมาเรียนวันนี้น่ะ” ไซคีพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มขำๆกับท่าทางของรุ่นพี่

 

“เอ๋!..เด็กใหม่? ที่ไหนอ่ะ?” พี่ฟลอร์ทำหน้างงๆ

 

“ก็นั่นไงพี่ ไอ้ผู้ชายที่นั่งจ้องไอ้ไอเดียอย่างกับจะกลืนกินนั่นไง” ผมบอกพี่ฟลอร์ที่มัวแต่สอดส่องสายตาหาคนที่พวกเราพูดถึงแล้วทำท่าใบ้มือไปทางผู้ชายที่นั่งตรงโต๊ะถัดไปและจ้องมองมาที่โต๊ะของพวกผมด้วยสายตาแพรวพราวราวกับกำลังเห็นเรื่องสนุกอยู่ตรงหน้า

 

“หึ!” อยู่ดีๆ พี่ฟลอร์ก็หัวเราะแล้วก็จ้องมองผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่มีแม้แต่แววตาล้อเล่นเหมือนอย่างเคยจนมิวนิคที่ได้ยินเสียงหัวเราะนั้นยังต้องหันกลับมามองพี่ฟลอร์อย่างแปลกใจ

 

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ไอเดียถามรุ่นพี่ที่มีท่าทางเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเด็กใหม่คนนั้นด้วยความสงสัย

 

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันไปก่อนนะ” แล้วพี่ฟลอร์ก็หันหลังเดินจากไปท่ามกลางความสับสนงุนงงของพวกผม

 

ฟลอร์ที่เดินออกมาจากโรงอาหารแล้วมุ่งหน้าไปที่หลังตึกเรียนอาคารโทรมๆที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เมื่อเดินพ้นมุมตึกก็เห็นผู้ชาย 3 คนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ใหญ่ที่หันมาจ้องมองฟลอร์ทันทีราวกับรู้ว่าเขาจะมาที่นี่

 

“เจ้าได้ความว่าอย่างไรบ้าง..มัชชาร”

 

“หึ! มันกล้ามากที่เข้ามาที่นี่” ชายหนุ่มที่เคยมีแววตาขี้เล่นตลอดเวลาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและใบหน้านั้นเคร่งเครียดทันทีที่กล่าวถึงชายปริศนาที่นั่งตรงโต๊ะถัดไปของพวกมิวนิค

 

“เจ้าจับตาดูมันไว้ให้ดี ข้าไม่อยากให้เจ้านั่นมาทำเสียเรื่อง”

ชายหนุ่มที่มีผมสีดำและหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มอย่างเท็กซัสก็หันมาพูดกับ “มัชชาร” หรือ “ฟลอร์” ที่เดินมาบอกความเป็นไปภายในโรงเรียนแห่งนี้

 

“แต่ข้าว่าคนที่น่าจะระวังเห็นทีจะเป็นกาสร เจ้านั่นจ้องมองคนของเจ้าไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อ 1,000 กว่าปีก่อนเลยนี่” ฟลอร์เอ่ยแซว “กาสร” หรือ “เซนไนท์” ที่ได้เจอศัตรูหัวใจในชาตินี้ เซนไนท์ทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินว่าชายปริศนาที่เข้ามาในโรงเรียนนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากศัตรูที่คอยจะแย่งชิงคนรักของเขาทุกๆชาติ

 

“มันรนหาที่ตายรวดเร็วทันใจดีนี่” เซนไนท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นแกมสะใจที่จะได้เจอคนที่เฝ้ารอมานาน

 

“พวกเจ้าเตรียมตัวเรื่องไปต่างจังหวัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?” เท็กซัสเอ่ยถามชายหนุ่มที่นั่งเงียบอยู่นานอย่างคามิ

 

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ข้าห่วงแต่เรื่องที่คนของเราจะรู้ตัวก่อนเวลาอันสมควรซะมากกว่า” คามิ ชายหนุ่มผู้มีบุคคลิกเงียบขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจนัก

 

“เจ้าไม่ต้องห่วง พวกเหลี่ยนฮวาต้องรู้เรื่องนั้น” เท็กซัสเอ่ยตอบสหายด้วยสายตาแน่วแน่แล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นเส้นผมสีดำ ทรงผมทันสมัย และเครื่องแต่งกายชุดนักเรียนก็เปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มผมสีแดงยาวสลวยในชุดนักรบแล้วดวงตาคมกริบนั้นก็หันไปมองตรงมุมตึกที่มัชชารเคยเดินออกมาแล้วรอยยิ้มเลศนัยก็ผุดขึ้นตรงมุมปากของปันนคนาสน์

 

“เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่เง่าถึงขั้นให้เจ้าแอบฟังโดยไม่รู้สึกตัวอย่างนั้นรึ?”

 

เท็กซัส หรือ “ปันนคนาสน์” เอ่ยลอยลมจนร่างบางที่แอบอยู่ตรงมุมตึกสะดุ้งด้วยความตกใจที่ถูกจับได้และแล้วชายหนุ่มร่างบางสวมแว่นตาที่มีผิวขาวเนียนและใบหน้าหวานจนใครก็ต้องเหลียวมองนั้นก็ตัดสินใจเดินออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนแปลกหน้าที่ตนเพิ่งแอบฟังด้วยความสั่นกลัวในดวงตาคมกริบของชายหนุ่มผมแดงยาวสลวยแต่งกายแปลกประหลาดอย่างปันนคนาสน์ แต่แล้วสายตาก็ไปสบเข้ากับคามิที่นั่งจ้องมองร่างบางตลอดเวลาด้วยท่าทางเงียบสงบ

 

“ไซคี”

เสียงพูดแผ่วเบาได้ออกมาจากปากของคามิ ชายหนุ่มที่เงียบขรึมและเป็นถึงเจ้านายของไซคีได้สบตากับร่างบางด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดาและมีความกังวลที่เห็นไซคีอยู่ที่นี่

 

“อะ..เอ่อ ผะ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะครับ” ไซคีรีบพูดออกตัวด้วยความกลัวกลุ่มคนตรงหน้าที่จ้องมองตนอยู่จะโกรธแล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาของคนกลุ่มนั้น

 

“หึ นายคิดว่าแค่เดินเข้ามาบอกตรงๆแล้วจะเดินจากไปง่ายๆอย่างนั้นหรอ?” คามิพูดกับร่างบางตรงหน้าที่ยืนสั่นด้วยความกลัวแล้วพยายามหลบสายตาของเขา

 

“ตะ..แต่ว่า” พรึ่บ! เฮือก! ขณะที่ไซคีกำลังเงยหน้ามาจะสบตากับคามิก็ต้องสะดุ้งตกใจที่ข้างหน้าของตนได้มีงูยักษ์ขนาดเท่าต้นไม้ใหญ่เลื้อยเข้ามาหาตน งูตัวนั้นเป็นสีดำเงาวาวแล้วมีลายสีทองแปลกตาเหมือนกับลวดลายศิลป์ที่บรรจงวาดลงบนตัวสีดำรัตติกาลนั้น ดวงตาสีแดงแวววาวจ้องมองมาที่ไซคีที่ยืนตัวสั่นหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด

 

“เจ้าอย่าแกล้งให้กลัวสิ..ผณิน เดี๋ยวที่รักของเจ้าเกิดกลัวขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ” ฟลอร์พูดแกมหยอกเย้ากับงูยักษ์ที่กำลังจ้องมองไซคีไม่วางตา

 

แต่ในเวลานี้ไซคีไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างนอกจากดวงตาที่เห็นความกลัวตรงหน้า ดวงตาสีแดงที่จ้องมองมาทำให้ขาเริ่มขยับถอยหลังเพื่อจะวิ่งหนีงูยักษ์ข้างหน้า ไซคีที่กำลังจะหันหลังวิ่ง งูยักษ์สีดำก็เลื้อยเข้ามาพันร่างบางไม่ให้ขยับตัววิ่งหนีไปไหนได้ กอดรัดแน่นจนยากที่จะดิ้นหนี

 

“ชะ..ช่วยด้วย” สีหน้าซีดเซียวด้วยความกลัว น้ำเสียงสั่นเทาและร่างกายที่เริ่มอ่อนแรงจนเกือบจะขาดสตินั้น ทำให้เจ้างูยักษ์สีดำที่กำลังพันรอบตัวไซคีหายไปกลายเป็นอ้อมกอดของร่างสูงใหญ่ที่กำลังแนบใบหน้าซบกับเรือนผมสวยของไซคี กลิ่นตัวที่คุ้นเคยทำให้ไซคีพยามยามแข็งใจเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่เจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นที่เข้ามาแทนงูยักษ์สีดำตัวนั้น

 

“คะ..คุณคามิ” ดวงตาหวานเบิ่งโพลงอย่างตกใจกับต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้รวดเร็วจนเขาหายใจแทบไม่ทัน

 

“กลัวหรือเปล่า?” คามิกระซิบข้างใบหูขาวที่ตอนนี้เริ่มกลายเป็นสีแดงด้วยความเขินจากสัมผัสที่ชิดใกล้นั้น

 

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไม..ทำไมคุณคามิถึงกลายเป็นงู?” ไซคีที่เริ่มตั้งสติได้และหายจากอาการตกใจเมื่อครู่ก็รีบถามคนที่กำลังกอดตนเองแน่นเหมือนกลัวว่าร่างบางจะสลายหายไปตรงหน้า

 

“กลัวหรือเปล่า?” คามิยังยืนยันคำถามเดิมกับไซคีที่ไม่ยอมตอบคำถามที่อยากจะรู้มากที่สุดในเวลานี้แล้วจับร่างบางให้หันมาเผชิญหน้ากันแล้วจ้องมองไปที่ดวงตาสวยภายใต้แว่นตานั้น

 

“มะ..ไม่ครับ ไม่ได้กลัวซะหน่อย” ไซคีพูดเสียงสั่นแต่ก็ยังเงยหน้ามองคามิที่มีดวงตาเศร้าสร้อย

 

“อย่ากลัวเราเลยนะ เราไม่เคยคิดทำร้ายเจ้า ไม่ว่าจะอีกกี่ชาติกี่ภพ เจ้ายังเป็นดวงใจของเราเสมอและตลอดไป” คามิมองใบหน้าหวานที่เริ่มมีเลือดฝาดและเริ่มผ่อนคลายจากความกลัว

 

“ภพชาติ ? ดวงใจ? นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?” ไซคีรีบถามคามิด้วยความอยากรู้โดยลืมไปแล้วว่าตัวเองมีความผิดที่แอบฟังเรื่องของคนอื่นจนถูกจับได้

 

“ไว้ถึงเวลานายจะรู้เอง..อ้ายเฉิน” คามิกระซิบที่ข้างๆหูของไซคีด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วจูบที่ใบหูขาวนั้น

 

“เอ่อ...ผมไม่ถามก็ได้ แต่ช่วยปล่อยผมก่อนนะครับ” ไซคีเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของคามินานเกินไปจนรีบเอ่ยทักให้ร่างสูงใหญ่ปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ ถึงแม้จะสงสัยว่าร่างสูงใหญ่กำลังเรียกใครว่า “อ้ายเฉิน” ก็ตามที

 

“ไม่ปล่อยแล้วจะทำไมล่ะ?” ร่างสูงใหญ่ทำหน้าตายใส่แล้วกระชับอ้อมกอดนั้นจนไซคีทำหน้าเหวอใส่

 

“หึ เจ้าจะคิดว่าโลกใบนี้มีเพียงสองเราอีกนานมั้ย? ผณิน” เท็กซัสในร่างของปันนคนาสน์เอ่ยทักทั้งสองคนที่ไม่ได้หันมาสนใจพวกเขาเหมือนหลงลืมกันไปซะงั้น ทำให้คามิยอมปล่อยร่างบางนุ่มนิ่มแต่ก็ไม่วายที่จะขอยืนอยู่ใกล้ๆ

 

“เจ้าอิจฉาหรือ? ปันนคนาสน์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังเห็นภาพบาดตาบาดใจหรือท่าน?” เซนไนท์ที่นั่งเงียบก็เอ่ยแซวสหายที่ชอบเอ่ยขัดผู้อื่นด้วยความเอาแต่ใจจนกลายเป็นตัวเขาเองที่ได้รับสายตาดุดันตอบแทนจนอดเสียวสันหลังไม่ได้

 

“ปันนคนาสน์หรอ?” ไซคีที่ได้ยินชื่อแปลกหูนั้นเริ่มสงสัยแล้วนึกขึ้นได้ว่าเหมือนเคยได้ยินมาก่อน

 

“ทำไมหรอ?” คามิหันไปถามร่างบางที่ยืนคิ้วขมวดและพึมพำอยู่คนเดียวเกี่ยวกับชื่อ “ปันนคนาสน์”

 

“พอๆ เลยทั้งสองคน ว่าแต่..ไซคีมาที่นี่ได้ยังไง?” ฟลอร์รีบถามหาสาเหตุที่ไซคีมาอยู่ที่นี่ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่เคยบอกเกี่ยวกับที่นี่ให้ใครรู้

 

“ผะ..ผมตามพี่ฟลอร์มาน่ะครับ ผะ ผมคิดว่าน่าจะเจอคุณ..คุณพี่คามิ”  ไซคีรีบบอกพร้อมกับรีบแก้คำสรรพนามที่ใช้เรียกคุณชายของบ้านอย่างคามิเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจจากคนข้างกาย

 

“ตามฉัน?” ฟลอร์ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ไซคีจะตามมาได้ยังไงในเมื่อเขาเดินเข้ามาในเขตเวทมนตร์ของปันนคนาสน์ ทำให้ไม่มีใครเห็นพวกเขาทั้งสี่คนได้ หรือว่ามันมีบางอย่างผิดพลาดกันนะ

 

“ชะ..ใช่ครับ ผมเห็นพี่ฟลอร์แปลกๆเลยกะจะตามมาคุยด้วยและเผื่อว่าจะเจอพี่คามิ ตะ..แต่ไม่คิดว่า..”

 

“ไม่คิดว่าอะไร?” คามิเริ่มถามไซคีพลางทำสีหน้ากังวลกลัวว่าจะเป็นเรื่องที่เขากลายร่างต่อหน้าไซคี

 

“มะ..ไม่คิดว่าพะ..พวกพี่จะเป็นพวก..พ่อ..พ่อ”

 

“ใครพ่อนายว่ะ?” กาสรที่นั่งฟังอยู่นานก็เริ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ไซคีมัวแต่ติดอ่าง กว่าจะรู้เรื่องคงเป็นชาติหน้า

 

“พะ..พ่อมดน่ะครับ”

 

“หือ?” ชายหนุ่มทั้งสี่คนหันมามองหน้ากันที่ไซคีคิดว่าพวกเขาเป็นพวกพ่อมดเสกคาถาซะงั้น

 

“ฮ่าๆๆๆๆ โอ้ย! ฮาว่ะ ที่รักของใครว่ะ ใสซื่อเกินไปแหละ ขอเอากลับไปเล่นที่บ้านคืนนึงได้ป่ะ ฮ่าๆๆ ” ฟลอร์เริ่มหัวเราะในความใสซื่อของไซคี

 

ผลั้ว! โอ้ย!

“ถ้ามึงขำอีก กูจะเสยด้วยหน้าเท้าและเหยียบหน้ามึงซ้ำอีกรอบแน่” คามิหันไปถีบฟลอร์ล้มหงายหลังแล้วพูดคาดโทษที่หัวเราะไซคีไม่หยุด

 

“แล้วถ้าไม่ใช่พ่อมด...พวกพี่เป็นใคร?” ไซคีเอ่ยขึ้นแล้วจ้องมองไปที่กลุ่มคนประหลาดที่เขารู้จักแต่กลับรู้สึกแปลกหน้าในยามนี้

 

“แค่รู้ว่าพวกข้าไม่ทำร้ายเจ้าก็พอ” เสียงพูดจากชายหนุ่มผมแดงยาวสลวยที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสภาพกลายมาเป็นเท็กซัส

 

“ทะ..เท็กซัส” ไซคีเบิ่งตาโตด้วยความตกใจที่เห็นคนตรงหน้ากลายร่างเป็นอีกคนที่คนทั้งโรงเรียนก็รู้จักเป็นอย่างดีและจำได้ว่าเขาคนนี้เป็นคนที่ถูกเรียกด้วยชื่อแปลกหูว่า “ปันนคนาสน์”

 

“ทำไมนายถึงมาตามหาคามิ?” เท็กซัสเอ่ยถามสาเหตุที่ทำให้หนุ่มหน้าหวานที่อยู่ใกล้ๆกับคามิถึงต้องเดินตามฟลอร์เข้ามาในเขตเวทมนตร์ที่เขาเป็นคนสร้างได้อย่างง่ายดาย

 

“ผมจะมาบอกว่า..เรื่องไปเที่ยวตกลงพวกผมไปนะครับ”

 

 

“คิดว่าเทพอย่างพวกเจ้าจะรอดสายตาเราไปได้ก็ลองดูสิ” 

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลามีเชื้อสายลูกครึ่งและรูปร่างสูงใหญ่กำลังมองมาลงมาที่ต้นไม้ใหญ่จากทางหน้าต่างของห้องร้างในอาคารเก่าด้วยดวงตาที่แพรวพราวพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากราวกับเจอเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา