No Sugar!! บ้าน่า..ฉันหลงรักนายตอนไหน?

9.3

เขียนโดย Murasaki

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 23.55 น.

  7 chapter
  2 วิจารณ์
  12.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 20.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ราตรีกาลแห่งฝัน (NC นิดส์นึง)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Part : อิมเพรส

เช้าวันใหม่(ที่สดชื่น?)

คงยังไม่มีใครลืมใช่มั้ย?...ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมเมื่อคืน เอ๊! หรือว่าพวกคุณลืมไปแล้ว ไม่นะ!..อย่าลืมสิว่าผมอ่ะถูกปู้ยี้ปู้ยำในฝัน (มันเพ้อเจ้อ?) ผมไม่มีวันลืมที่ผมต้องเปลือยกายในอ้อมกอดของชายหนุ่มผมสีแดงแต่งตัวประหลาดด้วยความเต็มใจแถมเป็นคนเดียวกับที่ผมเห็นที่หน้าต่างในคืนนั้นด้วย ฮือๆ ขอไว้อาลัยให้กับฝันร้ายของผม 2 นาที เศร้าว่ะ

 

ผลัวะ!

ใคร...ใครตบหัวกู! มาสู้กันตัวต่อตัวเซ่! ตบแรงจริง ใครแค้นกู หันไปมองหน่อยสิว่าใครช่างกล้าทำ

 

“มองอะไร? เมื่อไรมึงจะแหกตามาดูโลกอันสวยงามว่ะ...พี่เพรส”

 

“ทำไมหรอ?” ผมทำหน้าเอ๋อใส่อิมพอร์ต ก็ผมงงนี่มันมาตบหัวแล้วบอกให้ผมแหกตาดูโลกอันสวยงามอ่ะ

 

“ทำไม? เหอะๆ ก็คนบางคนอ่ะนะตื่นสายแล้วก็กำลังจะเอาหัวมุดอ่างปลาอยู่แหละ กูจะรีบไปโรงเรียนโว้ย!”

 

“อะไรกัน พี่กำลังชื่นชมความงามของปลาในอ่างอยู่ อารมณ์ศิลป์ของนายคงตายด้านว่ะ”

 

“ชื่นชม? ตั้งใจจะจับปลาของกูกินก็บอกมาเหอะ” ใช่ครับ...ปลาในอ่างที่ผมจ้อง ไอ้พอร์ตมันเป็นคนเลี้ยงแล้วดูแลอย่างกับลูกในไส้ แล้วตอนนี้ผมก็กำลังจ้องมองลูกในไส้ของมันด้วยความโศกเศร้าเสียใจไว้อาลัยกับฝันร้ายเมื่อคืน

 

“ คุณเพรสครับ คุณจะไปมั้ย?..โรงเรียนอ่ะ กูจะไปแล้ว เดี๋ยวทิ้งไว้คนเดียวเลยนิ” ไอ้น้องทรพี มันเร่งอ่ะ

 

“ครับๆ พ่อพอร์ต พ่อช่างประเสริฐที่เมตตาลูกคนนี้เหลือเกิน เดี๋ยวกูจับปลาไปขายที่ตลาดซะเลย” ผมพูดประชดอิมพอร์ตอย่างหมั่นไส้ แล้วผมกับอิมพอร์ตก็เดินออกจากบ้านจะไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายกัน ระหว่างนั้นปัญหาโลกแตกของผมก็เริ่มเปิดประเด็น

 

“ไอ้พี่เลว กูได้ยินนะ” ฮือๆ มันห่วงปลามากกว่าผมอ่า (T^T)

 

“ถามจริงเหอะเพรส มึงจะอะไรกับความฝันนักหนาว่ะ มันก็แค่มโนภาพของจิตใต้สำนึกที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงนั่นแหละนะ จะเครียดทำไมกันว่ะ”

 

“ชิ ! ใช่สิ แกก็พูดได้นิ ไอ้น้องสมองปลาทอง คนที่ฝันว่าได้เปลือยกายกอดผู้ชายหุ่นล่ำบึก ผมยาวสีแดง แต่งตัวประหลาด มันเป็นฉันคนนี้โว้ย! อุ๊บ!” ผมรีบเอามือปิดปากทันทีที่นึกออกว่าเผลอหลุดรายละเอียดของคนในฝันที่ผมไม่อยากให้น้องมันรู้ ซวยแล้วมั้ยล่ะตู

 

“หืม...ฝันถึงผู้ชายผมยาวสีแดง แต่งตัวประหลาด เอ! เหมือนใครกันนะ พอร์ตรู้จักมั้ย?” อิมพอร์ตมันหันมาพูดกับผมพลางทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ นึกว่ากูไม่รู้หรือไงว่าแกหมายถึงใครน่ะ

 

“เอ่อ...อ่า...เอิ่ม” ผมอ้ำอึงอยู่นาน นึกให้ออกเร็วๆสิว่ะ...ไอ้เพรสเอ๊ย! ไอ้ทักษะสตอเบอรี่ของแกมันไม่ได้ช่วยให้แกเอาตัวรอดได้เลยหรือไงว่ะ ส่วนไอ้พอร์ตก็สนใจเรื่องกูจรี๊ง

 

“ใครกันนะ..คุ้นๆนะว่ามั้ย?” เออ...คุ้นมาก ไอ้น้องชาย มึงจะย้ำเพื่อ?

 

“ชอบผู้ชายคนนั้นถึงขนาดเก็บมาฝันเลยหรอเนี่ย...เพรสนี่สาวน้อยชัดๆ”

 

“กูไม่ใช่สาวน้อยนะ แล้วกูขอบอกไว้เลยว่ากูไม่ได้ชอบไอ้หื่นกามนั่นด้วย” ผมตอบอย่างเคืองๆ เคืองที่มันว่าผมเป็นสาวน้อยนี่แหละ (มันเปลี่ยนเรื่อง?)

 

“น่าเชื่อเน๊อะ...พอร์ตไม่ได้พิศวาสหญ้านะ เพรสนี่เป็นเด็กเลี้ยงแกะว่ะ” มันว่าผมโกหกอ่ะ

 

“เออ...กูเป็นเด็กเลี้ยงแกะ กูเลยต้องหาหญ้ามาป้อนมึงทุกวันไง ไอ้น้องโง่ ไอ้น้องแกะเคี้ยวหญ้า!”

 

“โอ๋ๆ งอนซะแหละ น้องแกะขอโทษ ไม่ว่าแล้วสัญญาเลย เด็กเลี้ยงแกะยกโทษให้น้องแกะนะ” ไอ้อิมพอร์ตมันเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วยื่นนิ้วก้อยมาง้อผมที่กำลังงอนแก้มป่องหันหน้าหนีมัน ใกล้จะสำเร็จนะ แต่ไม่ดีก็ไอ้ตรงเด็กเลี้ยงแกะนี่แหละ มึงจะตอกย้ำกูเพื่ออะไร ห๊า!

 

“ชิ! กูเกลียดมึง ไอ้น้องปากอินุ” กูจะงอนแล้วจะทำไม หาเรื่องมันทั้งทีด่า ปากสุนัข ผสมไทย-ญี่ปุ่นซะเลย

 

“ขี้งอนจริง...ญาติใครว่ะ แล้วอะไรคืออินุว่ะ” พี่มึงไง (-_-!)

 

“เออๆ ไม่งอนก็ได้ ไอ้น้องโง่ แต่หัดเชื่อกูบ้างดิ กูพี่มึงนะ อ้อ...อินุหรอ? อย่ารู้เลย ว่ะ..ฮา..ฮา”  มันไม่รู้ กูสะใจอ่ะ

 

“อืมๆ เชื่อแล้วจ้า เออ..แต่พอร์ตสงสัยว่ะ เราไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น แต่ทำไมเขารู้จักเราล่ะ” เออ..นั่นสิ รู้จักยันบ้านเลยนี่หว่า ทำไมนึกไม่ออกว่ะ โง่จริง!

 

“ก็คงทำนองรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ล่ะมั้ง”

 

“ไปปรัชญาที่อื่นเลย มันใช่ที่ไหนล่ะ อย่างเพรสต้องเรียกว่า กบในกะลา มากกว่ามั้ง แหกตาดูสิ เราไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ จะเอาอะไรไปรู้เขา เขาสิรู้เราหมดไส้หมดพุง”

 

“โห่! แล้วจะให้พี่ทำไงล่ะ ไอ้น้อง เดินไปซักฟอกประวัติเลยมั้ย?”

 

“โว๊ะ! อย่างเพรส ซักใครไม่ได้หรอก ซักผ้ายังไม่เป็นเลย” อ้าว! ด่ากูซะงั้น ไอ้น้องเวร กูใช้เครื่องซักผ้าเฟร้ย!

 

“แล้วเพรสจะทำยังไงล่ะ ถ้าเจอหมอนั่นอีก” เออ...เจ้ากรรมนายเวรต้องไม่ปล่อยเราสิเน๊อะ

 

“ไม่รู้สิ แต่ฉันเป็นศัตรูกับหมอนั่นนะ”

 

“เหรอ? ไม่ทราบว่าไปเป็นศัตรูกันตอนไหน?” อิมพอร์ตพูดแล้วจ้องหน้าผม กูผิดที่เป็นศัตรูกับคนบ้ากามเหร๊อ?

 

“คืนนี้ไง กูจะไปประกาศสงครามในฝัน” ผมตอบซื่อๆใส่มันเลย ก็มันถาม ผมก็ตอบสิ

 

“ถุย! ไปไกลๆเลย กูไม่มีพี่ในไส้โง่จนตัวตุ่นยังเมินอย่างมึง” ถ้าตัวตุ่นมันเมินกูแล้วมันหนักหัวมึงหรอ? ไอ้น้องทุเรศ ยังมาว่ากูโง่กว่าตัวตุ่นในรูอีก

 

“มึงก็น้องในไส้เดียวกับกูนี่แหละ ไม่น่ารักเลย” ผมพูดกับอิมพอร์ตไปเรื่อยๆจนตอนนี้อยู่ที่ป้ายรถเมล์

 

อืม! วันนี้คนรอรถเมล์น้อยจัง น่าตกใจมั้ย? ไม่อ่ะ ก็ผมตื่นสายนี่นา...แล้วคนบ้าที่ไหนจะไปโรงเรียนสายเป็นเพื่อนผมเหมือนไอ้อิมพอร์ตกันเล่า ขณะที่ผมยืนอยู่นั้นก็มีผู้ชายคนนึงเดินมายืนใกล้ๆจนผมรู้สึกว่า คุณจะสิงร่างผมเลยมั้ย? ผมเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้ตัวสูง(ผมเตี้ยกว่าอ่ะ)ข้างๆแล้วตั้งใจจะด่า ผมก็ได้พบ...โอ้! แม่เจ้า ผู้ชายอะไรว่ะ หล่ออย่างกับซาตานผสมเทพบุตร ดวงตาเรียวคมที่จ้องมองมาน่ากลัวซะจริง รูปร่างสูงใหญ่หุ่นดีจนผมอิจฉา แล้วผมสีดำไฮไลท์สีเงินอีก มันจะหล่อเท่ห์เกินหน้าเกินตาไปป่ะ แต่สายตาที่จ้องมองมานี่สิ มันจะกินผมเหร๊อ?

 

“มองหน้าฉันแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าครับ..คุณภรรยา”

หือ? (o_o) มันพูดกับใครหว่า? ผมหันไปมองดูคนอื่นก็ไม่เห็นใครมองมันเลย เอ! หรือว่า...คนบ้าว่ะเนี่ย!

 

“ฉันพูดกับนายนั่นแหละ...อิมเพรส” เฮ้ย! รู้จักชื่อผมด้วย ของเขาแรงจริง

 

“แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักนายนะ” ผมตอบไปอย่างมั่นใจ เรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตายอ่ะ เออ..ว่าแต่อิมพอร์ตมันหายไปไหนว่ะ ตั้งแต่ผู้ชายคนนี้มายืนใกล้ๆ น้องชายผมก็หายหัวไปเลย

 

“เดี๋ยวนายก็รู้”  ไอ้นี่ก็อีกคน มีคนบอก..เดี๋ยวก็รู้ 2 คนแล้วนะ เท็กซัสก็หนึ่ง ไอ้หมอนี่อีกหนึ่ง ใครจะไปรอกันฟระ!

 

“อ๊ะ..ถ้างั้นอย่าบอกเลย ไม่อยากรู้ว่ะ” ผมพูดเสร็จก็เดินหนีไอ้บ้านี่เลยครับ เป็นใครก็ไม่รู้จักแล้วจะคุยต่อทำไมล่ะ เผ่นสิครับ

 

“ดะ..เดี๋ยวก่อน นี่นายไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร?” ผู้ชายคนนั้นมองหน้าผมเหวอเลยครับ อ้าว! สงสัยจะความจำเสื่อม น่าสงสารว่ะ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครอีก

 

“ไม่อ่ะ ฉันไปล่ะ” ผมรีบบอกลาตามมารยาทแล้วก็รีบเดินจ้ำๆไปเลยครับ จะอยู่รอมันหรือไงล่ะ แล้วความหวังของผมก็พังทลาย มือของผู้ชายที่ป้ายรถเมล์เอื้อมมาจับข้อมือของผมแล้วบีบแน่น เฮ้ย! เจ็บนะเว้ย กูคนนะโว้ย! ไม่ใช่เท็ดดี้แบร์ คิดจะมาขยำขยี้แบบนี้ผมเสียหายนะ(เขาแค่จับข้อมือนังหนู/คนเขียน)

 

“นายยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นายต้องไปกับฉัน” ผู้ชายที่ป้ายรถเมล์ก็ดึงมือผมด้วยแรงพลังช้างสาร น่าจะความธนูผสมช้างมากกว่า เอาซะผมลอยละลิ่วไปตามสายลม

 

“ไม่ไป ปล่อยเลยนะเว้ย! เป็นใครมาลากคนอื่นไปโน่นไปนี่ ห๊า!” โมโหแล้วนะเว้ย!

 

“งั้นนายก็หัดนึกสิว่าฉันเป็นใคร”

 

“เอ้า! ก็บอกอยู่นี่ไงว่าไม่รู้จัก แล้วจะบอกได้ไงว่ะ กูไม่ใช่หมอดูไพ่ปลาสวรรค์ทาโร่นะโว้ย!” ผมพยายามดึงมือออกสุดแรงเลย เหนื่อยว่ะ แรงเยอะจริง

 

ขณะที่ผมกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับผู้ชายแปลกหน้าที่ป้ายรถเมล์อยู่นั้นก็มีผู้ชายคนนึงต่อยผู้ชายแปลกหน้าล้มลงปากแตกแล้วคว้ามือผมออกวิ่งไปจากป้ายรถเมล์จนไกลพอสมควร เรา  2 คนมาหยุดพักกันตรงที่สะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ ที่ตรงไปยังสวนสาธารณะที่ผมเคยมาบ่อยๆตอน ม.ต้น แล้วผมก็เงยหน้ามองคนที่ช่วยผมไว้ แล้วผมก็ต้องอึ้ง จะใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้คนโรคจิตนามว่า เท็กซัส น่ะสิ

 

“สงสัยช่วงนี้ฉันจะไม่ได้ทำบุญ มีแต่สัมภเวสีมารังควานทั้งนั้น” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความเซ็ง

 

“หึ คนอย่างนายต่อให้ตายก็ไม่มีใครเอาหรอก หลงตัวเอง” อ้าว! กูเป็นมนุษย์ที่ Popular นะเฟร้ย!

 

“แอบจิตว่ะ ตามฉันมาหรือไง?” ผมอยากรู้อ่ะว่าเท็กซัสมาทำอะไรแถวนี้ ก็แถวนี้มันใกล้บ้านผมนี่นา

 

“เฮ้อ! ยังซื่อบื้อไม่เปลี่ยน แล้วไม่ขอบคุณกันสักคำ”

 

“เออ..ขอบพระคุณท่านอย่างสูงที่จับมืออันแสนบอบบางของผมวิ่งหนีโจรบ้ากาม”

 

“แล้วนายโง่หรือไงให้หมอนั่นจับมือถือแขนอยู่ได้”

 

“นายสิโง่ ฉันฉุดกระชากมือจนจะหมดแรงอยู่แหละ แถวบ้านนายเรียกว่ายอมหรอว่ะ?”

 

“ฉันเตือนแล้วนะว่าให้อยู่ให้ห่างจากหมอนั่น”

 

“ใคร? ฉันไม่รู้จักไอ้บ้ากามนั่นนะ แล้วไอ้คนที่นายเตือนฉันมันเป็นมาเฟียนิรยเว้ย! ไอ้อัลไซเมอร์”

 

“อ้าว!” เท็กซัสได้แต่ร้องอ้าวแล้วก็จ้องหน้าผมอึ้งๆตะลึงในความหล่อของผมล่ะสิ

(หลงตัวเองจนได้)

 

“นะ..นี่นายไม่รู้จักนิรยหรอ?”

 

“รู้จักสิ ก็มาเฟียนิรย ชื่อเล่น ฮาเดส ไง” ผมตอบเท็กซัสไปด้วยความงง อะไรของมันว่ะ?

 

“ฉันหมายถึงนายไม่เคยเห็นหน้านิรยเลยหรอ?” ไอ้นี่ถามมากจริง

 

“ไม่เคยอ่ะ แต่รู้จักชื่อ โว๊ะ! จะถามอะไรกันนักหนาว่ะ” ผมพูดด้วยความรำคาญแล้วเดินไปทางสวนสาธารณะ แต่ด้วยความที่เลือดผมมันหอมหวาน ปลิงมันเลยตามไม่ปล่อยนี่สิ

 

“อะไรของนายอีกล่ะ วันนี้ฉันไม่ได้ไปเรียนก็เพราะไอ้พวกจิตไม่ปกติที่ทำให้ฉันขาดเรียนเลย เซ็งโว้ย!” ผมบ่นใส่เท็กซัสพลางขยี้หัวตัวเองอย่างอารมณ์เสีย

 

“หึ โง่แล้วยังจะเรียนอีก” เอ๊ะ! ได้ยินแว่วๆว่า อะไร โง่ โง่ นะ มันแอบด่าผมใช่ป่ะ?

 

“จะไปไหนก็ไปเลยไป เป็นปลิงหรือไงมาเดินตามอยู่ได้ อยากได้เลือดมากหรือไง?” ผมหันไปพูดกับเท็กซัสที่เดินตามผมจนไม่มีทีท่าว่าจะแยกไปไหนเลยนี่สิ น่ากลัวว่ะ

 

“ขาของฉันมันใช่ขาของนายหรือเปล่าล่ะ? แต่เลือดก็อยากได้นะ” พอเท็กซัสพูดกวนประสาทจบก็โน้มหน้าจากข้างหลังมากัดหูผม แง๊..หมากัดหูอ่ะ ผมหันควับไปมองด้วยสายตาเอาเรื่องแล้วผลักเท็กซัสด้วยแรงที่มี แต่ทำไมมันไม่กระเทือนเลยล่ะ โธ่! กูแรงลูกมดเหรอ?

 

“ไอ้จิตไม่ปกติ นายมากัดหูฉันทำไม ห๊า! นายมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเลย ฉันจะรีบกลับไปนอน อารมณ์เสีย” ผมยังคงพูดบ่นแล้วเร่งให้คนตรงหน้ารีบพูดแล้วไปไกลๆแล้วเท็กซัสก็จ้องหน้าผมเขม็ง มันจะมองอะไรนักหนาว่ะ ผมคิดพลางหันหน้าหนีไปมองวิวในสวนสาธารณะ น่านอนจังเลย

 

“เหลี่ยนฮวา” เสียงเรียกชื่อที่ผมเคยได้ยินในฝันเบาหวิวจนผมหันไปมองที่มาของเสียงทางคนที่ผมหันหน้าหนี ผมก็เจอหน้าของเท็กซัสที่โศกเศร้าเหมือนคนทรมานจนน่าสงสาร

 

“เมื่อกี้นายเรียกว่าอะไรนะ?” ผมไม่แน่ใจอ่ะ ก็ชื่อนั้นมันชื่อในฝันของผมแล้วคนเรียกก็ไม่ใช่เท็กซัสด้วยจะมีตัวตนได้ไงล่ะ

 

“ฉันเรียกนายว่า...ละ”

 

“พี่เพรสโว้ย! เพรสหายไปไหนมา? พอร์ตตามหาเพรสให้ทั่วเลยนะ” ผมหันไปมองอิมพอร์ตที่เรียกผมจากข้างหลัง

 

“ฉันสิต้องถามแก แกกล้าดียังไงถึงทิ้งฉันไว้กับไอ้บ้ากามที่ป้ายรถเมล์ว่ะ”

 

“ไม่ได้ทิ้งนะ พอร์ตกลับไปเอาของที่บ้านแล้วลืมบอกพี่เพรสอ่ะ”

 

“เหอะ! ให้มันได้อย่างนี้สิ น้องกูไม่เห็นหัวกูเลยนะ”

 

"โห่! ขี้งอนจริง อะ..อ้าว! พี่เท็กซ์มาทำอะไรแถวนี้หรอครับ?” อิมพอร์ตที่เพิ่งเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังพี่ชายก็เอ่ยทักเท็กซัส

 

“แกรู้จักไอ้โรคจิตนี่ด้วยหรอว่ะ?”

 

“ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ พอร์ตเข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ก่อนพี่เพรสก็ต้องรู้จักรุ่นพี่ดิ” เออว่ะ...จริงของมัน

 

“ว่าแต่พี่เพรสเหอะ...นี่มันสายมากแล้วนะ ยังจะไปโรงเรียนอีกหรอ?”

 

“จะบ้าเหรอ...โรงเรียนบ้านแกสิเข้าเรียนตอน 11 โมง กลับบ้านเถอะ” ผมชวนน้องชายกลับบ้าน เอ! ผมรู้สึกง่วงนอนจังเลย อยากกลับบ้านไปนอนมากเลย

 

“นายพาพี่ตุ่นของนายไปนอนเหอะ ฉันขอตัว” เท็กซัสว่าผมเป็นตัวตุ่นเสร็จก็ล้วงกระเป๋ากางเกงเดินผ่านผมกับอิมพอร์ตจากไปง่ายๆซะงั้น ทีเมื่อกี้ไล่ยังไม่ยอมไป ขี้เก๊กชะมัด!

 

“ไปๆ กลับบ้านเหอะพี่เพรส”

 

“อืม” ผมรับคำน้องพลางมองแผ่นหลังของเท็กซัส เอ! รูปร่างมันคุ้นๆ แหะ เหมือนใครสักคนที่ผมรู้จักเลย

 

ผมเดินกลับบ้านมากับน้องชายด้วยเหตุสุดวิสัย(ไม่ใช่แกตื่นสายเหรอ?) ไม่ดีนะเด็กๆ อย่าเอาผมเป็นเยี่ยงอย่างนะ(ใครเด็กแก?) กลับมาถึงบ้านอิมพอร์ตก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาดูทีวีข้างล่าง ส่วนผมก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งเหม่อลอยกอดอ่างปลาของอิมพอร์ตอย่างรักใคร่แล้วคิดถึงสิ่งที่เท็กซัสพูด เอ..อยู่ให้ห่างจากหมอนั่นที่เท็กซัสหมายถึง..หรือว่า..ผมเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วหันไปหาอิมพอร์ต นี่แหละ! กูเกิลของผมในเวลานี้

 

“เฮ้ย! เหลือเวลาอีกกี่วันว่ะ”

 

“เวลาอะไรของพี่น่ะ” มันสมองปลาทองชัดๆ

 

“ก็ไอ้มาเฟียนั่นไง เมื่อไรจะมารับกูไปทำงาน?”

 

“ไม่รู้สิ..เออ! พอร์ตลืมบอกว่า ฮาเดสมันเปลี่ยนแผนเป็นพรุ่งนี้นะ น่าจะใช่ ถ้าพอร์ตนับไม่ผิด อืมๆใช่ๆ พรุ่งนี้แหละ”  ผมมองน้องชายตอบแล้วอยากจะกัดหัวแล้วกินสมองมันมาก ทำไมไม่บอกกูชาติหน้าเลยล่ะ แล้วดูมันดิยังมีหน้ามานับให้ผมอีก ฮือๆๆ ทุกคนครับ..ผมมีน้องโง่

 

“มึงไม่ต้องนับเลย ทำไว้แสบมากนะ ไม่บอกกูเลย..ไอ้น้องสมองกลวง”

 

“โห่! ก็นึกออกตอนพี่เพรสถามนี่แหละ ว่าแต่พี่ถามทำไมล่ะ อยากไปอยู่กับฮาเดสเร็วๆหรือไง?”

 

“ไม่ใช่แหละ เออ! กูว่าจะถามหลายครั้งแหละ ไอ้มาเฟียนั่นหน้าตาเป็นยังไงว่ะ?”

 

“หล่อมากพี่” ดูมันตอบสิ เหมือนกูจะรู้จักเลย งั้นคนไหนหล่อก็มาเฟียล่ะสิ ไอ้น้องมักง่าย

 

“โอ๊ย! กูหมายถึง ไม่มีรูปถ่ายกับประวัติหรืออะไรที่ทำให้กูได้รู้จักเลยหรือไง?”

 

“เอ..รูปหรอ? อืม..โอ๊ะ! มีสิ มี อยู่ในโทรศัพท์มือถือพอร์ตนี่แหละ” เออ..แล้วมันเก็บรูปมาเฟียไว้ทำไมว่ะ

 

“หืม! ไอ้เกย์พอร์ต แล้วมึงจะเก็บรูปถ่ายมาเฟียไว้ทำไมว่ะ? มึงหวังจะรวบหัวรวบหางมาเฟียนั่นหรอ?”

 

“ผมเป็นไบเหอะ และผมก็ไม่นิยมรุกครับพี่ แล้วที่ผมเก็บรูปไว้ก็จะเอามาให้พี่เพรสดูเผื่อเจอจะได้ระวังตัวไว้” มันนึกช้าไปมั้ย?

 

“เออๆ ปลาไหลลื่นไปเรื่อยนะมึง มาดูดิ” ผมว่าน้องชายที่ช่างแถไปเรื่อย แล้วอิมพอร์ตก็กดโทรศัพท์แล้วยื่นมาให้ผมดูรูป พอเห็นรูปเท่านั้นแหละ อ๊าก...ไอ้บ้ากามที่ป้ายรถเมล์นี่หว่า ผมช็อก! ก็ไอ้บ้านี่มันเรียกผมที่ป้ายรถเมล์ว่า คุณภรรยา มันคิดอะไรกับผมหรือเปล่าว่ะ(คิดสิ..อิอิ)

 

“เป็นไรไปอ่ะ โห่! ตะลึงในความหล่อหรือไง อย่าชอบเลย มันเลวนะ”

 

“เอ่อ..กูว่าไม่ทันแล้วล่ะ”

 

“ทำไมล่ะ..ไม่ทันอะไร นี่พอร์ตก็ให้ดูรูปก่อนเจอตัวจริงตั้งหนึ่งวัน”

 

“ก็กูเจอมันแล้วนะเซ่” ผมตะโกนบอกน้องชายที่ยังคงอึนกับอาการของผม

 

“ห๊ะ! เจอที่ไหน? แล้วไอ้ฮาเดสทำอะไรเพรสหรือเปล่า?”

 

“ป้ายรถเมล์เมื่อเช้า เอ๊ะ! ทำไมมันต้องทำอะไรฉันด้วยล่ะ?” ผมหันไปถามน้องชายที่ลุกลี้ลุกลนแล้วก็หลบตาผมซะงั้น มันแอบซ่อนอะไรไว้ใช่มั้ย?

 

“มะ...ไม่มีอะไรหรอก พอร์ตแค่เป็นห่วงน่ะ” โห่! หน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย

 

“หึๆ ทำไมไม่ใช้บีบีล่ะ โกหกกูไม่เนียนเลย”

 

“เค้าขอโทษ..กะ ก็งานที่เพรสต้องไปทำอ่ะ มะ..มัน เอ่อ..คือไอ้ฮาเดสมันวางแผนจะจับเพรสทำเมียอ่า” หือ! อะไร เมียๆ มันจะหาเมียให้ผมเหรอ? ไม่นะ ผมไม่อยากได้เมียเป็นผู้ชายอ่ะ เพรสไม่นิยมเว้ย!

 

“หา? ฮาเดสอยากจะมาเป็นเมียฉันหรอ? ไม่เอานะ หล่อดี แต่ไม่ใช่แนวฉันว่ะ”

 

“เหอะๆ ไม่ดูตัวเองเลย ทำอย่างกับคนสวยอย่างแกผู้หญิงเขาจะสนหรือไง แล้วฮาเดสก็ไม่ได้อยากได้เพรสเป็นผัวด้วย มันอยากได้แกเป็นเมียโว้ย! ไอ้พี่ควาย”

 

“ม่ายยยยยยยย...กูไม่เอา” ผมร้องอย่างโหยหวนที่ต้องมาฟังน้องชายตอกย้ำชะตากรรมอันรันทดของผม ไม่นะ

 

“ก็มันจะเอามึงอ่ะ” มันซ้ำเติมผมอ่ะ

 

วันนี้ทั้งวันของผมนอกจากจะโดดเรียนแล้วยังต้องมารับรู้ข่าวร้ายที่สุดอีก ทำไมชีวิตผมมันช่างซับซ้อนยิ่งนัก ข้าอยากตาย อ๊าก! ผมดำเนินชีวิตด้วยวิญญาณออกจากร่างมาทั้งวัน จนมาถึงช่วงเย็น...

 

เสียงโทรศัพท์

"I know you want me, want me  You know I want cha, want cha

I know you want me"

 

“ฮัลโหล!” เสียงโทรศัพท์บ่งบอกว่ามีแต่คนต้องการตัวผมครับ

 

“ว่าไงจ๊ะ..คิวท์เพรส วันนี้โดดเรียนนะ” เอิ่ม..เสียงไอ้มิวนิคครับ กูชื่อ Impress ไม่ใช่ Cutepress เฟร้ย!

 

“ว่าไงครับ..น้องมิลค์ อยากตายหรือไงว่ะ” ผมเรียกชื่อต้องห้ามของมันซะเลย

 

“มึงนะเซ่ อยากเอาหน้ามาประทับตรีนกูมั้ย?” โธ่! มิลค์เคือง

 

“ไม่ล่ะ มึงมีอะไรถึงโทรมาหากูล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็ไปเรียน”

 

“Miss U จุ๊บๆ” มันกวนผมไม่เลิกอ่ะ

 

“Miss Teen กูมั้ย? จุ๊บๆ”

 

“โห่! ไม่กวนก็ได้ คนสวยอะไรว่ะ ดุฉิบหาย พอดีกูจะโทรมาถามว่าวันหยุดนี้มึงมีธุระที่ไหนป่ะ?”

 

“อ่ะอา..ไม่มีนะ ทำไมเหรอ?”

 

“เออ..กูจะชวนมึงไปเที่ยวกาญจนบุรีว่ะ ไปมั้ย?” ไปเที่ยวเหรอ? เออ..ก็ดีแหะ จะได้ไปเที่ยวคลายเครียดบ้าง

 

“อืม...เดี๋ยวขอถามอิมพอร์ตแป๊บนึงนะ”

 

“เอ๋! อิมพอร์ต..มึงรู้จักด้วยหรอ? มึงเป็นอะไรกันถึงต้องไปถามอิมพอร์ตด้วยว่ะ?”

เออว่ะ...มิวนิคมันไม่รู้ว่าอิมพอร์ตเป็นน้องชายผมนอกจากไซคีนี่หว่า

 

“อ๋อ! อิมพอร์ตเป็นน้องชายฉันเองแหละ”

 

“หา? ไม่น่าเชื่อ พี่น้อง? งั้นก็ฝาแฝดอ่ะดิ ไม่น่าเลย”

 

“ไม่น่าอะไรว่ะ?”

 

“มึงไงไม่น่ารักเลย..อิมพอร์ตออกจะน่ารัก” กรรม..มันชมผมอยู่ใช่ป่ะ?

 

“เออๆ กูมันทุเรศ พอใจมั้ย? เดี๋ยวไปถามน้องก่อนแป๊บนึงนะ” ผมว่ามิวนิคอย่างงอนๆแล้วหันไปถามอิมพอร์ตที่กำลังดูทีวีอย่างไม่สนใจโลกภายนอก มันตั้งใจดูมากอ่ะ

 

“พอร์ตๆ วันหยุดนี้ว่างป่ะ? ไปเที่ยวกาญจน์กับพี่เปล่า?”

 

“หือ? ไปกับใครอ่ะ ใช่พวกมิวนิคป่ะ?”

 

“อืม ใช่ๆ จะไปป่ะล่ะ?”

 

“ไปๆ งั้นเดี๋ยวพอร์ตชวนเพื่อนไปอีก  3 คนนะ” ผมพยักหน้าแล้วหันไปคุยโทรศัพท์กับมิวนิคต่อ

 

“เออ..มิว ตกลงว่าไปนะเว้ย! แล้วพอร์ตกับเพื่อนมันอีก  3 คนจะไปกับเราด้วยนะ”

 

“ได้ๆ ไม่มีปัญหา อย่าลืมเอาเสื้อผ้าไปด้วยนะ ว่าจะค้างที่นั่นด้วย งั้นเจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนนะ”

 

“อืมๆ พรุ่งนี้กูขอลอกการบ้านด้วย วันนี้ไม่ได้ไปเรียนพรุ่งนี้กูเรียนไม่รู้เรื่องแน่เลย”

 

“เออๆ แล้วเจอกัน” แล้วมิวนิคก็วางสายไป ส่วนผมก็กระดี้กระด้าสิครับ ได้ไปเที่ยวโว้ย!

 

“แหม ยิ้มหน้าบานเลยนะ กับแค่ไปเที่ยวเนี่ย”

 

“ความสุขกู”

 

“คร้าบ..พี่คนสวย”

 

ผลัวะ!

ผมตบหัวน้องชายแล้ววิ่งขึ้นข้างบนบ้านไปเตรียมเสื้อผ้าไว้ไปเที่ยวกับพวกเพื่อนๆ หลังจากที่ผมกินข้าวเย็นเสร็จผมก็รีบอาบน้ำเข้านอน หวังว่าคืนนี้ผมจะไม่ฝันแฟนตาซีอะไรนั่นอีกนะ กูกลัว

 

ค่ำคืนที่แสนสุข

ผู้ชายผมสีแดงยาวสลวยหน้าตาหล่อเหลากระโดดเข้ามาทางหน้าต่างแล้วเดินเข้ามายืนใกล้ๆเตียงที่อิมเพรสนอนอยู่ ดวงตาคมดุจ้องมองมาที่ร่างบางนั้นเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดูคนตรงหน้า แล้วชายหนุ่มก็นั่งลงใกล้ๆเตียงพลางเอื้อมมือไปเกลี่ยตรงแก้มของร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ

 

“อืม..คิคิ ไม่เอานะ เจ้าตาล” อิมเพรสละเมอถึงน้องหมาที่ชอบมาคลอเคลียตน

 

“หึๆ ฝันว่า..ข้าเป็นสุนัขงั้นรึ? มันน่านัก” ปันนคนาสน์เอ่ยอย่างนึกขำคนตรงหน้าเลยนึกอยากจะแกล้ง ปันนคนาสน์เลยเลื่อนมือไปลูบไล้ตามตัวของอิมเพรสแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปจุ๊บปากเล็กๆนั้นก่อนที่ดวงตาสวยจะลืมตาขึ้นมาจ้องมองปันนคนาสน์อย่างตะลึง

 

“เอ่อ” อิมเพรสพูดไม่ออกที่คืนนี้เห็นผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นอีกแล้ว แถมยังโดนจุ๊บปากอีก

 

“ตื่นแล้วรึ? เหลี่ยนฮวา” หืม! ฝันใช่ป่ะ? ผมมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างละเมอคิดว่าตัวเองยังฝันอยู่ แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มของผม ฟอด!

 

“อ๊าก...แกเป็นใคร? แล้วเข้ามาได้ยังไง ไอ้คนฉวยโอกาส” ผมลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วชี้นิ้วไปที่คนตรงหน้าอย่างโมโห

 

“ข้าไม่ได้ฉวยโอกาส แต่เจ้าให้โอกาสข้าต่างหากเล่า”

 

“โห่! ปากท่านนั้นช่างคมกริบดังใบมีดโกนยิลเลตต์ยิ่งนัก มันเฉียดเฉือนผิวเนื้อข้าซะเลือดซิบ” ผมพูดประชดคนตรงหน้าที่พูด “ข้า” “เจ้า” โบราณซะ

 

“เจ้าล้อเลียนข้ารึ? ข้าไม่น่าปล่อยเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้เลยจริงๆ มันน่านัก” ปันนคนาสน์เอ่ยแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆกับอิมเพรสที่ถอยหลังไปทางประตูห้องนอน

 

“นายจะทำอะไรฉัน เฮ้ย! ออกไปนะ ช่วยด้วย! คนในฝันจะข่มขืนผม” ผมร้องขอความช่วยเหลือเสียงดัง แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครได้ยิน แม้แต่อิมพอร์ตที่อยู่ห้องตรงข้ามกับผมยังเงียบอ่ะ มึงโดนวางยาเบื่อหรือไง ไอ้น้องไส้เน่า

 

“เจ้ากลัวข้ารึ? อย่ากลัวไปเลยยอดรัก ข้าเห็นของเจ้ามาหมดแล้วล่ะ มานี่สิ” ปันนคนาสน์เอ่ยแล้วพลางทำสายตาเจ้าชู้ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่อิมเพรส แล้วเริ่มเดินเข้าไปใกล้อิมเพรสเรื่อยๆ

 

“เฮ้ย! แกเห็นอะไร ห๊า! แกปล้ำฉันแล้วใช่มั้ย? ไอ้เลว” ผมฉุนกึกที่คนตรงหน้าพูดเหมือนเคยเห็นผมแก้ผ้าอย่างนั้นแหละ เอ๊! หรือว่ามันเข้ามาปล้ำผมตอนหลับ ไม่นะ เพรสรับไม่ได้ เพรสไม่อยากมีผัว

 

“หึๆ ข้าเห็นอะไรมาบ้างนะ ชักลืมๆแล้วสิ” ปันนคนาสน์เอ่ยอย่างสนุกที่ได้แกล้งคนตรงหน้าที่กำลังยืนโกรธหน้าแดงอยู่ แล้วปันนคนาสน์ก็เดินเข้าไปใกล้มากขึ้นจนประชิดตัวของอิมเพรสที่เดินถอยหลังจนชนประตูห้องนอนแล้วรวบร่างบางเข้ามากอดแน่นแล้วก้มหน้าเข้าไปใกล้ซอกคอขาวแล้วไซร้จมูกดมกลิ่นกายหอมของคนในอ้อมกอด

 

“ปล่อยนะโว้ย! แกคิดจะลวนลามฉันหรอ ตาบอดหรือไง ฉันเป็นผู้ชายนะโว้ย!”

 

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าเป็นบุรุษ พิสูจน์สิ” ปันนคนาสน์ยิ้มล้อเลียนอิมเพรส

 

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ไอ้จิตบกพร่อง ปล๊อยยย...”

 

“ข้าไม่ปล่อย ต้องพิสูจน์ก่อนว่าเจ้าเป็นบุรุษ”

 

“ถ้าพิสูจน์แล้วต้องปล่อยนะเว้ย!” ผมมองคนที่กอดตัวเองอยู่อย่างอารมณ์เสีย แล้วตัดสินใจกอดตอบคนตรงหน้าแน่นจนปันนคนาสน์เองยังแปลกใจที่ร่างบางกอดตอบตน

 

“รู้สึกหรือยังว่าหน้าอกมันแบนเรียบเป็นลานบินแล้วยังมีส่วนเกินด้วย” ผมพูดพลางกอดคนตรงหน้าแน่นให้รู้ว่าผมเป็นผู้ชาย พิสูจน์ความแมนทางกายภาพเต็มที่(อยากกอดเขาก็บอกมาเหอะนังหนู/คนเขียน)

 

“ส่วนเกินคือตรงไหนรึ?” ปันนคนาสน์เอ่ยถามด้วยความอยากแกล้งคนร่างบางที่คิดจะพิสูจน์ว่าเป็นบุรุษซะเต็มที่ทั้งๆที่เขาก็รู้ดีว่าร่างบางในอ้อมกอดเป็นบุรุษ

 

“จะบ้าเหรอ? ปล่อยๆได้แล้ว ไอ้โรคจิต” อิมเพรสว่าคนที่กอดตนไม่ปล่อยอย่างหงุดหงิดที่ต้องตื่นมากลางดึกแล้วเจอกับคนแปลกหน้าในห้องนอนและยังกวนประสาทตนอีก

 

“งั้นก่อนที่ข้าจะปล่อยตัวเจ้า ข้าสงสัยว่าเจ้าเป็นบุรุษจริงหรือเปล่า ข้าขอพิสูจน์เองดีกว่า” พอปันนคนาสน์พูดจบก็ก้มลงมาจูบบดเบียดริมฝีปากเล็กอย่างรุนแรงแล้วจับท้ายทอยให้ร่างบางในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นรับจูบของตน อิมเพรสตาโตตกใจที่โดนจูบจึงรีบใช้มือผลักคนตรงหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่เป็นผล จึงเปลี่ยนมาเป็นทุบคนตรงหน้าแทน เมื่อเริ่มหายใจไม่ทัน

 

“อะ..อื้ม ปะ...ปล่อย..ซะ...อื้ม”  เมื่อมีโอกาสที่ชายหนุ่มปล่อยให้ร่างบางได้หายใจแล้วกำลังอ้าปากจะพูด ปันนคนาสน์ก็จูบอย่างอ่อนโยนแล้วสอดลิ้นเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆของคนตรงหน้า แล้วมือของชายหนุ่มก็ลูบไล้ไปตามลำคอและลงมาที่หน้าอกที่มีชุดนอนบดบังอยู่ ปันนคนาสน์ดึงเสื้อนอนของร่างบางขึ้นแล้วลูบไล้หน้าอกของร่างบางและใช้มือบีบคลึงหน้าอกจนร่างบางหลุดเสียงครางออกมา แล้วก็เลื่อนริมฝีปากไปจูบตามลำคอขาวแล้วดูดจนเป็นรอยแดง จากนั้นก็เลื่อนลงไปจนถึงหน้าอกแล้วดูดเลียยอดอกนั้นอย่างหยอกเย้า

 

“อะ..อื้ม ยะ..อย่า” อิมเพรสพูดเสียงสั่นพยายามเอามือดันคนตรงหน้าที่เลื่อนมือข้างหนึ่งจากหน้าอกของตนไปที่ด้านล่าง

 

“หืม...เจ้าชอบมั้ย?” ปันนคนาสน์ขึ้นมากระซิบข้างหูแล้วก็ขบใบหูเล็กนั้นเบาๆ แล้วมือของปันนคนาสน์ก็จับที่แกนกายของร่างบางผ่านกางเกงนอน ทำให้ร่างบางเริ่มมีสติกลับมา

 

“อื้ม...ยะ หยุดเถอะนะ” อิมเพรสพูดกับปันนคนาสน์ที่กำลังลูบไล้น้องชายของตนผ่านเนื้อผ้าหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วพลางปัดมือของชายหนุ่มออก

 

“อืม..ข้าหยุดก็ได้ ถึงแม้เจ้าจะน่ากินมากก็ตาม ยอดรักของข้า” ปันนคนาสน์ยืดตัวยืนเต็มความสูงแล้วจุ๊บปากคนตรงหน้าก่อนที่จะปล่อยมือออกจากแกนกายร่างบางแต่ก็ยังกอดไว้หลวมๆ แล้วมองคนตรงหน้าที่หน้าแดงผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาปรือฉ่ำหวาน ริมฝีปากแดงบวมเจ่อ กำลังมองหน้าตนอยู่ จนอดคิดไม่ได้ว่า เซ็กซี่เป็นบ้า ปล้ำเลยซะดีมั้ยนะ?

 

“อะ..เอ่อ..นายเป็นใคร?”  อิมเพรสถามคนร่างสูงอย่างเหม่อลอยแล้วรีบก้มหน้าด้วยความเขินอายที่เพิ่งจูบกับคนแปลกหน้า ทำไมกูใจง่ายอย่างนี้ว่ะ

 

“หืม! ข้ารึ? ข้าชื่อ ปันนคนาสน์ เจ้าสนใจข้ารึ? เหลี่ยนฮวา” ปันนคนาสน์ปล่อยตัวร่างบางในอ้อมกอดแล้วจูงมืออิมเพรสไปที่เตียง แต่ร่างบางก็ยังดื้อดึงและขืนตัวเองไว้ ทำให้ชายหนุ่มต้องดึงอิมเพรสมานั่งบนตักแล้วจับหันหน้ามาทางตนและกอดเอวไม่ปล่อย อิมเพรสก็ยิ่งหน้าแดงเขินอายเข้าไปใหญ่ พยายามเอามือดันชายหนุ่มที่กอดตัวเองให้ปล่อย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จจนอิมเพรสต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อนอย่างเหนื่อยใจกับคนแปลกหน้า

 

“เอ๊ะ! เหลี่ยนฮวา? ใคร?” ผมสงสัยที่คนตรงหน้าเรียกผมว่า “เหลี่ยนฮวา” ตลอด เอ! มันฝันถึงผู้หญิงที่ไหนแล้วละเมอมาปล้ำผมหรือเปล่าว่ะ?

 

“ข้าหมายถึงเจ้า เจ้าคือเหลี่ยนฮวาของข้า” ปันนคนาสน์พูดแล้วจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความความรักและรอคอยให้คนรักของเขาจำได้

 

“เอ๋! ฉันหรอ? เฮ้ย! งั้นในฝันนั่น ฉันก็เป็นผู้ชายหน้าสวยแต่งตัวโบราณคนนั้นน่ะสิ” ผมพึมพำกับตัวเองแล้วมองหน้าปันนคนาสน์

 

“หืม! เจ้า..เจ้าฝันถึงเรื่องของเราใช่มั้ย?” ปันนคนาสน์พูดอย่างดีใจที่เหลี่ยนฮวาของเขาเริ่มจำเรื่องในอดีตชาติได้แล้วกอดอิมเพรสแน่น

 

“เฮ้ย! ปล่อยๆ เรื่องของเราอะไรว่ะ เรื่องของฉันคนเดียวไม่เกี่ยวกับนายซะหน่อย แล้วนายล่ะ เป็นใครมาจากไหน?”  ผมพูดขัดคนที่กอดผมแน่น ได้ใจไปเปล่าว่ะ พอกูปล่อยมันกอดใหญ่เลย

 

“ข้ารึ? ข้าเป็นองค์ชายสองของปักษานครที่อยู่ในป่าอาถรรพ์ ข้าเข้าไปในหมู่บ้านเซินหลินที่อยู่ป่าลึกกลางหุบเขาตอนที่ข้าไปตามหาดอกบัวอัจจิมา ซึ่งเป็นที่เล่าลือกันว่าดอกบัววิเศษนั้นสามารถล้างคำสาปมนต์ดำได้ แล้วข้าก็เจอเจ้าที่นั่น แต่ตอนนั้นเจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้า ชอบด่าว่าข้าอยู่เรื่อยจนข้าอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ว่าทำไมเจ้าต้องจงเกลียดจงชังข้านัก” ปันนคนาสน์พูดอย่างน้อยใจที่หวนนึกถึงอดีตที่เจอเหลี่ยนฮวาครั้งแรก

 

“เอ๋! แล้วทำไมถึงรู้ว่าเกลียด มีญาณทิพย์หรือไง? แล้วเหลี่ยนฮวาเป็นอะไรกับนายล่ะ?” ผมกวนประสาทคนตรงหน้าซะเลย ก็ในฝันผมน่ะ ผมฝันว่าเหลี่ยนฮวาสนใจคนๆนี้ด้วยซ้ำ เออ! หรือจะเป็นคนละคนที่มันพูดถึงว่ะ

 

“เจ้าเป็นคนรักของข้าและข้ารู้สึกได้จากคำพูดของเจ้า เจ้าดูท่าจะยินดีที่จะคุยกับเพื่อนข้ามากกว่า” ปันนคนาสน์พูดอย่างน้อยใจคนสวยตรงหน้า

 

“เฮ้อ! ฉันจำเรื่องที่นายพูดไม่ได้เลย แต่ก็แปลกใจที่ฝันถึงนะ แต่ตอนนี้นายช่วยปล่อยก่อนได้มั้ย? มันอึดอัด” ผมพยายามพูดกล่อมคนตรงหน้าให้ปล่อยตัวผม ใครจะไปชินนั่งเฉยให้กอดไปเรื่อยล่ะว่ะ (เอ่อ...นังหนูปล่อยเลยตามเลยไม่ใช่เหร๊อ?)

 

“ไม่เอา ถ้าข้าปล่อยเจ้าแล้วไม่ได้เจอเจ้าอีกล่ะ ข้ายอมไม่ได้หรอกนะ” ปันนคนาสน์ยังดื้อดึงที่จะกอดร่างบางพลางพูดออดอ้อนคนในอ้อมกอดแล้วหน้าไซร้ตรงซอกคอ ส่วนอิมเพรสก็เบียงตัวหลบ

 

“ไม่ต้องมาปัญญาอ่อน กูยังไม่ตาย ไอ้บ้า!” ผมด่าปันนคนาสน์เข้าให้มีอย่างที่ไหนมาแช่งผมให้ตายล่ะ

 

“ข้าไม่ได้ว่าเจ้าตายนะ ข้ากลัวเจ้าจะจากข้าไปอีก”

 

“ใครจะไปไหนก็ไปเหอะ ปล่อยเลย ไอ้หัวซอสมะเขือเทศ” ผมพูดว่าคนที่ออดอ้อนจนน่าต่อยให้หายปัญญาอ่อน มันบ้าหรือเปล่าว่ะ? กูจะเป็นศัตรูกับมึง ไอ้หัวเรด

 

“ทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับข้านัก ไม่ว่ากี่ปีกี่ชาติเจ้าก็ใจร้ายกับข้า” ปันนคนาสน์พูดกับผมพลางหันหน้าหนี เอ่อ..แต่มันก็ยังเนียนกอดผมอยู่ล่ะนะ หน้าด้านว่ะ

 

“เฮ้อ! ไม่ได้ใจร้าย แต่จำอะไรไม่ได้จริงๆนี่หว่า”

 

“ข้าก็บอกเจ้าอยู่นี่ไงว่า ไม่ว่ากี่ปีกี่ชาติเจ้าก็ใจร้ายกับข้า” หา! เป็นชาติเลยเหรอ? มันอายุเท่าไรกันว่ะ ทำไมพูดแก่แดดแท้ แล้วมันจะมางอนผมทำไมว่ะเนี่ย รู้จักกันวันแรก ไม่สิ คืนแรกเนี่ยนะ แอบสยิวว่ะ

 

“เดี๋ยวๆ นายอายุเท่าไรแล้ว? สัก 20-21 ปีได้ป่ะ?” ผมถามพลางมองคนตรงหน้า

 

“เจ้าจะหาว่าข้าแก่รึ? อืม!...ก็แก่จริงๆแหละ”

 

“บอกมานะว่านายอายุเท่าไร?” ผมเริ่มหวาดกลัวมันแหละ มีอย่างที่ไหนมาเฝ้ารอคนๆนึงเป็นภพเป็นชาติ

 

“ข้าอายุมากกว่า 3000 ปีแล้วล่ะ” ปันนคนาสน์ตอบพลางส่งยิ้มมาให้ผม แต่ผมนี่สิ ช็อก!

 

เฮือก!

(O_O)

“อ๊าก! ผีพันปี ออกไปจากตัวกูเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่กูกอดจูบกับศพเดินได้ใช่มั้ย? โฮๆๆ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย”

 

“ข้าไม่ใช่ศพนะ ข้ายังไม่ตาย”

 

“ไม่จริง นะโม..อย่ามาหลอกหลอนผมเลย ผมจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ อยากได้อะไรก็บอกมาเลย แต่อย่าเอาของเกิน 1,000 บาท ผมไม่มีเงินครับ สาธุ” ผมยกมือไหว้ปันนคนาสน์อย่างเสียสติ ใครมันจะอายุยืนเป็นพันๆปีกันว่ะ แค่ร้อยปียังน่าเชื่อกว่าอีก

 

“ไม่เอาสิ ข้ายังไม่ตาย เจ้าจะกลัวข้าทำไมกันเล่า..เหลี่ยนฮวา” ปันนคนาสน์พูดอย่างเหนื่อยใจที่คนรักของเขาสติแตกเรื่องอายุของเขา

 

“ทะ...ทำไมถึง..มะ..มีอา..อา..อายุ..พะ..พันปีล่ะ?” ผมพูดติดอ่างอย่างหวาดกลัว มันไม่ใช่ผีใช่มั้ย?

 

“เจ้าก็จับตัวข้าสิ ข้ามีเนื้อมีหนังเหมือนเจ้านะ”

 

“มีหนังหุ้มกระดูกไว้เพื่อหลอกคนใช่ป่ะ?” ผมกลัวนี่นา..หนังคนหรือเปล่าว่ะ ผมลองเอานิ้วไปจิ้มๆจับๆตรงแขนปันนคนาสน์อย่างกลัวๆ เออ...หนังคนว่ะ ไม่ได้สิ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจ กูถึงจะเชื่อ อ๊าก!

 

“เจ้านี่กวนประสาทข้าไม่เปลี่ยนเลยนะ เดี๋ยวจับปล้ำซะเลยนี่”

 

“อ๊าก...ไม่เอา กูไม่นอนกับผีพันปี ไม่กวนแล้ว คุณปู่มะเขือเทศ” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้าอย่างกลัวๆ ผมเชื่อแล้วแหละว่าทำไมหมอนี่ถึงได้พูดเหมือนคนโบราณซะขนาดนี้

 

“ข้าจะโกรธเจ้าแล้วนะ ข้าไม่ใช่ผี ทำไมไม่เชื่อข้าบ้าง เหลี่ยนฮวา”

 

“ฉันไม่ได้ชื่อ เหลี่ยนฮวา นะคุณปู่ทวด ฉันชื่อ อิมเพรส” ผมตัดสินใจแหละ ผมต้องไม่ใช่เหลี่ยนฮวาแน่ๆ แฟนตาซีไปป่ะ ตามมาหาตั้งพันปีและที่ผมฝันต้องเป็นมโนภาพของจิตสำนึกที่อิมพอร์ตมันบอกแน่ๆ

 

“ข้าเสียใจนะ ไยเจ้าต้องพูดกับข้าเช่นนี้ด้วย ข้าไม่ใช่ปู่ทวดเจ้านะ ข้าเป็นคนรักของเจ้า” ปันนคนาสน์พูดอย่างตัดพ้อกับคนตรงหน้าพลางทำสีหน้าโศกเศร้าที่เขาอาจจะต้องเสียเหลี่ยนฮวาไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

 

“ยะ..อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ ฉันก็ต้องช็อกกันบ้างสิ เอ่อ..ฉันขอเรียกนายว่า ปันน์ ได้มั้ย?”

 

“ได้สิ เจ้าจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

 

“งั้นเรียก ผีปันน์ ล่ะกัน ถ้าเรียกอะไรก็ได้” ผมตอบอย่างกวนอารมณ์คนตรงหน้า

 

“เจ้า! ฮึย! ตามใจเจ้า”

 

“ล้อเล่นน่ะ พี่ปันน์ล่ะกัน คนอะไรแก่แล้วยังขี้น้อยใจอีก”

 

“ก็เจ้าชอบว่าข้าอยู่เรื่อย ข้ามันไม่มีอะไรดีเลยหรือไงกัน”

 

“อืม! ไม่รู้สิ มันคงยากที่จะเชื่อที่คนๆนึงจะตามหาคนๆนึงมาเป็นพันๆปี ถือว่าเป็นรักแท้นิรันดร์ที่น่ายกย่องมากเลยนะ ถ้าฉันไม่ใช่เหลี่ยนฮวา แล้วเวลาที่ผ่านมาของพี่ปันน์ไม่เสียไปเปล่าๆหรอ?” ผมถามไปตามตรง ถึงแม้ว่าผมเพิ่งจะได้คุยจริงจังกับเขาครั้งแรก แต่ความรู้สึกเหมือนผูกพันกันมานานแสนนานจนผมเสียดายแทนถ้าคนตรงหน้าต้องผิดหวัง

 

“สำหรับเจ้า ไม่มีคำว่าเสียเวลาสำหรับข้า”

 

“ซึ้งว่ะ อยากเป็นเหลี่ยนฮวาจังเลย” ผมพูดล้อเล่นกับพี่ปันน์ที่ยึดมั่นกับคนรัก

 

“ก็เจ้านั่นแหละ เหลี่ยนฮวาของข้า”

 

“มั่วแหละ เอาเป็นว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วกัน ฉันจะไม่ปักใจเชื่อจนกว่าจะมีสิ่งที่ยืนยันว่าฉันคือเหลี่ยนฮวา เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะยอมรับทุกอย่างที่พี่ปันน์เล่ามา”

 

“ข้าจะรอเจ้า ตอนนี้ได้เวลาที่เจ้าต้องนอน ข้าจะไปแล้ว” ปันนคนาสน์ปล่อยตัวของอิมเพรสลงจากตักของตัวเองแล้วจัดให้อิมเพรสนอนพร้อมกับห่มผ้าให้แล้วส่งยิ้มให้อิมเพรสอย่างอ่อนโยน

 

“พี่จะไปยังไง..นั่งรถเมล์กลับหรอ? มันดึกแล้วนะ” ผมพูดอย่าวซื่อๆ ก็จริงนิ คนเขานอนกันหมด รถเมล์ก็หมดแล้ว มันจะกลับยังไงล่ะ แถมผมยาวสีแดงแต่งตัวประหลาดขนาดนี้ไม่โดนจับส่งโรงพยาบาลบ้าหรอว่ะ?

 

“เจ้าเป็นห่วงข้ารึ? เหลี่ยนฮวา”

 

“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เหลี่ยนฮวา แล้วก็ไม่ได้เป็นห่วงด้วย ชิ!”

 

“มีอีกอย่างที่เจ้ายังไม่รู้ ปันนคนาสน์ แปลว่า พญาครุฑ” เอาแล้วสิ พญาครุฑเกี่ยวอะไรด้วยหว่า! ผมสงสัยยังไม่ทันจะเข้าใจในสิ่งที่พี่ปันน์พูด ผมก็เห็นพี่ปันน์กระโดดไปที่หน้าต่างแล้วกลายร่างเป็นพญาครุฑสยายปีกแล้วบินออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“อ๊ากกกกกกกก!!! ไอ้นกผีมันหลอกกู”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา