Chronicles Of Legend. ปฐมบทแห่งตำนาน
เขียนโดย LanzaDeLuZ
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 19.07 น.
แก้ไขเมื่อ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 19.20 น. โดย เจ้าของนิยาย
46) ...ไม่อาจคาดเดา...(1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ทันทีที่สิ้นคำอุทาน เรย์ลาลีนก็พุ่งด้วยความเร็วราวกับสายลมโดยไม่สนใจรอใครอื่นทั้งสิ้น...ในเวลาเพียงไม่ถึงอึดใจเขาก็พุ่งมาถึงสถานที่อันเป็นห้องสอบสวน...หรือจะให้พูดจริงๆ เขาคงต้องบอกว่าเป็นแค่ อดีต ห้องสอบสวน เพราะตอนนี้มันเพิ่มรูเบ้อเริ่มเทิ่ม ประดับอยู่ทางด้านที่เป็นผนังติดกับด้านนอกอาคารโดยที่ปราศจากเงาของคลาเดียแล้ว...
ชายหนุ่มหมุนตัวดูรอบ ที่เกิดเหตุ อย่างรวดเร็ว...หากไม่นับอาจารย์สองสามคนที่สลบอยู่ ที่นี่ก็กระจัดกระจายราวกับถูกพายุเข้า และเต็มไปด้วยรอยของมีดสายลมอยู่เต็มห้อง...บริเวณที่เคยล่ามราชศาสตราเคียวทมิฬเนเมซิสไว้ บัดนี้เหลือเพียงร่องรอยเศษข้อโซ่สีเงินที่หล่นอยู่เกลื่อนกลาดโดยไม่เหลือร่องรอยของเคียวอยู่อีกแล้ว
' บ...บ้าน่า ...ถึงจะบอกว่าเป็นอัจฉริยะด้านการใช้สายลม แต่ผนังนี่ก็เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กกล้าหนาเกือบฟุตเชียวนะ ...ต่อให้มีอาวุธอย่างราชศาสตราเคียวทมิฬเนเมซิส แต่จะฝ่าออกไปได้ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ...ไม่ใช่แค่ไม่ถึง 10 นาทีแบบนี้แน่ ' เรย์ลาลีนครุ่นคิดพลางใช้มือลูบคะเนความหนาของผนังที่เป็นรูขนาดใหญ่นี้ ก่อนที่เขาจะชะโงกตัวออกไปดูความสูง
" เราอยู่บนหนึ่งในสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ที่สูงที่สุดในทวีป...จุดที่นายกำลังยืนอยู่คือชั้นที่ 73 ...แถมด้านนอกก็ไมมีแม้แต่ที่สำหรับหยั่งเท้า บวกกับลมทะเลที่หนุนอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าคลาเดียคงจะตกลงไปกองเป็นเศษเนื้ออยู่ตรงไหนซักแห่งข้างล่างนั่นแล้ว...ฉันเลยกำลังจะสั่งให้พวกอาจารย์ลงไปสำรวจดู... " อเล็กซานดร้าที่ดูเหมือนจะมาถึงที่นี่ก่อนซักครู่นึงแล้วพูดเบาๆ พลางลองชะโงกหน้าไปดูบ้าง แต่เธอก็ต้องรีบหดหัวกลับมาพร้อมกับหลับตาลงอย่างหวาดเสียว
เรย์ลาลีนส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับทำคิ้วขมวดและสีหน้ายุ่งยากสุดขีด
" ถ้ายัยนั่นคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ ทำไมต้องลำบากระเบิดผนังจนเป็นรูแบบนี้เพื่อโดดลงไปฆ่าตัวตายด้วยล่ะ...อีกอย่างนึง ถ้าหากผู้ใช้ธาตุสายลมมีพลังระดับระเบิดกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กหนาขนาดนี้ได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที...ไอ้เรื่องใช้สายลมประคองให้ร่อนลงจากที่สูงแค่นี้คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปแน่...ฮึ่ม!! พวกเราประมาทเกินไป!...ไม่น่าปล่อยให้แม่นั่นอยู่กับอาวุธที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถึงราชศาสตราชั้นสูงตามลำพังเลย " เขาได้แต่กัดฟันกรอดอย่างแค้นเคืองในความชะล่าใจของตนเอง ในขณะที่เชรีน่าที่พึ่งมาถึงก้มลงเก็บเศษโซ่ที่ตกอยู่มาเพ่งมองใกล้ๆ
" ไม่อยากจะเชื่อ...ถึงจะไม่อยากพูดอะไรที่เป็นเหมือนการยกยอตัวเองในเวลาแบบนี้ก็เถอะ...แต่โซ่นี่เป็นโซ่ที่ฉันลงอักขระอาคมกำกับขึ้นมาเองกับมือเชียวนะ อาคมที่ฉันกำกับนอกจากอาคมปัดเป่ามนต์ดำที่ชั่วร้ายแล้ว ยังลงอาคมเสริมความแข็งแกร่งโซ่และสาปแช่งผู้ที่พยายามทำลายโซ่นี้อีก...โซ่นี่ถือเป็นวัตถุอมตะได้เลยเชียวนะ...เรื่องที่โซ่กลับถูกทำลายได้ง่ายๆ แบบนี้...มัน... " แม้แต่เชรีน่าเองก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วครู่เหมือนกัน...โซ่ที่เธอบรรจงสร้างมาอย่างภาคภูมิใจกลับถูกทำลายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ทำห้เธอเสียความมั่นใจไปไม่ใช่น้อยๆ ทีเดียว
" นี่...มันหมายความว่ายังไงกันแน่...คุณนาเดีย " ผู้อำนวยการสาวอันนาเทียน่าเอ่ยถามนาเดียผู้พึ่งมาถึงด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างพยายามข่มอารมณ์โดยไม่หันไปมอง เพราะเธอกลัวว่าเมื่อหันกลับไปมองหน้าตรงๆ เธอคงจะระงับความโกรธไว้ไม่อยู่แน่
ทุกคนหันกลับไปมองนาเดียด้วยแววตาเกือบจะเอนเอียงไปทางจับผิดหญิงสาวตรงหน้าด้วยซ้ำ...เพราะมันค่อนข้างจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าที่พวกเธอประมาทจนไม่ได้เฝ้าคนร้ายไว้ก็เป็นเพราะคำยืนยันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะของหญิงสาวตรงหน้านี่
" ก...ก็จะให้ฉันพูดว่ายังไงกันล่ะ!! ในเมื่อความสามารถของฉันมันบอกว่าคลาเดียพูดความจริง จะให้ฉันบอกว่ายัยนั่นโกหกงั้นเหรอ?! " นาเดียเถียงลั่นในขณะที่สีหน้าของเธอก็ขาวซีดด้วยความตกใจไม่แพ้กัน
" เลิกโทษกันเองซะทีเถอะน่า...เทียฯ เรื่องนี้ถ้าจะมีใครผิดมันก็ผิดกันทุุกคนนั่นแหละ...นายเองก็เหมือนกัน เรย์ฯ...ไหนพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคลาเดียเป็นผู้บริสุทธิ์ไง? "
' อ่าว? ไหนบอกไม่อยากจะโทษใคร ...แล้วหวยดันมาออกที่ตูได้ยังไงหว่า? ' เรย์ลาลีนได้แต่คิดในใจอย่างหงุดหงิดในขณะหันไปมองอเล็กซานดร้าผู้หาเรื่องพาลใส่ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกอย่างรู้ดีว่าเถียงไปก็แพ้เสียเปล่าๆ เขาจึงเลือกที่จะอธิบายไปด้วยเหตุผล
" ผมอยากจะให้พุ่งประเด็นไปที่เรื่องของชาโดว์...ผมหมายถึงเรื่องของคลาเดียมากกว่า นาเดีย...คุณแน่ใจนะเกี่ยวกับเรื่องอาการของโรค Bipolar หรือโรคบุคคลสองบุคลิกรึเปล่าครับ?...เรื่องที่คุณบอกว่าคลาเดียไม่ได้เป็นโรคนี้แน่น่ะ...ผมหมายถึงไม่ใช่แค่ตรวจคร่าวๆ แต่เป็นการวินิจฉัยโรคแบบละเอียดโดยการซักประวัติและการสืบประวัติทางจิตของลำดับญาติน่ะครับ "
นาเดียที่ตลอดเวลาเธอมองสำรวจพื้นที่รอบๆ บริเวณหันมามองเรย์ลาลีนก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
" ระดับเสนาธิการทหารอย่างนายก็น่าจะพอรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ? โรคบุคคลสองบุคคลิกเป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตที่ค่อนข้างจะฝังลึก...แถมในปัจจุบันยังไม่มีกระบวนการพิเศษในการคัดแยกผู้ป่วยด้วย ฉันหมายถึง--- " นาเดียยังพูดไม่ทันจบประโยค พริสซิลล่าก็เดินมาตบไหล่เบาๆ ก่อนจะพูดขัดขึ้น
" พูดตามฉันนะ...นาเดีย...พูดว่า ฉันไม่รู้ ... "
" ... " นาเดียหันมาเหล่มองด้วยแววตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
" เอาน่าๆ...มันไม่เสียศักดิ์ศรีอะไรตรงไหนหรอก ...คนเรามันต้องมีเรื่องที่ไม่รู้กันบ้างซักเรื่องสองเรื่องล่ะน่า "
" จะไปว่านาเดียก็ไม่ได้หรอก...เรื่องโรคบุคคลสองบุคลิกน่ะมันไม่ได้แปลตามตัวอักษรเป๊ะๆ หรอกนะ...ต่อให้ผู้ที่เป็นโรคนี้หนักๆ ก็ใช่ว่าจะมีอาการแบ่งแยกจิตสำนึกออกเป็นสองขั้วอย่างเอกเทศ ...เพราะงั้นแปลว่าต่อให้อาการกำเริบ ผู้ป่วยก็น่าจะมีสำนึกรู้ตัวมากพอจนความสามารถ จับเท็จ ของนาเดียน่าจะมีผลบ้างไม่มากก็น้อย...ไม่ใช่แบบนี้ที่เป็นเหมือนสอบสวน ด๊อกเตอร์เจกิว ในเวลาที่ไม่ได้แปลงร่างเป็น มิสเตอร์ไฮด์ ไม่มีผิด " เชรีน่าพูดขึ้น โดยจากคำพูดมันแสดงให้เห็นว่าเธอเองก็มีความรู้ในด้านนี้ไม่น้อยเหมือนกัน
" คือ...ฉันคิดว่าพวกเรากำลังหลงประเด็นกันนะคะ " อยู่ๆ เฮเลน วอลคาโนที่เงียบมาตลอดก็โพล่งขึ้น เรียกความสนใจของทุกคนในห้องให้หันไปมองได้
" เธอกำลังจะพูดอะไรของเธอ? เฮเลน " พริสซิลล่าเป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นเบาๆ
" ฉันกำลังคิดว่าถ้าเรารู้แน่แล้วว่ารุ่นพี่คลาเดียคือชาโดว์ แล้วเราจะมามัวเสียเวลานั่งวิเคราะห์อาการป่วยทางจิตของหล่อนไปทำไมกัน...แทนที่เราจะใช้เวลาอันมีค่านี้มาคุยกันว่าคลาเดียจะทำอะไรต่อไปเมื่อเธอหลุดไปได้มากกว่านะ "
" . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . "
ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างเงียบงัน พร้อมกับทำหน้าราวกับพึ่งโดนหมัดน๊อคเข้าที่ปลายคาง...ทำเอาห้องทั้งห้องเงียบกริบชนิดที่เข้ากับซาวด์เสียงจิ้งหรีดร้องสุดๆ จนเฮเลนชักใจคอไม่ดี
" ท...ทำไมทุกคนถึงได้เงียบไปล่ะ? "
" ก็แหม...มันช่วยไม่ได้นี่นา...ก็นานๆ ทีคนอย่างเธอจะพูดอะไรที่มันเข้าท่าเข้าทางแบบนี้ซักที " พริสซิลล่าพูดพลางถอนหายใจเฮือก...ไม่บอกก็รู้ว่าทุกคนคงจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างประหลาดที่ตัวเองดันคิดเรื่องนี้ไม่ออก
" ไอ้คำว่า คนอย่างเธอ นี่มันหมายความว่ายังไงกันยะ?!! "
" นั่นสินะคะ...ความรู้สึกแวบแรกเมื่อครู่นี้มันเหมือนกำลังมอง ลิงชิมแปนซีที่พึ่งจะคิดค้นทฤษฎีอุณหพลศาสตร์ได้ไม่มีผิดเลยค่ะ "
" ร ...แรงไปแล้วนะยะ ยัยคุณเทียน่า ! เดี๋ยวเหอะ !!! "
.......................................................
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...บริเวณชั้นล้อบบี้ของหอปราการดิน ที่ถูกจัดไว้ให้เป็นโรงอาหารอย่างง่ายๆ...
" เฮ้อ...นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป...พวกมันจะรู้ตัวรึเปล่านะว่าที่นี่ยังเป็นโรงเรียนอยู่...ไม่ใช่ฉากในหนังแอ๊คชั่นสืบสวนสอบสวนซะหน่อย... " โนอาห์ (ซี. - เควเบรอส) วูล์ฟแฟนธ่อมในชุดเครื่องแบบชุดใหม่บ่นพึมพำกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเบาๆ ก่อนจะลูบท้องที่เริ่มจะร้องโครกครากของตัวเองอย่างลืมตัว...อันที่จริงมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาพึ่งใช้พลังไปไม่ใช่น้อยๆ ในการต่อกรกับไอ้อมนุษย์หอยเม่นนั่น...ถึงจะพูดจาดูถูกตลอด แต่โนอาห์ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมือเขาไม่น้อยทีเดียว
ชายหนุ่มก้มลงมองดูที่มืออันหยาบกร้านของตัวเองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะกำหมัดแน่น
' อ่อนแองั้นเหรอ ? ...ฉันคนนี้เนี่ยนะ...อ่อนแอลง '
ป้าบบบ !!!
" งาย...โนอาห์...ทำหน้าอะไรของแกฟะ! ยังกะคนปวดอึไม่มีผิด มีอะไรผิดปกติง้านเหรอ?? " เด็กหนุ่มปราการดินที่จากการเครื่องแบบแสดงให้เห็นว่าอยู่ปีสูงกว่าโนอาห์ 1 ปีตบไหล่ชายหนุ่มเสียงดังสนั่น จากลักษณะท่าทางและคำพูดค่อนข้างจะแสดงอย่างชัดเจนเลยว่าเขาเป็นคนที่เปิดเผยสุดๆ
" ถ้าไม่นับเรื่องที่นายพูดเรื่องอึในโรงอาหาร ก็ต้องพูดว่าทุกอย่างปกติดี...นี่...ขอไว้หลายทีแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่างพรวดพราดเข้ามาข้างหลังฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัวแบบนี้...เพื่อความปลอดภัยของนายเอง " โนอาห์หันไปตอบพลางยิ้มบางๆ อย่างไร้พิรุธ...สามารถพูดได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ใช้ poker face ได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว
" ก๊ากกกกก.....หน้าตาแกตอนนี้นี่มันกวนโมโหจริงๆ ให้ดิ้นตายสิ...เอาเถอะ แกได้ยินที่เรื่องที่เขาว่ารึยังว่ามีอุกกาบาตเล็กๆ ตกที่ใกล้ๆ ปราการของเรารึยังฟะ? เห็นว่าพวกอาจารย์กับสารวัตรนักเรียนแตกตื่นเข้าล้อมที่เกิดเหตุกันใหญ่เลย "
' เจ้าพวกนั้นมันจะคิดหาเหตุผลมาปิดบังความจริงให้มันสมเหตุสมผลกว่านี้ไม่มีแล้วรึไงฟะเนี่ย ? ' โนอาห์คิดในใจอย่างหงุดหงิดในขณะที่ปากก็เออออห่อหมกตามไปกับเขาด้วย
" เห?...จริงดิ เหลือเชื่อเลยว่ะ "
" จะกวน -ีนฉันก็ทำได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละแหละเฟ้ย! มานี่เลยๆ ฉันจะให้ดูของเด็ด " ชายหนุ่มคนนั้นลากคอโนอาห์เข้าไปในโรงอาหารโดยที่โนอาห์เองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แต่เมื่อเขาเห็นในสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะอวด ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาก็ถึงกับเบิกโพลงจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
" เห็นแล้วใช่ไหม๊ล่าาาาา...หยาดฟ้ามาดินสุดๆ เลยใชไหมไอ้เกลอเอ๋ย "
สิ่งที่รุ่นพี่ที่ทำตัวเป็นเหมือนเพื่อนของเขาต้องการจะให้ดูคือหญิงสาวในชุดเครื่องแบบของนักเรียนจอมเวทย์จากมหา'ลัยหมื่นเวทย์คนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ ที่บริเวณเฉลียงด้านนอก...แสงแดดที่ส่องลงมาขับให้ร่างเล็กบางและผิวที่ขาวซีดราวกับหิมะละเอียดของเธอเปล่งปลั่งส่องประกายเลือดฝาดขึ้น ดวงตากลมโตสีแดงเลือดนก(แดงเข้มอมน้ำตาล) ของเธอดูเหม่อลอยขณะใช้มือเรียวงามคลึงถ้วยชาไปมาโดยไม่ได้แตะมันแม้แต่จิบเดียว จมูกโด่งรับกับริมฝีปากสีแดงสดราวกับสีเลือดไม่มีผิด...ถ้าไม่นับผิวที่ขาวซีดเกินไปของเธอ ก็ต้องยอมรับอย่างไร้ข้อกังขาว่าหญิงสาวคนนี้เป็นหญิงสาวที่สวยงามชนิด หยาดฟ้ามาดิน ตามที่เพื่อนรุ่นพี่ของเขาว่าจริงๆ
" ...ไม่อยากจะเชื่อ... "
" ใช่ม้าๆๆๆๆๆ ไม่รู้หรอกนะว่าพวกมหาลัยหมื่นเวทย์อย่างเจ้าหล่อนหลงมาเจี๊ยะข้าวเช้าที่นี่ได้ไง แต่งามแต้งามว่าขนาดนี้ ไงๆ ก็ต้องหลีเท่านั้น! ...ให้ตาย ฉันก็ร่วมงานประเพณีนี้มาตั้งหลายปี แต่ทำไมฉันไม่เคยเห็นเจ้าหล่อนก็ไม่รู้สิ...ลองสุ่มถามคนแถวๆ นี้ดูแล้วก็ไม่มีใครรู้จักเธอแม้แต่คนเดียว "
" ...ไดแอนน่า... "
" หือ...แกว่าไงนะ? "
" เธอชื่อ...ไดแอนน่า...ข้าหลวงใหญ่ ไดแอนน่า วลาดิลอส ดรากูลเลี่ยน "
...............................................
...หอปราการลม...ห้องนอนของ เรย์ รัชเชอร์...ชื่อที่เรย์ลาลีน นีโอ คอบร้า ชักเริ่มพิศมันกับมันเสียแล้วสิ...
ตุ้บ !!!
ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนอย่างแรงบนฟูกนุ่มๆ ของห้องเขา พลางครางเบาๆ ราวกับแมวที่กำลังบิดขี้เกียจ...24 ชั่วโมงมานี้มันหนักหนาสาหัสสากรรจ์เหลือกำลังรับจริงๆ แม้แต่สำหรับทหารเจนศึกเช่นเขาก็เถอะ
' เฮ้อ ...อะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย ......ปล่อยให้ชาโดว์หลุดไปได้ ทั้งๆ ที่พึ่งจับได้เพียงไม่ถึง 10 ชั่วโมงเท่านั้น ...แถมท้ายด้วยเหตุจู่โจมปริศนาที่ดูเหมือนไอ้บ้าโนอาห์จะปิดบังอะไรอยู่อีก ...เฮ้อ ...ไม่อยากจะยอมรับเลย แต่ดูเหมือนเขาจะแก่เกินไปสำหรับงานพรรค์นี้แล้วจริงๆ '
เขาคิดในใจอย่างเหนื่อยหน่ายสุดขีด แถมยังถอนหายใจถึง 2 ครั้งติดๆ กัน ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เขาทำท่าทางแบบนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปถึงตอนที่ซีแบทเทิ่ลใช้ทัพใหญ่เป็นประวัติการณ์เพื่อบุกเกาะทองคำนั่นแหละ...อันแสดงให้เห็นถึงความซีเรียสของสถานการณ์ปัจจุบัน ชายหนุ่มพยายามพลิกตัวไปมาพลางข่มตาให้หลับ แต่ไม่ว่าจะนับแกะก็แล้ว ท่องสูตรคูณก็แล้ว ร่างกายของเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมหลับเลย...คงเป็นเพราะหัวเขามัวแต่คิดเรื่องต่างๆ จนร่างกายไม่ยอมผ่อนคลายตามที่เขาต้องการแน่ๆ
เขานอนดิ้นไปดิ้นมาอีกซักพัก ก่อนจะตัดสินใจได้แน่แล้วว่าคงจะนอนไม่หลับในเร็วๆ นี้แน่...เรย์ลาลีนลุกขึ้นถอดชุดเครื่องแบบเก่าที่หลุดลุ่ยออก เผยให้เห็นร่างกายกึ่งกล้ามเนื้อกึ่งกระดูกที่ดูเหมือนจะ เป็นมัดๆ ขึ้นมาทันตาเห็นนับตั้งแต่เมื่อคืนนี้...ถึงแม้เชรีน่าจะบอกเขาก่อนแล้วว่ามันเป็นผลข้างเคียงจากการ ตื่น และสถานะ OverDrive แล้วก็เถอะ แต่เรย์ลาลีนก็อดมองร่างกายที่กำยำขึ้นของตัวเองที่สะท้อนมาจากกระจกเงาบานใหญ่อย่างประหลาดใจไม่ได้
" คงต้องรีบๆ ชินกับร่างกายที่เบาๆ ลงของเราให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้แฮะ...ถึงจะยังไม่รู้ว่า รูปแบบพลังจิต ของเราจะเป็นแนวไหนก็เถอะ " เขาบ่นพึมพำเบาๆ พร้อมกับสวมชุดเครื่องแบบของสถาบันผู้ใช้พลังจิตฯ ชุดใหม่ที่เรียบแปล้พร้อมกับออกจากห้องของตัวเอง
' เฮ้อ ...ไงๆ ช่วงนี้ก็ไม่มีการเรียนการสอนน่าเบื่อๆ นั่นอยู่แล้ว ...ไปเดินเล่นซึมซับบรรยากาศของเกาะนี่ให้หัวโล่งซะหน่อยดีกว่าแฮะ ...อีกไม่นานเขาก็ต้องตามเชรีน่ากลับ คริสตัล ฟอร์ซ อยู่แล้ว ...ถึงเราจะอยากอยู่เคลียร์เรื่องชาโดว์คลาเดียนี่ให้เสร็จก่อนก็เถอะ ' เขาถอนหายใจเฮือกเป็นครั้งที่สามของชั่วโมงนี้ ก่อนจะเดินลงบันไดมาที่ชั้งล้อบบี้ แต่เมื่อลงมาถึงชั้นล้อบบี้ดวงตาเบื้องหลังคอนแท็คเลนส์ของเขาก็เบิกกว้างพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่นลงเล็กน้อย กับผู้ที่มายืนกระสับกระส่ายคอยเขาอยู่
...แลนซ์ เซอร์เบร่อน...อดีตเจ้าปราการลม...ชายเพียงคนเดียวที่เขายอมรับเป็นลูกศิษย์...
" ...ท่านอาจารย์... "
" แลนซ์?...หืม...ให้ฉันเดานะ เรื่องคลาเดียใช่ไหม? " เรย์ลาลีนกระซิบถามเบาๆ โดยเจตนาให้ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น ในขณะที่แลนซ์ก็พยักหน้ารับเบาๆ
" ครับ "
" แปลว่านายจะยังคงยืนยันว่าคลาเดียเป็นผู้บริสุทธิ์...เป็นผู้บริสุทธิ์ที่เกือบจะฆ่าฉันตาย ผู้บริสุทธิ์ที่ควงเคียวระเบิดห้องสอบสวนจนกลายเป็นคาเฟ่กลางแจ้ง เนี่ยนะ? "
" โธ่...อาจารย์...ผมรู้จักกับรุ่นพี่คลาเดียมาจะพอ 3 ปีแล้วนะครับ...ยังไงผมก็ยังยืนยันว่าคลาเดียเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ดี "
เรย์ลาลีนลูบคางอย่างครุ่นคิด...เรื่องนี้มันก็มีบางอย่างที่สะกิดใจเข้าอยู่จริงๆ นั่นแหละ...เพียงแต่...
" หลักฐานมันแน่นหนาเกินกว่าพวกเราจะคิดเป็นอื่นได้อีกแล้วนะ...แลนซ์...แล้วพวกเราก็ไม่สามารถตัดสินใครได้ด้วยความรู้สึกอย่างเดียวด้วย "
" โธ่...ท่านอาจารย์ "
" เราจะไม่เถียงกันในเรื่องนี้อีก...แลนซ์...จนกว่าเราจะจับคลาเดียกลับมาได้อีกครั้ง...นายเองก็ควรจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้ให้เปลืองสมองได้แล้วนะแลนซ์ "
เมื่อไม่มีเหตุผลเพียงพอจะเถียงได้ แลนซ์ก็ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
" แล้วนี่อาจารย์กำลังจะไปไหนเหรอครับ? แต่งตัวซะเนี้ยบเลย "
" ก็กะว่าจะไปเดินเล่นให้หัวโล่งซะหน่อย...เผื่อว่ามันจะช่วยให้หลับสบายขึ้น...นายเองก็เหมือนกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ ก็มาเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ " เรย์ลาลีนชวนแลนซ์ให้เดินไปเป็นเพื่อน แต่แลนซ์ดันกลับเงียบไปจนผิดสังเกต...เมื่อเขาหันกลับมามองเขาก็พบว่าแลนซ์กำลังหันไปมองอะไรบางอย่างที่อยู่อีกด้านนึงด้วยดวงตาที่เบิกโพลงเซื่องซึมจนแทบจะดูเหมือนไร้สติไปชั่วครู่นึง...พอเขาหันไปมองรอบๆ ก็ถึงกับต้องเบิกตากว้างอย่างงงๆ เพราะดูเหมือนทุกคนจะหันไปมองในทิศเดียวกับที่ลูกศิษย์เขามองอย่างตื่นตะลึงจนโถงล้อบบี้ถึงกับเงียบกริบราวกับเวลาถูกหยุดไว้ชั่วขณะไม่มีผิด!!
" อะไรกันวะ? ...โดนป้ายยากันถ้วนหน้าหรืออุปปาทานหมู่รึไงกัน? " ชายหนุ่มบ่นเบาๆ อย่างงงๆ แต่พอเขาหันไปมองในทิศทางเดียวกับที่ทุกคนมอง ดวงตาของเขาก็ถึงกับต้องเบิกกว้างจนแทบถลนออกมา
...สิ่งที่เป็นจุดสนใจจุดเดียวของเหล่านักศึกษาทั้งหมดในชั้นล้อบบี้ของปราการลม กับเป็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาจอมเวทย์ยาวคนหนึ่ง...ผมดำขลับราวกับเส้นขนกาน้ำ เนียนละเอียดราวกับเส้นไหมยาวถึงกลางหลัง...ผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหิมะไร้ซึ่งรอยตำหนิหรือสิวฝ้าใดๆ โดยสิ้นเชิง...ดวงหน้าคมอันเป็นส่วนที่โดดเด่นของเธอเปล่งปลั่งราวกับจะส่องประกายได้ด้วยตัวของมันเอง...ดวงตากลมโตดำสนิทราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ส่องประกายระยิบนะยับยิ่งกว่านิลน้ำเอก รับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีกลีบกุหลาบและจมูกโด่งคมที่ไร้สิวเสี้ยน...เมื่อรวมกันแล้วมันราวกับเป็นประติมากรรมชิ้นเอกที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากฝีมือของช่าวปั้นเทวดาไม่มีผิด...
...ความสวยงามของหญิงสาวตรงหน้ามันยิ่งกว่าความงามที่มนุษย์ผู้หญิงหน้าไหนจะพึงมีได้...ใช่แล้ว!...เธองามจนเกินกว่าจะสามารถบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้...งามเกินกว่าหญิงสาวทุกคนบนโลก...งาม...ราวกับไม่ใช่มนุษย์!!! ...
" เป็นไปไม่ได้ !!!...เธอควรจะตายไปเมื่อหลายปีก่อนแล้วนี่!! ... เซลรีเนีย !! "
...ในช่วงเวลาที่ตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงและเซื่องซึมราวกับถูกมนตร์สะกด ชายหนุ่มนึกได้เพียงบทกวีบทหนึ่งที่เขาเคยได้ยินมาอย่างเลือนราง...
...มัจฉาจมวารี
ปักษีตกนภา ...
...จันทร์หลบโฉมสุดา ...
มวลผกาละอายนาง ...
(บทชม 4 หญิงงามแห่งแผ่นดินจีน โดย อ.ถาวร สิกขโกศล)
............................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ