อำนาจแห่งแสง...เสกรักให้หน่อย
8.7
เขียนโดย มิโกะ
วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 23.40 น.
6 ตอน
9 วิจารณ์
10.14K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556 02.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) มามิโกะ อากิ รายงานตัวค่ะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ อำนาจแห่งแสง...เสกรักให้หน่อย
ตอนที่ 1 มามิโกะ อากิ รายงานตัวค่ะ
หลังจากพ่อกับแม่ของฉันเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ฉันอายุได้ 8 ขวบ ฉันก็ถูกส่งให้เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะว่าฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนที่จะมารับไปอุปการะ วันเวลาผ่านไป ฉันเติบโตขึ้นเหมือนๆกับเด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์คนอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ฉันอายุย่างเข้า 19 ปีแล้ว
ฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาเขียนบอกว่าฉันได้รับทุนไปเรียนต่อที่โรงเรียนXXX และพร้อมที่จะรับฉันไปอุปการะจนฉันเรียนจบ
"มาสเตอร์ เอวา มิซูโอะ ใครกันน่ะที่ส่งจดหมายมาให้ ไม่เห็นจะรู้จักเลยสักนิด"
"แถมบอกว่าฉันได้ทุนอีก ฉันไปสมัครทุนตอนไหนกัน หรือมาสเตอร์เอรีสจะสมัครไว้ให้น่ะ"
ถึงฉันจะรู้สึกแปลกๆ แต่ฉันก็ส่งจดหมายตอบ"ตกลง"กลับไปยังบุคคลนั้น และแอบหวังในใจลึกๆว่า ฉันคงได้เจอชีวิตใหม่ที่ดีและตื่นเต้นขึ้นมากกว่าในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ โดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าโรงเรียนที่ได้ทุนเป็นโรงเรียนแบบไหน
หลังจากส่งจดหมายตอบกลับไป รุ่งเช้าของวันถัดมามาสเตอร์เอรีสก็เรียกฉันเข้าไปพบที่ห้องธุรการ
"มิโกะ มาสเตอร์ยินดีด้วยที่เธอจะได้ทุนไปเรียนต่อน่ะ เด็กที่นี้น้อยคนนักจะได้รับโอกาสเช่นเธอ"
"ค่ะ มาสเตอร์"
"มาสเตอร์ เอวา มิซูโอะ จะเข้ามารับตัวเธอตอนเย็นวันนี้ จัดกระเป๋าและเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อยก่อนเที่ยงล่ะ"
"ทำไมมันเร็วจังเลยล่ะค่ะ มิโกะพึ่งตอบตกลงเขาไปเมื่อวานนี้เอง"
(มันเร็วเกินไป ฉันยังไม่ได้เตรียมใจเลย) ฉันแอบคิดในใจ จนเผลอทำหน้าสลดจนมาสเตอร์เอรีสต้องยิ้มให้
"มันไม่ได้เร็วไปเลย สำหรับโอกาสดีๆในชีวิต หากเธอไม่รีบคว้าไว้สิ มันอาจสายเกินไปก็ได้"
"มาสเตอร์ค่ะ..."
ฉันมองหน้าของมาสเตอร์เอรีส และพยายามเก็บกลืนน้ำตาที่ชุ่มอยู่ในดวงตาไม่ให้ไหลออกมา รู้สึกไม่อยากไปจากที่นี้เลย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก และดูเหมือนว่ามาสเตอร์จะอ่านใจของฉันได้
"ไม่มีอะไรที่น่าเศร้าใจเลยสักนิดมิโกะ จงยิ้มเถอะ" มาสเตอร์กล่าว พร้อมส่งรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยนที่สุดมาให้
"ค่ะ" ฉันได้แต่ตอบรับแต่โดยดี และส่งยิ้มที่พยายามทำให้ดูเหมือนเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิมส่งให้มาสเตอร์
(นั่นสิน่ะ ไม่มีอะไรที่น่าเศร้าเลย แล้วฉันจะมาร้องไห้ทำไม ยิ้มสิต้องยิ้มไว้ มันคือเรื่องที่น่ายินดี โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ และไม่ใช่เด็กกำพร้าทุกคนที่จะได้มีโอกาสดีๆเช่นนี้)
"งั้นมิโกะขอตัวไปจัดของน่ะค่ะ" มาสเตอร์พยักหน้ารับ ฉันจึงเดินกลับไปที่ห้อง
ฉันใช้เวลาเก็บกวาดห้องจนเรียบร้อยเพียงไม่นานนัก สิ่งใดที่พอจะส่งต่อให้คนอื่นได้ใช้บ้าง ฉันก็จัดการแยกใส่ในกล่องไว้ มันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของที่นี้ ของที่เราไม่ได้ใช้จะต้องส่งต่อให้แก่คนที่อาจต้องการ และต้องไม่จูเจาะว่าให้แก่ใคร โดยการแยกใส่กล่องแล้ววางไว้หน้าห้อง ใครที่ต้องการสิ่งของเหล่านั้นก็สามารถมาหยิบเอาไปได้
เมื่อจัดการนำกล่องไปวางที่หน้าประตูเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงมานั่งจัดกระเป๋าใบน้อยที่จะพาติดตัวไปบนเตียง เสื้อผ้า 3-4 ชุดถูกพับลงใส่กระเป๋าอย่างบรรจง
"นี่ฉันต้องไปจากที่นี้แล้ว จริงๆเหรอ" ฉันคร่ำครวญกับตัวเองเบาๆ พร่างถอนหายใจออกมาช้าๆ อย่างยากลำบาก พร้อมกับหยิบรูปถ่ายใบเก่าๆ ที่พกติดตัวตลอดเวลาขึ้นมาจ้องมองอีกครั้ง
มันคือรูปถ่ายครอบครัวของฉัน ตอนนั้นฉันอายุได้ประมาณ 7 ขวบ เราพ่อแม่ลูกไปเที่ยวชายทะเลด้วยกันครั้งแรก ในรูปนั้นพ่อกับแม่กำลังจูงมือฉันเดินเล่นอยู่บนชายหาด ท่านทั้งกำลังหัวเราะและส่งยิ้มให้กัน เม็ดทรายบนชายทรายสีขาวดูสะอาดตา น้ำทะเลสีเขียวสดใสราวมรกตเม็ดโตที่ต้องแสงของดวงอาทิตย์ มันคือวันที่ฉันมีความสุขที่สุด แต่การไปเที่ยวตรั้งแรกครั้งนั้นก็กลายเป็นครั้งสุดท้ายไปด้วยเช่นกัน เมื่อพ่อกับแม่จากฉันไปอย่างไม่มีวันกลับ เหลือเพียงฉันในโลกที่ฉันไม่เหลือใคร นอกจากคนที่อยู่ในสถานเด็กกำพร้า
ฉันนั่งรำลึกถึงความหลังที่แสนเลื่อนลางอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อมาสเตอร์เดินเข้ามาในห้องแล้วสะกิดที่ต้นแขนฉันเบาๆ ให้ฉันหลุดออกจากภวังค์สู่โลกแห่งความเป็นจริง
"จัดของเรียบร้อยแล้วหรือยังจ้ะ มิโกะ"
"ค่ะ เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ" ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
"ลงไปทานข้าวเที่ยงได้แล้วจ้ะ แล้วก็ร่ำลาเพื่อนๆซะน่ะ พอมาสเตอร์เอวามารับจะได้ไม่เสียเวลามากนัก"
"ค่ะ มาสเตอร์" ฉันรับคำ แล้วเดินตามมาสเตอร์ลงไปยังโรงอาหารชั้นลง
ทันทีที่ซาช่าเห็นฉันเดินเข้ามาในโรงอาหาร เธอก็รีบวิ่งเข้ามาเกาะแขนฉัน จนฉันตกใจนิดหน่อย
"มิโกะ เราต้องคุยกันยาวเลย รีบมาเร็วขึ้น" ซาช่าจ้องฉันเขม็ง ราวกับตำรวจจ้องจับผู้ต้องหาอย่างไงอย่างงั้น แถมออกแรงกึ่งลากกึ่งจูงให้ฉันเดินตามเธอมานั่งรวมกลุ่มกันที่โต๊ะประจำของพวกเรา ซึ่งตอนนี้ก็มีทั้งทานะกะ ซูโอะ และมิเรอิรอท่าอยู่ก่อนแล้ว แถมต่างพร้อมใจกันหันมาจ้องมองฉันเป็นตาเดียวจนฉันรู้สึกเสียวหลังวูบขึ้นมาเลยทีเดียว เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าพวกตัวแสบเพื่อนของฉันแต่ละคนกำลังคิดอะไรอยู่ และจู่ๆ ทานะกะก็รีบคว้าดึงเอามือทั้งสองข้างของฉันไปกุมไว้ที่ตรงอกของเขา ทำสีหน้าคล้ายคนที่แสนทุกข์ใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อดอ้อน
"มิโกะ เธอจะไปแล้วจริงๆเหรอ"
"..." ฉันไม่ได้คำอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับอย่างช้าๆ โดยไม่กล้าสบตาใคร
"ฉันไม่อยากให้เธอไปเลยมิโกะ" ทานะกะยิ่งทำเสียงอ้อดอ้อนเข้าไปใหญ่ จนซูโอะทนฟังไม่ได้จนต้องแขวะเพื่อนเล่น
"อย่าเวอร์ได้มั้ย ทานะกะ"
"เรื่องมันเป็นอย่างไง ทำไมเธอถึงต้องรีบไปนักล่ะ แถมยังไม่ยอมบอกพวกเราก่อนเลย" มิเรอิตั้งคำถามชุดใหญ่ โดยไม่คิดจะสนใจคู่กัดตลอดกาลอย่างทานะกะกับซูโอะ ที่กำลังเบ้ปากและทำตาขวางใส่กันไม่เลิก
"ฉันก็งงๆ อยู่เหมือนกัน" ฉันเลยตอบไปตามตรง พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนทุกคนฟัง ทำให้ทานะกะและซูโอะหันกลับมาให้ความสนใจที่ฉันอีกครั้ง
"เมื่อวานมีจดหมายส่งมา บอกว่าฉันได้ทุนเรียนต่อ ฉันก็เลยตอบตกลงไป..." ซาช่าพยักหน้ารับเป็นครั้งคราว ตรงกันข้ามกับมิเรอิที่เริ่มทำหน้าบูดมากขึ้นเรื่อยๆ
"จะต้องไปเย็นนี้เลยเหรอ เร็วจัง" ซาช่าบ่นเสียงอ่อย
"ช่าย แบบนี้ฉันก็หมดโอกาสน่ะสิ" ทานะกะพูดเสริมขึ้นมาลอยๆ อย่างไม่ทันรู้ตัว จนทำให้ทุกคนหันมามองทานะกะแบบไม่เข้าใจความหมาย จนทานะกะต้องรีบหลบตา
"โอกาสอะไรของนาย" ซูโอะรีบซักทันที จนทานะกะตะกุกตะกักตอบ "โอกาส...แบบว่า...อืม" พร่างชำเลืองมองมาที่ฉัน ซูโอะเห็นอาการประหลาดของทานะกะแล้วยิ่งรำคาญใหญ่
"ช่างเถอะ นี้ไม่ใช่เวลามาสนใจคนบ้าอย่างนาย" ซูโอะเบ้ปากใส่ทานะกะตามเคย แต่ทานะกะไม่ได้สนใจคำพูดนั้นเลย กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหยุด
(ทานะกะคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ) ฉันแอบเห็นด้วยไปกับซูโอะ
"แล้วฉันจะได้เจอเธออีกมั้ย มิโกะ" มิเรอิเริ่มสะอื้น
"ต้องได้เจอกันสิ ฉันจะกลับมาหาพวกเธอเอง" ฉันจ้องมองไปยังเพื่อนๆแต่ละคน แล้วพยักหน้าให้พวกเขาอย่างสื่อความหมาย ว่าฉันจะต้องกลับมาหาทุกคนอีกอย่างแน่นอน
"มิโกะ...ฮือๆ..." บ่อน้ำตาของมิเรอิแตกกระจาย เธอโผเข้ามาสวมกอดฉันแน่น แล้วร้องไห้อย่างหนักจนทุกคนต้องช่วยก็ปลอบ
"ฉันไม่ชอบกินข้าวกับน้ำตาน่ะ มิเรอิหยุดร้องเถอะ" คำพูดที่ไม่ค่อยจะเหมือนคำปลอบสักเท่าไรของซูโอะ แต่สามารถทำให้มิเรอิหยุดร้องได้ในทันที
หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไป ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของฉันอีกเลย ทุกอย่างดูคล้ายกับวันปกติทั่วไปเช่นเดียวกับวันอื่นๆ ที่ผ่านมา หากแต่สีหน้าของทุกคนกลับดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ฉันพยายามทำตัวให้ดูสดใสเหมือนเก่าแต่ก็ยากเหลือเกิน รู้สึกใจหายมากที่ต้องไปจากที่นี้ และคิดถึงเพื่อนๆที่ฉันจะต้องจากไป
ขณะที่ฉันกำลังจมลงไปในความคิดของตัวเอง มาสเตอร์เอรีสก็เข้ามาตามฉันอีกครั้ง
"ไปเอากระเป๋าของเธอลงมาได้แล้วจ้ะ แล้วตามไปที่ห้องธุรการน่ะ มาสเตอร์เอวามาถึงแล้ว" ฉันพยักหน้ารับก่อนที่มาสเตอร์จะเดินกลับออกไป
ฉันหันกลับมามองกลุ่มเพื่อนอีกครั้ง ทุกคนเดินเข้าสวมกอดฉัน พวกเรากอดกันแน่นยิ่งกว่าครั้งใดๆ
"ฉันจะไม่มีวันลืมพวกเธอน่ะ" เสียงของฉันที่เอยออกมาเริ่มสั่น จนฉันยิ่งต้องกระชับกอดไว้แน่นขึ้น จนพวกเราเหมือนจะกลายเป็นก้อนเดียวกันอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละคนพยายามขานรับด้วยน้ำเสียงที่ฟังเหมือนจะสั่นเครือไม่แพ้กันเลย
"ฉันก็จะไม่ลืมเธอ"
"เราจะไม่ลืมกัน"
"ช่าย ฉันจะไม่ลืมเธอ มิโกะ"
ฉันคลายอ้อมแขนลง พร่างก้มหน้าแล้วเอาฝ่ามือปาดหยดน้ำตาตัวเองที่ติดอยู่ที่ขอบตา (ฉันไม่ได้อยากร้องไห้เลย แต่มันดันไหลออกมาเอง)
"ฉันต้องไปเอากระเป๋าแล้วล่ะ เดี๋ยวมาสเตอร์จะรอนาน" ฉันเงยหน้าขึ้นกลับมามองสบตากับทุกคนอีกครั้ง ตอนนี้คนที่ร้องหนักสุดคือมิเรอิเช่นเคย เธอหันไปสะอื้นอยู่กับซาช่า
"ฉันจะไปช่วยถือกระเป๋า" ทานะกะรีบขันอาสา ก่อนหันไปสั่งความกับซูโอะและซาช่า "พวกเธอดูแลมิเรอิอยู่นี้แหล่ะ" ทั้งซูโอะและซาช่าพยักหน้ารับ
"ไม่ต้องหรอก..." ฉันยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ทานะกะรีบเดินนำออกมา "ไปเถอะ"
"นี่ เธอคิดจะพาไปแค่นี้จริงๆเหรอ" ทานะกะเอยเข้าระหว่างที่กำลังจะเดินไปที่ห้องธุรการ ฉันพยักหน้ารับและยิ้มให้ "ก็เด็กกำพร้าอย่างเราเธอก็รู้นิ จะไปมีของอะไรมากมายที่ไหนกัน"
"ฉันเป็นห่วงเธอ" ทานะกะหยุดฝีเท้าลงเมื่อเดินจนถึงประตูหน้าห้องธุรการ เขาจ้องมองฉันอย่างไม่ละสายตา ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ทำอะไรไม่ถูก เขาวางกระเป๋าลงที่หน้าประตู แล้วคว้ามือฉันทั้งสองข้างมาจับไว้ และยังคงจ้องมองฉันด้วยแววตาที่เดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไร ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาหาหน้าของฉันช้าๆ ฉันตกตะลึงนิดหน่อย แล้วเอียงตัวหลบก่อนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่จะชนกัน ทำให้หัวใจของฉันเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ฉันก้าวถอยออกมาเล็กน้อย ทานะกะเองก็เหมือนทำอะไรไม่ถูก จึงยกมือข้างนึ่งมาแกะหัวแก้เก้อ แต่มืออีกข้างยังคงจับมือฉันไว้มั่น
"ขอโทษน่ะ ฉันแค่อยาก..." ทานะกะยังไม่ทันได้พูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ทำให้ฉันรีบดึงมือของตัวเองกลับมาทันที และแอบเห็นสีหน้าผิดหวังปรากฎบนใบหน้าของทานะกะแวบหนึ่ง
"อ้าว..มิโกะทำไมไม่เข้ามาล่ะ" มาสเตอร์เอรีสออกมาเห็นฉันยืนนิ่ง จึงกวักมือเรียกให้เข้าไปในห้อง ฉันหันไปบอกลาทานะกะอีกครั้งก่อนเดินตามมาสเตอร์เข้าไปในห้องธุรการ
ภายในห้องธุการมีใครอีกคนนั่งอยู่ตรงมุมโซฟารับแขก เดาได้ไม่ยากเลยว่าบุคคลนี้น่าจะเป็นมาสเตอร์เอวา ฉันตกใจเล็กน้อย
"มาสเตอร์เอวาค่ะ นี่คือมามิโกะ อากิ คนที่คุณต้องการจะรับไปอุปการะ"
X
ตอนที่ 1 มามิโกะ อากิ รายงานตัวค่ะ
หลังจากพ่อกับแม่ของฉันเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ฉันอายุได้ 8 ขวบ ฉันก็ถูกส่งให้เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะว่าฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนที่จะมารับไปอุปการะ วันเวลาผ่านไป ฉันเติบโตขึ้นเหมือนๆกับเด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์คนอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ฉันอายุย่างเข้า 19 ปีแล้ว
ฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาเขียนบอกว่าฉันได้รับทุนไปเรียนต่อที่โรงเรียนXXX และพร้อมที่จะรับฉันไปอุปการะจนฉันเรียนจบ
"มาสเตอร์ เอวา มิซูโอะ ใครกันน่ะที่ส่งจดหมายมาให้ ไม่เห็นจะรู้จักเลยสักนิด"
"แถมบอกว่าฉันได้ทุนอีก ฉันไปสมัครทุนตอนไหนกัน หรือมาสเตอร์เอรีสจะสมัครไว้ให้น่ะ"
ถึงฉันจะรู้สึกแปลกๆ แต่ฉันก็ส่งจดหมายตอบ"ตกลง"กลับไปยังบุคคลนั้น และแอบหวังในใจลึกๆว่า ฉันคงได้เจอชีวิตใหม่ที่ดีและตื่นเต้นขึ้นมากกว่าในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ โดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าโรงเรียนที่ได้ทุนเป็นโรงเรียนแบบไหน
หลังจากส่งจดหมายตอบกลับไป รุ่งเช้าของวันถัดมามาสเตอร์เอรีสก็เรียกฉันเข้าไปพบที่ห้องธุรการ
"มิโกะ มาสเตอร์ยินดีด้วยที่เธอจะได้ทุนไปเรียนต่อน่ะ เด็กที่นี้น้อยคนนักจะได้รับโอกาสเช่นเธอ"
"ค่ะ มาสเตอร์"
"มาสเตอร์ เอวา มิซูโอะ จะเข้ามารับตัวเธอตอนเย็นวันนี้ จัดกระเป๋าและเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อยก่อนเที่ยงล่ะ"
"ทำไมมันเร็วจังเลยล่ะค่ะ มิโกะพึ่งตอบตกลงเขาไปเมื่อวานนี้เอง"
(มันเร็วเกินไป ฉันยังไม่ได้เตรียมใจเลย) ฉันแอบคิดในใจ จนเผลอทำหน้าสลดจนมาสเตอร์เอรีสต้องยิ้มให้
"มันไม่ได้เร็วไปเลย สำหรับโอกาสดีๆในชีวิต หากเธอไม่รีบคว้าไว้สิ มันอาจสายเกินไปก็ได้"
"มาสเตอร์ค่ะ..."
ฉันมองหน้าของมาสเตอร์เอรีส และพยายามเก็บกลืนน้ำตาที่ชุ่มอยู่ในดวงตาไม่ให้ไหลออกมา รู้สึกไม่อยากไปจากที่นี้เลย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก และดูเหมือนว่ามาสเตอร์จะอ่านใจของฉันได้
"ไม่มีอะไรที่น่าเศร้าใจเลยสักนิดมิโกะ จงยิ้มเถอะ" มาสเตอร์กล่าว พร้อมส่งรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยนที่สุดมาให้
"ค่ะ" ฉันได้แต่ตอบรับแต่โดยดี และส่งยิ้มที่พยายามทำให้ดูเหมือนเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิมส่งให้มาสเตอร์
(นั่นสิน่ะ ไม่มีอะไรที่น่าเศร้าเลย แล้วฉันจะมาร้องไห้ทำไม ยิ้มสิต้องยิ้มไว้ มันคือเรื่องที่น่ายินดี โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ และไม่ใช่เด็กกำพร้าทุกคนที่จะได้มีโอกาสดีๆเช่นนี้)
"งั้นมิโกะขอตัวไปจัดของน่ะค่ะ" มาสเตอร์พยักหน้ารับ ฉันจึงเดินกลับไปที่ห้อง
ฉันใช้เวลาเก็บกวาดห้องจนเรียบร้อยเพียงไม่นานนัก สิ่งใดที่พอจะส่งต่อให้คนอื่นได้ใช้บ้าง ฉันก็จัดการแยกใส่ในกล่องไว้ มันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของที่นี้ ของที่เราไม่ได้ใช้จะต้องส่งต่อให้แก่คนที่อาจต้องการ และต้องไม่จูเจาะว่าให้แก่ใคร โดยการแยกใส่กล่องแล้ววางไว้หน้าห้อง ใครที่ต้องการสิ่งของเหล่านั้นก็สามารถมาหยิบเอาไปได้
เมื่อจัดการนำกล่องไปวางที่หน้าประตูเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงมานั่งจัดกระเป๋าใบน้อยที่จะพาติดตัวไปบนเตียง เสื้อผ้า 3-4 ชุดถูกพับลงใส่กระเป๋าอย่างบรรจง
"นี่ฉันต้องไปจากที่นี้แล้ว จริงๆเหรอ" ฉันคร่ำครวญกับตัวเองเบาๆ พร่างถอนหายใจออกมาช้าๆ อย่างยากลำบาก พร้อมกับหยิบรูปถ่ายใบเก่าๆ ที่พกติดตัวตลอดเวลาขึ้นมาจ้องมองอีกครั้ง
มันคือรูปถ่ายครอบครัวของฉัน ตอนนั้นฉันอายุได้ประมาณ 7 ขวบ เราพ่อแม่ลูกไปเที่ยวชายทะเลด้วยกันครั้งแรก ในรูปนั้นพ่อกับแม่กำลังจูงมือฉันเดินเล่นอยู่บนชายหาด ท่านทั้งกำลังหัวเราะและส่งยิ้มให้กัน เม็ดทรายบนชายทรายสีขาวดูสะอาดตา น้ำทะเลสีเขียวสดใสราวมรกตเม็ดโตที่ต้องแสงของดวงอาทิตย์ มันคือวันที่ฉันมีความสุขที่สุด แต่การไปเที่ยวตรั้งแรกครั้งนั้นก็กลายเป็นครั้งสุดท้ายไปด้วยเช่นกัน เมื่อพ่อกับแม่จากฉันไปอย่างไม่มีวันกลับ เหลือเพียงฉันในโลกที่ฉันไม่เหลือใคร นอกจากคนที่อยู่ในสถานเด็กกำพร้า
ฉันนั่งรำลึกถึงความหลังที่แสนเลื่อนลางอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อมาสเตอร์เดินเข้ามาในห้องแล้วสะกิดที่ต้นแขนฉันเบาๆ ให้ฉันหลุดออกจากภวังค์สู่โลกแห่งความเป็นจริง
"จัดของเรียบร้อยแล้วหรือยังจ้ะ มิโกะ"
"ค่ะ เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ" ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
"ลงไปทานข้าวเที่ยงได้แล้วจ้ะ แล้วก็ร่ำลาเพื่อนๆซะน่ะ พอมาสเตอร์เอวามารับจะได้ไม่เสียเวลามากนัก"
"ค่ะ มาสเตอร์" ฉันรับคำ แล้วเดินตามมาสเตอร์ลงไปยังโรงอาหารชั้นลง
ทันทีที่ซาช่าเห็นฉันเดินเข้ามาในโรงอาหาร เธอก็รีบวิ่งเข้ามาเกาะแขนฉัน จนฉันตกใจนิดหน่อย
"มิโกะ เราต้องคุยกันยาวเลย รีบมาเร็วขึ้น" ซาช่าจ้องฉันเขม็ง ราวกับตำรวจจ้องจับผู้ต้องหาอย่างไงอย่างงั้น แถมออกแรงกึ่งลากกึ่งจูงให้ฉันเดินตามเธอมานั่งรวมกลุ่มกันที่โต๊ะประจำของพวกเรา ซึ่งตอนนี้ก็มีทั้งทานะกะ ซูโอะ และมิเรอิรอท่าอยู่ก่อนแล้ว แถมต่างพร้อมใจกันหันมาจ้องมองฉันเป็นตาเดียวจนฉันรู้สึกเสียวหลังวูบขึ้นมาเลยทีเดียว เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าพวกตัวแสบเพื่อนของฉันแต่ละคนกำลังคิดอะไรอยู่ และจู่ๆ ทานะกะก็รีบคว้าดึงเอามือทั้งสองข้างของฉันไปกุมไว้ที่ตรงอกของเขา ทำสีหน้าคล้ายคนที่แสนทุกข์ใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อดอ้อน
"มิโกะ เธอจะไปแล้วจริงๆเหรอ"
"..." ฉันไม่ได้คำอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับอย่างช้าๆ โดยไม่กล้าสบตาใคร
"ฉันไม่อยากให้เธอไปเลยมิโกะ" ทานะกะยิ่งทำเสียงอ้อดอ้อนเข้าไปใหญ่ จนซูโอะทนฟังไม่ได้จนต้องแขวะเพื่อนเล่น
"อย่าเวอร์ได้มั้ย ทานะกะ"
"เรื่องมันเป็นอย่างไง ทำไมเธอถึงต้องรีบไปนักล่ะ แถมยังไม่ยอมบอกพวกเราก่อนเลย" มิเรอิตั้งคำถามชุดใหญ่ โดยไม่คิดจะสนใจคู่กัดตลอดกาลอย่างทานะกะกับซูโอะ ที่กำลังเบ้ปากและทำตาขวางใส่กันไม่เลิก
"ฉันก็งงๆ อยู่เหมือนกัน" ฉันเลยตอบไปตามตรง พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนทุกคนฟัง ทำให้ทานะกะและซูโอะหันกลับมาให้ความสนใจที่ฉันอีกครั้ง
"เมื่อวานมีจดหมายส่งมา บอกว่าฉันได้ทุนเรียนต่อ ฉันก็เลยตอบตกลงไป..." ซาช่าพยักหน้ารับเป็นครั้งคราว ตรงกันข้ามกับมิเรอิที่เริ่มทำหน้าบูดมากขึ้นเรื่อยๆ
"จะต้องไปเย็นนี้เลยเหรอ เร็วจัง" ซาช่าบ่นเสียงอ่อย
"ช่าย แบบนี้ฉันก็หมดโอกาสน่ะสิ" ทานะกะพูดเสริมขึ้นมาลอยๆ อย่างไม่ทันรู้ตัว จนทำให้ทุกคนหันมามองทานะกะแบบไม่เข้าใจความหมาย จนทานะกะต้องรีบหลบตา
"โอกาสอะไรของนาย" ซูโอะรีบซักทันที จนทานะกะตะกุกตะกักตอบ "โอกาส...แบบว่า...อืม" พร่างชำเลืองมองมาที่ฉัน ซูโอะเห็นอาการประหลาดของทานะกะแล้วยิ่งรำคาญใหญ่
"ช่างเถอะ นี้ไม่ใช่เวลามาสนใจคนบ้าอย่างนาย" ซูโอะเบ้ปากใส่ทานะกะตามเคย แต่ทานะกะไม่ได้สนใจคำพูดนั้นเลย กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหยุด
(ทานะกะคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ) ฉันแอบเห็นด้วยไปกับซูโอะ
"แล้วฉันจะได้เจอเธออีกมั้ย มิโกะ" มิเรอิเริ่มสะอื้น
"ต้องได้เจอกันสิ ฉันจะกลับมาหาพวกเธอเอง" ฉันจ้องมองไปยังเพื่อนๆแต่ละคน แล้วพยักหน้าให้พวกเขาอย่างสื่อความหมาย ว่าฉันจะต้องกลับมาหาทุกคนอีกอย่างแน่นอน
"มิโกะ...ฮือๆ..." บ่อน้ำตาของมิเรอิแตกกระจาย เธอโผเข้ามาสวมกอดฉันแน่น แล้วร้องไห้อย่างหนักจนทุกคนต้องช่วยก็ปลอบ
"ฉันไม่ชอบกินข้าวกับน้ำตาน่ะ มิเรอิหยุดร้องเถอะ" คำพูดที่ไม่ค่อยจะเหมือนคำปลอบสักเท่าไรของซูโอะ แต่สามารถทำให้มิเรอิหยุดร้องได้ในทันที
หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไป ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของฉันอีกเลย ทุกอย่างดูคล้ายกับวันปกติทั่วไปเช่นเดียวกับวันอื่นๆ ที่ผ่านมา หากแต่สีหน้าของทุกคนกลับดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ฉันพยายามทำตัวให้ดูสดใสเหมือนเก่าแต่ก็ยากเหลือเกิน รู้สึกใจหายมากที่ต้องไปจากที่นี้ และคิดถึงเพื่อนๆที่ฉันจะต้องจากไป
ขณะที่ฉันกำลังจมลงไปในความคิดของตัวเอง มาสเตอร์เอรีสก็เข้ามาตามฉันอีกครั้ง
"ไปเอากระเป๋าของเธอลงมาได้แล้วจ้ะ แล้วตามไปที่ห้องธุรการน่ะ มาสเตอร์เอวามาถึงแล้ว" ฉันพยักหน้ารับก่อนที่มาสเตอร์จะเดินกลับออกไป
ฉันหันกลับมามองกลุ่มเพื่อนอีกครั้ง ทุกคนเดินเข้าสวมกอดฉัน พวกเรากอดกันแน่นยิ่งกว่าครั้งใดๆ
"ฉันจะไม่มีวันลืมพวกเธอน่ะ" เสียงของฉันที่เอยออกมาเริ่มสั่น จนฉันยิ่งต้องกระชับกอดไว้แน่นขึ้น จนพวกเราเหมือนจะกลายเป็นก้อนเดียวกันอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละคนพยายามขานรับด้วยน้ำเสียงที่ฟังเหมือนจะสั่นเครือไม่แพ้กันเลย
"ฉันก็จะไม่ลืมเธอ"
"เราจะไม่ลืมกัน"
"ช่าย ฉันจะไม่ลืมเธอ มิโกะ"
ฉันคลายอ้อมแขนลง พร่างก้มหน้าแล้วเอาฝ่ามือปาดหยดน้ำตาตัวเองที่ติดอยู่ที่ขอบตา (ฉันไม่ได้อยากร้องไห้เลย แต่มันดันไหลออกมาเอง)
"ฉันต้องไปเอากระเป๋าแล้วล่ะ เดี๋ยวมาสเตอร์จะรอนาน" ฉันเงยหน้าขึ้นกลับมามองสบตากับทุกคนอีกครั้ง ตอนนี้คนที่ร้องหนักสุดคือมิเรอิเช่นเคย เธอหันไปสะอื้นอยู่กับซาช่า
"ฉันจะไปช่วยถือกระเป๋า" ทานะกะรีบขันอาสา ก่อนหันไปสั่งความกับซูโอะและซาช่า "พวกเธอดูแลมิเรอิอยู่นี้แหล่ะ" ทั้งซูโอะและซาช่าพยักหน้ารับ
"ไม่ต้องหรอก..." ฉันยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ทานะกะรีบเดินนำออกมา "ไปเถอะ"
"นี่ เธอคิดจะพาไปแค่นี้จริงๆเหรอ" ทานะกะเอยเข้าระหว่างที่กำลังจะเดินไปที่ห้องธุรการ ฉันพยักหน้ารับและยิ้มให้ "ก็เด็กกำพร้าอย่างเราเธอก็รู้นิ จะไปมีของอะไรมากมายที่ไหนกัน"
"ฉันเป็นห่วงเธอ" ทานะกะหยุดฝีเท้าลงเมื่อเดินจนถึงประตูหน้าห้องธุรการ เขาจ้องมองฉันอย่างไม่ละสายตา ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ทำอะไรไม่ถูก เขาวางกระเป๋าลงที่หน้าประตู แล้วคว้ามือฉันทั้งสองข้างมาจับไว้ และยังคงจ้องมองฉันด้วยแววตาที่เดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไร ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาหาหน้าของฉันช้าๆ ฉันตกตะลึงนิดหน่อย แล้วเอียงตัวหลบก่อนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่จะชนกัน ทำให้หัวใจของฉันเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ฉันก้าวถอยออกมาเล็กน้อย ทานะกะเองก็เหมือนทำอะไรไม่ถูก จึงยกมือข้างนึ่งมาแกะหัวแก้เก้อ แต่มืออีกข้างยังคงจับมือฉันไว้มั่น
"ขอโทษน่ะ ฉันแค่อยาก..." ทานะกะยังไม่ทันได้พูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ทำให้ฉันรีบดึงมือของตัวเองกลับมาทันที และแอบเห็นสีหน้าผิดหวังปรากฎบนใบหน้าของทานะกะแวบหนึ่ง
"อ้าว..มิโกะทำไมไม่เข้ามาล่ะ" มาสเตอร์เอรีสออกมาเห็นฉันยืนนิ่ง จึงกวักมือเรียกให้เข้าไปในห้อง ฉันหันไปบอกลาทานะกะอีกครั้งก่อนเดินตามมาสเตอร์เข้าไปในห้องธุรการ
ภายในห้องธุการมีใครอีกคนนั่งอยู่ตรงมุมโซฟารับแขก เดาได้ไม่ยากเลยว่าบุคคลนี้น่าจะเป็นมาสเตอร์เอวา ฉันตกใจเล็กน้อย
"มาสเตอร์เอวาค่ะ นี่คือมามิโกะ อากิ คนที่คุณต้องการจะรับไปอุปการะ"
X
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ