Change The World มาเฟียสาว ห้าวนะคะ

9.7

เขียนโดย EnDeaR

วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 00.47 น.

  2 ตอน
  4 วิจารณ์
  8,703 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 00.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) วันช็อปปิ้งของเคียวยะ(เีคียวกะ)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

   ฉันต้องการจะเป็นเพียงแค่เด็กสาวมัธยมปลายธรรมดาจริงๆนะ ถ้าไม่เพียงแต่วันนั้นที่ฉันได้รู้ว่าตัวเองมีพ่อ มีปู่ มีครอบครัวที่ไม่รู้จัก และได้รับรู้ว่าฉันต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งยังกับละครน้ำเน่า เมื่อเพียงแค่ 2 หัวข้อให้เลือกเท่านั้น!!

 

 

 

ตอนที่ 2 วันช็อปปิ้งของเคียวยะ(เคียวกะ)

 

            ดวงตากร้าวสีน้ำตาลเข้มตวัดมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า คนถูกมองตอบรับด้วยการจ้องกลับอย่างท้าทาย

                “คล้ายคุณโซอิจิโร่จริงๆ”

                มาดดั่งนางพญาของคนพูดทำให้เคียวกะสะท้านเล็กๆ เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกแล้วถือว่ากินขาดกว่าแม่ของเธอมากทีเดียว

                ไอซาวะ ชิโยะ ผู้หญิงที่อ่อนวัยกว่าและสวยกว่าแม่ของเธอ มีอำนาจรองลงมาจากริวอิจิโจ่(เฉพาะเรื่องในบ้าน) เธอเกล้าผมมวยเรียบร้อยและมีปิ่นหยกสวยงามปักไว้ สวมยูกาตะสีน้ำเงินเข้มยิ่งขับให้เธอดูน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก

                “ในฐานะที่คุณเคียวยะเป็นตัวแทนของท่านริวอิจิโร่ ดิฉันก็คงไม่สามารถไปก้าวก่ายเรื่องงานหรือเรืองในแก๊งค์ได้” เธอบอกอย่างสุภาพ เคียวกะแอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “แต่ว่า สำหรับเรื่องในบ้านนั้นท่านริวอิจิโร่ยกให้เป็นหน้าที่ของดิฉัน เพราะฉะนั้นกรุณาทำตามกฎที่วางไว้ด้วยนะคะ” แววตาคมกริบตวัดมามองราวกับจะจับพิรุธ ทว่าอีกฝ่ายก็เก่งพอที่จะปั้นแต่งสีหน้าท่าทางให้นิ่งสงบ

                “ผมเข้าใจดีครับคุณชิโยะ และผมคงต้องเสียมารยาทขอตัวก่อนนะครับ ต้องไปเรียนรู้งานอีกเยอะ” เด็กสาว(ในคราบเด็กหนุ่ม)บอกแล้วค้อมหัวให้ เธอลุกขึ้นยืนช้าๆและออกเดินด้วยมาดที่คิดว่านิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวได้

                เมื่อเดินผ่านไปตามทางเดินพบกับบรรดาลูกแก๊งค์ พวกเขาทักทายอย่างกระตือรือร้นและอดไม่ได้ที่จะไม่ชื่นชนถึงความสุขุมนุ่มลึกของว่าที่หัวหน้าแก๊งค์คนใหม่นี้

                หลังจากการถึงห้องพักแล้ว เคียวกะนั่งนวดหน้าตัวเองเพราะเธอต้องปั้นหน้าเย็นชาจนมันแทบจะแข็งโป๊กเป็นตุ๊กตาปูนปั้นอยู่แล้ว ถึงไม่บอกการทำตัวให้เหมือนกับผู้ชายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย เว้นเสียแต่การต้องทำให้ดูน่าเคารพนับถือและน่าเกรงขาม

                ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอหนักใจที่สุดนั้นไม่ใช่การปั้นสีหน้า มันคือเรื่องที่กำลังจะเกิดในอีก 1 สัปดาห์ต่อจากนี้ นั่นก็คือเธอต้องไปทักทายกับบรรดามิตรสหายของปู่ แน่นอน--พวกเขาเองก็เป็นมาเฟียเช่นกัน!

                “โอย โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวันจริงๆ” เธอโอดครวญและกลิ้งไปมาบนที่นอน “จริงสิ โทรหาเพื่อนดีกว่า” มือหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วเตรียมกดเบอร์

                ความจริงอันโหดร้ายที่เธอเกือบลืมไปก็คือ เธอเปลี่ยนมือถือใหม่และตอนนี้อยู่โตเกียว เธอยังไม่มีเพื่อนจนกว่าจะถึงเวลาทำเรื่องย้ายโรงเรียนเสร็จ นั่นก็คือวันจันทร์หน้าถึงจะได้เข้าเรียนเพราะต้องสละทุกอย่างในฐานะชิราอิชิ เคียวกะทิ้งไว้ ร่างบางเริ่มคิดทบทวนว่าเขาจะสามารถมีใครสักคนให้ปรึกษาให้ระบายบ้างมั้ย เพราะ…

                คุณปู่…คนที่ทำให้เธอมาเป็นแบบนี้

                แม่…กลับบ้านนอกไปแล้ว

                คุณชิโยะ…บรึ๋ย น่ากลัว ไม่เอาดีกว่า

                ลูกน้องในแก๊งค์…

                เธอส่ายหัวอย่างนึกปลงอนิจจาในความคิดเพี้ยนๆของตนเอง ไม่มีศัตรูก็เหมือนมี เวลาที่เธอจะเป็นตัวของตัวเองได้คงมีแค่ตอนอาบน้ำสินะ(แต่อย่างนั้นเธอก็พกผ้าคลุมเข้าไปด้วยเสมอกันผิดพลาด)

                “ให้ตายเถอะ ไม่ให้ผ่าตัดแปลงเพศไปเลยค่ะ” เคียวกะเอามือกุมขมับอยากจะร้องไห้เสียเหลือเกิน

                 เธอบ่นพึมพำทุกคำที่นึกขึ้นได้จนกระทั่งผล็อยหลับไปนาน

                 ประตูห้องถูกเลื่อนเปิดช้าๆเธอก็ยังไม่ตื่นและไม่รู้ตัวว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในห้องกำลังจ้องมองเธอ ร่างนั้นเดินเข้าไปใกล้ จากนั้น…

                 “อือ กินม่ายหวายแล้ว”

                  เธอละเมอเสียงแผ่ว แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งตามระเบียง

                  “หือ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เด็กสาวขยี้ตาสลัดไล่ความง่วง ร่างบางต้องชะงักหายง่วงทันทีเมื่อเห็นว่าบนตัวของตนมีผ้าห่มคลุมไว้ ถ้าจำไม่ผิดก่อนเธอจะเผลอหลับเธอไม่ได้จับต้องมันเลย แล้วทำไมถึงมีผ้าห่มมาอยู่บนตัวเธอได้กันละ!

                  คิดแล้วก็รู้สึกร้อนใจ หรือว่าระหว่างที่หลับอยู่มีใครสักคนเข้ามาในห้องนี้ แต่เมื่อมองไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นมีความปกติอะไร ข้าวของไม่ได้ถูกรื้อค้นถ้าจะมีคนพยายามหาความลับของเธอ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว มันทำให้เธอหน้าแดงซ่านกระวนกระวายใจ

                  “ไม่นะ ร่างกายเราถูกจาบจ้วงอย่างนั้นเหรอ” เธอครางเสียงหลง รีบสำรวจดูเสื้อผ้าบนร่างของตนเอง แต่กระดุมทุกเม็ดยังคงถูกติดอยู่ อีกอย่างถ้าใครทำอะไรเธอก็น่าจะรู้สึกตัว                            “สงสัยจะคิดมากไป เราอาจจะละเมอห่มผ้าก็ได้” เด็กสาวสรุปเอาเองแบบนั้นเพื่อความสบายใจของตน

                   เคียวกะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เธอยังคงได้ยินเสียงเอะอะที่ระเบียงจนต้องลุกขึ้นไปดูพบว่าเหล่าลูกน้องที่ประจำอยู่ยังบ้านหลักนี้กำลังวิ่งพล่านไปมา

                   “เกิดอะไรขึ้น” เธอถาม สีหน้าขึงขังขึ้นมาในบัดดล

                   “ก็วันนี้จะมีงานเลี้ยงตอนรับท่านเคียวยะกันภายในแก๊งค์นี่ครับและท่านชินอิจิก็จะกลับมาจากการไปอเมริกาก่อนกำหนดเพื่อมาพบท่านเคียวยะ”

                   “อเมริกา? เรียนอยู่ที่นั่นเหรอ?”

                    “เปล่าครับ พอดีทางโรงเรียนอยู่ในช่วงทัศนศึกษาท่านชินอิจิเลยอาศัยจังหวะนี้ไปดูงานทับทานคุริว” ลูกน้องคนหนึ่งบอกแล้วผละจากไป

                    ชินอิจิงั้นเหรอ…น้องชายเราสินะถ้าจำไม่ผิด ลูกคุณชิโยะ…อายุ 13 ก็ต้องมาลำบากแบบนี้และ ยังไงตอนโตก็คงต้องรับช่วงต่อแก๊งค์น่าจะให้ศึกษาตอนนี้ไปซะเลยดีกว่าแล้วคุริวนี่ใครหว่า เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้…

                    “เฮอะๆ งานเลี้ยงต้อนรับ จะดีใจดีมั้ยเนี่ย” เธอบ่นอุบอิบ ถอนใจยาว วุ่นวายแบบนี้เธอจะไปหลับลงได้อย่างไรกัน

                    จริงสิ! ไหนๆก็ไหนถือโอกาสนี้ไปข้างนอกดีกว่า

                    ตัดสินใจได้แล้วเธอรีบเดินจ้ำอ้าวไปที่ประตูใหญ่ทันที อีกเพียงไม่กี่เมตรที่เธอมองเห็นความศิวิไล ทว่า…

                     “จะไปไหนหรือคะคุณเคียวยะ” เสียงดั่งนางพญาที่ทำเอาเธอจี๊ดในอกปรับสีหน้าเคร่งขรึมแล้วหันมามอง

                    “ผมจะไปข้างนอก”

                    “ไปทำอะไรคะ?”

                    โอย…ถามยิ่งกว่าแม่อีก

                    “ตอนนี้ผมมาอยู่โตเกียวแล้ว ผมก็อยากจะรู้ว่ามันเป็นยังไงเพราะคงต้องใช้ชีวิตที่นี่อีกนาน” ประโยคนี้เธอเองรู้สึกกล้ำกลืนผืนทนแปลกๆ “ผมมีข้าวของเครื่องใช้จำเป็นหลายอย่างที่ต้องซื้อด้วยตัวเอง ผมขออนุญาตคุณชิโยะออกไปข้างนอกนะครับ” เธอว่าอย่างนอบน้อมและโค้งตัวอย่างสวยงามแต่ในใจแทบอยากจะอันตรธานหายไปจากตรงนี้

                    หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาหาเด็กสาวและเปิดกระเป๋าสตางค์ใบหรูสีดำที่ตนเองพกติดมือไว้ เธอหยิบบางอย่างแล้วยื่นส่งมาให้

                  “นี่ค่ะ บัตรเครดิตของคุณ”

                  เด็กสาวเหวอไปเล็กน้อยกับแพตตินั่มการ์ด

                 “ดิฉันกำลังจะเอามันมาให้คุณพอดี รับไปสิคะ”

                 เคียวกะรับมันมาอย่างโดยดี แอบรู้สึกซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของเธอ

                “ผมขอตัวกอนนะครับคุณชิโยะ ขอบคุณมากๆครับ” เธอหันหลังและจะออกเดินอีกครั้ง แต่แล้ว

                “เดี๋ยวค่ะ”

                ชิโยะเรียกหยุด เคียวกะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทำปากงุบงิบแล้วหันมามองเธอด้วยใบหน้านิ่งปกติ

                “มีอะไรหรือครับ?”

 

 

 

                ให้ตายสิ นี่มันอะไรกันเนี่ย!

                เคียวกะนั่งหน้าบูดบอกบุญไม่รับ เธออยู่บนรถเบ๊นซ์สีดำที่มีคนขับรถท่าทางน่ากลัวและบอดี้การ์ดนั่งอยู่ข้างหน้า

                กลับแค่ออกมาซื้อของ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยฟะ! แล้วใครจะกล้าไปเดินเที่ยวโดยมีพวกนี้เดินตามกันได้ล่ะ

                “ท่านเคียวยะดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่เลยนะครับ มีเรื่องอะไรไม่พอใจรึเปล่า?” คนขับรถถาม

                “หน้าฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดละ” เธอตอบห้วนๆทำเอาอีกฝ่ายนิ่งอึ้งไม่พูดอะไรอีก และเหมือนทั้งสองจะรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าอย่าพึ่งกวนใจเธอตอนนี้

                ร้านกาแฟร้านนั้นน่านั่งจัง…

                เธอมองร้านคอฟฟี่ช็อปหลายร้านตาละห้อยลอบถอดถอนใจ ถ้าเป็นชีวิตปกติเธอคงจะได้มานั่งจิบกาแฟกับเพื่อนๆสบายใจ หรือถ้าโชคดีหน่อยตอนนั้นเธอคงมีแฟนหนุ่มหล่อเริดควงไปอวดใครๆแล้ว (เพราะหน้าตาเธอก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่เสียหน่อย เสียแต่จะป๊อบในหมู่สาวๆมากกว่า)

                “ท่านเคียวยะจะไปที่ไหนดีครับ” หลังจากที่นิ่งเงียบมานาน ชายคนขับก็โพล่งถาม เด็กสาวนิ่งคิดเพราะเธอไม่ค่อยรู้จักสถานที่ในโตเกียวเท่าไหร่(บ้านนอกว่างั้นเถอะ)

                “ชินจูกุ” เธอตอบส่งๆ

                “รับทราบครับ” คนขับรถเลี้ยวด่วนแบบทันใดจนเธอแทบจะหกคะเมน ถ้ารู้ว่าการออกมาเที่ยวเล่นมันวุ่นวายกว่านี้ เธอไปนั่งหมกตัวอยู่กับปลาคาร์ฟในบ่อที่สวนดีกว่า

                มันเป็นช่วงเวลาที่เธออยากจะตะโกนร้องออกมาดังๆเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหนก็จะมีบอดี้การ์ดคอยตามอยู่ห่างทำให้เธอไม่สามารถดูของที่อยากดูได้เลย ต้องคอยเหลือบตาไปมองอย่างอาวรณ์ เด็กสาวจึงหลีกเลี่ยงการเดินห่างมาเป็นบนถนนธรรมดาที่คนพลุ่งพล่าน เผื่อว่ากระแสของผู้คนจะทำให้คนคอยตามอยู่ถูกกลืนหายไป

                ถ้าเป็นเกียวโตฉันคงหลบหนีไอ้พวกนี้ละ แต่ที่นี่ไม่รู้จักซักทาง เฮ้อ…

                เมื่อคิดว่าความพยายามไม่ค่อยเป็นผลเสียเท่าไหร่ เธอจึงตัดสินใจเข้าไปในนั่งในร้านกาแฟใกล้ๆ บอดี้การ์ดทั้งสองทำทีเป็นยืนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่นอกร้าน

                เพียงแค่เคียวกะก้าวผ่านโต๊ะที่มีเด็กผู้หญิงนั่งจับกลุ่มคุยกัน ทุกสายตามองตามเธอเหลียวหลังทันที เธอนั่งลงที่มุมในสุดติดกระจก มองผู้คนที่เดินผ่านไปมา

                “ยินดีต้อนรับค่ะ รับอะไรดีคะ” เสียงหวานของพนักงานเสิร์ฟสาวทำให้เธอหันมอง เด็กคนนี้ตัวเล็กน่ารักจริงๆ

                “คาปูชิโน่” เธอบอกพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจทำเอาอีกฝ่ายเขินเล็กน้อย

                “อย่างเดียวเหรอคะ?” เด็กเสิร์ฟสาวกำลังเตรียมจดเผื่อว่าเธอจะสั่งเพิ่ม

                “แล้วมีอะไรน่าสนใจบ้าง”

                “สำหรับคุณลูกค้าฉันว่าเหมาะกับเค้กกาแฟอัลมอนด์สูตรอันขึ้นชื่อของทางร้านเราค่ะ” เธอรีบเสนอ ร่างที่นั่งอยู่ครุ่นคิด

                จะกินเค้กยังต้องเค้กกาแฟสินะ…ความจริงมันก็ไม่น่าแปลกหรอกมั้งที่ผู้ชายจะกินอะไรหวานๆถ้าไม่ได้อยู่ในฐานะแบบฉันละก็นะ

                “เอาตามนั้นแหละ” เคียวกะว่าพลางนั่งไขว่ห้างเท้าค้าง

                “ค่ะ” สาวเสิร์ฟรับคำแล้วรีบเดินผละออกไป

                ด้วยท่าทางในการนั่ง ใบหน้าที่นิ่งเฉย เสื้อผ้าที่ใส่บวกกับความหล่อเหลาของเธอ ทำให้ตอนนี้หลายคนหันมามองกันเป็นระยะและไม่คิดจะที่เบาเสียงพูดคุยลง

                “เธอคิดว่าคนนั้นมีแฟนยัง” หญิงคนหนึ่งพูด

                “ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าเท่ห์เอามากๆเลย มานั่งในร้านคนเดียวแบบนี้อาจจะโสดก็ได้” อีกคนตอบ

                “หรือว่าเขาจะมารอแฟน” อีกคนเสนอความคิดทำให้เพื่อนข้างกายส่งเสียงประท้วง

                ทำไมนะ เราก็ทำตัวปกติไม่ได้ออกจะแมนอะไรเลย ทำไมถึงได้ชอบใจกันขนาดนั้น (ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าทุกตรงของเอ็งนั่นแหละที่โคตรแมน)

                “ของที่สั่งได้แล้วค่ะ” เด็กเสิร์ฟคนเดิมยกยิ้มกว้าง เธอวางกาแฟและเค้กลงบนโต๊ะ “รับอะไรเพิ่มมั้ยคะ”

                “ไม่ล่ะ” เคียวกะบอกปัด ไม่สนใจจนอีกฝ่ายเดินจากไป

                เฮอะๆ คาปูชิโน่ร้อนกับเค้ก สรุปฉันต้องกำชับด้วยใช่มั้ยว่าเย็น

                เธอตักเค้กเข้าปาก มันมีรสขมนิดๆแต่อร่อยใช้ได้ อัลม่อนด์ก็กรุบกรอบดี ส่วนกาแฟแม้จะร้อนไปหน่อยแต่กลมกล่อมกว่าที่เคยดื่มมา

                “ดูนั่นสิ ครีมกาแฟติดที่มุมปากด้วย” เสียงผู้หญิงกลุ่มเดิมพูด ดูพวกเธอจะกรี๊ดกร๊าดกันเสียเหลือเกิน เคียวกะใช้นิ้วปาดครีมแล้วมาเลีย

                “เลียครีมด้วยน่ารักจัง”

                เออ เอาเข้าไปกับแค่ครีมติดมุมปาก

                “เช็คบิลด้วยครับ” เด็กสาวบอกแล้วควักกระเป๋าสตางค์ออกมา เธอเบิกตาโพลงอย่างตกใจกับบางอย่างแล้วหยิบเงินวางไว้บนโต๊ะ(โชคดีทีเธอพกเงินสดมาบ้าง) ก่อนจะรีบเดินออกจากร้านทันที

                เคียวกะรีบฝ่าฝูงชนเพื่อไปยังรถที่จอดไว้ มีเหล่าบอดี้การ์ดของเขาช่วยแหวกทางให้ จนเมื่อมาถึงเธอก็สั่งพวกเขาเสียงเข้ม

                “ออกรถ! ฉันอยากกลับแล้ว”

 

 

 

                โอ๊ยๆ--ทำไมถึงได้เลินเล่ออย่างนี้นะเรา

                เคียวกะรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวของตนโดยไม่สนใจใครแล้วปิดล็อคประตู

                “บ้าเอ๊ย ลืมไปได้ยังไงเนี่ย” เด็กสาวเปิดกระเป๋าสตางค์และหยิบบางสิ่งออกมา

                มันคือบัตรนักเรียนใบเก่าที่เธอเก็บไว้กับรูปถ่ายรวมก๊วนเพื่อน…

                “ลืมเอาไปทิ้งซะแล้ว” เธอว่าพลางจ้องมันอย่างอาลัยอาวรณ์ หลายครั้งที่พยายามจะทิ้งแต่ก็ทำใจไม่ได้ “เก็บไว้ก่อนคงไม่เป็นไรมั้ง ห้องของเราถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็คงไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายอยู่แล้ว”

                เคียวกะหาที่ซ่อนบัตรนักเรียนเก่าและรูปของเธอกับกลุ่มเพื่อนจนได้ เธอใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะถึงเวลางานเลี้ยงนอนกลิ้งไปมาหวนระลึกถึงความหวังจนผล็อยหลับไปอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา