Overnight คืนนี้กับ 4 หัวใจของยัยวายร้าย

9.6

เขียนโดย LazyGirl

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 00.34 น.

  32 บท
  189 วิจารณ์
  46.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 10.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

30) ข้อเสีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             

ข้อเสีย

 

 

 

                เย็นนั้น

                ในที่สุดไอ้ปีกไก่จากฟาร์มนั่นก็หมดสักที ถ้าร้านนี้ไม่มีฉันคอยช่วยโปรโมทและหลอกล่อมนุษย์ทั้งหลายให้มาซื้อ อย่าหวังเลยว่าวันนี้จะขายหมด ขนมาทั้งฟาร์มแบบนั้นคิดจะตั้งร้านขายอาหารแข่งกับคุณป้าที่โรงอาหารหรือยังไง

                “เอ้า พวกเธอเก็บของกันหมดแล้วใช่ไหม?” ฉันที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจเอ่ยถามเด็กๆทั้งหลายที่กำลังชลมุนวุ่นวายกับการเก็บของอยู่

                “ค่ะ” เด็กคนหนึ่งตอบอย่างมีมารยาท ถ้าฉันพอมีเงินติดตัวคงจะให้เป็นรางวัลไปแล้ว

                “หลังจากเก็บของกันเสร็จแล้ว พวกเธอจะไปไหนกันต่อเหรอ? กลับบ้านหรือรอดูคอนเสิร์ต?” ฉันถามต่อ

                “ไม่ล่ะค่ะ วันนี้มีนัดกับทางบ้าน” ยัยเด็กหมิวลูกเจ้าของฟาร์มไก่เอ่ยขึ้น ทำไมเวลายัยนี่คุยกับฉันต้องทำท่าหยิงยโสใส่ด้วยตลอดเลย คือไม่พอใจอะไรฉันก็บอกมาตรงๆเถอะ ฉันไม่ชอบ

                “จะกลับไปช่วยที่บ้านขายไก่ปิ้งหรือไง งั้นก็รีบกลับบ้านไปเลยไป เดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่จะดุเอา” ฉันสะบัดเสียงแข่งกับยัยเด็กนั่นบ้าง ให้มันรู้สิว่าฉันก็ไม่พอใจนางเหมือนกัน

                “เอ่อ…พี่ทิงเจอร์คะ วงดนตรีที่ดีที่สุดของโรงเรียนนี้เป็นวงของพี่ใช่ไหมคะ?” เด็กน้อยหน้าตาฉลาดพูดขึ้น

                “ใช่ เธอก็รู้จักเหรอ?” ฉันถามด้วยความสนใจ แหม….วงของฉันก็ได้รับความสนใจจากเด็กเหมือนกันนี่

                “ค่ะ เห็นว่าเล่นได้ดีมากจนมีแฟนคลับตั้งแต่เด็กป.4ไปจนถึงพี่ม.3 แต่วันนี้หนูคงไม่ได้อยู่ดูเพราะตอนนี้แม่มารอรับที่หน้าโรงเรียนแล้ว” เป็นเด็กน้อยก็อย่างนี้แหละ ต้องกลับบ้านให้ตรงเวลา อยู่ดึกไม่ได้เพราะผู้ปกครองไม่อณุญาต เชื่อฟังพ่อแม่แบบนี้ก็ดีแล้ว ขอให้เป็นคนน่ารักๆแบบนี้ไปนานๆ อย่าโตมาแล้วทำตัวแย่เหมือนฉันล่ะ มันไม่ดีเลย -_-

                “เฮ้! ทิงเจอร์ ขายของเสร็จหรือยัง ไปเตรียมตัวได้แล้วนะ” เสียงทุ้มของใครบางคนตะโกนเรียกมาแต่ไกล

                “เสร็จแล้ว กำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ฉันกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วเดินไปทางเสียงเรียกนั้น

                “ดินสอวานให้ฉันมาตามน่ะ แล้วทำไมหน้าเธอมันเยิ้มอย่างนั้นล่ะเนี่ย =_=” หัวหอม เจ้าของเสียงเรียกที่ได้ยินเมื่อกี้ยื่นกระดาษซับมันมาให้

                “ก็ฉันอยู่หน้าไฟทั้งวันนี่ ถ้าไม่มันแบบนี้รูขุมขนบนใบหน้าฉันคงมีปัญหาแล้วล่ะ” ฉันรับกระดาษนั่นมาซับหน้าของตัวเองอย่างเซ็งๆ ปกติหมอนี่จะไม่ยุ่งเรื่องของฉันสักเท่าไหร่ ที่เขาเอากระดาษซับมันมาให้แบบนี้หมายความว่าหน้าของฉันต้องมันมากจนเกินบรรยายแน่ๆ

                “ตอนนี้วงของน้องม.1กำลังเตรียมตัวอยู่ เธอก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและซ้อมครั้งสุดท้ายกับเพื่อนๆในวงเธอซะ”

                “อื้มขอบคุณมาก” ฉันจัดการถอดผ้ากันเปื้อนลายก็อซซิลาออกแล้วหันไปมองเด็ก ป.6 ทั้ง 4 คนที่กำลังเก็บของอยู่

                “พวกเธอเก็บกันไปเองแล้วกันนะ ฉันมีธุระต้องรีบไปจัดการ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจว่าพี่ต้องไปเตรียมตัวสำหรับคอนเสิร์ตในคืนนี้ ทำให้เต็มที่นะคะพี่ทิงเจอร์” เด็กน้อยหน้าตาฉลาดคนเดิมพูดขึ้น เธอพูดจาได้ฉลาดสมกับใบหน้าจริงๆ

                “จะไปไหนก็ไปเถอะค่ะ ปกติพี่ทิงเจอร์ก็ไม่ได้ช่วยงานอยู่แล้ว” เสียงสะบัดแบบนี้…ใม่ต้องเห็นหน้าเจ้าของเสียงก็รู้ว่าเป็นใคร

                “หมิว…เธอหาเรื่องฉันเหรอ?” ถึงจะเป็นเด็กหรือลูกเจ้าของฟาร์มไก่ฉันก็ไม่ไว้หน้าหรอกนะ!

                “เอ่อ…อย่าถือสาหมิวเลยนะคะ เธอคงจะหงุดหงิดที่อยู่หน้าเตาไฟทั้งวัน มันทั้งร้อนและคนก็เยอะมาก อย่าโกรธกันเลยนะคะ” เด็กที่พูดจาฉลาดคนเดิมเข้ามาขวางฉัน ดูท่ายัยนี่จะรักเพื่อนของตัวเองมากเลยนะ

                “ก็ได้ แต่ช่วยบอกเพื่อนเธอหน่อยว่าให้ระวังคำพูดบ้าง พูดจากับคนที่มีอายุมากกว่าให้มันน่าฟังมากกว่านี้หน่อย เดี๋ยวจะไม่ได้แก่ตาย” พูดจบฉันก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันที เด็กน้อยเอ๊ย คิดจะหาเรื่องฉันหรือไง มันยังเร็วไปร้อยปี ไปฝึกสกิลการปั่นหัวคนอื่นเล่นมาให้มากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมาเจอกัน

                แล้วในที่สุดก็ออกมาจากร้านปีกไก่เน่าๆนั่นจนได้ ไม่เข้าใจว่ายัยน้องหมิวจะเอาไก่ตัวเป็นๆมาไว้ใกล้ๆทำไม อุจจาระของมันโคตรเหม็น ตอนนี้เนื้อตัวของฉันคงจะมีกลิ่นขี้มันติดมาด้วย แหวะ!

                “อ้อ ทิงเจอร์ ดินสอรอเธออยู่หลังเวที ไปหายัยนั่นด้วยนะ” หัวหอมตะโกนกลับมาทั้งที่ตัวเขาอยู่ห่างจากฉันเป็นเมตร

                “เดี๋ยวก่อน นายจะไปไหน?”

                “ก็ไปตามตัวร็อคน่ะสิ หมอนั่นหายไปไหนก็ไม่รู้ =_=” พูดจบ หัวหอมก็วิ่งไป อา…จะว่าไปฉันเป็นคนสั่งให้หมอนั่นไปลากตัวร็อคมาดูคอนเสิร์ตหน้าเวทีนี่นา เขาก็ดูพึ่งพาได้นี่ ดูใส่ใจกับงานที่ฉันมอบหมายให้ทำดี ฉันเองก็ต้องพยายามบ้างเหมือนกัน เพื่องานวันปีใหม่ที่งดงามของเรา!

 

                …

                ท้องฟ้าเริ่มอับแสงเป็นสัญลักษณ์ว่าดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผู้คนมากมายเดินอย่างขวักไขว่ เสียงเฮฮาของเหล่าบรรดานักเรียนดังกึกก้องไปทั่ว แสงไฟสีส้มและเสียงเพลงจากหน้าเวทีดึงดูดให้ผู้คนทั้งหลายเดินไปหามัน ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ…

                “ทิงเจอร์ เธอไปไหนมาเนี่ย” พอมาถึงหลังเวที ยัยดินสอก็พุ่งมาหาฉันพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าทันที ยัยนั่นขมวดคิ้วอย่างห่วงๆพลางเอื้อมมือมาเช็ดหน้าให้ฉัน ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้ ไม่ได้ไปตายที่ไหนสักหน่อย -_-

                “ก็อยู่หน้าเตาไฟทั้งวันนั่นแหละ จะไปที่ไหนได้อีกล่ะ”

                “เดี๋ยววงน้อง ม.1 จะขึ้นแล้ว พวกนั้นร้อง 4 เพลง ตอนนี้เธอไปล้างหน้าก่อนเถอะ” ยัยนั่นยัดโฟมล้างหน้าตราลิงตีฉิ่งใส่มือฉัน อย่าบอกนะว่านี่เป็นโฟมที่ยัยดินสอใช้เป็นประจำ ชื่อยี่ห้อโคตรแปลก ถ้าฉันใช้แล้วจะแพ้ไหมเนี่ย!

                “นี่ ไม่มีโฟมแบบอื่นแล้วเหรอ ชื่อมันน่ากลัวเกินไป ฉันรับไม่ได้ =_=”

                “ไม่มีแล้วทิงเจอร์ ทนใช้ไปก่อนนะ เธอล้างหน้าเสร็จแล้วมารอตรงนี้ที่เดิม เดี๋ยวฉันไปขอยืมเครื่องสำอางค์จากน้องๆมาให้”

                “เดี๋ยวก่อน..” ไม่ทันซะแล้ว พอยัยนั่นพูดจบก็วิ่งหายเข้าไปในฝูงคน วิ่งชนิดที่ไม่เหลียวหลังมามองเลย ที่จริงฉันก็พกอะไรมาแต่งหน้าบ้างเหมือนกันนะ แต่ช่างมันเถอะ จะขอยืมอะไรก็เลือกหน่อยแล้วกัน อย่าเอาอะไรเพี้ยนๆมาให้ล่ะ ไม่ใช้แน่ -_-

                …

                หลังจากที่ฉันล้างหน้าอะไรเสร็จเรียบร้อยก็กลับมานั่งที่เดิมรอยัยดินสอ จะว่าไปโฟมล้างหน้าตราลิงปิ้งไก่อะไรนี่ก็ดีเหมือนกัน ถึงชื่อจะแปลกแต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดี เหมือนหน้าขาวกระจ่างใสเหมือนกลับไปเป็นเด็กยังไงไม่รู้

                “อ้าวทิงเจอร์ ทำไมทำหน้าสดแบบนั้นล่ะ ฮ่าๆ” เสียงกวนประสาทแบบนี้ต้องเป็นหมอนั่นแน่

                “ทำไมนายมาช้านักล่ะ? -_-” ฉันหันไปต่อว่าชายที่ชื่อเบสแต่กลับเล่นกีตาร์ เขาเป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับร็อคและเป็นพ่อสื่อให้ฉันกับร็อคได้ลงเอยกัน อ้อ เขาเป็นมือกีตาร์ให้วงฉันด้วยนะ

                “ที่มาช้าเพราะไปเอาไอ้นี่มาให้เธอต่างหาก เอ้า  ใส่ซะ” เขาโยนเสื้อสีดำที่สกรีนคำว่า ‘PLASTER’ ให้ มันดูเข้มแข็งและแข็งแกร่ง สมแล้วที่ผู้ชายเป็นคนออกแบบ และนั่นคือชื่อวงของฉันเอง

                “นายออกแบบเองเหรอ?” ฉันเงยหน้าถามนายเบสที่ไว้ทรงผมเป๋ปัดข้างบังตาซ้าย นี่เขาไม่รำคาญผมตัวเองบ้างหรือไงนะ เห็นแล้วยังรำคาญแทนเลย -_-

                “เปล่า พวกเราช่วยกันคิดต่างหาก กว่าจะได้แบบนี้เถียงกันแทบตาย เกือบมีเรื่องชกต่อยเพราะความคิดไม่ตรงกันด้วยนะ” หมอนี่เป็นพวกหัวรุนแรงพอๆกับร็อค ไม่แปลกที่การมีความคิดต่างกันจะมานำมาสู่การทะเลาะวิวาท -_-

                “นี่ทิงเจอร์ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”

                “ว่ามา” จู่ๆหมอนั่นก็กดเสียงให้ต่ำลง น้ำเสียงจริงจังแบบนี้…คิดจะขอยืมเงินเรอะ!

                “เธอจริงจังกับ ‘PLASTER’ หรือเปล่า?”

                เอ๊ะ…

                “…ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

                “ดูเธอไม่ค่อยใส่ใจเลย โลโก้หรือสโลแกนของวงก็ยังไม่สน ฉันเห็นเธออยู่กับร็อค มีเวลาให้หมอนั่นตลอด ตัวติดกันจนฉันคิดว่าเธอลืมวงนี้ไปแล้วซะอีก”

                “ฉันจะลืมวงที่ตัวเองเป็นคนสร้างมากับมือได้ยังไง” ฉันขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ รู้สึกเหมือนถูกแม่เทศยังไงไม่รู้ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน ฉันจะอยู่กับใครตัวติดใครมันก็เรื่องของฉันสิ

                “ใช่ เธอเป็นคนก่อตั้ง เป็นคนเริ่มต้น แต่ไม่เคยสนใจ เธอจะสนก็ต่อเมื่อมีงานสำคัญเท่านั้น”

                “อ้าว แล้วจะให้ฉันขึ้นเวทีเล่นทุกวันหรือไง ใครเขาจะมาดู” พูดอะไรโง่ๆ คำพูดนี่ผ่านสมองของนายมาแล้วหรือยัง?

                “ไม่ได้ให้เธอเล่นทุกวัน ที่บอกว่างานสำคัญน่ะ หมายถึงวันสำคัญแค่ของเธอกับร็อคสองคนเท่านั้น งานส่วนใหญ่ก็เป็นงานในโรงเรียน มันคงทำให้เราไปถึงฝันได้หรอกนะ” เขายังตีหน้านิ่งแล้วเทศนาต่อ หมอนี่ชักจะจริงจังเกินไปแล้วนะ เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด

                “ฝันอะไร?”

                “ก่อนที่จะมี ‘PLASTER’ ตอนนั้นเธอบอกว่าจะพาเราไปสู่จุดสูงสุด จะทำให้เราโด่งดัง จะสร้างเสียงดนตรีให้ดังไปทั่วโลก เธอพูดแบบนั้นทั้งที่เธอเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นสักอย่าง ฉันเห็นว่าเธอมีความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายเดียวกันคือการเป็นศิลปินที่ใครๆต่างยอมรับ ฉันถึงได้สอนเธอเล่นกีตาร์ สอนเธอตีกลอง และรวบรวมสมาชิกทั้งหมด”

                …

                “เธอจำได้ไหม ครั้งแรกที่เราขึ้นเวทีมันเมื่อไหร่?”

                “ตอน ม.1 วันงานโรงเรียน…” ฉันจำวันนั้นได้ดี เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันให้ของขวัญแก่คนสำคัญ

                “แล้วตอนนั้นเราขึ้นเวทีเพราะอะไร?”

                “ร้องเพลงให้ร็อค เพราะวันนั้นเป็นวันครบรอบ 5 เดือน…” นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันร้องเพลงให้เขา

                “แล้วฉันก็สังเกต หลายครั้งที่เธอขึ้นเวที เธอจะขึ้นเพื่อหมอนั่น แล้วครั้งนี้ก็เช่นกัน…เพลงที่เธอจะร้องวันนี้ เธอให้เขาเป็นของขวัญวันปีใหม่ใช่ไหม?”

                ก็ถูกอยากที่เขาว่า แล้วไง? ให้ของขวัญแก่คนสำคัญมันผิดมากเหรอ?

                “งานประกวดวงดนตรีสำคัญๆที่ฉันเสนอเธอก็ไม่สนใจ ถ้าเธอใส่ใจสักหน่อยตอนนี้วงของเราคงไปไกลแล้ว ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าเธออยากเป็นศิลปินจริงหรือเปล่า”

                …

                “ใช่ ถูกอย่างที่นายว่า” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วจ้องหน้าเขากลับ “ฉันไม่จริงจังเลย ฉันแค่อยากทำอะไรดีๆเพื่อคนที่ฉันรัก นายก็รู้ว่าร็อคเป็นคนยังไง เขาชอบเข้าหาผู้หญิงเพื่อให้ฉันหึงเล่น ฉันกลัวว่าสักวันเขาจะจากไปจริงๆ ฉันถึงต้องทำตัวให้เด่น ทำตัวให้มีคุณค่า เป็นคนที่อยู่ในสายตาเขาเพียงผู้เดียว” และนี่ก็คือความจริงทั้งหมด…หากเราเจอคนที่เพอร์เฟ็ค มีดีทุกอย่าง เป็นที่รู้จัก เป็นคนสำคัญ เด่น ดัง มีเหรอที่จะปล่อยไปง่ายๆ ที่ฉันสร้างวงดนตรีนี้ขึ้นมาเพราะต้องการสร้างชื่อให้กับตัวเองและอยู่เหนือกว่าผู้หญิงคนอื่นๆทั้งหมด เมื่อผู้หญิงพวกนั้นด้อยค่าและเทียบฉันไม่ติด เขาก็จะไม่มองใครอีกและมีฉันคนเดียวที่เป็นที่หนึ่ง…

                ฉันมีคนรักเพียงแค่คนเดียวและจะไม่ยอมให้มีมือที่สามเด็ดขาด ฉันจะทำให้พวกผู้ใหญ่ที่ขาดความซื่อสัตย์ในคู่รักของตัวเองได้รู้ซึ้งว่าการมีรักเดียวมันดีแค่ไหน

                “ถ้านายอยากเป็นศิลปินมาก ฉันยกตำแหน่งหัวหน้าวงให้ไปเลย ไปตามหาฝันให้พอใจซะ”

                “ยอมรับแล้วสินะว่าการที่เธอก่อตั้งวงนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นข้อผูกมัดทางใจ” เบสยักคิ้วถาม…ข้อผูกมัดงั้นเหรอ…

                “คิดว่าการที่เธอมีชื่อเสียงแล้วหมอนั่นจะไม่กล้าทิ้งหรือไง? คิดตื้นชะมัด คนเราถ้าหมดใจให้ตายยังไงก็ไปอยู่ดี”

                “…”

                “ความรักของเธอทั้งสองมันแปลกตั้งแต่มีกฎนอกใจนั่นแล้ว คิดได้ยังไงว่าให้มีการนอกใจกันเดือนละสองครั้ง  วันๆต้องคอยจับผิด คอยดูว่าคนรักของตัวเองจะนอกใจเมื่อไหร่ เธอไม่เหนื่อยหรือไงที่ต้องฝืนทำอะไรแบบนี้ คนรักกันจริงเขาไม่มีกฎกันหรอกนะ”

                ฉันต้องการให้ร็อคเป็นของฉัน เป็นรักเดียว ไม่มีมือที่สาม ไม่นอกใจ…ทั้งหมดนี้มันคือความรักไม่ใช่เหรอ

                นายมองไม่เห็นความรักของฉันหรือไง!

                “ฉันสงสัยจริงๆ…ว่าเธออยากครอบครองใจหรือร่างกายของเขากันแน่”

                …

                ร่างกายหรือหัวใจ…ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย…

                “ขอโทษที่มาช้านะ กว่าจะยืมได้ใช้เวลานานเลย นี่แป้งพัพพ์ รองพื้น ดินสอเขียนคิ้ว อายไลน์เนอร์…เอ๊ะ เบสมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ดินสอที่หายไปนานกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์แต่งหน้ามากมาย ตอนนี้ฉันไม่อยากขึ้นเวทีแล้ว คำพูดของหมอนั่นทำให้ฉันสับสน

                “ความรักของเธอคืออะไร คือการแสดงความรักโดยการไล่ตีชาวบ้าน หรือร็อคต้องเป็นของเธอแค่คนเดียว?”

                คำพูดของไลน์ผุดขึ้นมาในหัว…สรุปมันคืออะไรกันแน่…

                “ช่างเถอะ นี่ ทิงเจอร์…ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวหรอกนะที่คิดแบบนี้ คนอื่นเขาก็เป็นห่วงแต่ไม่กล้าพูดเฉยๆ เธอเป็นพวกโมโหง่าย ยิ่งเรื่องความรักยิ่งแล้วใหญ่ ใครๆก็รู้ว่าเธอไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตรักของเธอ แต่ฉันเห็นแล้วมันทนไม่ไหวจริงๆ วันนี้ฉันก็เลยมาพูดแทนทุกคน ฟังแล้วก็เก็บเอาไปคิดด้วย” พูดจบ หมอนั่นก็เดินออกไปเลย…นี่เป็นความรู้สึกของทุกคนอย่างนั้นเหรอ รวมถึงหัวเห็ดและหัวหอมด้วยหรือเปล่า…

                “ดินสอ…เธอก็คิดเหมือนหมอนั่นเหรอ” ฉันหันไปจ้องหน้าดินสอที่กำลังเปิดตลับแป้ง

                “อืม…ถ้าเรื่องความรักของเธอกับร็อค ใครๆก็คิดเหมือนกันหมดนั่นแหละ…ความรักของพวกเธอมันน่ากลัวเกินไป…”

                “น่ากลัวยังไง?” ฉันถามอย่างหาเรื่อง ชีวิตคู่ของฉันออกจะมีความสุขดี ถึงแม้จะมีพวกผู้หญิงหน้าโง่เข้ามาเกี่ยวด้วยนิดหน่อยก็เถอะ

                “เพราะเธอใจร้อนแล้วชอบพาลแบบนี้ไงถึงไม่มีใครกล้ามาคุยด้วย เบสเขาใจเย็นมากเลยนะที่มาพูดกับเธอได้”

                “อืม…” เพราะฉันพาลอย่างนั้นเหรอ ก็คนมันไม่ชอบนี่

                “ความรักของพวกเธอมันน่าเป็นห่วง ใช้ความรุนแรงจนทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน พวกเธอกระหายในการเป็นเจ้าของกันและกันมากเกินไป แบบนั้นฉันไม่เห็นด้วยหรอกนะ”

                “คนรักกัน ก็ต้องมีกันแค่สองคน ใครเข้ามายุ่งฉันก็ต้องกำจัดทิ้ง” พวกเธอไม่เข้าใจหรือไงว่าฉันเกลียดการนอกใจ!

                “ช่างมันเถอะ…เอาเป็นว่าตอนนี้แต่งหน้ากันก่อน เธอต้องขึ้นไปบนเวทีนะ” ดินสอยิ้มเจื่อนๆแล้วส่งเครื่องสำอางให้ ยังไงฉันก็หยุดคิดเรื่องนั้นไม่ได้…ความรักของฉัน คืออะไรกันแน่…

               

 

                18.49

                “ก่อนกลับบ้านเราจะพลาดวงนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย ขอเสียงให้พี่ๆม.3 จากวง PLASTER หน่อยเร็วววว”

                “กรี๊ดดดดดดดดดดดด >O<”

                เสียงเชียร์จากผู้คนหน้าเวทีดังก้องไปทั่ว พวกสมาชิกในวงทั้งหลายต่างเตรียมตัวที่จะขึ้นไปบนเวที พวกเขาทั้งหมดสวมเสื้อสีดำที่ออกแบบเองกับมือ รู้สึกละอายใจขึ้นมาหน่อยๆที่ฉันไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงนี้เลย…ขอโทษนะเบส

                “ฉันไปก่อนนะ” ดินสอกล่าวคำอำลาก่อนจะเดินขึ้นเวทีไปอย่างสง่างาม

                พวกเขาทั้งหมดกล่าวทักทายน้องๆและเพื่อนๆทั้งหลายที่ยืนส่งเสียงอยู่ล่างเวที ฉันให้ดินสออยู่ในวงแทนฉันเลยดีไหมนะ…ดูเข้ากับพวกนั้นได้ดีกว่าฉันเสียอีก

                วันนี้ฉันจะต้องร้องเพลงให้ร็อคเพื่อเป็นของขวัญเหมือนทุกครั้ง…และฉันก็อดคิดเรื่องที่เบสเตือนฉันไม่ได้

                “ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวหรอกนะที่คิดแบบนี้ คนอื่นเขาก็เป็นห่วงแต่ไม่กล้าพูดเฉยๆ”

                ‘คนอื่น’…เพื่อนๆทุกคนก็คิดแบบนั้นอย่างนั้นเหรอ…พูดเรื่องนี้ให้ฟังก่อนขึ้นเวทีเหมือนตัดกำลังใจกันเลยแฮะ แล้วฉันจะมีอารมณ์ไปร้องเพลงได้ยังไงล่ะ เพื่อนที่สนิทที่สุดอย่างหัวเห็ดยังไม่ยอมพูดตรงๆกับฉันเลย ทำไมพวกนั้นต้องเอาฉันไปพูดลับหลังด้วย!

                “เพราะเธอใจร้อนแล้วชอบพาลแบบนี้ไงถึงไม่มีใครกล้ามาคุยด้วย”

                เพราะฉันพาลอย่างนั้นเหรอ…ก็น่าจะชินกับนิสัยแบบนี้ได้แล้วนะ อยู่กันมาตั้งกี่ปี แค่นี้ก็รับไม่ได้ ที่ฉันโมโหทุกครั้งก็เพราะไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องความรัก พ่อแม่ก็ไม่มีใครชอบร็อคสักคน หาว่าที่ฉันเกเรแบบนี้ก็เพราะเขา ความจริงแล้วมันไม่ใช่สักหน่อย คนที่เกเรและก้าวร้าวคือฉันต่างหาก มันผิดที่ตัวฉันเอง อย่าพาลถึงคนที่ฉันรักได้ไหม!

                “ก็จบไปแล้วสำหรับเพลงแรกนะครับ เพื่อนๆสนุกกันไหม?” เสียงของเบสถูดขยายออกมาจากลำโพงขนาดใหญ่ เขาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวงได้ดีกว่าฉันอีก เขาจัดการกับวงได้โดยไม่ต้องปรึกษาฉัน

                “สนุกมากกก >O<”

                “วู๊วววววววววววววว >O<”

                “แต่เพลงหน้าเป็นเพลงเบาๆที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี เพลงสไตล์แบบนี้ผมให้ดินสอร้องคนเดียวดีกว่า”

                “อ้าว แบบนี้ก็เขินแย่สิคะ” ยัยดินสอพูดตามสคริปที่เตรียมไว้เป๊ะไม่มีผิดพลาด แถมยังแสดงละครได้ดีอีกต่างหาก น้ำเสียงดูกังวลมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่ายัยนี่จะทำออกมาได้ดีขนาดนี้

                “เขินเหรอ? งั้นร้องไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไปตามคนมาช่วยร้องแป็บนึงนะ”

                “เอ๊ะเดี่ยวสิ อย่าเพิ่งไป!”

                ตึกตึกตึก

                เบสวิ่งลงจากเวทีอย่างไม่รอช้า ไม่นาน เพลงก็ถูกบรรเลง…

                “ด..เดี๋ยวก่อน ไม่ถามว่าฉันพร้อมสักคำเลยเหรอ!” ดินสอแสดงได้สมบทบาทจนคนอื่นๆหัวเราะออกมา ฮ่ะๆ วันนี้เธอทำได้ดีมาก…

                แต่ฉันสิ...ควรขึ้นไปบนเวทีอยู่อีกเหรอ...

                “ว่าไง ทำไมถึงทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะ” เบสเดินตรงมาทางฉัน ยังกล้าถามอยู่อีกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

                “เพราะคำพูดของนาย…มันทำให้ฉันคิดมาก” มันเหมือนปริศนาที่ยากต่อการแก้ ฉันไม่เข้าใจความคิดของเบส ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ฉันต้องทำยังไง...จะจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ยังไง

                “นึกว่าเธอจะไม่คิดแล้วซะอีก” เขาหัวเราะหึในลำคอ

                “นี่! หาเรื่องหรือไง”

                “เปล่า ปกติเธอไม่ชอบเอาคำพูดของคนอื่นมาคิดให้รกสมองนี่ ฉันแปลกใจที่เธอคิดมากขนาดนี้”

                “นั่นเป็นความรู้สึกของเพื่อนฉันนี่ ความรู้สึกที่พวกนั้นไม่เคยบอก...ทำไมมีอะไรถึงไม่ยอมพูดตรงๆล่ะ ก็รู้ตัวนะว่าเป็นคนโมโหง่ายและพาลไปทั่ว แต่นั่นเพื่อนสนิทของฉัน พวกนั้นรับไม่ได้ที่ฉันมีนิสัยแบบนี้เหรอ?” และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ฉันคิดมาก พวกนั้นพูดเรื่องของฉันลับหลัง ทั้งเรื่องชีวิตรัก และเรื่องนิสัยของฉันที่ก้าวร้าวชอบมีเรื่องทะเลาะไปทั่ว เหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกนั้นแกล้งเป็นเพื่อนฉัน เหมือนไม่มีใครจริงใจกับฉันสักคน นายก็ด้วยเหรอเบส…นายก็แกล้งเป็นเพือนฉันใช่ไหม?

                “ถ้าเธอถูกเพื่อนที่รักมากโมโหใส่บ่อยๆจะเบื่อไหม? เวลาเราเข้าไปเตือนอะไรใครด้วยความหวังดีแต่กลับถูกด่าว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง พูดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเก็บเอาไปคิด ไม่สนใจ เธอจะรู้สึกเหนื่อยหรือเปล่า?” ที่พูดมาทั้งหมดนั่นหมายถึงตัวฉันเหรอ…ฉันนี่มันแย่จริงๆ เพื่อนเป็นห่วงแท้ๆแต่กลับไล่ให้ไปพ้นๆ ฉันไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของหัวเห็ดและหัวหอมเลย…ยัยดินสอก็เหมือนกัน

                 “เธอทำให้คนหลายๆคนต้องเข้าหาเธอ ทำไมเธอไม่ลองใจเย็นแล้วเข้าหาคนอื่นบ้างล่ะ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีวันได้รับความจริงใจจากใครหรอก”

                …ความจริงใจ…

                “นายคงจะใจเย็นอย่างที่ดินสอว่าจริงๆ มาพูดกับคนขี้วีนอย่างฉันได้มันไม่ธรรมดาเลยนะ” พอฉันเข้าใจอะไรขึ้นมานิดหน่อยก็พอจะยิ้มได้แล้ว ทุกคนคงเหนื่อยเพราะฉันมามากเลยสินะ

                “เธอมันน่ารำคาญรู้ไหม ฉันต้องระงับอารมณ์ คอยยั้งหมัดตัวเองไม่ให้พุ่งไปที่หน้าเธอ”

                “อะไรนะ!”

                “ลองคิดว่าเธอมีเพื่อนนิสัยแบบเดียวกับเธอดู จะรู้สึกยังไง”

                เป็นคนขี้วีนและไม่ยอมฟังใครอย่างฉันน่ะเหรอ…

                “ไม่คบด้วยดีกว่า -_-”

                “ทีนี้เห็นข้อเสียของตัวเองแล้วหรือยัง?”

                “เออ รู้แล้วน่า พูดมากจริง” มาเทศนาให้ฉันบรรลุธรรมเลยไหม? -_-

                “ฮ่าๆ ตอนนี้ไปมอบความรักให้ร็อคก่อนเถอะ จะถึงท่อนของเธอแล้วนะ” เบสผลักฉันไปทางบันไดขึ้นเวทีแล้วยัดไมค์ใส่มือ เอ๊ะ!

                “ทำไมไม่รีบบอกเล่า!!!”

                “ฮ่าๆ ด่าเธอเพลินไปหน่อยน่ะ ทำให้เต็มที่นะ เรื่องนั้นไว้ทีหลัง คิดได้เมื่อไหร่มาบอกฉันนะ”

                “อื้ม!!”

 

 

ในที่สุดก็กลับมาอัพพพพพพพพพพพพพพ!!!

ตอนนี้เรื่องนี้คือเรื่องหลัก จะอัพจนกว่าจะจบแล้วค่อยไปอัพเรื่องยูนิคอร์น >_<

ตอนนี้อาจจมีคำผิด หรือเรียบเรียงคำพูดได้ไม่ดี

วันพุร่งนี้จะมาเเก้ให้นะคะ >_<

ตอนนี้ง่วงนอนมาก ไม่อยากแก้เเล้ว ขี้เกียจ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดดด

ลาก่อน นอนหลับเเล้ว บายยยย ^O^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา