Overnight คืนนี้กับ 4 หัวใจของยัยวายร้าย
9.6
เขียนโดย LazyGirl
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 00.34 น.
32 บท
189 วิจารณ์
46.64K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 10.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) บทเพลง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความขอโทษที่มาอัพช้า มัวแต่สร้างเกมทายใจกับไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆในสาขา คือยุ่งมาก >_<
ที่อัพตลอดก็จะมีเรื่อง My Unicorn ซึ่งตอนนี้เรางดอัพเรื่องนั้นแล้วมาเขียนเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน
คือมีคนบอกว่าอยากให้อัพเรื่องนี้เพราะจะลงแดงตายแล้ว วู้ววว >_<
คือ...คงจะค้างคาที่ทิงเจอร์นอนกับร็อคใช่มั้ยล่ะ? โอเค! งั้นเรามาต่อกันเลยเถอะ >O</
ปล. เรื่องนี้จบแน่นอนเพราะคิดตอนจบออกแล้ว >O<
บทเพลง
เสียงประกาศนั่นทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าผลมันจะออกมาแบบนี้....
“ทิงเจอร์ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ดินสอที่นั่งข้างๆฉันสะกิดอย่างแรงเพื่อดึงให้จิตฉันกลับมา ในสมองมันเลิกคิดเรื่องประกาศนั่นไม่ได้เลย ถ้ารู้อย่างนี้ฉันคุยกับเขาให้มากกว่านี้คงจะดี....จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“ถึงบ้านใหญ่แล้วนะ” ดินสอลากแขนฉันให้ลงจากรถ อ้าว นี่ถึงแล้วเหรอ? ทำไมไม่รู้ตัวเลยล่ะ นี่ฉันเหม่อตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงบ้านเลยเหรอเนี่ย งั้นก็หมายความว่าฉันไม่ได้โบกมือลาแฟนคลับเลยสิ -O-
“รอเดี๋ย...อ๊ะ!!” เพราะยัยดินสอลากมาอย่างแรงจนขาน้อยๆของฉันมันติดอยู่กับเบาะ เฮ้ย จะรีบไปไหนเนี่ย กลัวไม่ได้กลับห้องหรือไง เฮ้!! หน้าจะฟุบกับเบาะแล้ว -O-
ตุบ!!
“เป็นไรมากมั้ย” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองชายที่ถาม
“…” ฉันไม่ตอบคำถามแล้วเดินผ่านชายคนนั้นไป จะให้ทำตัวปกติกับคนแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก หมอนั่น...ร็อค เขาเป็นอดีตคนรักที่ฉันเกลียดมากที่สุด
บ้านใหญ่โอเวอร์ไนท์หมายเลข 4
“ต้องขอบคุณที่ทุกคนเก็บของใส่กระเป๋าได้อย่างเรียบร้อย พวกเราจึงนำกระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระของทุกคนลงมาได้ครบ ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง...” พี่เอเว้นเงียบไว้สักพักก่อนจะกวาดสายตามองไปยังทุกๆคนที่นั่งอยู่บนโซฟากลางลานโล่ง
“ทิงเจอร์...น้องยังเก็บของไม่ครบเลยนะครับ -_-”
”เอ่อ...ทิงว่าทิงเก็บหมดแล้วนะคะ ไม่เหลือเลยแม้แต่ชิ้นเดียว” ฉันทิ้งอะไรไว้ในห้องนั่นล่ะ ถุงเท้าก็เก็บแล้ว กางเกงในของใช้ส่วนตัวก็เก็บเรียบร้อยไม่ตกตามพื้นแน่นอน ฉันรับประกัน เอ๊ะ...บ้าน่า! หรือว่าฉันจะลืมเก็บผ้าอนามัย!!! แต่ประจำเดือนฉันไม่ได้มานี่ =_=
“แน่ใจเหรอคะ? -_-” พี่อีฟพูดพลางชูสบู่สีขาวขึ้น นั่นมันสบู่น้ำนมแรร์ไอเทมที่ได้จากอีตากัปตันนี่ ฉันลืมมันไว้ในห้องน้ำได้ยังไง นั่นมันสมบัติล้ำค่าเลยนะ! -O-
“อ่า...นั่นของทิงเองค่ะ =_=” ฉันลุกออกจากโซฟาแล้วเดินตรงไปที่พี่อีฟที่ยืนชูสบู่อย่างกับเทพีเสรีภาพ นางคงจะยอมคืนให้แต่โดยดีนะ
“ไม่ต้องคืนให้ยัยสะเพร่านั่นหรอกครับ เดี๋ยวก็ลืมอีกนั่นแหละ”
“นายอย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่นได้มั้ย -_-+” ฉันหันกลับไปโต้ตอบทันทีที่ได้ยินเสียงกวนประสาทนั่น เสียงแบบนี้ได้ยินจนชินขนาดแก้วหูที่ไม่มีสมองยังรู้เลยว่าเป็นใคร คนๆนั้นก็คืออีตาไอโอดีนยังไงล่ะ!
“พี่อีฟครับ ยัยนี่กำลังโกรธ อย่าคืนของให้คนระงับอารมณ์ตัวเองไม่เป็นนะครับ มันบาป”
“พูดอะไรให้มันสมเหตุสมผลหน่อยสิ!” เรื่องแค่นี้มันจะไปบาปได้ยังไงกัน
“เอาล่ะๆเลิกทะเลาะกันได้แล้วค่ะ -_-“ พี่อีฟยกมือขึ้นห้ามอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะส่งสบู่สีขาวกลิ่นหอมชวนใช้นั่นให้ฉัน “วันหลังก็ควรจะรอบคอบอย่าเช็คสิ่งของก่อนออกจากห้องด้วยนะคะ อย่าลืมอะไรทิ้งไว้อีกล่ะ อีกไม่กี่วันก็จะได้กลับบ้านจริงๆแล้ว ถ้าลืมของสำคัญไว้จะแย่เอานะ”
“ค่ะ ^^” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพี่อีฟก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม ทำไมต้องเป็นฉันที่ถูกดุด้วยเนี่ย ดูสิ อีตากัปตันหัวเราะใหญ่แล้ว -_-
“หัวเราะอะไรของนาย” ฉันชะโงกหน้าถามนายกัปตันที่นั่งข้างดินสอ ขำอะไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนลืมของหรือไง เดี๋ยวแม่ก็ปาสบู่ใส่ปากซะหรอก
“วันหลังก็หัดตื่นเช้าๆนะ จะได้ไม่ต้องรีบจนลืของแบบนี้ ฮ่ะๆ” ไม่เห็นจะขำ! “ฉันบอกวิธีปลุกเธอให้ร็อคดีมั้ยนะ มันต้องเอาไข่มาล่อถึงจะยอมตื่น ฮ่าๆ”
“…” อย่าเชียวนะ... “วิธีนั้นฉันให้นายทำคนเดียว คนอื่นอย่า!” ฉันกระแทกเสียงใส่ประโยคหลังทำให้หมอนั่นที่กำลังหัวเราะอยู่หุบปากทันที ดินสอกับร็อปเป้ที่กำลังหัวเราะอย่างเฮฮาก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก คนอย่างหมอนั่น...อย่าได้แตะตัวฉันอีก
“อ่า...เอาล่ะครับ ที่เราเรียกทุกคนให้มารวมตัวกันในวันนี้ก็เพื่อจัดห้องใหม่ การย้ายห้องทุกๆคืนจะเป็นการช่วยให้พวกเรารักความสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น” พี่เอเริ่มพูดทันทีที่เสียงเงียบลง “ตอนนี้ป้ายชื่อห้องก็คิดอยู่ที่กระเป๋าเดินทางของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว เชิญพักผ่อนได้ตามสบายเลยครับ ^^”
“เฮ!! >O</” ทุกคนต่างส่งเสียงเฮฮาเมื่อรู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาพักผ่อน ฟรีไทม์ อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ฉันกลับอยากให้ตอนนี้เป็นเวลาทำภารกิจ จะให้ทำอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ต้องเข้าห้องก็พอ...
“ทิงเจอร์ ไม่ขึ้นห้องเหรอ” ดินสอลุกขึ้นยินแล้วถามฉันที่นั่งนิ่งไม่ยอมกระดิกตัว
“ไม่อ่ะ...ฉันยังไม่อยากขึ้น เธอไปก่อนเลย”
“งั้นฉันไปก่อนนะ เธอก็อย่าคิดมากล่ะ” ดินสอยิ้มบางๆให้แล้วเดินไปเอากระเป๋าของตัวเองที่ลานโล่งก่อนจะตามไอโอดีนไป เอ๊ะ ยัยนี่นอนกับตัวอันตรายนี่นา!
“นี่ ไม่ขึ้นไปด้วยกันหรือไง” เสียงที่หูฉันไม่ค่อยจะได้ยินบ่อยนักเอ่ยทักขึ้น ใช่ เขาคนนั้นคือคนที่ฉันไม่อยากเจอและคุยมากที่สุด ถึงพี่ๆเขาจะบอกว่าความสัมพันธ์เป็นศูนย์แล้วอยากให้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา มันคงจะยากสำหรับฉันกับหมอนี่
ฟึ่บ!!
“ดินส...” ฉันลุกขึ้นและพุ่งตัวไปทางยัยดินสอทันที แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวของยัยนั่น ไอ้หมอนั่นก็ใช้มือสกปรกคว้าแขนฉันไป!
“เลิกทำตัวแบบนี้สักทีเถอะ น่ารำคาญ!”
“รำคาญก็อย่ายุ่ง!!” ฉันปัดมือหมอนั่นออก “อย่ามาแตะตัวฉันอีก!”
“…” ร็อคชะงักไปสักพักก่อนจะจ้องมาทางฉันอย่างเจ็บปวด แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ! อย่ามาเสแสร้งทำตัวน่าสงสารแถวนี้เลย ไม่ทีใครเขาเชื่อหรอก!!
“ดินสอ ฉันช่วยเธอถือของดีกว่านะ” ฉันหมุนตัวแล้ววิ่งไปทางดินสอที่กำลังจะขึ้นบนไดไปทันที
“ไม่เป็นไร ไอโอดีนเค้าช่ว...” เธอมองหน้าฉันที่ตอนนี้โมโหเอามากๆอย่างตกใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองร็อคที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ฉันจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไง...
“ไม่เข้าห้อ..เฮ้ย! จู่ๆเอากระเป๋าไปถือทำไมเนี่ย!”
“นี่มันกระเป๋าของดินสอ ฉันแค่อยากช่วยเพื่อนถือของเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าโวยวาย” ฉันกระชากกระเป๋าที่น้ำตาลในมือของหมอนั่นมาถือไว้ จะถ่วงเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่อยากอยู่ในห้องกับหมอนั่นสองต่อสอง
“อะไรของเธอ จู่ๆก็รักเพื่อนขึ้นมาซะงั้น”
“ไม่ใช่แค่รัก ฉันหวงมากด้วย คืนนี้นายได้นอนกับคนที่น่ารักที่สุดในรายการ อย่าทำอะไรเพื่อนฉันเด็ด-ขาด!” ฉันจ้องไปที่ดวงตาของหมอนั่นอย่างเอาเรื่อง พยายามทำให้เขารู้ว่าฉันจริงจังกับสิ่งที่พูดมาก ความเจ้าเล่ห์และชอบฉวยโอกาสของหมอนี่มันน่ากลัวพอๆกับไอ้หน้าโหดนั่นเลย...ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น
“หืม? ถ้าฉันทำอะไรเพื่อนเธอขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง ตบหน้าด้วยฝ่ามือเท่าตีนแมวนั่นน่ะเหรอ?” ไอโอดีนยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พลางก้มตัวลงเล็กน้อยให้หน้าของเราใกล้กัน
“ถ้านายทำอย่างนั้น ฉันจะฆ่านายซะ” ฉันกระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมาอย่างเหลืออด ยั่วโมโหก็ให้มันถูกเวลาหน่อย ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ...
“โห...น่ากลัวแฮะ ไปอัพส่วนสูงให้เท่ากับฉันก่อนดีกว่าไหม มันคงจะสูสีกันมากกว่านี้ ^^” ไอโอดีนลูบหัวฉันอย่างกับเด็กน้อย มันยิ่งทำให้ฉันจับคอเสื้อของหมอนั่นแน่นขึ้นกว่าเดิม
“หึ...ต้องสูงเท่าบัทเทอร์สินะถึงจะเรียกว่าสูสี มีอะไรกับคนสูงมันคงจะสนุกกว่าคนเตี้ยสินะ?” ฉันเอียงคอยักคิ้วถามชายตรงหน้าอย่างกวนประสาท
“นี่เธอ...”
“อ๊ะ! ฉันลืมกระเป๋าอีกใบ ทิงเจอร์ พี่ไอโอดีนคะ ดินสอไปเอากระเป๋าก่อนนะ” ยัยนั่นพูดรัวจนลิ้นแทบจะพันกันแล้วรีบวิ่งผ่านฉันลงบันไดไปเฉยเลย อ้าว นี่ยัยนั่นไปถึงห้องแล้วงั้นเหรอ ฉันกับอีตานี่กำลังยืนทะเลาะกันหน้าบันไดอยู่เลย ท่าทางของยัยนั่นดูกลัวเอามากๆ สงสัยฉันกับอีตานั่นจะแผ่รังสีอำมหิตมากไปหน่อย เพราะตอนนี้อีหมอนั่นเองก็เหมือนจะอารมณ์เสียเหมือนกัน เหอะ!
ตุบ!
“ห้องซ้ายสุดของชั้น4” ฉันวางกระเป่าลงแล้วยืนมองประตูห้อง นี่มันห้องเก่าของฉันนี่นา หวังว่าจะไม่ลืมอะไรไว้ข้างในนะ =_=
“นี่ยัยเตี้ย ที่เธอพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง เห็นฉันเป็นคนยังไงกันแน่!”จู่ๆหมอนั่นก็กระชากแขนฉันขึ้นมาบีบอย่างแรง
“ก็...เห็นเป็นผู้ชายอย่างว่า ภาพลักษณ์ของนายมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไง? ปฏิเสธตอนนี้มันคงไม่ทันแล้วล่ะ” ฉันพยามยามสะบัดแขนออกแต่มันกลับไม่เป็นผล เลิกใช้กำลังกับฉันสักที!
“…” เขาไปเงียบไป โกรธงั้นเหรอ? พูดความจริงแค่นี้ถึงกับรับไม่ได้เลยหรือไง
“หึ...” เขาค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา “นั่นสินะ ฉันก็เป็นคนแบบนั้นแหละ อยากจะลองดูมั้ยล่ะ?” ไอโอดีนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลื่อนหน้าลงมาเรื่อยๆ นี่เขาเอาจริงเหรอ หน้าห้องเนี่ยนะ!
“ด..เดี๋ยว ไม่คิดว่าจะมีกล้องอยู่แถวนี้หรือไง” ฉันยกมือขึ้นกันอกเขา แต่นั่นยิ่งทำให้เขาก้มลงมาเรื่อยๆ!
“ยิ่งดีสิ แบบนี้แฟนคลับก็ยิ่งจิ้นเข้าไปใหญ่”
“แต่กับคนเตี้ยอย่างฉันมันไม่สนุกเท่ายัยบัทเทอร์หรอกนะ จะดีเหรอ?” ฉันยิ้มกลับบ้าง เอาสิ ฉันไม่ยอมแพ้ให้กับความเจ้าเล่ห์ของนายหรอก ฉันต้องชนะความกามของนายให้ได้สักวัน!
“ฉันก็อยากลองของใหม่บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะกับเด็กก้าวร้าวอย่างเธอ มันคงจะตื่นเต้นมาก...” หมอนั่นจับแขนอีข้างของฉันไว้แล้วก้มหน้าลงมาเรื่อยๆจนลมหายใจของเขารดบนแก้มเนียนของฉัน นายมันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น อย่าคิดว่าจะเล่นกับหัวใจฉันได้!
ผวะ!!
“มาแล้..ท..ทิงเจอร์!!” ยัยดินสอที่เพิ่งจะหิ้วกระเป๋าขึ้นมาตะโกนลั่นแล้วรีบพุ่งตัวมาทางเราทั้งสองคน
“มาแล้วงั้นเหรอ...” ฉันหันไปมองยัยดินสอที่เบิกตาโพลงด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ทิงเจอร์...เธอทำแบบนั้นทำไม” ไอโอดีนเขย่าไหล่ทั้งสองข้างอย่างไม่เข้าใจ แน่สิ...เป็นฉันเจอแบบนี้ก็คงจะสับสนเหมือนกัน กำลังจะจูบคนตรงหน้า แต่เขาคนนั้นกลับยกมือต่อยหน้าตัวเอง น่าแปลกดีใช่มั้ยล่ะ...
“ฉันไม่ยอมให้นายทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่3” ฉันปาดเลือดมุมปากออกแล้วเดินลงบันไดไป ยัยดินสอได้แต่ยืนอึ้งมองฉันที่เดินผ่านเธอไป ยัยนั่นคงไม่คิดว่าฉันจะทำแบบนี้ ปกติฉันจะเอาตัวรอดจากเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ แต่กับหมอนี่มันต่างกัน ฉันถูกหมอนั่นทำแบบนี้มาหลายครั้งหลายหนและฉันก็หนีไปไหนไม่พ้นเลยสักครั้ง นี่เป็นการลงโทษตัวเองที่หนีออกมาจากสถานการณ์ที่น่าขยะแขยงแบบนั้นไม่ได้
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันทำแบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้ฉันต้องทำร้ายตัวเอง
ตุบ!
“โอ๊ย!! หงุดหงิด!!!!” ฉันตะโกนลั่นบ้านด้วยความโมโห วันนี้มันได้ทำให้ฉันเข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่า ’หนีเสือปะจระเข้’ มันไม่ที่ให้ระบายเลยหรือไงฟะ อยากจะทุบโซฟาให้มันพังคามือไปเลย เอ๊ะ เดี๋ยวสิ...อย่าเพิ่งพังมัน วันนี้ฉันจะนอนที่โซฟาบ้านี่แหละ ห้องนงห้องนอนไม่ต้องมีกันแล้ว ฉันจะนอนตรงนี้!
“ไม่คิดจะขึ้นมาหรือไง?” เจ้าของเสียงห้าวตะโกนถามจากด้านบน เขายืนเกาะระเบียงแล้วชะโงกหน้าลงมาดูฉันที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟา หมอนั่นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรูมเมทของฉันในคืนนี้
ฟึ่บ!!
ฉันลุกขึ้นเดินหนีทันทีที่เห็นหน้าไอ้หมอนั่น อุตส่าห์หนีจระเข้มาแล้วยังเจอเสือตัวเดิมอีก
“นี่ ให้ฉันยกของกระเป๋าของเธอมาไว้ในห้องไหม?”
“อย่ายุ่งกับของๆฉัน!” ฉันหันไปตะคอกใส่หมอนั่นก่อนจะเดินจากไป
นี่มันวันอะไรกันวะเนี่ย! ทำไมวันนี้มันถึงได้เหนื่อยแบบนี้ ทั้งไอ้บ้าไอโอดีนและไอ้หน้าหื่นนั่นอีก คนอื่นๆคงจะพักผ่อนจนสุขีหัวใจไปนานแล้ว ก็วันนี้พวกเราใช้กำลังไปมากและเป็นเรื่องธรรมดาที่ร่างกายมันจะอ่อนเพลีย ฉันเองก็ทั้งเหนื่อยและหิว อยากจะนอนแต่ก็ไม่มีที่ให้อยู่ จะไปนอนเล่นที่ห้องยัยดินสอก็ต้องเจอกับอีตาหัวแดง ไปหาร็อปเป้ก็ยังมียัยบัทเทอร์อีก ส่วนอีตากัปตันนั่น...จู่ๆเข้าไปนั่งเล่นในห้องของเขาคงต้องถูกแฟนคลับหมอนั่นรุมด่าแน่ ห้องตัวเองยิ่งไม่น่าเข้า ทำยังไงดีล่ะเนี่ย -O-
ฟุดฟิด...
อ่า...ใครมาเจียวไข่แถวนี้เนี่ย อ๊ะ นั่นมันกลิ่นซอสนี่นา =..= มีใครบางคนกำลังทำอาหารอยู่แน่ๆ จะว่าไป...ตอนนี้ฉันก็แอบหิวอยู่เหมือนกัน ไปหาอะไรทานในห้องครัวแล้วค่อยคิดทีหลังว่าจะนอนที่ไหนดีกว่า
“หอมจังเลย ทำอะไรอยู่เหรอ ^O^”
“ก็เจียวไข่อยู่น่ะสิ ไม่เห็นหรือไง” ถ้าฉันรู้ว่าคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระทะเป็นยัยบัทเทอร์ก็คงไม่ถามหรอก เสียอารมณ์ชะมัด -_-
“ขอโทษ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเธอ” ฉันเดินเข้ามาและเดินดูรอบๆแล้วพบว่ายัยกล่องแก้วกำลังกินสปาเก็ตตี้ กลิ่นซอสที่ว่านั่นมาจากสปาเก็ตตี้ของหล่อนสินะ
“ทำหน้าอย่างกับปอบเลยนะ ถ้าหิวก็ไปหาอะไรกินสิ -_-”
“ไม่ได้หิวขนาดนั้นสักหน่อย ก็แค่มาเดินดูเท่านั้น” ฉันยักไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะเดินดูรอบๆเพื่อหาของกินต่อ ยัยบ้ากล่องแก้วบังอาจว่าฉันหิวจนทำหน้าเป็นผีปอบหิวโซ ฉันไม่ได้อดอยากมากมายขนาดนั้นนะ แต่ก็หิวอยู่เหมือนกัน มีอะไรให้ฉันกินบ้างเนี่ย T^T
“ท่าทางแบบนั้นเค้าเรียกว่าไม่หิวงั้นเหรอ?” บัทเทอร์หันมาพูดกับฉันพลางวางไข่สีทองลงบนโต๊ะ ถึงมันจะเป็นเมนูอาหารเบสิค แต่มันก็น่ากินมากเลยนะ >_<
“ก็ไม่ได้หิวจริงๆ แค่แวะเข้ามาดูเฉยๆ”
“อยากกินก็ทำกินเองสิ หรือต้องรอให้กัปตันไปเสิร์ฟถึงเตียง?”
“ฮะ? หมายความว่ายังไง?” คำพูดของยัยบัทเทอร์ทำให้หูฉันกระดิกเล็กน้อย พูดว่าอะไรนะ? นายกัปตัน? หมอนั่นเกี่ยวอะไรกับเรื่องการหิวของฉันด้วย?
“อย่ามาทำหน้าตาใสซื่อไม่รู้เรื่องอะไรหน่อยเลย ท่าทางแบบนั้นมันหลอกฉันไม่ได้หรอก ใครๆเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าเธออ่อยกัปตัน ไม่อย่างนั้นเขาจะป้อนไข่ให้เธอบนเตียงเหรอ” ยัยบัทเทอร์พูดพลางตักไข่เข้าปาก อะไรนะ? ใครอ่อยใคร? เท่าที่จำได้ฉันไม่เคยมีท่าทางหรือกิริยาที่สื่อไปทางงยั่วยวนหมอนั่นเลยนะ
“ถ้าอยากรู้ว่าหมอนั่นทำแบบนั้นทำไมก็ไปถามเขาเองสิ ฉันไม่เกี่ยว” ฉันสะบัดเสียงใส่พลางเดินไปที่ตู้เย็นอย่างไม่สนใจ
“อ้อ...งั้นเหรอ ถ้าไม่ได้รอพี่กัปตันไปเสิร์ฟก็คงรอพี่ร็อปเป้ทำอาหารให้สินะ มีมือมีเท้าก็หัดทำอะไรด้วยเองบ้าง ไม่ใช่นั่งรอกินผลประโยชน์จากคนอื่น” คราวนี้เป็นยัยกล่องแก้วที่พูดบ้าง
“นี่พวกเธอเป็นอะไร ไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน?”
“มาจากไหนมันก็ไม่สำคัญ แล้วเธออ่อยเขาทั้งสองคนอย่างที่ว่ามาไหมล่ะ?” กล่องแก้วหันมามองหน้าฉันพร้อมกับคำถามพิลึกนั่น เป็นแบบนี้อีกแล้ว...ถูกเกลียดเพราะเรื่องแบบนี้อีกแล้ว มีเพื่อนเป็นผู้ชายมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง เพราะพวกผู้หญิงมีแต่ประเภทแบบพวกหล่อนนั่นแหละ ฉันจึงเลี่ยงที่จะคุยด้วย
“ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน พวกเธอก็แค่คนนอกที่มองมาเท่านั้น พวกเธออาจจะมองว่าที่ฉันสนิทสนมกับทั้งสองเป็นเพราะฉันพิศวาสพวกเขา แต่ความจริงไม่มีอะไรทั้งนั้น พวกเธอไม่ได้นั่งเฝ้ากล้องตลอดเวลาจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ขอร้องอย่าคิดไปเอง”
“อ้อ...เธอไม่ได้คิดอะไรกับสองคนนั้นแต่ดันไปคิดกับไอโอดีนสินะ?”
“ว่าไงนะ?” ยัยนางแบบนั่นสมองกลับหรือไง จู่ๆมาจับผิดฉันเรื่องพวกนี้ทำไม
“ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดกระแสแบบนั้นหรอก ฉันเห็นเสื้อที่พวกแฟนคลับใส่ ถ้าเธอไม่เข้าใกล้ไอโอดีนมากจนเกินไป เรื่องแบบนี้มันก็ไม่เกิดหรอก”
“คิดว่าฉันต้องการให้มันเป็นแบบนั้นหรือไง เธอดูไม่ออกเลยหรือไงว่าฉันเกลียดหมอนั้นเข้าไส้!” เธอเคยเห็นรอยยิ้มของฉันเวลาที่อยู่กับอีตานั่นหรือเปล่าล่ะ!
“เธอแสดงละครเก่งออกจะตายไป ใครเขาจะไปมองออกล่ะ” ยัยนั่นยักไหล่ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวไข่เจียวของตัวเองต่อ ส่วนยัยกล่องแก้วก็ทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตากินอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“หึ..ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็เชิญ ฉันเปลี่ยนความคิดพวกเธอไม่ได้อยู่แล้ว” ฉันกอดอกมองทั้งสองคนที่ทำเป็นไม่ได้ยิน “ถ้าคิดว่าการที่เธอมัดใจไอโอดีนไม่อยู่มันเป็นเพราะฉันก็เชิญ” ปากหาเรื่องอีกแล้ว เมื่อไหร่จะแก้นิสัยเสียแบบนี้ได้สักทีนะ เพราะฉันเป็นแบบนี้ถึงได้มีเรื่องทะเลาะอยู่ได้ทุกวันไงล่ะ
“ว่าไงนะ!! ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
“หืม? ถ้าไม่คิดแบบนั้นแล้วเธอเอาความคิดบ้าบอนั่นมากจากไหน? ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันทะเลาะกับหมอนั่นออกจะบ่อย ต่างคนต่างก็เกลียดขี้หน้ากันเธอก็รู้ ใครๆก็มองออก ไอ้เรื่องกระแสนั่นมันเป็นความบังเอิญที่จู่ๆมันพวกเขาก็จับจิ้นขึ้นมา เพราะเธออิจฉาถึงได้โยนความผิดให้ฉันใช่ไหมล่ะ สุดท้ายความคิดนั่นมันก็มาจากสมองกลวงๆของเธอเอง”
“ทิงเจอร์!!!” ยัยบัทเทอร์ลุกขึ้นยืนอย่างเหลืออด
“เป็นอะไร ยอมรับความจริงไม่ได้หรือไง?” ฉันยิ้มมุมปากก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองกล่องแก้วที่นั่งเงียบอยู่นาน “ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ เมื่อกี้ยังเห็นเข้ากับยัยนี่ได้เป็นอย่างดีเลยนี่”
“ฉันสงสัยก็เลยลองพูดดู เธอก็พูดเคลียร์ทุกประเด็นแล้วนี่ ไม่มีอะไรคาใจแล้ว” พูดจบ ยัยนั่นก็ลุกเอาจานไปเก็บปล่อยให้ฉันกับบัทเทอร์ยืนจ้องตากันอย่างอาฆาต หืม? ยัยนี่เกิดกลัวขึ้นมาหรือไงถึงได้ปลีกตัวหลบไปก่อน เหอะ อ่อนชะมัด
“ฉันไปล่ะ น่ารำคาญ” ฉันโบกมือลาเอื่อยๆแล้วเดินจากไป แต่ยัยขายาวนั่นไม่ยอมง่ายๆเธอกระชากแขนฉันกลับ
“จะไปไหน เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ!”
“หนวกหู! พูดกับเธอยังไงก็ไม่รู้เรื่องหรอก ขืนเธอยังจมปลักหลงไอ้หัวแดงนั่นจนโงไม่ขึ้นยังไงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง” ฉันสะบัดมือออกแล้วหันหลังให้ยัยนั่นทันที กะจะมาหาอะไรกินแท้ๆกลับมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้ นี่มันวันซวยแห่งชาติหรือไงนะ!
ตุบ!!
“อ้าวทิงเจอร์ มาหาอะไรกินหรือไง?” ชายที่ฉันเพิ่งเดินชนเมื่อกี้จับไหล่ทั้งสองข้างของฉันพลางทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เปล่า” ฉันปัดมือของกัปตันออกแล้วเดินจากไป
...
ที่นี่ที่ไหน -_-
ฉันเดินตามทางมาเรื่อยๆจนมันโผล่ส่วนไหนของบ้านหลังนี้แล้วก็ไม่รู้ ที่แถวนี้ฉันก็ไม่เคยมาด้วยแถมยังมืดอีกต่างหาก หลอดไฟก็ติดเพดานอยู่ทำไมไม่รู้จักเปิด หา? แล้วไอ้ตรงที่ฉันอยู่ตอนนี้มันคือที่ไหนกัน ไม่มีใครสามารถให้คำตอบฉันได้เลย รู้อย่างนี้ไปขอแปลนบ้านจากพี่เอและพี่อีฟมาก็คงดีจะได้ไม่ต้องมาหลงทางโง่ๆแบบนี้ โมโหจนเดินมั่วไปหมด หาทางกลับก็ไม่ถูกอีก ข้าวก็ไม่ได้กินแถมยังถูกมองแบบผิดๆอีก เพราะยัยสองคนนั้นแท้ๆที่จู่ๆก็มากล่าวหาว่าฉันทำกิริยาต่ำๆแบบนั้น คิดว่าฉันเป็นพวกบ้าผู้ชายเหมือนหล่อนหรือไง ที่พูดมาไม่มีอะไรที่เป็นความจริงเลยสักอย่าง นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!!
แว้บ...
เอ่อ...เมื่อกี้เหมือนเห็นเงาลางๆข้างตัว...หวังว่าจะไม่ใช่วิญญาณหรือผีร้ายที่คอยปกปักษ์รักษาบ้านหลังนี้หรอกนะ หรือบางทีความหิวอาจทำให้ฉันตาลายจนเกิดเป็นภาพหลอนขึ้นมาก็ได้ โอ๊ย! ถึงจะเป็นผีจริงๆฉันก็ไม่กลัวหรอก! มาหลอกฉันตอนกำลังโมโหเดี๋ยวก็สวดคาถาชินบัญชรไม่ให้ผุดให้เกิดซะเลย ลองออกมาดูเซ่!
ฉันค่อยๆหันไปทางซ้ายที่ที่สายตาอันเฉียบคมของฉันเห็นเงาบ้านั่นจนทำให้จิตฉันหลอนนิดหน่อย แต่ผีมันไม่มีในโลกหรอก ถึงจะมีจริงๆ ฉันเนี่ยแหละจะสวดไล่พวกแกเอง อย่ามาหลอกคนสวยอย่างฉันนะ ฉันไม่ไว้ชีวิตพวกแกแน่!!
“เอ๊ะ...” แต่สิ่งที่ฉันเห็นคือกระจกใสที่สะท้อนภาพของฉันอยู่ ที่ฉันหลอนตัวเองเหรอเนี่ย =_= แล้วทำไมที่นี่ถึงมีกระจกแบบนี้ล่ะ ที่นี่มันมืดและมองอะไรแทบจะไม่เห็น มีแค่แสงไฟจากทางเดินเท่านั้นที่ส่องมาถึงตรงนี้ ที่แน่ๆไอ้กระจกบ้านี่มันต้องเป็นห้องอะไรสักอย่างแน่ๆ
“มันมีประตูอยู่นี่...” ฉันใช้มือลูบคลำไปทั่วจนสัมผัสกับลูกบิดประตู ที่นี่มันต้องเป็นห้องลับแน่ๆ ^O^
แกร๊ก!
มันไม่ได้ล็อคแฮะ ฉันใช้มือคลำตามผนังข้างๆเผื่อจะเจอกับสวิตซ์ไฟ ผนังพวกนี้มันหนามากๆแถมยังนิ่มอีกต่างหาก ห้องแบบนี้มันทำให้ฉันนึกถึง...
พรึ่บ!
“ห้องซ้อมดนตรี...” ทันทีที่ฉันเปิดไฟ อุปกรณ์และเครื่องต่างๆก็ปรากฏให้เห็น ทั้งหมดถูกตกแต่งให้เป็นสีดำสบายตา มีทั้งกลอง เบส กีตาร์ คีย์บอร์ด แอมป์และเครื่องเสียงต่างๆวางอยู่ตรงหน้า มีไมค์สำหรับนักร้อง ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่มีห้องแบบนี้อยู่ด้วย ถ้ารู้ว่ามีห้องเก็บเสียงสำหรับซ้อมดนตรีอยู่ ฉันจะมาระบายอารมณ์ที่นี่ทุกวันเลย!!
“หึ...ถึงคราวระเบิดอารมณ์ล่ะ” ฉันปิดประตูให้แน่นสนิทก่อนจะตรงไปยังกลองชุดที่ตั้งเป็นสง่าอยู่ด้านหลัง ฉันนั่งลงบนเก้าอี้แล้ววางขาทั้งสองข้างไว้ประจำที่ของมัน ก่อนที่จะใส่อารมณ์กับมันอย่างสุดพลังต้องตั้งให้มันอยู่ในระยะที่พอเหมาะก่อนสินะ ไม่อย่างนั้นเล่นไม่สนุกแน่
“เอาล่ะ...เรียบร้อย” ฉันจัดวางระยะกลองกับฉาบได้เข้ากับตัวเล็กๆของฉันแล้วก็จับไม้ตีกลองนั่นขึ้นมาเพื่อ..
ตุบ ปั้ก ตุบ ปั้ก!!
ใส่มันไปเลย!!! คิดว่าไอ้กลองพวกนี้เป็นหน้ายัยบัทเทอร์ก็แล้วกัน ตีให้หน้ามันเละจนไม่เหลือชิ้นดีไปเลย! เห็นหน้าสวยๆแบบนี้ใครจะคิดว่าข้างในมันจะเละเทะยิ่งกว่าข้าวต้มซะอีก ฮึ่ย!! บังอาจว่าฉันเป็นคนอย่างว่างั้นเหรอ ไม่กลับไปดูตัวเองนะ เธอมองฉันเป็นคนยังไงกันแน่!! พวกผู้หญิงทุกคนก็มองฉันเป็นแบบนั้นกันหมด มันเพราะอะไร? ก็เพราะพวกเธอคิดได้เพียงแค่นี้ไง ขี้อิจฉา ริษยา เห็นใครได้ดีกว่าเป็นไม่ได้ สังคมผู้หญิงมันแย่ฉันถึงต้องคบผู้ชายเป็นเพื่อนยังไงล่ะ สุดท้ายก็ถูกเกลียดเพราะถูกหาว่าฉันเป็นผู้หญิงอย่างว่า ก็สังคมผู้ชายมันจริงใจมากกว่าผู้หญิง มันน่าคบยิ่งกว่าพวกเสแสร้งย่างพวกหล่อนเยอะ!!
ตุบ ตุบ!!
แล้วทำไมต้องมาเจอไอ้หมอนั่นที่นี่ด้วย ทำไมหมอนั่นต้องมาออกรายการเดียวกับฉันด้วย! ใครใช้ให้มันมา ใครใช้ให้มันสมัคร! ชีวิตฉันเจอนายไอโอดีนมันก็แย่พออยู่แล้วยังมามีมารอย่างหมอนั่นตามมาอีก ตั้งใจว่าจะไม่ทัก ไม่พูดด้วย หลบหน้า ไม่สบตา ทำเป็นเหมือนคนไม่รู้จัก แล้วสุดท้ายทำไมมันต้องจบลงแบบนี้!! ทำไมฉันต้องสร้างความสัมพันธ์กับหมอนั่น มันไม่มีทางเป็นไอได้หรอก ฉันเกลียดเขา เกลียดพอๆกับนายไอโอดีนนั่นแหละ! ทั้งเจ้าเล่ห์ บ้ากาม เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น ถึงจะบอกว่าสังคมชายมันจริงใจก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นได้ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ในฐานะคนรัก สุภาพบุรุษมันไม่มีจริงหรอก เอาอารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น คิดจะทำอะไรก็ทำ พอใจแล้วก็จบ สมองของพวกนายมันมีแค่นั้นใช่ไหม!!!
เคล้ง!!
ฉันปาไม้ทิ้งลงพื้นจนมันกระเด็นไปติดกับโซฟาข้างประตู ฉันระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลยเหรอ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ...
แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยคลายความโมโหได้บ้าง...
“โห...เล่นแรงเหมือนกันนะเนี่ย”
“กัปตัน!” ฉันเบิกตาโพลงทันทีที่เห็นชายตรงหน้า เขาเข้ามาในห้องโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด
“นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก่อนที่เธอจะโยนไอ้นี่ทิ้งน่ะ” กัปตันเดินมาทางฉันแล้วยื่นไม้คืน “เธอก็เล่นได้ดีนะ แต่จังหวะมันออกจะมั่วๆไปหน่อย อาจเป็นเพราะเธอกำลังโมโหอยู่ก็ได้”
“นายรู้?”
“รู้ตั้งแต่เธอปัดมือฉันออกแล้วล่ะ” อ่า...นั่นสินะ การกระทำของฉันอาจทำให้ใครบางคนเกลียดเข้าสักวันก็ได้
“ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันก็พอรู้มาจากดินสอบ้างว่าเธอเป็นพวกโมโหแล้วพาล นี่ เธอคงต้องฝึกอีกหน่อยนะ เหมือนเธอจะลำบากเวลาเหยียบกระเดื่อง”
“นายเป็นนักวิจารณ์หรือไง -_-” ตอนแรกก็ดีอยู่หรอกที่เป็นห่วงความรู้สึกคนอื่น แต่หลังๆมาวิจารณ์การตีกลองของคนอื่นแบบนี้มันแย่นะ -_-
“ไม่เห็นแปลก ก็ฉันอยู่กับวงดนตรีมานานนี่” นั่นสิ หมอนี่เป็นนักร้องนำวงบอดี้สลิมนี่นะ “ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีห้องแบบนี้อยู่ด้วย”
“นั่นสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เดินมามั่วๆก็เจอ”
“ฉันก็เหมือนกัน เห็นไฟมันเปิดในที่มืดๆก็เลยเดนมาดู ไม่คิดว่าจะเห็นภาพเธอตีกลองจนหน้าดำหน้าแดง น่าเกลียดชะมัด -_-” อ้าว พูดแบบนี้หมายความว่าไง จะบอกว่าท่าตีกลองของฉันมันน่าเกลียดเหรอ -O-
“นี่ อยากจะลองเล่นกับฉันดูมั้ยล่ะ?” กัปตันคว้ากีตาร์ขึ้นมาใส่แล้วเดินไปปรับเสียงก่อนจะเดินไปยืนหน้าไมค์
ก็ดีเหมือนกันแฮะ คงจะสนุกดี
แปะ แปะ
“วู้ว เยี่ยมมากเลย ^O^”
“ทิงเจอร์เธอเก่งมาก”
“ยัยเตี้ยก็เล่นได้ดีนี่”
หลังจากที่เล่นไปนานๆสักครึ่งชั่วโมงได้ พวกเพื่อนในบ้านต่างก็แห่กันมาดูตามเสียงเพลงที่เล็ดลอดออกไปด้านนอก ทั้งร็อปเป้ กล่องแก้ว ดินสอ แม้กระทั่งไอโอดีนก็มา พวกเขาส่งเสียงเฮฮาด้วยความสนุกและปรบมือให้ ฉันไม่ได้อยากโชว์ฝีมือด้านการตีกลองเลยนะ ยังตีไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย แต่การได้รับคำชมก็ถือเป็นเรื่องดีนะ
“ทิงเจอร์ เธอลองร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ >_<”
“หืม? ยัยนั่นร้องได้เหรอ?” กล่องแก้วที่ยืนกอดอกว่างท่าหยิ่งยโสหันไปถามดินสอที่ยืนอยู่ข้างๆ ยัยนั่นพูดจาหางานให้ฉันอีกแล้ว -_-
“ได้สิ เมื่อก่อนทิงเจอร์เขาเป็นนักร้องนำวงของโรงเรียนเลยนะ ร้องเพราะมากๆ >_<”
“จริงเหรอ? ฉันก็อยากได้ฟังนะ ^^” อ้าว ร็อปเป้เป็นไปอีกคนแล้ว -O-
“นี่เดี๋ยวสิ เมื่อก่อนฉันทำได้ แต่ตอนนี้มันไม่ได้แล้วนะ” ก็เวลาฉันร้องเพลง มันทำให้นึกคนใครบางคนขึ้นมาน่ะสิ
“จะบอกว่ากล่องเสียงเธอพังไปแล้วหรือไงยัยเตี้ย?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น =_=” ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะไอโอดีน
“เอาเถอะน่า เพื่อนๆเขาอยากเห็นเธอร้องเพลง ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน” หมอนั่นเดินมาทางฉันแล้วยกมือขึ้นกอดคอเฉย เฮ้ย นี่เราสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย อย่าทำเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานแบบนั้นได้มั้ย!-O-
“ถอยออกไปห่างๆเลยนะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบ” ฉันเอาไม้ตีกลองมาเป็นอาวุธในการตีหัวหมอนั่น มันจะมากเกินไปแล้วนะ กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวฉันต่อหน้าคนอื่น เดี๋ยวแม่ก็สาปซะหรอก!
“โอ๊ยๆขอโทษ ยังไงก็ลุกไปร้องซะ ฉันจะตีกลองแทนเธอเอง” จู่ๆหมอนั่นก็ยึดไม้ในมือฉันไปหน้าตาเฉย เฮ้ย! ฉันไม่ได้รับปากเลยนะว่าจะร้อง!
“เดี๋ยวสิ ฉันร้องไม่ได้”
“ก็แค่อ้าปากใส่ไมค์มันยากตรงไหน เพื่อนเธอบอกว่าทำได้ก็ต้องได้สิ รีบๆไปเดี๋ยวนี้เลย คนอื่นเข้ารออยู่!” อีตาไอโอดีนผลักฉันไปข้างหน้าจนเกือบสะดุดกับสายไมค์ อะไรของหมอนั่น เป็นบ้าอะไรกันหมดเนี่ย -O-
“เอาเพลงอะไรดีล่ะ -_-” ฉันที่ตอนนี้ยืนประจำที่แทนกัปตันแล้ว หมอนั่นก็ยืนข้างๆดีดกีตาร์เล่นไปมา
“ลูกอมแล้วกัน ใครๆก็ร้องได้ คอร์ดก็ไม่ยากด้วย” ไอโอดีนเสนอความคิดเห็น แต่เพลงนั่นมัน...
“ถ้านายจะให้ยัยนี่ร้องเพลงลูกอม ฉันว่านานั่งเฉยๆเถอะ บทบาทของนายแทบจะไม่มีเลย” นั่นสิ กัปตันพูดถูก =_=
“นายกำลังจะกันฉันออกจากวงใช่มั้ย? จะเอาหน้าอยู่คนเดียวหรือไงวะ?”
“ไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย คิดไปเองทั้งนั้น” นั่นไง พวกเขาเริ่มจะทะเลาะกันแล้ว พวกนี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ทะเลาะกันทุกที น่าเบื่อชะมัด วงแตกเถอะ ไม่ต้องร้องมันแล้ว -_-
“เอ้าๆ งั้นฉันเปลี่ยนไปเล่นคีย์บอร์ดก็ได้ -_-” นายหัวแดงยังไม่เลิกพยายามอีกเหรอ เฮ้ย ก็บอกว่าวงแตกไปเลยไง ฉันก็ไม่อยากร้องเหมือนกันนะ =_=
“หืม? นายเล่นเป็นด้วยเหรอ?”
“พอตัวว่ะ”
หลังจากเถียงกันได้สิบห้านาที พวกเราก็พร้อมที่จะเล่นเพลงลูกอมบ้าบอนั่นแล้ว โดยที่มีฉันยืนอยู่ตรงกลางเป็นคนร้อง กัปตันยืนอยู่ทางขวามือของฉันเป็นมือกีตาร์ ส่วนนายไอโอดีนอยู่ทางซ้ายประจำที่คีย์บอร์ด ยัยดินสอก็ยิ้มร่ามีความสุข นี่ไม่รับรู้ถึงความทุกข์ในใจของฉันเลยใช่มั้ย?
ฉันเกลียดเพลงนี้...
ถึงยังไงฉันก็ต้องร้องเพราะไอโอดีนเริ่มบรรเลงแล้ว สรุปฉันต้องร้องมันจริงๆสินะ...ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนก็แล้วกัน
ตั้งแต่ต้นจนถึงท่อนฮุกดูเหมือนมันจะไปได้อย่างราบรื่น นั่นสินะ ถ้าไม่คิดอะไร มันก็ไม่มีอะไร...
“จะมีเพียงเธอ รักเพียงแต่เธอ
โอบกอดเธอด้วยรัก รักที่ห่วงใย
ใจฉันให้เธอมันเป็นของเธอรู้ไห...”
จู่ๆเสียงมันก็หายไปในลำคอ...
“อ้าว..เป็นอะไรไป ไม่ร้องต่อล่ะ?” กัปตันที่ยืนข้างๆฉันถามทันทีที่เห็นฉันนิ่งไป มือของเขาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหวเลยสักนิด ฉันร้องต่อไม่ได้แล้ว...
“เฮ้ย ยังไม่ถึงครึ่งเพลงเลยนะยัยเตี้ย”
“เป็นอะไรไปทิงเจอร์...” ดินสอที่ยืนเชียร์อยู่ตรงหน้าถามอย่างเป็นห่วง
ที่ฉันร้องต่อไม่ได้ก็เพราะ เขาคนนั้น ยืนยิ้มอยู่ยังไงล่ะ...
“นาย...มาทำไม...” เสียงบรรเลงดนตรีได้หายไปพร้อมกับคำถามที่ฉันเอ่ยขึ้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังมนุษย์แปลกหน้าที่เพิ่งจะเข้ามาในห้อง
“ร..ร็อค” ดินสอพูดเสียงสั่นทันทีที่สายตาไปปะทะกับชายคนนั้น ใช่...ก็อย่างที่เดา ฉันเคยร้องเพลงนี้ให้กับเขา และหมอนั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันอยากเป็นนักร้องนำของวง เพื่อที่จะได้ขึ้นเวทีแล้วบอกรักเขาผ่านเสียงเพลง ถ้าจะพูดถึงโมเมนต์นั้นฉันว่ามันน่ารักมาก การทำอะไรให้คนที่เรารักมันมีความสุขจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้...มันเหมือนกับทิ้งตัวลงสู่นรก นั่นมันยิ่งทำให้ฉันเกลียดการร้องเพลง...
พึ่บ!!
“ทิงเจอร์! เธอจะไปไหน!!”
“เฮ้ย ยัยเตี้ย!!”
ฉันแทรกตัวออกมาจากห้องที่น่าอึดอัดนั่นอย่างอารมณ์เสีย การกระทำของฉันมันสร้างเสียงฮือฮาให้กับทุกคน ฉันไม่สนว่าพวกเขาจะมองฉันเป็นคนแบบไหน จะมองว่าฉันร้ายก็ได้ ไม่ปฏิเสธ ก็มันจริง...ฉันอาจจะเป็นคนที่โมโหแล้วพาลไปทั่ว ระงับอารมณ์ไม่อยู่ แต่ทุกอย่างที่มีผลต่อความรู้สึกของฉันล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น
ทุกอย่างเงียบและมืด ทุกคนกลับเข้าห้องของตัวเองไปหมดแล้ว คงจะมีแค่ฉันคนเดียวที่ยังอยู่ด้านนอก หลังจากที่ฉันออกมาจากห้องซ้อมดนตรีนั่นก็ไม่ได้พบใครอีกเลย ฉันไม่อยากอธิบายเรื่องต่างๆใครฟังทั้งนั้น แม้กระทั่งยัยดินสอ ฉันเองก็ไม่อยากให้ยัยนั่นมาคอยเป็นห่วงจนตัวเองไม่ได้เป็นอันทำอะไร ปล่อยฉันไว้แบบนี้น่ะดีแล้ว นอนข้างนอกมันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ คืนเดียวเอง มันไม่ตายหรอก
“หมอนั่นยังไม่ได้เอาไปสินะ...” ฉันส่องไฟฉายไปที่กองกระเป๋า5ใบที่วางอยู่บนกลางห้องโถง ก็ยังดีที่ร็อคเชื่อฟังคำสั่งไม่เอากระเป่าขึ้นไปตามที่บอกจริงๆ วันนี้ฉันคงไม่ได้อาบน้ำแล้วล่ะ คงต้องใส่เอี๊ยมเน่าๆนี่ไปทั้งคืน ก็มันช่วยไม่ได้ เลือกคู่รูมเมทไม่สบอารมณ์ฉันเองนี่ พรุ่งนี้ค่อยตื่นไปอาบน้ำก็แล้วกัน
ฉันนั่งลงบนโซฟาลางลานโล่งที่เดิม นี่คือเตียงของฉันในคืนนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันต้องนอนตรงนี้จริงๆ มันช่วยไม่ได้นี่ ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากแถมยังเพลียจากการทำภารกิจอีก วันนี้แทบจะไม่ได้พักเลย อาหารเย็นก็ไม่ได้ทาน... มันหิวจนปวดท้องไปหมด แต่ถ้าจะให้เดินไปที่ห้องครัวตอนนี้คงไม่ไหว ทั้งง่วง ทั้งไม่มีแรง อยู่ในสภาพอดอยากแบบนี้ไปก่อนแล้วกันนะ เธอทำตัวของเธอเอง ทิงเจอร์...
ฟึ่บ!!
สัมผัสนิ่มๆแบบนี้...เตียงนอนสินะ อยากจะนอนบนเตียงมานานแล้ว โซฟานั่นมันนิ่มก็จริงแต่ไม่สบายเท่านอนบนเตียงหรอก ยืดแขนยืดขาได้ตามต้องการ...ฉันนอนอยู่บนเตียงจริงๆสินะ..
“หึ..คงจะเมื่อยมากสินะ”
“อืม...”
เอ๊ะ... เสียงนั่น...
ด้วยเสียงนั่นทำให้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาทันที นี่ฉัน...นอนอยู่บนเตียงจริงๆ สิ่งแรกที่เห็นคือชายคนนั้นคร่อมอยู่บนตัวฉัน หยาดน้ำจากไรของเขาผมหยดลงกลางหน้าผากใสเนียน ท่อนบนของเขาคนนั้นเปลือยเปล่ามีแค่กางเกงขาสั้นสีดำเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่...หมอนี่...
“ตื่นแล้วเหรอ”
ตอนนี้อาจจะมีเขียนผิดบ้างเพราะเขียนตอนง่วงๆ
แล้วจะกลับมาแก้ไขให้ใหม่นะคะ >_<
ตอนนี้ร็อคออกมาแบบกระปริดประปรอยมาก ตอนหน้าไม่แน่
บทของเขาอาจจะเยอะกว่านี้ก็ได้ >O<
คนที่พาทิงเจอร์มานอนบนเตียงคือใคกันเอ่ย?
หวังว่าตอนนี้จะถูกใจรีดเดอร์ที่รอตอนใหม่น้า
ถ้าไม่ถูกใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย -O-
เพราะตอนนี้เป็นตอนที่จะปูทางไปยังตอนต่อไปและอาจจะน่าเบื่อไปบ้าง
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามและอ่านนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนล่าสุดนะคะ
จุ้บๆ >3<
ที่อัพตลอดก็จะมีเรื่อง My Unicorn ซึ่งตอนนี้เรางดอัพเรื่องนั้นแล้วมาเขียนเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน
คือมีคนบอกว่าอยากให้อัพเรื่องนี้เพราะจะลงแดงตายแล้ว วู้ววว >_<
คือ...คงจะค้างคาที่ทิงเจอร์นอนกับร็อคใช่มั้ยล่ะ? โอเค! งั้นเรามาต่อกันเลยเถอะ >O</
ปล. เรื่องนี้จบแน่นอนเพราะคิดตอนจบออกแล้ว >O<
บทเพลง
เสียงประกาศนั่นทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าผลมันจะออกมาแบบนี้....
“ทิงเจอร์ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ดินสอที่นั่งข้างๆฉันสะกิดอย่างแรงเพื่อดึงให้จิตฉันกลับมา ในสมองมันเลิกคิดเรื่องประกาศนั่นไม่ได้เลย ถ้ารู้อย่างนี้ฉันคุยกับเขาให้มากกว่านี้คงจะดี....จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“ถึงบ้านใหญ่แล้วนะ” ดินสอลากแขนฉันให้ลงจากรถ อ้าว นี่ถึงแล้วเหรอ? ทำไมไม่รู้ตัวเลยล่ะ นี่ฉันเหม่อตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงบ้านเลยเหรอเนี่ย งั้นก็หมายความว่าฉันไม่ได้โบกมือลาแฟนคลับเลยสิ -O-
“รอเดี๋ย...อ๊ะ!!” เพราะยัยดินสอลากมาอย่างแรงจนขาน้อยๆของฉันมันติดอยู่กับเบาะ เฮ้ย จะรีบไปไหนเนี่ย กลัวไม่ได้กลับห้องหรือไง เฮ้!! หน้าจะฟุบกับเบาะแล้ว -O-
ตุบ!!
“เป็นไรมากมั้ย” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองชายที่ถาม
“…” ฉันไม่ตอบคำถามแล้วเดินผ่านชายคนนั้นไป จะให้ทำตัวปกติกับคนแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก หมอนั่น...ร็อค เขาเป็นอดีตคนรักที่ฉันเกลียดมากที่สุด
บ้านใหญ่โอเวอร์ไนท์หมายเลข 4
“ต้องขอบคุณที่ทุกคนเก็บของใส่กระเป๋าได้อย่างเรียบร้อย พวกเราจึงนำกระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระของทุกคนลงมาได้ครบ ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง...” พี่เอเว้นเงียบไว้สักพักก่อนจะกวาดสายตามองไปยังทุกๆคนที่นั่งอยู่บนโซฟากลางลานโล่ง
“ทิงเจอร์...น้องยังเก็บของไม่ครบเลยนะครับ -_-”
”เอ่อ...ทิงว่าทิงเก็บหมดแล้วนะคะ ไม่เหลือเลยแม้แต่ชิ้นเดียว” ฉันทิ้งอะไรไว้ในห้องนั่นล่ะ ถุงเท้าก็เก็บแล้ว กางเกงในของใช้ส่วนตัวก็เก็บเรียบร้อยไม่ตกตามพื้นแน่นอน ฉันรับประกัน เอ๊ะ...บ้าน่า! หรือว่าฉันจะลืมเก็บผ้าอนามัย!!! แต่ประจำเดือนฉันไม่ได้มานี่ =_=
“แน่ใจเหรอคะ? -_-” พี่อีฟพูดพลางชูสบู่สีขาวขึ้น นั่นมันสบู่น้ำนมแรร์ไอเทมที่ได้จากอีตากัปตันนี่ ฉันลืมมันไว้ในห้องน้ำได้ยังไง นั่นมันสมบัติล้ำค่าเลยนะ! -O-
“อ่า...นั่นของทิงเองค่ะ =_=” ฉันลุกออกจากโซฟาแล้วเดินตรงไปที่พี่อีฟที่ยืนชูสบู่อย่างกับเทพีเสรีภาพ นางคงจะยอมคืนให้แต่โดยดีนะ
“ไม่ต้องคืนให้ยัยสะเพร่านั่นหรอกครับ เดี๋ยวก็ลืมอีกนั่นแหละ”
“นายอย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่นได้มั้ย -_-+” ฉันหันกลับไปโต้ตอบทันทีที่ได้ยินเสียงกวนประสาทนั่น เสียงแบบนี้ได้ยินจนชินขนาดแก้วหูที่ไม่มีสมองยังรู้เลยว่าเป็นใคร คนๆนั้นก็คืออีตาไอโอดีนยังไงล่ะ!
“พี่อีฟครับ ยัยนี่กำลังโกรธ อย่าคืนของให้คนระงับอารมณ์ตัวเองไม่เป็นนะครับ มันบาป”
“พูดอะไรให้มันสมเหตุสมผลหน่อยสิ!” เรื่องแค่นี้มันจะไปบาปได้ยังไงกัน
“เอาล่ะๆเลิกทะเลาะกันได้แล้วค่ะ -_-“ พี่อีฟยกมือขึ้นห้ามอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะส่งสบู่สีขาวกลิ่นหอมชวนใช้นั่นให้ฉัน “วันหลังก็ควรจะรอบคอบอย่าเช็คสิ่งของก่อนออกจากห้องด้วยนะคะ อย่าลืมอะไรทิ้งไว้อีกล่ะ อีกไม่กี่วันก็จะได้กลับบ้านจริงๆแล้ว ถ้าลืมของสำคัญไว้จะแย่เอานะ”
“ค่ะ ^^” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพี่อีฟก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม ทำไมต้องเป็นฉันที่ถูกดุด้วยเนี่ย ดูสิ อีตากัปตันหัวเราะใหญ่แล้ว -_-
“หัวเราะอะไรของนาย” ฉันชะโงกหน้าถามนายกัปตันที่นั่งข้างดินสอ ขำอะไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนลืมของหรือไง เดี๋ยวแม่ก็ปาสบู่ใส่ปากซะหรอก
“วันหลังก็หัดตื่นเช้าๆนะ จะได้ไม่ต้องรีบจนลืของแบบนี้ ฮ่ะๆ” ไม่เห็นจะขำ! “ฉันบอกวิธีปลุกเธอให้ร็อคดีมั้ยนะ มันต้องเอาไข่มาล่อถึงจะยอมตื่น ฮ่าๆ”
“…” อย่าเชียวนะ... “วิธีนั้นฉันให้นายทำคนเดียว คนอื่นอย่า!” ฉันกระแทกเสียงใส่ประโยคหลังทำให้หมอนั่นที่กำลังหัวเราะอยู่หุบปากทันที ดินสอกับร็อปเป้ที่กำลังหัวเราะอย่างเฮฮาก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก คนอย่างหมอนั่น...อย่าได้แตะตัวฉันอีก
“อ่า...เอาล่ะครับ ที่เราเรียกทุกคนให้มารวมตัวกันในวันนี้ก็เพื่อจัดห้องใหม่ การย้ายห้องทุกๆคืนจะเป็นการช่วยให้พวกเรารักความสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น” พี่เอเริ่มพูดทันทีที่เสียงเงียบลง “ตอนนี้ป้ายชื่อห้องก็คิดอยู่ที่กระเป๋าเดินทางของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว เชิญพักผ่อนได้ตามสบายเลยครับ ^^”
“เฮ!! >O</” ทุกคนต่างส่งเสียงเฮฮาเมื่อรู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาพักผ่อน ฟรีไทม์ อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ฉันกลับอยากให้ตอนนี้เป็นเวลาทำภารกิจ จะให้ทำอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ต้องเข้าห้องก็พอ...
“ทิงเจอร์ ไม่ขึ้นห้องเหรอ” ดินสอลุกขึ้นยินแล้วถามฉันที่นั่งนิ่งไม่ยอมกระดิกตัว
“ไม่อ่ะ...ฉันยังไม่อยากขึ้น เธอไปก่อนเลย”
“งั้นฉันไปก่อนนะ เธอก็อย่าคิดมากล่ะ” ดินสอยิ้มบางๆให้แล้วเดินไปเอากระเป๋าของตัวเองที่ลานโล่งก่อนจะตามไอโอดีนไป เอ๊ะ ยัยนี่นอนกับตัวอันตรายนี่นา!
“นี่ ไม่ขึ้นไปด้วยกันหรือไง” เสียงที่หูฉันไม่ค่อยจะได้ยินบ่อยนักเอ่ยทักขึ้น ใช่ เขาคนนั้นคือคนที่ฉันไม่อยากเจอและคุยมากที่สุด ถึงพี่ๆเขาจะบอกว่าความสัมพันธ์เป็นศูนย์แล้วอยากให้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา มันคงจะยากสำหรับฉันกับหมอนี่
ฟึ่บ!!
“ดินส...” ฉันลุกขึ้นและพุ่งตัวไปทางยัยดินสอทันที แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวของยัยนั่น ไอ้หมอนั่นก็ใช้มือสกปรกคว้าแขนฉันไป!
“เลิกทำตัวแบบนี้สักทีเถอะ น่ารำคาญ!”
“รำคาญก็อย่ายุ่ง!!” ฉันปัดมือหมอนั่นออก “อย่ามาแตะตัวฉันอีก!”
“…” ร็อคชะงักไปสักพักก่อนจะจ้องมาทางฉันอย่างเจ็บปวด แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ! อย่ามาเสแสร้งทำตัวน่าสงสารแถวนี้เลย ไม่ทีใครเขาเชื่อหรอก!!
“ดินสอ ฉันช่วยเธอถือของดีกว่านะ” ฉันหมุนตัวแล้ววิ่งไปทางดินสอที่กำลังจะขึ้นบนไดไปทันที
“ไม่เป็นไร ไอโอดีนเค้าช่ว...” เธอมองหน้าฉันที่ตอนนี้โมโหเอามากๆอย่างตกใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองร็อคที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ฉันจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไง...
“ไม่เข้าห้อ..เฮ้ย! จู่ๆเอากระเป๋าไปถือทำไมเนี่ย!”
“นี่มันกระเป๋าของดินสอ ฉันแค่อยากช่วยเพื่อนถือของเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าโวยวาย” ฉันกระชากกระเป๋าที่น้ำตาลในมือของหมอนั่นมาถือไว้ จะถ่วงเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่อยากอยู่ในห้องกับหมอนั่นสองต่อสอง
“อะไรของเธอ จู่ๆก็รักเพื่อนขึ้นมาซะงั้น”
“ไม่ใช่แค่รัก ฉันหวงมากด้วย คืนนี้นายได้นอนกับคนที่น่ารักที่สุดในรายการ อย่าทำอะไรเพื่อนฉันเด็ด-ขาด!” ฉันจ้องไปที่ดวงตาของหมอนั่นอย่างเอาเรื่อง พยายามทำให้เขารู้ว่าฉันจริงจังกับสิ่งที่พูดมาก ความเจ้าเล่ห์และชอบฉวยโอกาสของหมอนี่มันน่ากลัวพอๆกับไอ้หน้าโหดนั่นเลย...ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น
“หืม? ถ้าฉันทำอะไรเพื่อนเธอขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง ตบหน้าด้วยฝ่ามือเท่าตีนแมวนั่นน่ะเหรอ?” ไอโอดีนยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พลางก้มตัวลงเล็กน้อยให้หน้าของเราใกล้กัน
“ถ้านายทำอย่างนั้น ฉันจะฆ่านายซะ” ฉันกระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมาอย่างเหลืออด ยั่วโมโหก็ให้มันถูกเวลาหน่อย ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ...
“โห...น่ากลัวแฮะ ไปอัพส่วนสูงให้เท่ากับฉันก่อนดีกว่าไหม มันคงจะสูสีกันมากกว่านี้ ^^” ไอโอดีนลูบหัวฉันอย่างกับเด็กน้อย มันยิ่งทำให้ฉันจับคอเสื้อของหมอนั่นแน่นขึ้นกว่าเดิม
“หึ...ต้องสูงเท่าบัทเทอร์สินะถึงจะเรียกว่าสูสี มีอะไรกับคนสูงมันคงจะสนุกกว่าคนเตี้ยสินะ?” ฉันเอียงคอยักคิ้วถามชายตรงหน้าอย่างกวนประสาท
“นี่เธอ...”
“อ๊ะ! ฉันลืมกระเป๋าอีกใบ ทิงเจอร์ พี่ไอโอดีนคะ ดินสอไปเอากระเป๋าก่อนนะ” ยัยนั่นพูดรัวจนลิ้นแทบจะพันกันแล้วรีบวิ่งผ่านฉันลงบันไดไปเฉยเลย อ้าว นี่ยัยนั่นไปถึงห้องแล้วงั้นเหรอ ฉันกับอีตานี่กำลังยืนทะเลาะกันหน้าบันไดอยู่เลย ท่าทางของยัยนั่นดูกลัวเอามากๆ สงสัยฉันกับอีตานั่นจะแผ่รังสีอำมหิตมากไปหน่อย เพราะตอนนี้อีหมอนั่นเองก็เหมือนจะอารมณ์เสียเหมือนกัน เหอะ!
ตุบ!
“ห้องซ้ายสุดของชั้น4” ฉันวางกระเป่าลงแล้วยืนมองประตูห้อง นี่มันห้องเก่าของฉันนี่นา หวังว่าจะไม่ลืมอะไรไว้ข้างในนะ =_=
“นี่ยัยเตี้ย ที่เธอพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง เห็นฉันเป็นคนยังไงกันแน่!”จู่ๆหมอนั่นก็กระชากแขนฉันขึ้นมาบีบอย่างแรง
“ก็...เห็นเป็นผู้ชายอย่างว่า ภาพลักษณ์ของนายมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไง? ปฏิเสธตอนนี้มันคงไม่ทันแล้วล่ะ” ฉันพยามยามสะบัดแขนออกแต่มันกลับไม่เป็นผล เลิกใช้กำลังกับฉันสักที!
“…” เขาไปเงียบไป โกรธงั้นเหรอ? พูดความจริงแค่นี้ถึงกับรับไม่ได้เลยหรือไง
“หึ...” เขาค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา “นั่นสินะ ฉันก็เป็นคนแบบนั้นแหละ อยากจะลองดูมั้ยล่ะ?” ไอโอดีนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลื่อนหน้าลงมาเรื่อยๆ นี่เขาเอาจริงเหรอ หน้าห้องเนี่ยนะ!
“ด..เดี๋ยว ไม่คิดว่าจะมีกล้องอยู่แถวนี้หรือไง” ฉันยกมือขึ้นกันอกเขา แต่นั่นยิ่งทำให้เขาก้มลงมาเรื่อยๆ!
“ยิ่งดีสิ แบบนี้แฟนคลับก็ยิ่งจิ้นเข้าไปใหญ่”
“แต่กับคนเตี้ยอย่างฉันมันไม่สนุกเท่ายัยบัทเทอร์หรอกนะ จะดีเหรอ?” ฉันยิ้มกลับบ้าง เอาสิ ฉันไม่ยอมแพ้ให้กับความเจ้าเล่ห์ของนายหรอก ฉันต้องชนะความกามของนายให้ได้สักวัน!
“ฉันก็อยากลองของใหม่บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะกับเด็กก้าวร้าวอย่างเธอ มันคงจะตื่นเต้นมาก...” หมอนั่นจับแขนอีข้างของฉันไว้แล้วก้มหน้าลงมาเรื่อยๆจนลมหายใจของเขารดบนแก้มเนียนของฉัน นายมันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น อย่าคิดว่าจะเล่นกับหัวใจฉันได้!
ผวะ!!
“มาแล้..ท..ทิงเจอร์!!” ยัยดินสอที่เพิ่งจะหิ้วกระเป๋าขึ้นมาตะโกนลั่นแล้วรีบพุ่งตัวมาทางเราทั้งสองคน
“มาแล้วงั้นเหรอ...” ฉันหันไปมองยัยดินสอที่เบิกตาโพลงด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ทิงเจอร์...เธอทำแบบนั้นทำไม” ไอโอดีนเขย่าไหล่ทั้งสองข้างอย่างไม่เข้าใจ แน่สิ...เป็นฉันเจอแบบนี้ก็คงจะสับสนเหมือนกัน กำลังจะจูบคนตรงหน้า แต่เขาคนนั้นกลับยกมือต่อยหน้าตัวเอง น่าแปลกดีใช่มั้ยล่ะ...
“ฉันไม่ยอมให้นายทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่3” ฉันปาดเลือดมุมปากออกแล้วเดินลงบันไดไป ยัยดินสอได้แต่ยืนอึ้งมองฉันที่เดินผ่านเธอไป ยัยนั่นคงไม่คิดว่าฉันจะทำแบบนี้ ปกติฉันจะเอาตัวรอดจากเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ แต่กับหมอนี่มันต่างกัน ฉันถูกหมอนั่นทำแบบนี้มาหลายครั้งหลายหนและฉันก็หนีไปไหนไม่พ้นเลยสักครั้ง นี่เป็นการลงโทษตัวเองที่หนีออกมาจากสถานการณ์ที่น่าขยะแขยงแบบนั้นไม่ได้
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันทำแบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้ฉันต้องทำร้ายตัวเอง
ตุบ!
“โอ๊ย!! หงุดหงิด!!!!” ฉันตะโกนลั่นบ้านด้วยความโมโห วันนี้มันได้ทำให้ฉันเข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่า ’หนีเสือปะจระเข้’ มันไม่ที่ให้ระบายเลยหรือไงฟะ อยากจะทุบโซฟาให้มันพังคามือไปเลย เอ๊ะ เดี๋ยวสิ...อย่าเพิ่งพังมัน วันนี้ฉันจะนอนที่โซฟาบ้านี่แหละ ห้องนงห้องนอนไม่ต้องมีกันแล้ว ฉันจะนอนตรงนี้!
“ไม่คิดจะขึ้นมาหรือไง?” เจ้าของเสียงห้าวตะโกนถามจากด้านบน เขายืนเกาะระเบียงแล้วชะโงกหน้าลงมาดูฉันที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟา หมอนั่นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรูมเมทของฉันในคืนนี้
ฟึ่บ!!
ฉันลุกขึ้นเดินหนีทันทีที่เห็นหน้าไอ้หมอนั่น อุตส่าห์หนีจระเข้มาแล้วยังเจอเสือตัวเดิมอีก
“นี่ ให้ฉันยกของกระเป๋าของเธอมาไว้ในห้องไหม?”
“อย่ายุ่งกับของๆฉัน!” ฉันหันไปตะคอกใส่หมอนั่นก่อนจะเดินจากไป
นี่มันวันอะไรกันวะเนี่ย! ทำไมวันนี้มันถึงได้เหนื่อยแบบนี้ ทั้งไอ้บ้าไอโอดีนและไอ้หน้าหื่นนั่นอีก คนอื่นๆคงจะพักผ่อนจนสุขีหัวใจไปนานแล้ว ก็วันนี้พวกเราใช้กำลังไปมากและเป็นเรื่องธรรมดาที่ร่างกายมันจะอ่อนเพลีย ฉันเองก็ทั้งเหนื่อยและหิว อยากจะนอนแต่ก็ไม่มีที่ให้อยู่ จะไปนอนเล่นที่ห้องยัยดินสอก็ต้องเจอกับอีตาหัวแดง ไปหาร็อปเป้ก็ยังมียัยบัทเทอร์อีก ส่วนอีตากัปตันนั่น...จู่ๆเข้าไปนั่งเล่นในห้องของเขาคงต้องถูกแฟนคลับหมอนั่นรุมด่าแน่ ห้องตัวเองยิ่งไม่น่าเข้า ทำยังไงดีล่ะเนี่ย -O-
ฟุดฟิด...
อ่า...ใครมาเจียวไข่แถวนี้เนี่ย อ๊ะ นั่นมันกลิ่นซอสนี่นา =..= มีใครบางคนกำลังทำอาหารอยู่แน่ๆ จะว่าไป...ตอนนี้ฉันก็แอบหิวอยู่เหมือนกัน ไปหาอะไรทานในห้องครัวแล้วค่อยคิดทีหลังว่าจะนอนที่ไหนดีกว่า
“หอมจังเลย ทำอะไรอยู่เหรอ ^O^”
“ก็เจียวไข่อยู่น่ะสิ ไม่เห็นหรือไง” ถ้าฉันรู้ว่าคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระทะเป็นยัยบัทเทอร์ก็คงไม่ถามหรอก เสียอารมณ์ชะมัด -_-
“ขอโทษ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเธอ” ฉันเดินเข้ามาและเดินดูรอบๆแล้วพบว่ายัยกล่องแก้วกำลังกินสปาเก็ตตี้ กลิ่นซอสที่ว่านั่นมาจากสปาเก็ตตี้ของหล่อนสินะ
“ทำหน้าอย่างกับปอบเลยนะ ถ้าหิวก็ไปหาอะไรกินสิ -_-”
“ไม่ได้หิวขนาดนั้นสักหน่อย ก็แค่มาเดินดูเท่านั้น” ฉันยักไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะเดินดูรอบๆเพื่อหาของกินต่อ ยัยบ้ากล่องแก้วบังอาจว่าฉันหิวจนทำหน้าเป็นผีปอบหิวโซ ฉันไม่ได้อดอยากมากมายขนาดนั้นนะ แต่ก็หิวอยู่เหมือนกัน มีอะไรให้ฉันกินบ้างเนี่ย T^T
“ท่าทางแบบนั้นเค้าเรียกว่าไม่หิวงั้นเหรอ?” บัทเทอร์หันมาพูดกับฉันพลางวางไข่สีทองลงบนโต๊ะ ถึงมันจะเป็นเมนูอาหารเบสิค แต่มันก็น่ากินมากเลยนะ >_<
“ก็ไม่ได้หิวจริงๆ แค่แวะเข้ามาดูเฉยๆ”
“อยากกินก็ทำกินเองสิ หรือต้องรอให้กัปตันไปเสิร์ฟถึงเตียง?”
“ฮะ? หมายความว่ายังไง?” คำพูดของยัยบัทเทอร์ทำให้หูฉันกระดิกเล็กน้อย พูดว่าอะไรนะ? นายกัปตัน? หมอนั่นเกี่ยวอะไรกับเรื่องการหิวของฉันด้วย?
“อย่ามาทำหน้าตาใสซื่อไม่รู้เรื่องอะไรหน่อยเลย ท่าทางแบบนั้นมันหลอกฉันไม่ได้หรอก ใครๆเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าเธออ่อยกัปตัน ไม่อย่างนั้นเขาจะป้อนไข่ให้เธอบนเตียงเหรอ” ยัยบัทเทอร์พูดพลางตักไข่เข้าปาก อะไรนะ? ใครอ่อยใคร? เท่าที่จำได้ฉันไม่เคยมีท่าทางหรือกิริยาที่สื่อไปทางงยั่วยวนหมอนั่นเลยนะ
“ถ้าอยากรู้ว่าหมอนั่นทำแบบนั้นทำไมก็ไปถามเขาเองสิ ฉันไม่เกี่ยว” ฉันสะบัดเสียงใส่พลางเดินไปที่ตู้เย็นอย่างไม่สนใจ
“อ้อ...งั้นเหรอ ถ้าไม่ได้รอพี่กัปตันไปเสิร์ฟก็คงรอพี่ร็อปเป้ทำอาหารให้สินะ มีมือมีเท้าก็หัดทำอะไรด้วยเองบ้าง ไม่ใช่นั่งรอกินผลประโยชน์จากคนอื่น” คราวนี้เป็นยัยกล่องแก้วที่พูดบ้าง
“นี่พวกเธอเป็นอะไร ไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน?”
“มาจากไหนมันก็ไม่สำคัญ แล้วเธออ่อยเขาทั้งสองคนอย่างที่ว่ามาไหมล่ะ?” กล่องแก้วหันมามองหน้าฉันพร้อมกับคำถามพิลึกนั่น เป็นแบบนี้อีกแล้ว...ถูกเกลียดเพราะเรื่องแบบนี้อีกแล้ว มีเพื่อนเป็นผู้ชายมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง เพราะพวกผู้หญิงมีแต่ประเภทแบบพวกหล่อนนั่นแหละ ฉันจึงเลี่ยงที่จะคุยด้วย
“ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน พวกเธอก็แค่คนนอกที่มองมาเท่านั้น พวกเธออาจจะมองว่าที่ฉันสนิทสนมกับทั้งสองเป็นเพราะฉันพิศวาสพวกเขา แต่ความจริงไม่มีอะไรทั้งนั้น พวกเธอไม่ได้นั่งเฝ้ากล้องตลอดเวลาจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ขอร้องอย่าคิดไปเอง”
“อ้อ...เธอไม่ได้คิดอะไรกับสองคนนั้นแต่ดันไปคิดกับไอโอดีนสินะ?”
“ว่าไงนะ?” ยัยนางแบบนั่นสมองกลับหรือไง จู่ๆมาจับผิดฉันเรื่องพวกนี้ทำไม
“ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดกระแสแบบนั้นหรอก ฉันเห็นเสื้อที่พวกแฟนคลับใส่ ถ้าเธอไม่เข้าใกล้ไอโอดีนมากจนเกินไป เรื่องแบบนี้มันก็ไม่เกิดหรอก”
“คิดว่าฉันต้องการให้มันเป็นแบบนั้นหรือไง เธอดูไม่ออกเลยหรือไงว่าฉันเกลียดหมอนั้นเข้าไส้!” เธอเคยเห็นรอยยิ้มของฉันเวลาที่อยู่กับอีตานั่นหรือเปล่าล่ะ!
“เธอแสดงละครเก่งออกจะตายไป ใครเขาจะไปมองออกล่ะ” ยัยนั่นยักไหล่ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวไข่เจียวของตัวเองต่อ ส่วนยัยกล่องแก้วก็ทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตากินอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“หึ..ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็เชิญ ฉันเปลี่ยนความคิดพวกเธอไม่ได้อยู่แล้ว” ฉันกอดอกมองทั้งสองคนที่ทำเป็นไม่ได้ยิน “ถ้าคิดว่าการที่เธอมัดใจไอโอดีนไม่อยู่มันเป็นเพราะฉันก็เชิญ” ปากหาเรื่องอีกแล้ว เมื่อไหร่จะแก้นิสัยเสียแบบนี้ได้สักทีนะ เพราะฉันเป็นแบบนี้ถึงได้มีเรื่องทะเลาะอยู่ได้ทุกวันไงล่ะ
“ว่าไงนะ!! ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
“หืม? ถ้าไม่คิดแบบนั้นแล้วเธอเอาความคิดบ้าบอนั่นมากจากไหน? ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันทะเลาะกับหมอนั่นออกจะบ่อย ต่างคนต่างก็เกลียดขี้หน้ากันเธอก็รู้ ใครๆก็มองออก ไอ้เรื่องกระแสนั่นมันเป็นความบังเอิญที่จู่ๆมันพวกเขาก็จับจิ้นขึ้นมา เพราะเธออิจฉาถึงได้โยนความผิดให้ฉันใช่ไหมล่ะ สุดท้ายความคิดนั่นมันก็มาจากสมองกลวงๆของเธอเอง”
“ทิงเจอร์!!!” ยัยบัทเทอร์ลุกขึ้นยืนอย่างเหลืออด
“เป็นอะไร ยอมรับความจริงไม่ได้หรือไง?” ฉันยิ้มมุมปากก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองกล่องแก้วที่นั่งเงียบอยู่นาน “ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ เมื่อกี้ยังเห็นเข้ากับยัยนี่ได้เป็นอย่างดีเลยนี่”
“ฉันสงสัยก็เลยลองพูดดู เธอก็พูดเคลียร์ทุกประเด็นแล้วนี่ ไม่มีอะไรคาใจแล้ว” พูดจบ ยัยนั่นก็ลุกเอาจานไปเก็บปล่อยให้ฉันกับบัทเทอร์ยืนจ้องตากันอย่างอาฆาต หืม? ยัยนี่เกิดกลัวขึ้นมาหรือไงถึงได้ปลีกตัวหลบไปก่อน เหอะ อ่อนชะมัด
“ฉันไปล่ะ น่ารำคาญ” ฉันโบกมือลาเอื่อยๆแล้วเดินจากไป แต่ยัยขายาวนั่นไม่ยอมง่ายๆเธอกระชากแขนฉันกลับ
“จะไปไหน เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ!”
“หนวกหู! พูดกับเธอยังไงก็ไม่รู้เรื่องหรอก ขืนเธอยังจมปลักหลงไอ้หัวแดงนั่นจนโงไม่ขึ้นยังไงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง” ฉันสะบัดมือออกแล้วหันหลังให้ยัยนั่นทันที กะจะมาหาอะไรกินแท้ๆกลับมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้ นี่มันวันซวยแห่งชาติหรือไงนะ!
ตุบ!!
“อ้าวทิงเจอร์ มาหาอะไรกินหรือไง?” ชายที่ฉันเพิ่งเดินชนเมื่อกี้จับไหล่ทั้งสองข้างของฉันพลางทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เปล่า” ฉันปัดมือของกัปตันออกแล้วเดินจากไป
...
ที่นี่ที่ไหน -_-
ฉันเดินตามทางมาเรื่อยๆจนมันโผล่ส่วนไหนของบ้านหลังนี้แล้วก็ไม่รู้ ที่แถวนี้ฉันก็ไม่เคยมาด้วยแถมยังมืดอีกต่างหาก หลอดไฟก็ติดเพดานอยู่ทำไมไม่รู้จักเปิด หา? แล้วไอ้ตรงที่ฉันอยู่ตอนนี้มันคือที่ไหนกัน ไม่มีใครสามารถให้คำตอบฉันได้เลย รู้อย่างนี้ไปขอแปลนบ้านจากพี่เอและพี่อีฟมาก็คงดีจะได้ไม่ต้องมาหลงทางโง่ๆแบบนี้ โมโหจนเดินมั่วไปหมด หาทางกลับก็ไม่ถูกอีก ข้าวก็ไม่ได้กินแถมยังถูกมองแบบผิดๆอีก เพราะยัยสองคนนั้นแท้ๆที่จู่ๆก็มากล่าวหาว่าฉันทำกิริยาต่ำๆแบบนั้น คิดว่าฉันเป็นพวกบ้าผู้ชายเหมือนหล่อนหรือไง ที่พูดมาไม่มีอะไรที่เป็นความจริงเลยสักอย่าง นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!!
แว้บ...
เอ่อ...เมื่อกี้เหมือนเห็นเงาลางๆข้างตัว...หวังว่าจะไม่ใช่วิญญาณหรือผีร้ายที่คอยปกปักษ์รักษาบ้านหลังนี้หรอกนะ หรือบางทีความหิวอาจทำให้ฉันตาลายจนเกิดเป็นภาพหลอนขึ้นมาก็ได้ โอ๊ย! ถึงจะเป็นผีจริงๆฉันก็ไม่กลัวหรอก! มาหลอกฉันตอนกำลังโมโหเดี๋ยวก็สวดคาถาชินบัญชรไม่ให้ผุดให้เกิดซะเลย ลองออกมาดูเซ่!
ฉันค่อยๆหันไปทางซ้ายที่ที่สายตาอันเฉียบคมของฉันเห็นเงาบ้านั่นจนทำให้จิตฉันหลอนนิดหน่อย แต่ผีมันไม่มีในโลกหรอก ถึงจะมีจริงๆ ฉันเนี่ยแหละจะสวดไล่พวกแกเอง อย่ามาหลอกคนสวยอย่างฉันนะ ฉันไม่ไว้ชีวิตพวกแกแน่!!
“เอ๊ะ...” แต่สิ่งที่ฉันเห็นคือกระจกใสที่สะท้อนภาพของฉันอยู่ ที่ฉันหลอนตัวเองเหรอเนี่ย =_= แล้วทำไมที่นี่ถึงมีกระจกแบบนี้ล่ะ ที่นี่มันมืดและมองอะไรแทบจะไม่เห็น มีแค่แสงไฟจากทางเดินเท่านั้นที่ส่องมาถึงตรงนี้ ที่แน่ๆไอ้กระจกบ้านี่มันต้องเป็นห้องอะไรสักอย่างแน่ๆ
“มันมีประตูอยู่นี่...” ฉันใช้มือลูบคลำไปทั่วจนสัมผัสกับลูกบิดประตู ที่นี่มันต้องเป็นห้องลับแน่ๆ ^O^
แกร๊ก!
มันไม่ได้ล็อคแฮะ ฉันใช้มือคลำตามผนังข้างๆเผื่อจะเจอกับสวิตซ์ไฟ ผนังพวกนี้มันหนามากๆแถมยังนิ่มอีกต่างหาก ห้องแบบนี้มันทำให้ฉันนึกถึง...
พรึ่บ!
“ห้องซ้อมดนตรี...” ทันทีที่ฉันเปิดไฟ อุปกรณ์และเครื่องต่างๆก็ปรากฏให้เห็น ทั้งหมดถูกตกแต่งให้เป็นสีดำสบายตา มีทั้งกลอง เบส กีตาร์ คีย์บอร์ด แอมป์และเครื่องเสียงต่างๆวางอยู่ตรงหน้า มีไมค์สำหรับนักร้อง ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่มีห้องแบบนี้อยู่ด้วย ถ้ารู้ว่ามีห้องเก็บเสียงสำหรับซ้อมดนตรีอยู่ ฉันจะมาระบายอารมณ์ที่นี่ทุกวันเลย!!
“หึ...ถึงคราวระเบิดอารมณ์ล่ะ” ฉันปิดประตูให้แน่นสนิทก่อนจะตรงไปยังกลองชุดที่ตั้งเป็นสง่าอยู่ด้านหลัง ฉันนั่งลงบนเก้าอี้แล้ววางขาทั้งสองข้างไว้ประจำที่ของมัน ก่อนที่จะใส่อารมณ์กับมันอย่างสุดพลังต้องตั้งให้มันอยู่ในระยะที่พอเหมาะก่อนสินะ ไม่อย่างนั้นเล่นไม่สนุกแน่
“เอาล่ะ...เรียบร้อย” ฉันจัดวางระยะกลองกับฉาบได้เข้ากับตัวเล็กๆของฉันแล้วก็จับไม้ตีกลองนั่นขึ้นมาเพื่อ..
ตุบ ปั้ก ตุบ ปั้ก!!
ใส่มันไปเลย!!! คิดว่าไอ้กลองพวกนี้เป็นหน้ายัยบัทเทอร์ก็แล้วกัน ตีให้หน้ามันเละจนไม่เหลือชิ้นดีไปเลย! เห็นหน้าสวยๆแบบนี้ใครจะคิดว่าข้างในมันจะเละเทะยิ่งกว่าข้าวต้มซะอีก ฮึ่ย!! บังอาจว่าฉันเป็นคนอย่างว่างั้นเหรอ ไม่กลับไปดูตัวเองนะ เธอมองฉันเป็นคนยังไงกันแน่!! พวกผู้หญิงทุกคนก็มองฉันเป็นแบบนั้นกันหมด มันเพราะอะไร? ก็เพราะพวกเธอคิดได้เพียงแค่นี้ไง ขี้อิจฉา ริษยา เห็นใครได้ดีกว่าเป็นไม่ได้ สังคมผู้หญิงมันแย่ฉันถึงต้องคบผู้ชายเป็นเพื่อนยังไงล่ะ สุดท้ายก็ถูกเกลียดเพราะถูกหาว่าฉันเป็นผู้หญิงอย่างว่า ก็สังคมผู้ชายมันจริงใจมากกว่าผู้หญิง มันน่าคบยิ่งกว่าพวกเสแสร้งย่างพวกหล่อนเยอะ!!
ตุบ ตุบ!!
แล้วทำไมต้องมาเจอไอ้หมอนั่นที่นี่ด้วย ทำไมหมอนั่นต้องมาออกรายการเดียวกับฉันด้วย! ใครใช้ให้มันมา ใครใช้ให้มันสมัคร! ชีวิตฉันเจอนายไอโอดีนมันก็แย่พออยู่แล้วยังมามีมารอย่างหมอนั่นตามมาอีก ตั้งใจว่าจะไม่ทัก ไม่พูดด้วย หลบหน้า ไม่สบตา ทำเป็นเหมือนคนไม่รู้จัก แล้วสุดท้ายทำไมมันต้องจบลงแบบนี้!! ทำไมฉันต้องสร้างความสัมพันธ์กับหมอนั่น มันไม่มีทางเป็นไอได้หรอก ฉันเกลียดเขา เกลียดพอๆกับนายไอโอดีนนั่นแหละ! ทั้งเจ้าเล่ห์ บ้ากาม เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น ถึงจะบอกว่าสังคมชายมันจริงใจก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นได้ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ในฐานะคนรัก สุภาพบุรุษมันไม่มีจริงหรอก เอาอารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น คิดจะทำอะไรก็ทำ พอใจแล้วก็จบ สมองของพวกนายมันมีแค่นั้นใช่ไหม!!!
เคล้ง!!
ฉันปาไม้ทิ้งลงพื้นจนมันกระเด็นไปติดกับโซฟาข้างประตู ฉันระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลยเหรอ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ...
แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยคลายความโมโหได้บ้าง...
“โห...เล่นแรงเหมือนกันนะเนี่ย”
“กัปตัน!” ฉันเบิกตาโพลงทันทีที่เห็นชายตรงหน้า เขาเข้ามาในห้องโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด
“นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก่อนที่เธอจะโยนไอ้นี่ทิ้งน่ะ” กัปตันเดินมาทางฉันแล้วยื่นไม้คืน “เธอก็เล่นได้ดีนะ แต่จังหวะมันออกจะมั่วๆไปหน่อย อาจเป็นเพราะเธอกำลังโมโหอยู่ก็ได้”
“นายรู้?”
“รู้ตั้งแต่เธอปัดมือฉันออกแล้วล่ะ” อ่า...นั่นสินะ การกระทำของฉันอาจทำให้ใครบางคนเกลียดเข้าสักวันก็ได้
“ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันก็พอรู้มาจากดินสอบ้างว่าเธอเป็นพวกโมโหแล้วพาล นี่ เธอคงต้องฝึกอีกหน่อยนะ เหมือนเธอจะลำบากเวลาเหยียบกระเดื่อง”
“นายเป็นนักวิจารณ์หรือไง -_-” ตอนแรกก็ดีอยู่หรอกที่เป็นห่วงความรู้สึกคนอื่น แต่หลังๆมาวิจารณ์การตีกลองของคนอื่นแบบนี้มันแย่นะ -_-
“ไม่เห็นแปลก ก็ฉันอยู่กับวงดนตรีมานานนี่” นั่นสิ หมอนี่เป็นนักร้องนำวงบอดี้สลิมนี่นะ “ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีห้องแบบนี้อยู่ด้วย”
“นั่นสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เดินมามั่วๆก็เจอ”
“ฉันก็เหมือนกัน เห็นไฟมันเปิดในที่มืดๆก็เลยเดนมาดู ไม่คิดว่าจะเห็นภาพเธอตีกลองจนหน้าดำหน้าแดง น่าเกลียดชะมัด -_-” อ้าว พูดแบบนี้หมายความว่าไง จะบอกว่าท่าตีกลองของฉันมันน่าเกลียดเหรอ -O-
“นี่ อยากจะลองเล่นกับฉันดูมั้ยล่ะ?” กัปตันคว้ากีตาร์ขึ้นมาใส่แล้วเดินไปปรับเสียงก่อนจะเดินไปยืนหน้าไมค์
ก็ดีเหมือนกันแฮะ คงจะสนุกดี
แปะ แปะ
“วู้ว เยี่ยมมากเลย ^O^”
“ทิงเจอร์เธอเก่งมาก”
“ยัยเตี้ยก็เล่นได้ดีนี่”
หลังจากที่เล่นไปนานๆสักครึ่งชั่วโมงได้ พวกเพื่อนในบ้านต่างก็แห่กันมาดูตามเสียงเพลงที่เล็ดลอดออกไปด้านนอก ทั้งร็อปเป้ กล่องแก้ว ดินสอ แม้กระทั่งไอโอดีนก็มา พวกเขาส่งเสียงเฮฮาด้วยความสนุกและปรบมือให้ ฉันไม่ได้อยากโชว์ฝีมือด้านการตีกลองเลยนะ ยังตีไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย แต่การได้รับคำชมก็ถือเป็นเรื่องดีนะ
“ทิงเจอร์ เธอลองร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ >_<”
“หืม? ยัยนั่นร้องได้เหรอ?” กล่องแก้วที่ยืนกอดอกว่างท่าหยิ่งยโสหันไปถามดินสอที่ยืนอยู่ข้างๆ ยัยนั่นพูดจาหางานให้ฉันอีกแล้ว -_-
“ได้สิ เมื่อก่อนทิงเจอร์เขาเป็นนักร้องนำวงของโรงเรียนเลยนะ ร้องเพราะมากๆ >_<”
“จริงเหรอ? ฉันก็อยากได้ฟังนะ ^^” อ้าว ร็อปเป้เป็นไปอีกคนแล้ว -O-
“นี่เดี๋ยวสิ เมื่อก่อนฉันทำได้ แต่ตอนนี้มันไม่ได้แล้วนะ” ก็เวลาฉันร้องเพลง มันทำให้นึกคนใครบางคนขึ้นมาน่ะสิ
“จะบอกว่ากล่องเสียงเธอพังไปแล้วหรือไงยัยเตี้ย?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น =_=” ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะไอโอดีน
“เอาเถอะน่า เพื่อนๆเขาอยากเห็นเธอร้องเพลง ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน” หมอนั่นเดินมาทางฉันแล้วยกมือขึ้นกอดคอเฉย เฮ้ย นี่เราสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย อย่าทำเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานแบบนั้นได้มั้ย!-O-
“ถอยออกไปห่างๆเลยนะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบ” ฉันเอาไม้ตีกลองมาเป็นอาวุธในการตีหัวหมอนั่น มันจะมากเกินไปแล้วนะ กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวฉันต่อหน้าคนอื่น เดี๋ยวแม่ก็สาปซะหรอก!
“โอ๊ยๆขอโทษ ยังไงก็ลุกไปร้องซะ ฉันจะตีกลองแทนเธอเอง” จู่ๆหมอนั่นก็ยึดไม้ในมือฉันไปหน้าตาเฉย เฮ้ย! ฉันไม่ได้รับปากเลยนะว่าจะร้อง!
“เดี๋ยวสิ ฉันร้องไม่ได้”
“ก็แค่อ้าปากใส่ไมค์มันยากตรงไหน เพื่อนเธอบอกว่าทำได้ก็ต้องได้สิ รีบๆไปเดี๋ยวนี้เลย คนอื่นเข้ารออยู่!” อีตาไอโอดีนผลักฉันไปข้างหน้าจนเกือบสะดุดกับสายไมค์ อะไรของหมอนั่น เป็นบ้าอะไรกันหมดเนี่ย -O-
“เอาเพลงอะไรดีล่ะ -_-” ฉันที่ตอนนี้ยืนประจำที่แทนกัปตันแล้ว หมอนั่นก็ยืนข้างๆดีดกีตาร์เล่นไปมา
“ลูกอมแล้วกัน ใครๆก็ร้องได้ คอร์ดก็ไม่ยากด้วย” ไอโอดีนเสนอความคิดเห็น แต่เพลงนั่นมัน...
“ถ้านายจะให้ยัยนี่ร้องเพลงลูกอม ฉันว่านานั่งเฉยๆเถอะ บทบาทของนายแทบจะไม่มีเลย” นั่นสิ กัปตันพูดถูก =_=
“นายกำลังจะกันฉันออกจากวงใช่มั้ย? จะเอาหน้าอยู่คนเดียวหรือไงวะ?”
“ไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย คิดไปเองทั้งนั้น” นั่นไง พวกเขาเริ่มจะทะเลาะกันแล้ว พวกนี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ทะเลาะกันทุกที น่าเบื่อชะมัด วงแตกเถอะ ไม่ต้องร้องมันแล้ว -_-
“เอ้าๆ งั้นฉันเปลี่ยนไปเล่นคีย์บอร์ดก็ได้ -_-” นายหัวแดงยังไม่เลิกพยายามอีกเหรอ เฮ้ย ก็บอกว่าวงแตกไปเลยไง ฉันก็ไม่อยากร้องเหมือนกันนะ =_=
“หืม? นายเล่นเป็นด้วยเหรอ?”
“พอตัวว่ะ”
หลังจากเถียงกันได้สิบห้านาที พวกเราก็พร้อมที่จะเล่นเพลงลูกอมบ้าบอนั่นแล้ว โดยที่มีฉันยืนอยู่ตรงกลางเป็นคนร้อง กัปตันยืนอยู่ทางขวามือของฉันเป็นมือกีตาร์ ส่วนนายไอโอดีนอยู่ทางซ้ายประจำที่คีย์บอร์ด ยัยดินสอก็ยิ้มร่ามีความสุข นี่ไม่รับรู้ถึงความทุกข์ในใจของฉันเลยใช่มั้ย?
ฉันเกลียดเพลงนี้...
ถึงยังไงฉันก็ต้องร้องเพราะไอโอดีนเริ่มบรรเลงแล้ว สรุปฉันต้องร้องมันจริงๆสินะ...ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนก็แล้วกัน
ตั้งแต่ต้นจนถึงท่อนฮุกดูเหมือนมันจะไปได้อย่างราบรื่น นั่นสินะ ถ้าไม่คิดอะไร มันก็ไม่มีอะไร...
“จะมีเพียงเธอ รักเพียงแต่เธอ
โอบกอดเธอด้วยรัก รักที่ห่วงใย
ใจฉันให้เธอมันเป็นของเธอรู้ไห...”
จู่ๆเสียงมันก็หายไปในลำคอ...
“อ้าว..เป็นอะไรไป ไม่ร้องต่อล่ะ?” กัปตันที่ยืนข้างๆฉันถามทันทีที่เห็นฉันนิ่งไป มือของเขาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหวเลยสักนิด ฉันร้องต่อไม่ได้แล้ว...
“เฮ้ย ยังไม่ถึงครึ่งเพลงเลยนะยัยเตี้ย”
“เป็นอะไรไปทิงเจอร์...” ดินสอที่ยืนเชียร์อยู่ตรงหน้าถามอย่างเป็นห่วง
ที่ฉันร้องต่อไม่ได้ก็เพราะ เขาคนนั้น ยืนยิ้มอยู่ยังไงล่ะ...
“นาย...มาทำไม...” เสียงบรรเลงดนตรีได้หายไปพร้อมกับคำถามที่ฉันเอ่ยขึ้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังมนุษย์แปลกหน้าที่เพิ่งจะเข้ามาในห้อง
“ร..ร็อค” ดินสอพูดเสียงสั่นทันทีที่สายตาไปปะทะกับชายคนนั้น ใช่...ก็อย่างที่เดา ฉันเคยร้องเพลงนี้ให้กับเขา และหมอนั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันอยากเป็นนักร้องนำของวง เพื่อที่จะได้ขึ้นเวทีแล้วบอกรักเขาผ่านเสียงเพลง ถ้าจะพูดถึงโมเมนต์นั้นฉันว่ามันน่ารักมาก การทำอะไรให้คนที่เรารักมันมีความสุขจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้...มันเหมือนกับทิ้งตัวลงสู่นรก นั่นมันยิ่งทำให้ฉันเกลียดการร้องเพลง...
พึ่บ!!
“ทิงเจอร์! เธอจะไปไหน!!”
“เฮ้ย ยัยเตี้ย!!”
ฉันแทรกตัวออกมาจากห้องที่น่าอึดอัดนั่นอย่างอารมณ์เสีย การกระทำของฉันมันสร้างเสียงฮือฮาให้กับทุกคน ฉันไม่สนว่าพวกเขาจะมองฉันเป็นคนแบบไหน จะมองว่าฉันร้ายก็ได้ ไม่ปฏิเสธ ก็มันจริง...ฉันอาจจะเป็นคนที่โมโหแล้วพาลไปทั่ว ระงับอารมณ์ไม่อยู่ แต่ทุกอย่างที่มีผลต่อความรู้สึกของฉันล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น
ทุกอย่างเงียบและมืด ทุกคนกลับเข้าห้องของตัวเองไปหมดแล้ว คงจะมีแค่ฉันคนเดียวที่ยังอยู่ด้านนอก หลังจากที่ฉันออกมาจากห้องซ้อมดนตรีนั่นก็ไม่ได้พบใครอีกเลย ฉันไม่อยากอธิบายเรื่องต่างๆใครฟังทั้งนั้น แม้กระทั่งยัยดินสอ ฉันเองก็ไม่อยากให้ยัยนั่นมาคอยเป็นห่วงจนตัวเองไม่ได้เป็นอันทำอะไร ปล่อยฉันไว้แบบนี้น่ะดีแล้ว นอนข้างนอกมันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ คืนเดียวเอง มันไม่ตายหรอก
“หมอนั่นยังไม่ได้เอาไปสินะ...” ฉันส่องไฟฉายไปที่กองกระเป๋า5ใบที่วางอยู่บนกลางห้องโถง ก็ยังดีที่ร็อคเชื่อฟังคำสั่งไม่เอากระเป่าขึ้นไปตามที่บอกจริงๆ วันนี้ฉันคงไม่ได้อาบน้ำแล้วล่ะ คงต้องใส่เอี๊ยมเน่าๆนี่ไปทั้งคืน ก็มันช่วยไม่ได้ เลือกคู่รูมเมทไม่สบอารมณ์ฉันเองนี่ พรุ่งนี้ค่อยตื่นไปอาบน้ำก็แล้วกัน
ฉันนั่งลงบนโซฟาลางลานโล่งที่เดิม นี่คือเตียงของฉันในคืนนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันต้องนอนตรงนี้จริงๆ มันช่วยไม่ได้นี่ ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากแถมยังเพลียจากการทำภารกิจอีก วันนี้แทบจะไม่ได้พักเลย อาหารเย็นก็ไม่ได้ทาน... มันหิวจนปวดท้องไปหมด แต่ถ้าจะให้เดินไปที่ห้องครัวตอนนี้คงไม่ไหว ทั้งง่วง ทั้งไม่มีแรง อยู่ในสภาพอดอยากแบบนี้ไปก่อนแล้วกันนะ เธอทำตัวของเธอเอง ทิงเจอร์...
ฟึ่บ!!
สัมผัสนิ่มๆแบบนี้...เตียงนอนสินะ อยากจะนอนบนเตียงมานานแล้ว โซฟานั่นมันนิ่มก็จริงแต่ไม่สบายเท่านอนบนเตียงหรอก ยืดแขนยืดขาได้ตามต้องการ...ฉันนอนอยู่บนเตียงจริงๆสินะ..
“หึ..คงจะเมื่อยมากสินะ”
“อืม...”
เอ๊ะ... เสียงนั่น...
ด้วยเสียงนั่นทำให้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาทันที นี่ฉัน...นอนอยู่บนเตียงจริงๆ สิ่งแรกที่เห็นคือชายคนนั้นคร่อมอยู่บนตัวฉัน หยาดน้ำจากไรของเขาผมหยดลงกลางหน้าผากใสเนียน ท่อนบนของเขาคนนั้นเปลือยเปล่ามีแค่กางเกงขาสั้นสีดำเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่...หมอนี่...
“ตื่นแล้วเหรอ”
ตอนนี้อาจจะมีเขียนผิดบ้างเพราะเขียนตอนง่วงๆ
แล้วจะกลับมาแก้ไขให้ใหม่นะคะ >_<
ตอนนี้ร็อคออกมาแบบกระปริดประปรอยมาก ตอนหน้าไม่แน่
บทของเขาอาจจะเยอะกว่านี้ก็ได้ >O<
คนที่พาทิงเจอร์มานอนบนเตียงคือใคกันเอ่ย?
หวังว่าตอนนี้จะถูกใจรีดเดอร์ที่รอตอนใหม่น้า
ถ้าไม่ถูกใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย -O-
เพราะตอนนี้เป็นตอนที่จะปูทางไปยังตอนต่อไปและอาจจะน่าเบื่อไปบ้าง
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามและอ่านนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนล่าสุดนะคะ
จุ้บๆ >3<
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ