Mummy-shaped Heart - หัวใจรูปมัมมี่
-
เขียนโดย Olette
วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.00 น.
6 ตอน
3 วิจารณ์
9,605 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 20.08 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) Chapter 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ วิชาแรก ของวันนี้ คือ math… เซนบอกได้อย่างเดียวเลยว่า เซ็งเป็ด ไม่ใช่เพราะว่าเซนไม่เก่งเลขหรือไม่ชอบเลขเป็นภาษาอังกฤษนะ แต่เป็นเพราะมันเป็นวิชาก่อนพละศึกษา ไม่รู้ว่าพละศึกษาโรงเรียนอื่นเป็นยังไง แต่ของโรงเรียนนี้ ในวิชาพละศึกษา หลังจากที่อาจารย์ ให้วอร์มอัพเสร็จ เขาก็จะให้นักเรียนแยกย้ายไปเล่นกีฬาตามใจชอบ คาบ math เลยดูยาวนานและน่าเบื่อขึ้นนั่นเอง เซนนั่งข้างอิทธิอยู่มุมขวาหลังห้องข้างหน้าต่าง และตามเคยมาถึงอิทธิก็ฟุบหน้าลงนอนทันที และอีกตามเคยไม่เคยมีอาจารย์ท่านไหนคิดที่จะแคร์ หรือไม่ก็พวกท่านเลือกที่จะเมินเฉย เซนไม่รู้เลยว่าอิทธิทำได้ยังไง แต่ถ้าเป็นเด็กนักเรียนคนอื่นที่ทำแบบนี้ละก็ นู่น! โดนไล่ออกนอกห้องครับท่าน
“วันนี้เล่นบาสกันปะ” เซนถามแต่ อิทธิไม่ตอบ “เฮ้ย ถามอะ” อิทธิก็ยังคงนอนต่อไป
“Okay. Turn to page 35, 36. Do exercise 4.1 and 5.1. Once you guys are all done, we might be able to play a little game.” boomer หรืออาจาย์สุทธิพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม เซนถอนหายใจเล็กน้อย เซนคิดว่านักเรียนชั้นนี้โตเกินกว่าที่จะสนุกกับการเล่นเกมกับครูแล้ว จำได้ว่าช่วงประถมเล่น hangman กับครูก็ยังสนุกอยู่หรอก แต่ตอนนี้คงไม่แล้วล่ะ
เลขเป็นวิชาที่เซนค่อนข้างถนัด ถึงโจทย์คำถามจะเป็นภาษาอังกฤษ มันก็ไม่ใช่อุปสรรคสักเท่าไหร่นัก ทุกๆ ห้านาทีเซนจะเหลือบมองจูดี้ที่กลางห้องที่เหมือนเป็นจุดเด่นที่อยู่กลางชุมชน ในขณะที่เพื่อนของเธอคุยเล่นกัน หรือจะมีคนเข้ามาชักถามเธอบ่อยๆ ในเวลาทำงานจูดี้ก็ยังคงตั้งใจทำงานอยู่ทุกครั้งไป ช่างเป็นคนที่มีเสน่ห์จริงๆ
เวลาที่จะเหมือนจะคลานอย่างช้าๆ ก็ผ่านไปไวขึ้นเมื่อเซนจดจ่อกับงานที่ได้รับมอบหมาย เซนทำเสร็จห้านาทีก่อนเสียงกระดิ่งจะดังขึ้น นักเรียนในห้องส่วนใหญ่ทำไม่เสร็จกันและต้องเอากลับไปทำต่อเป็นการบ้าน ส่วนเกมของboomerก็ต้องถูกเลื่อนออกไปเพราะทุกคนไม่ได้ทำเสร็จทันเวลา เซนหันไปมองจูดี้ รอยยิ้มของเธอเมื่อคุยกับเพื่อนทำให้รู้ว่าเธอก็ทำงานเสร็จภายในคาบเหมือนกัน
“จบสักที math จะได้ออกจากห้องเรียนซักที” อิทธินั่งขึ้นมาบิดขี้เกียจ
“เฮ้ย นี่พึ่งคาบแรกเอง พูดอย่างกับเรียนมาทั้งวันแล้ว ฮ่าๆ” เซนลุกขึ้นเก็บเก้าอี้เตรียมพร้อมจะไปเล่นบาสในวิชาพละ
หลังจากวอร์มอัพเสร็จนักเรียนส่วนใหญ่ก็แยกย้ายกันไปเล่นกีฬาต่างๆ ซึ่งในห้องมีทั้งหมด 22 คน ซึ่งก็ถือว่าไม่เยอะเท่าไหร่ ผู้ชายส่วนใหญ่จะไปเล่นบอล อีกส่วนน้อยจะไปเล่นปิงปองและบาสกัน ส่วนพวกผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะไปเชียร์จูดี้เล่นปิงปองถ้าไม่ได้เล่นกันเอง เว้นอยู่คนเดียวที่ไม่คิดที่จะแตะกีฬาอะไรเลย นั่นก็คืออิทธิ อิทธิจะไม่เล่นกีฬาอะไรเลยและจะไปนั่งคนเดียวเขียนนู่นเขียนนี่หรือไม่ก็เอาไพ่มาเล่น ถ้าเป็นปีก่อนๆ ก็ยังมีโทนี่เด็กเกาหลีนั่งด้วยกันในคาบพละ บางทีก็จะเห็นนั่งเล่นหมากรุกหรือนั่งคุยกัน แต่ตอนนี้โทนี่โดนย้ายห้องไปแล้ว เมื่อก่อนเซนพยายามชวนทั้งโทนี่และอิท (ชื่อเล่นอิทธิ) มาเล่นด้วยเสมอ แต่ทั้งคู่ก็จะบอกปฏิเสธว่าไม่เป็นไร เซนเคยถามอิทว่ามีโรคประจำตัวอะไรรึป่าว แต่อิทก็จะตอบว่า
“โห่ ขอร้อง พวกมีปัญญาเขาไม่ใช้กำลังกันหรอก” ซึ่งทำเซนอึ้งไปเล็กน้อย
คนเล่นบาสก็เป็นหน้าเดิมๆ มีนัท เก่ง ไกด์ และผู้หญิงอีกคนชื่อเพ็ญ เพ็ญจะชู้ตบาสเล่นคนเดียวอีกแป้น ส่วนเซนก็แบ่งทีมเล่นกับผู้ชายที่เหลือ เซนจะชนะเสมอ นัทจะโดนยัดเยียดให้อยู่ฝั่งเดียวกับเซนเพราะเขาไม่เก่งนัก เซนไม่มายด์นัทเท่าไหร่ เขาเป็นคนตลก นัทเป็นคนแรกที่เรียกอาจารย์สุทธิพงษ์ว่า boomer แต่บางทีทั้งสามคนก็จะรุมเซนคนเดียว
ในขณะที่เล่นบาสกันอยู่ บางทีจะมีเสียงกริ๊ดเชียร์จูดี้จากโต๊ะปิงปองเป็นครั้งคราว ถ้าเซนคิดจะเล่นกีฬาที่เขาถนัดเขาคงควรไปจอยฟุตบอลกับผู้ชายส่วนใหญ่ แต่เซนไม่เคยเล่นฟุตบอลที่โรงเรียนเลยหลังจากที่เล่นครั้งแรกหลังเลิกเรียนกับพวกรุ่นพี่มาก่อน ปัญหาก็คือเซนเล่นเก่งกว่าพวกเขามาก เลี้ยงบอลหลอก เลี้ยงหลบ เตะเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย เซนเล่นบอลอยู่บ่อยๆ กับลุงที่สนามบอลใกล้บ้าน ซึ่งลุงเป็นนักบอลและสอนเซนเล่นเสมอ เมี่อเล่นกับรุ่นพี่ไปสักพัก สนามบอลเล็กๆ ก็เหมือนจะเปลี่ยนเป็นสนามมวย พวกรุ่นพี่เริ่มใช้กำลังมากขึ้น และมีการผลักหรือชนแรงๆ พวกเขาแสดงกริยาอย่างเห็นได้ชัดว่าถ้าเซนยังเล่นหักหน้าพวกเขาต่อ จากที่พวกเขาจะเตะฟุตบอล พวกเขาคงหันมาเตะเซนแทน อีกอย่างช่วงเย็นๆตอนนั้นไม่ค่อยมีครูหรือนักเรียนคนอื่นๆ อยู่ด้วย และเซนก็แค่เด็กม.1 เองตอนนั้น เขาก็กลัวสิ หลังจากนั้นเซนก็ไม่คิดจะเตะบอลที่โรงเรียนอีกเลย แม้แต่จะเป็นวิชาพละที่เล่นกันแค่คนในห้องก็ตาม
วันนี้เล่นกันได้แค่ครึ่งคาบเพื่อนๆที่เล่นบาสกันอยู่ก็ตัดสินใจแยกกันไปชู้ตกันเอง พวกเขาคงถอดใจหลังจากเห็นเซนหมุนตัว 360 และเลย์หลังเข้า เซนเหลือบไปเห็นเพ็ญเล่นคนเดียวจึงคิดว่าจะไปเล่นกับเพ็ญที่แป้นบาสอีกฝั่งหนึ่งดีกว่า
“ทำไมมาชู้ตเล่นคนเดียวอะ เพ็ญ” เซนชักถามเมื่อเดินไปถึงแป้นอีกฝั่ง เซนเพิ่งเคยอยู่ห้องเดียวกับเพ็ญเป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งก็จะเห็นเพ็ญมาชู้ตบาสคนเดียวทุกครั้งไปในคาบพละ
“ถ้าจะให้โกหกก็คง เราเก่งมากเลยไม่มีใครกล้ามาเล่นกับเรา แต่ถ้าจะให้พูดความจริงก็ไม่ค่อยมีใครอยากเล่นกับเราสักเท่าไร” เซนเงียบไปสักพัก แล้วเธอก็พูดว่า “เศร้าใช่ไหมล่ะ” แล้วเธอก็ขำ
“ป่าวนะ เพิ่งย้ายห้องมาก็งี้แหละ เพื่อนเก่าๆ คงอยู่ห้องอื่นกันล่ะสิ” เซนตอบขึ้นมาและยิ้มเล็กน้อย
“ห้องไหนก็เหมือนกันแหละ ตั้งแต่ ม.2 ที่เราย้ายเข้ามาแล้วแหละ เราไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่” เพ็ญตอบอย่างหน้านิ่งๆ แต่เซนสัมผัสได้ว่าเธอคงรู้สึกเศร้าเล็กน้อยที่ความจริงเป็นอย่างนั้น เซนเกือบจะพูดออกมาว่าเขาก็เหมือนกัน แต่คิดๆดูแล้ว ถึงเซนจะไม่ค่อยมีเพื่อน แต่เซนก็ยังมีอิทที่อยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ปีแรกที่โรงเรียนนี้ และนัทที่ไว้คุยเล่นกันบ่อยๆ ตั้งแต่ตอนม.2 และคนอื่นๆ อีกที่คุยเป็นครั้งคราว แต่สำหรับเพ็ญ เซนเห็นเพ็ญนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่บ่อยๆ และไม่ค่อยมีใครในห้องคุยกับเธอสักเท่าไหร่ นี่แค่สองอาทิตย์เอง เซนก็เห็นแล้วว่าเพ็ญโดดเดี่ยวสักแค่ไหน
“นี่ เราเป็นเพื่อนกันก็ได้นี่ เราก็เล่นบาสเหมือนกัน” เซนกล่าว เธอมองเซนสักพักก่อนที่จะพยักหน้าและยิ้ม แล้วทั้งสองก็ชู้ตไล่ตามเส้นแข่งกัน
…
ซ่วบ! ซ่วบ! ซ่วบ! นั่นคือเสียงชู้ตบาสที่เข้าติดต่อกันของเพ็ญ ในกฎกติกาของเกมที่เล่นกัน เมื่อชู้ตเข้าก็จะได้ชู้ตต่อ ไล่ตามลำดับไกลขึ้นเรื่อยๆ
“เออ… เพ็ญ เล่นคนเดียวเลยก็ได้นะ สงสัยเราคงไม่ได้ชู้ตแล้ว” เซนพูดประชดขึ้นมาแบบขำๆ
“ฮ่าๆ แสดงว่าที่เราเก่งจนไม่มีใครเล่นด้วยสงสัยจะไม่ใช่แค่คำโกหกซะแล้วสิ” เพ็ญตอบในขณะที่ชู้ตลูกบาสลูกต่อไป ซ่วบ! ซึ่งก็เข้าอีก
หลังจบคาบพละ นักเรียนก็ต่างพากันไปเปลี่ยนชุด เซนยังคงจำได้อยู่เลย เมื่อสองปีที่แล้วโรงเรียนยังไม่มีนโยบายบังคับให้นักเรียนเอาชุดนักเรียนมาเปลี่ยนหลังคาบพละหรือหลังเล่นกีฬาเสร็จ ช่วงก่อนหน้านั้น กลิ่นฮอร์โมนที่ถูกเผาผลาญมันชั่งหอมจนอยากเป็นลมไปตั้งแต่สูดแรก เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เซนเดินไปหาอิทซึ่งเล่นแล็บท๊อปอยู่และเดินกลับห้องไปด้วยกัน
“อาจารย์ไม่เคยว่านายเลย กีฬาก็ไม่เล่น วอร์มอัพก็ไม่วอร์มนี่เป็นลูกเจ้าของโรงเรียนหรือช่วยบริจาคเงินรึป่าวเนี่ย” เซนบ่นขณะเดินกลับไปที่ห้องกับอิท
“โห่ ขอร้อง”
“แล้วเมื่อกี้ทำอะไรอะ เล่นเกมหรอ” เซนถามต่อ
“คำถามบางคำถามมันจะดีกว่าถ้าเราเลี่ยงที่จะตอบ” อิทตอบโดนไม่หันมามอง
“โอ้ นี่นายกล้าขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย นี่นายกล้าดูหนังอย่างว่ากลางโรงเรียนเลยหรอเนี่ย รู้นะว่านายกล้า แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นนี้” เซนทำเสียงซี้ดหลังพูดเสร็จ
“ไม่ดูหรอกระดับนี้ เราเน้นปฏิบัติ ไม่เน้นฝึกฝน” อิทตอบ เซนคิดว่าอิทคงพูดเล่นจึงเปลี่ยนเรื่องอื่น
“นายบอกว่าคำถามบางคำถามมันจะดีกว่าถ้าเราเลี่ยงที่จะตอบ เช่นคำถามว่าอะไรอะ”
“ก็อย่างเช่น เวลาผู้หญิงถามว่า ‘เราอ้วนไหม’ อย่างเนี้ย”
“หา? คำถามแบบนั้นตอบง่ายจะตาย ก็บอกว่าถึงอ้วนเราก็รักไง อิอิ”
อิทหยุดเดินและมองหน้าเซนว่า เขาซีเรียสไหมที่พูดแบบนั้น เมื่อเห็นเซนมองอย่างสงสัยว่าเขาหยุดเดินทำไม อิทก็ส่ายหัวแล้วบอกเซนว่า
“นี่นายยังไม่เข้าใจผู้หญิงเลยนะเนี่ย”
“วันนี้เล่นบาสกันปะ” เซนถามแต่ อิทธิไม่ตอบ “เฮ้ย ถามอะ” อิทธิก็ยังคงนอนต่อไป
“Okay. Turn to page 35, 36. Do exercise 4.1 and 5.1. Once you guys are all done, we might be able to play a little game.” boomer หรืออาจาย์สุทธิพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม เซนถอนหายใจเล็กน้อย เซนคิดว่านักเรียนชั้นนี้โตเกินกว่าที่จะสนุกกับการเล่นเกมกับครูแล้ว จำได้ว่าช่วงประถมเล่น hangman กับครูก็ยังสนุกอยู่หรอก แต่ตอนนี้คงไม่แล้วล่ะ
เลขเป็นวิชาที่เซนค่อนข้างถนัด ถึงโจทย์คำถามจะเป็นภาษาอังกฤษ มันก็ไม่ใช่อุปสรรคสักเท่าไหร่นัก ทุกๆ ห้านาทีเซนจะเหลือบมองจูดี้ที่กลางห้องที่เหมือนเป็นจุดเด่นที่อยู่กลางชุมชน ในขณะที่เพื่อนของเธอคุยเล่นกัน หรือจะมีคนเข้ามาชักถามเธอบ่อยๆ ในเวลาทำงานจูดี้ก็ยังคงตั้งใจทำงานอยู่ทุกครั้งไป ช่างเป็นคนที่มีเสน่ห์จริงๆ
เวลาที่จะเหมือนจะคลานอย่างช้าๆ ก็ผ่านไปไวขึ้นเมื่อเซนจดจ่อกับงานที่ได้รับมอบหมาย เซนทำเสร็จห้านาทีก่อนเสียงกระดิ่งจะดังขึ้น นักเรียนในห้องส่วนใหญ่ทำไม่เสร็จกันและต้องเอากลับไปทำต่อเป็นการบ้าน ส่วนเกมของboomerก็ต้องถูกเลื่อนออกไปเพราะทุกคนไม่ได้ทำเสร็จทันเวลา เซนหันไปมองจูดี้ รอยยิ้มของเธอเมื่อคุยกับเพื่อนทำให้รู้ว่าเธอก็ทำงานเสร็จภายในคาบเหมือนกัน
“จบสักที math จะได้ออกจากห้องเรียนซักที” อิทธินั่งขึ้นมาบิดขี้เกียจ
“เฮ้ย นี่พึ่งคาบแรกเอง พูดอย่างกับเรียนมาทั้งวันแล้ว ฮ่าๆ” เซนลุกขึ้นเก็บเก้าอี้เตรียมพร้อมจะไปเล่นบาสในวิชาพละ
หลังจากวอร์มอัพเสร็จนักเรียนส่วนใหญ่ก็แยกย้ายกันไปเล่นกีฬาต่างๆ ซึ่งในห้องมีทั้งหมด 22 คน ซึ่งก็ถือว่าไม่เยอะเท่าไหร่ ผู้ชายส่วนใหญ่จะไปเล่นบอล อีกส่วนน้อยจะไปเล่นปิงปองและบาสกัน ส่วนพวกผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะไปเชียร์จูดี้เล่นปิงปองถ้าไม่ได้เล่นกันเอง เว้นอยู่คนเดียวที่ไม่คิดที่จะแตะกีฬาอะไรเลย นั่นก็คืออิทธิ อิทธิจะไม่เล่นกีฬาอะไรเลยและจะไปนั่งคนเดียวเขียนนู่นเขียนนี่หรือไม่ก็เอาไพ่มาเล่น ถ้าเป็นปีก่อนๆ ก็ยังมีโทนี่เด็กเกาหลีนั่งด้วยกันในคาบพละ บางทีก็จะเห็นนั่งเล่นหมากรุกหรือนั่งคุยกัน แต่ตอนนี้โทนี่โดนย้ายห้องไปแล้ว เมื่อก่อนเซนพยายามชวนทั้งโทนี่และอิท (ชื่อเล่นอิทธิ) มาเล่นด้วยเสมอ แต่ทั้งคู่ก็จะบอกปฏิเสธว่าไม่เป็นไร เซนเคยถามอิทว่ามีโรคประจำตัวอะไรรึป่าว แต่อิทก็จะตอบว่า
“โห่ ขอร้อง พวกมีปัญญาเขาไม่ใช้กำลังกันหรอก” ซึ่งทำเซนอึ้งไปเล็กน้อย
คนเล่นบาสก็เป็นหน้าเดิมๆ มีนัท เก่ง ไกด์ และผู้หญิงอีกคนชื่อเพ็ญ เพ็ญจะชู้ตบาสเล่นคนเดียวอีกแป้น ส่วนเซนก็แบ่งทีมเล่นกับผู้ชายที่เหลือ เซนจะชนะเสมอ นัทจะโดนยัดเยียดให้อยู่ฝั่งเดียวกับเซนเพราะเขาไม่เก่งนัก เซนไม่มายด์นัทเท่าไหร่ เขาเป็นคนตลก นัทเป็นคนแรกที่เรียกอาจารย์สุทธิพงษ์ว่า boomer แต่บางทีทั้งสามคนก็จะรุมเซนคนเดียว
ในขณะที่เล่นบาสกันอยู่ บางทีจะมีเสียงกริ๊ดเชียร์จูดี้จากโต๊ะปิงปองเป็นครั้งคราว ถ้าเซนคิดจะเล่นกีฬาที่เขาถนัดเขาคงควรไปจอยฟุตบอลกับผู้ชายส่วนใหญ่ แต่เซนไม่เคยเล่นฟุตบอลที่โรงเรียนเลยหลังจากที่เล่นครั้งแรกหลังเลิกเรียนกับพวกรุ่นพี่มาก่อน ปัญหาก็คือเซนเล่นเก่งกว่าพวกเขามาก เลี้ยงบอลหลอก เลี้ยงหลบ เตะเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย เซนเล่นบอลอยู่บ่อยๆ กับลุงที่สนามบอลใกล้บ้าน ซึ่งลุงเป็นนักบอลและสอนเซนเล่นเสมอ เมี่อเล่นกับรุ่นพี่ไปสักพัก สนามบอลเล็กๆ ก็เหมือนจะเปลี่ยนเป็นสนามมวย พวกรุ่นพี่เริ่มใช้กำลังมากขึ้น และมีการผลักหรือชนแรงๆ พวกเขาแสดงกริยาอย่างเห็นได้ชัดว่าถ้าเซนยังเล่นหักหน้าพวกเขาต่อ จากที่พวกเขาจะเตะฟุตบอล พวกเขาคงหันมาเตะเซนแทน อีกอย่างช่วงเย็นๆตอนนั้นไม่ค่อยมีครูหรือนักเรียนคนอื่นๆ อยู่ด้วย และเซนก็แค่เด็กม.1 เองตอนนั้น เขาก็กลัวสิ หลังจากนั้นเซนก็ไม่คิดจะเตะบอลที่โรงเรียนอีกเลย แม้แต่จะเป็นวิชาพละที่เล่นกันแค่คนในห้องก็ตาม
วันนี้เล่นกันได้แค่ครึ่งคาบเพื่อนๆที่เล่นบาสกันอยู่ก็ตัดสินใจแยกกันไปชู้ตกันเอง พวกเขาคงถอดใจหลังจากเห็นเซนหมุนตัว 360 และเลย์หลังเข้า เซนเหลือบไปเห็นเพ็ญเล่นคนเดียวจึงคิดว่าจะไปเล่นกับเพ็ญที่แป้นบาสอีกฝั่งหนึ่งดีกว่า
“ทำไมมาชู้ตเล่นคนเดียวอะ เพ็ญ” เซนชักถามเมื่อเดินไปถึงแป้นอีกฝั่ง เซนเพิ่งเคยอยู่ห้องเดียวกับเพ็ญเป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งก็จะเห็นเพ็ญมาชู้ตบาสคนเดียวทุกครั้งไปในคาบพละ
“ถ้าจะให้โกหกก็คง เราเก่งมากเลยไม่มีใครกล้ามาเล่นกับเรา แต่ถ้าจะให้พูดความจริงก็ไม่ค่อยมีใครอยากเล่นกับเราสักเท่าไร” เซนเงียบไปสักพัก แล้วเธอก็พูดว่า “เศร้าใช่ไหมล่ะ” แล้วเธอก็ขำ
“ป่าวนะ เพิ่งย้ายห้องมาก็งี้แหละ เพื่อนเก่าๆ คงอยู่ห้องอื่นกันล่ะสิ” เซนตอบขึ้นมาและยิ้มเล็กน้อย
“ห้องไหนก็เหมือนกันแหละ ตั้งแต่ ม.2 ที่เราย้ายเข้ามาแล้วแหละ เราไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่” เพ็ญตอบอย่างหน้านิ่งๆ แต่เซนสัมผัสได้ว่าเธอคงรู้สึกเศร้าเล็กน้อยที่ความจริงเป็นอย่างนั้น เซนเกือบจะพูดออกมาว่าเขาก็เหมือนกัน แต่คิดๆดูแล้ว ถึงเซนจะไม่ค่อยมีเพื่อน แต่เซนก็ยังมีอิทที่อยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ปีแรกที่โรงเรียนนี้ และนัทที่ไว้คุยเล่นกันบ่อยๆ ตั้งแต่ตอนม.2 และคนอื่นๆ อีกที่คุยเป็นครั้งคราว แต่สำหรับเพ็ญ เซนเห็นเพ็ญนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่บ่อยๆ และไม่ค่อยมีใครในห้องคุยกับเธอสักเท่าไหร่ นี่แค่สองอาทิตย์เอง เซนก็เห็นแล้วว่าเพ็ญโดดเดี่ยวสักแค่ไหน
“นี่ เราเป็นเพื่อนกันก็ได้นี่ เราก็เล่นบาสเหมือนกัน” เซนกล่าว เธอมองเซนสักพักก่อนที่จะพยักหน้าและยิ้ม แล้วทั้งสองก็ชู้ตไล่ตามเส้นแข่งกัน
…
ซ่วบ! ซ่วบ! ซ่วบ! นั่นคือเสียงชู้ตบาสที่เข้าติดต่อกันของเพ็ญ ในกฎกติกาของเกมที่เล่นกัน เมื่อชู้ตเข้าก็จะได้ชู้ตต่อ ไล่ตามลำดับไกลขึ้นเรื่อยๆ
“เออ… เพ็ญ เล่นคนเดียวเลยก็ได้นะ สงสัยเราคงไม่ได้ชู้ตแล้ว” เซนพูดประชดขึ้นมาแบบขำๆ
“ฮ่าๆ แสดงว่าที่เราเก่งจนไม่มีใครเล่นด้วยสงสัยจะไม่ใช่แค่คำโกหกซะแล้วสิ” เพ็ญตอบในขณะที่ชู้ตลูกบาสลูกต่อไป ซ่วบ! ซึ่งก็เข้าอีก
หลังจบคาบพละ นักเรียนก็ต่างพากันไปเปลี่ยนชุด เซนยังคงจำได้อยู่เลย เมื่อสองปีที่แล้วโรงเรียนยังไม่มีนโยบายบังคับให้นักเรียนเอาชุดนักเรียนมาเปลี่ยนหลังคาบพละหรือหลังเล่นกีฬาเสร็จ ช่วงก่อนหน้านั้น กลิ่นฮอร์โมนที่ถูกเผาผลาญมันชั่งหอมจนอยากเป็นลมไปตั้งแต่สูดแรก เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เซนเดินไปหาอิทซึ่งเล่นแล็บท๊อปอยู่และเดินกลับห้องไปด้วยกัน
“อาจารย์ไม่เคยว่านายเลย กีฬาก็ไม่เล่น วอร์มอัพก็ไม่วอร์มนี่เป็นลูกเจ้าของโรงเรียนหรือช่วยบริจาคเงินรึป่าวเนี่ย” เซนบ่นขณะเดินกลับไปที่ห้องกับอิท
“โห่ ขอร้อง”
“แล้วเมื่อกี้ทำอะไรอะ เล่นเกมหรอ” เซนถามต่อ
“คำถามบางคำถามมันจะดีกว่าถ้าเราเลี่ยงที่จะตอบ” อิทตอบโดนไม่หันมามอง
“โอ้ นี่นายกล้าขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย นี่นายกล้าดูหนังอย่างว่ากลางโรงเรียนเลยหรอเนี่ย รู้นะว่านายกล้า แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นนี้” เซนทำเสียงซี้ดหลังพูดเสร็จ
“ไม่ดูหรอกระดับนี้ เราเน้นปฏิบัติ ไม่เน้นฝึกฝน” อิทตอบ เซนคิดว่าอิทคงพูดเล่นจึงเปลี่ยนเรื่องอื่น
“นายบอกว่าคำถามบางคำถามมันจะดีกว่าถ้าเราเลี่ยงที่จะตอบ เช่นคำถามว่าอะไรอะ”
“ก็อย่างเช่น เวลาผู้หญิงถามว่า ‘เราอ้วนไหม’ อย่างเนี้ย”
“หา? คำถามแบบนั้นตอบง่ายจะตาย ก็บอกว่าถึงอ้วนเราก็รักไง อิอิ”
อิทหยุดเดินและมองหน้าเซนว่า เขาซีเรียสไหมที่พูดแบบนั้น เมื่อเห็นเซนมองอย่างสงสัยว่าเขาหยุดเดินทำไม อิทก็ส่ายหัวแล้วบอกเซนว่า
“นี่นายยังไม่เข้าใจผู้หญิงเลยนะเนี่ย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ