เงารัก...อธิษฐาน[อ่านต่อจากตอนที่ 25 นะเออ]
9.8
เขียนโดย บุหงา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.04 น.
29 ตอน
6 วิจารณ์
35.18K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 12.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ตอนที่ 6 -100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ~6~
ได้เพียงแค่หลอกตัวเอง
5 ปีผ่านไป..............
สายลมครางอู้ อยู่รอบทิศ นกสายพันธ์เล็กๆ นานาชนิดส่งเสียงร้องแข่งกันระงมก้อง ผมสาวเท้าอันเหนื่อยล้าไปข้างหน้า ก้าวเดินแต่ละก้าวเหมือนจะสูบเอาพลังชีวิตของผมออกไปทีละเล็กทีละน้อย จำต้องหยุดพักพาตัวเองไปผิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน
แสงแดดอ่อนในยามเช้าไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย มันกลับทำให้ผมรู้สึกร้อนระอุในการเดินไปข้างหน้าเสียเหลือเกิน ทางเดินข้างหน้าล้วนแต่มีวัตถุทรงเจดีย์ ตั้งวางกันอยู่เรียงราย แต่สายตาของผมจับจ้องวัตถุทรงเจดีย์อยู่หลังหนึ่งมีเส้นทางเล็กๆให้ลัดเลาะพอไปยืนหรือนั่งบริเวณนั้นได้ มีผู้หญิงคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้ผมแต่ไกล ผมจึงยิ้มตอบเธอไปแต่มันดูจะเป็นยิ้มที่ฝืดเคืองเสียเหลือเกิน
ผมเดินเข้าไปหาเธอตามเส้นทางเล็กๆสายนั้นช้าๆ มือข้างหนึ่งของผมถือช่อดอกไม้สีขาวที่เธอชอบ มืออีกข้างถือสิ่งของสำคัญที่เคยสัญญาว่าจะมอบมันให้เธอให้ได้ ผมเอามันมาไว้แนบอก และนั่งลงชันเขาอยู่ต่อหน้าเธอ ผมเฝ้ามองเธอด้วยสายตาสำนึกผิดที่มันเต็มเปี่ยมอยู่เต็มหัวใจ ความเงียบเข้ามาครอบครอง มีแต่เพียงเสียงลมพัดเบาๆ มาเป็นระยะๆ เสียง
นกร้องเมื่อครู่อันตรธานไปหมดสิ้น ผมคล้องสิ่งของสำคัญไว้ใกล้ๆเธอ พร้อมกับวางช่อดอกไม้ไว้ข้างๆเธอ
“ดาว...ซันทำสำเร็จแล้วนะ ดูสิซันเอามันมาคล้องไว้ให้ดาวตามสัญญาแล้วนะ”
ผมกล่าวขึ้น แต่คนที่ผมคุยด้วยยังคงเงียบ และยิ้มให้ผมอยู่แบบนั้น รอยยิ้มที่สดใสของเธอมันฝั่งตรึงแน่นในจิตใจของผม ถึงแม้ผมจะห่างหายกับรอยยิ้มนี้ไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังคงจำมันได้ดี วันนี้ได้กลับมาพบอีกครั้งทำให้รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน อยู่ๆดวงตาของผมก็รื่นขึ้นด้วยน้ำตา
“ดาวซันขอโทษ ซันมันเลวใช่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอเลย เธอยังคงเงียบ และยิ้มให้ผมเช่นเดิม เธอไม่ยอมตอบผมกลับมายิ่งทำให้ผมใจเสียเพราะผมกำลังหลอกตัวเองคิดว่าเธอยังมีชีวิต ยังสามารถเดิน วิ่ง พูดได้ แต่เธอเป็นเพียงรูปถ่ายเล็กๆใบหนึ่งเท่านั้น รูปถ่ายตรงหน้ามันไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ และผมเองที่เป็นคนที่พรากเอาชีวิต และลมหายใจอันบริสุทธิ์ของเธอไป
ผมนั่งจ่อมจมอยู่กับความเงียบไปนานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาเบาๆแต่มั่นคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมผินหน้าไปมอง มองเธอคนนั้นด้วยสายตาเต็มไปด้วยแววตาสำนึกผิด
“อ้าวสวัสดีจ๊ะตาซัน มาเยี่ยมดาวเหรอลูก เป็นไงได้ข่าวว่าชนะการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาเหรอจ๊ะ”
เธอถามผมขึ้นด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต้มนิดๆที่มุมปาก แต่ผมเสียอีกที่ไม่กล้าสบตาเธอ ทำหน้าไม่ถูก ได้แต่เสก้มหน้าก้มตาลงเหมือนจะเอาหน้าไปฝังลงไว้กับดินตรงหน้าเลยทีเดียว
“ฮะ คุณน้า ผะ..ผมมาเยี่ยมดาว”
ผมตอบได้เท่านั้นแล้วเงียบไป ผมไม่กล้าสบตาเธอ ผมกำลังเป็นคนไร้มารยาทที่พูดกับผู้ที่สูงวัยกว่าแล้วไม่ยอมมองสบตา ผมควรจะสบตาเธอ แต่ผมทำไม่ได้ เพราะผมทำผิดกับเธอไว้
“อ้าวแล้วนั้นเหรียญทองของซันนี่นา เอามาให้ดาวเหรอ น้าว่าน่าเสียดายนะ ซันเก็บไว้เถอะ ดาวเขาชื่นชมกับมันไม่ได้แล้วละ”
เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ตะ..แต่ผมตั้งใจเอามาให้ดาวตามที่เคยสัญญากับเธอไว้ ผมอยากเอามันเก็บไว้กับเธอครับคุณน้า”
น้ำเสียงของผมตอบเธอไปด้วยอาการตะกุกกะกัก
“เอางั้นเหรอ แล้วแต่ซันแล้วกันจ๊ะ”
“ครับ งั้นผมขอตัวแล้วกันครับ”
ผมกล่าว และลุกขึ้นเดินจากมาทันทีโดยไม่ฟังคำตอบรับจากร่างบอบบางที่ยืนอยู่เบื้องหลังผมเลยแม้แต่น้อย
“มันจะมีประโยชน์อะไรละซัน ดาวเขาไม่อยู่แล้ว เขาไม่รับรู้ด้วยหรอก กับความรู้สึกสำนึกผิดบาปของซัน ตอนเขามีชีวิตอยู่ ทำไมนะทำไมไม่รั้งเขาไว้ละ”
พูดไปแล้วเราเองก็น่าจะถามตัวเองด้วยเช่นกันว่าทำไมไม่รั้งไว้ละ ไม่รั้งทั้งเรื่องของดาว และเขาคนนั้น คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของเด็กคนนี้ที่กำลังยิ้มให้เธออยู่ตรงหน้าเธอนี่ละประกายฝัน ทำไม..ทำไม
ผมวิ่ง..และวิ่งมาเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าผมวิ่งหนีมันไม่พ้นหรอก หนีมันไม่พ้นจริงๆ คนที่โง่งมอย่างผมสมควรแล้วละที่จะต้องจมอยู่กับความเจ็บปวด..ไปตลอดชีวิต แต่ผมอยากวิ่ง วิ่งไปให้พ้น...ผมเคยมีความรู้สึกสมเพช เวทนาต่อดาว กรรมมันตามมาสนองผม มันส่งสายตาสมเพช เวทนาแบบนั้นย้อนคืนมาให้ผมแล้ว ผมจึงวิ่ง วิ่งหนีมันมาให้ไกล หนีจากสายตาที่อยู่ตรงนั้น สายตาที่ช่างเหมือนกันเหลือเกิน เหมือนกับดาว เพราะเธอคนนั้นเป็นแม่ของดาวเอง
ผมวิ่งไปสักพักกลับรู้สึกเหนื่อยหอบทั้งกาย และใจ ทั้งที่ผมเคยวิ่ง วิ่งได้ไกลมากกว่านี้เป็นสิบเท่ายังไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แต่ตอนนี้ผมกำลังพ่ายแพ้ พ่ายแพ้ต่อแรงใจที่ลดน้อยถอยลงทุกที และต่อมาก็ต้องทรุดตัวลงนอนแผ่หลาอยู่ที่แห่งหนึ่งในความทรงจำ มันเคยเป็นลานกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงสวน และมีบ้านหลังหนึ่งปลูกขึ้นบดบังทัศนียภาพอันเก่าก่อนไปหมดสิ้น ไม่เหลือแล้วสถานที่แห่งความทรงจำที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่สดใสที่ยังคงตรึงตา ตรึงใจผมอยู่เสมอ
“ดาว!”
ผมครางชื่อของเธออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด จวนเจียนจะรับมันได้ไม่ไหวอยู่แล้ว...แล้วจากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย…….
อรุณรุ่งที่เยือนมาถึงผมนั่งเฝ้ามองต้นไม้แห่งความทรงจำอยู่หน้าชานบ้าน ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เศร้า สุขใจ แต่ดูเหมือนมันจะ
เศร้ามากกว่าสุขเป็นไหนๆ ผมทอดถอนใจกับการตัดสินใจ...ผมจะอยู่ที่นี้ อยู่กับดาว ตอนที่ผมไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ผมรู้สึกอึดอัดจนแทบ
หายใจไม่ออก ที่ต้องอยู่ห่างไกลกับดาว
“ซันลูก เพื่อนซันโทรมาจ๊ะ ตกลงว่าไงจะไปทำงานที่ซันเคยบอกแม่ไว้รึเปล่า?”
“ไม่แน่ใจครับ”
ผมพูดขึ้นพร้อมกับรับโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจากมือของแม่ แล้วเอามาแนบกับหูของตัวเอง จากนั้นก็กรอกเสียงลงไป
“สวัสดีครับ”
[เฮ้ซัน นี่ฉันดินเองนะ]
“อ้อ! แล้วนายมีอะไรละ?”
[อ้าวนี่ลืมไปแล้วหรือครับคุณซัน กระผมเคยบอกคุณซันไปแล้วนี่ครับว่า พวกเรามีนัดอะไรกัน]
“ไม่ไป!”
ผมรีบปฏิเสธทันที เพราะไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ผมไม่อยากจากไปไหนทั้งนั้น เพราะดาวอยู่ที่นี้ผมจะไม่ไปไหนคราวที่แล้วที่ผมไป ก็แค่ไปทำตามคำสัญญาที่เคยไว้ให้กับดาวเท่านั้น
[เสียใจวะพวกฉันยกโขยงมาถึงหน้าบ้านแกแล้ววะไอ้ซัน แกรีบเก็บของได้แล้ว ฉันขออนุญาตแม่แกให้แล้ว ถ้าพวกฉันเข้าไปแล้วนายยังอิดออดละก็ กระผมนายดินคนนี้จะให้นายพัทสุดหล่อกับไอ้กระทิงเอ๊ยไอ้ทิมบึกบึนไปลากแกขึ้นรถ]
ดินพูดเพียงเท่านั้นก็วางสายไป ทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ไอ้เพื่อนพวกนี้มันจะอะไรหนักหนา ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยแต่ที่ไอ้ดินพูดมันก็ถูก
‘ซัน นายอย่าอยู่ที่นี้เลยวะ มันไม่ดีสำหรับนายหรอก เรื่องนั้นนายลืมมันไปซะเถอะ ถึงนายจะเสียใจไป นายก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วละ ชีวิตนายมันต้องเดินต่อไปข้างหน้านะ... นายลืมดาวไปซะเถอะ’
แต่จะให้ผมลืมดาวเหรอ ผมทำไม่ได้เพราะผม...ผมรักเธอจริงๆ และมารู้สึกตัวเมื่อเธอจากไปแล้ว อย่างว่าคนเราสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เวลาที่สิ่งนั้นมันอยู่ใกล้ตัวมักจะมองไม่เห็นคุณค่า แต่พอเราสูญเสียมันไปแล้วถึงจะรู้สึกตัวว่ามันมีค่าต่อเรามากแค่ไหน
ตอนนี้ต่อให้ตะโกนบอกฟ้าไปมากเท่าไรว่า... ผมไม่สนใจแล้วไอ้คำล้อเลียนไร้สาระนั่น ส่งดาวกลับมาหาผมเถอะ ส่งเธอกลับมาหาผม ส่งเธอกลับมา ส่งเธอกลับมา...
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ผมไม่ได้รักน้ำหวานสักนิด ผมแค่หลงที่เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ถ้าหากจะเทียบกันแล้ว ดาวของผมเธอสวยกว่า และดีกว่าน้ำหวานเสียอีก
แต่ผม...ผมมันโง่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนหลอกใช่ผมถูกน้ำหวานหลอก ไม่ได้มีแค่เรื่องข้าวกล่องที่เนปจูนเคยเล่าให้ผมฟังหรอกนะ มันมีมากกว่านั้น ผมมันโง่จริงๆ โง่จนไม่น่าให้อภัย
ได้เพียงแค่หลอกตัวเอง
5 ปีผ่านไป..............
สายลมครางอู้ อยู่รอบทิศ นกสายพันธ์เล็กๆ นานาชนิดส่งเสียงร้องแข่งกันระงมก้อง ผมสาวเท้าอันเหนื่อยล้าไปข้างหน้า ก้าวเดินแต่ละก้าวเหมือนจะสูบเอาพลังชีวิตของผมออกไปทีละเล็กทีละน้อย จำต้องหยุดพักพาตัวเองไปผิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน
แสงแดดอ่อนในยามเช้าไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย มันกลับทำให้ผมรู้สึกร้อนระอุในการเดินไปข้างหน้าเสียเหลือเกิน ทางเดินข้างหน้าล้วนแต่มีวัตถุทรงเจดีย์ ตั้งวางกันอยู่เรียงราย แต่สายตาของผมจับจ้องวัตถุทรงเจดีย์อยู่หลังหนึ่งมีเส้นทางเล็กๆให้ลัดเลาะพอไปยืนหรือนั่งบริเวณนั้นได้ มีผู้หญิงคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้ผมแต่ไกล ผมจึงยิ้มตอบเธอไปแต่มันดูจะเป็นยิ้มที่ฝืดเคืองเสียเหลือเกิน
ผมเดินเข้าไปหาเธอตามเส้นทางเล็กๆสายนั้นช้าๆ มือข้างหนึ่งของผมถือช่อดอกไม้สีขาวที่เธอชอบ มืออีกข้างถือสิ่งของสำคัญที่เคยสัญญาว่าจะมอบมันให้เธอให้ได้ ผมเอามันมาไว้แนบอก และนั่งลงชันเขาอยู่ต่อหน้าเธอ ผมเฝ้ามองเธอด้วยสายตาสำนึกผิดที่มันเต็มเปี่ยมอยู่เต็มหัวใจ ความเงียบเข้ามาครอบครอง มีแต่เพียงเสียงลมพัดเบาๆ มาเป็นระยะๆ เสียง
นกร้องเมื่อครู่อันตรธานไปหมดสิ้น ผมคล้องสิ่งของสำคัญไว้ใกล้ๆเธอ พร้อมกับวางช่อดอกไม้ไว้ข้างๆเธอ
“ดาว...ซันทำสำเร็จแล้วนะ ดูสิซันเอามันมาคล้องไว้ให้ดาวตามสัญญาแล้วนะ”
ผมกล่าวขึ้น แต่คนที่ผมคุยด้วยยังคงเงียบ และยิ้มให้ผมอยู่แบบนั้น รอยยิ้มที่สดใสของเธอมันฝั่งตรึงแน่นในจิตใจของผม ถึงแม้ผมจะห่างหายกับรอยยิ้มนี้ไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังคงจำมันได้ดี วันนี้ได้กลับมาพบอีกครั้งทำให้รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน อยู่ๆดวงตาของผมก็รื่นขึ้นด้วยน้ำตา
“ดาวซันขอโทษ ซันมันเลวใช่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอเลย เธอยังคงเงียบ และยิ้มให้ผมเช่นเดิม เธอไม่ยอมตอบผมกลับมายิ่งทำให้ผมใจเสียเพราะผมกำลังหลอกตัวเองคิดว่าเธอยังมีชีวิต ยังสามารถเดิน วิ่ง พูดได้ แต่เธอเป็นเพียงรูปถ่ายเล็กๆใบหนึ่งเท่านั้น รูปถ่ายตรงหน้ามันไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ และผมเองที่เป็นคนที่พรากเอาชีวิต และลมหายใจอันบริสุทธิ์ของเธอไป
ผมนั่งจ่อมจมอยู่กับความเงียบไปนานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาเบาๆแต่มั่นคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมผินหน้าไปมอง มองเธอคนนั้นด้วยสายตาเต็มไปด้วยแววตาสำนึกผิด
“อ้าวสวัสดีจ๊ะตาซัน มาเยี่ยมดาวเหรอลูก เป็นไงได้ข่าวว่าชนะการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาเหรอจ๊ะ”
เธอถามผมขึ้นด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต้มนิดๆที่มุมปาก แต่ผมเสียอีกที่ไม่กล้าสบตาเธอ ทำหน้าไม่ถูก ได้แต่เสก้มหน้าก้มตาลงเหมือนจะเอาหน้าไปฝังลงไว้กับดินตรงหน้าเลยทีเดียว
“ฮะ คุณน้า ผะ..ผมมาเยี่ยมดาว”
ผมตอบได้เท่านั้นแล้วเงียบไป ผมไม่กล้าสบตาเธอ ผมกำลังเป็นคนไร้มารยาทที่พูดกับผู้ที่สูงวัยกว่าแล้วไม่ยอมมองสบตา ผมควรจะสบตาเธอ แต่ผมทำไม่ได้ เพราะผมทำผิดกับเธอไว้
“อ้าวแล้วนั้นเหรียญทองของซันนี่นา เอามาให้ดาวเหรอ น้าว่าน่าเสียดายนะ ซันเก็บไว้เถอะ ดาวเขาชื่นชมกับมันไม่ได้แล้วละ”
เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ตะ..แต่ผมตั้งใจเอามาให้ดาวตามที่เคยสัญญากับเธอไว้ ผมอยากเอามันเก็บไว้กับเธอครับคุณน้า”
น้ำเสียงของผมตอบเธอไปด้วยอาการตะกุกกะกัก
“เอางั้นเหรอ แล้วแต่ซันแล้วกันจ๊ะ”
“ครับ งั้นผมขอตัวแล้วกันครับ”
ผมกล่าว และลุกขึ้นเดินจากมาทันทีโดยไม่ฟังคำตอบรับจากร่างบอบบางที่ยืนอยู่เบื้องหลังผมเลยแม้แต่น้อย
“มันจะมีประโยชน์อะไรละซัน ดาวเขาไม่อยู่แล้ว เขาไม่รับรู้ด้วยหรอก กับความรู้สึกสำนึกผิดบาปของซัน ตอนเขามีชีวิตอยู่ ทำไมนะทำไมไม่รั้งเขาไว้ละ”
พูดไปแล้วเราเองก็น่าจะถามตัวเองด้วยเช่นกันว่าทำไมไม่รั้งไว้ละ ไม่รั้งทั้งเรื่องของดาว และเขาคนนั้น คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของเด็กคนนี้ที่กำลังยิ้มให้เธออยู่ตรงหน้าเธอนี่ละประกายฝัน ทำไม..ทำไม
ผมวิ่ง..และวิ่งมาเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าผมวิ่งหนีมันไม่พ้นหรอก หนีมันไม่พ้นจริงๆ คนที่โง่งมอย่างผมสมควรแล้วละที่จะต้องจมอยู่กับความเจ็บปวด..ไปตลอดชีวิต แต่ผมอยากวิ่ง วิ่งไปให้พ้น...ผมเคยมีความรู้สึกสมเพช เวทนาต่อดาว กรรมมันตามมาสนองผม มันส่งสายตาสมเพช เวทนาแบบนั้นย้อนคืนมาให้ผมแล้ว ผมจึงวิ่ง วิ่งหนีมันมาให้ไกล หนีจากสายตาที่อยู่ตรงนั้น สายตาที่ช่างเหมือนกันเหลือเกิน เหมือนกับดาว เพราะเธอคนนั้นเป็นแม่ของดาวเอง
ผมวิ่งไปสักพักกลับรู้สึกเหนื่อยหอบทั้งกาย และใจ ทั้งที่ผมเคยวิ่ง วิ่งได้ไกลมากกว่านี้เป็นสิบเท่ายังไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แต่ตอนนี้ผมกำลังพ่ายแพ้ พ่ายแพ้ต่อแรงใจที่ลดน้อยถอยลงทุกที และต่อมาก็ต้องทรุดตัวลงนอนแผ่หลาอยู่ที่แห่งหนึ่งในความทรงจำ มันเคยเป็นลานกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงสวน และมีบ้านหลังหนึ่งปลูกขึ้นบดบังทัศนียภาพอันเก่าก่อนไปหมดสิ้น ไม่เหลือแล้วสถานที่แห่งความทรงจำที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่สดใสที่ยังคงตรึงตา ตรึงใจผมอยู่เสมอ
“ดาว!”
ผมครางชื่อของเธออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด จวนเจียนจะรับมันได้ไม่ไหวอยู่แล้ว...แล้วจากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย…….
อรุณรุ่งที่เยือนมาถึงผมนั่งเฝ้ามองต้นไม้แห่งความทรงจำอยู่หน้าชานบ้าน ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เศร้า สุขใจ แต่ดูเหมือนมันจะ
เศร้ามากกว่าสุขเป็นไหนๆ ผมทอดถอนใจกับการตัดสินใจ...ผมจะอยู่ที่นี้ อยู่กับดาว ตอนที่ผมไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ผมรู้สึกอึดอัดจนแทบ
หายใจไม่ออก ที่ต้องอยู่ห่างไกลกับดาว
“ซันลูก เพื่อนซันโทรมาจ๊ะ ตกลงว่าไงจะไปทำงานที่ซันเคยบอกแม่ไว้รึเปล่า?”
“ไม่แน่ใจครับ”
ผมพูดขึ้นพร้อมกับรับโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจากมือของแม่ แล้วเอามาแนบกับหูของตัวเอง จากนั้นก็กรอกเสียงลงไป
“สวัสดีครับ”
[เฮ้ซัน นี่ฉันดินเองนะ]
“อ้อ! แล้วนายมีอะไรละ?”
[อ้าวนี่ลืมไปแล้วหรือครับคุณซัน กระผมเคยบอกคุณซันไปแล้วนี่ครับว่า พวกเรามีนัดอะไรกัน]
“ไม่ไป!”
ผมรีบปฏิเสธทันที เพราะไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ผมไม่อยากจากไปไหนทั้งนั้น เพราะดาวอยู่ที่นี้ผมจะไม่ไปไหนคราวที่แล้วที่ผมไป ก็แค่ไปทำตามคำสัญญาที่เคยไว้ให้กับดาวเท่านั้น
[เสียใจวะพวกฉันยกโขยงมาถึงหน้าบ้านแกแล้ววะไอ้ซัน แกรีบเก็บของได้แล้ว ฉันขออนุญาตแม่แกให้แล้ว ถ้าพวกฉันเข้าไปแล้วนายยังอิดออดละก็ กระผมนายดินคนนี้จะให้นายพัทสุดหล่อกับไอ้กระทิงเอ๊ยไอ้ทิมบึกบึนไปลากแกขึ้นรถ]
ดินพูดเพียงเท่านั้นก็วางสายไป ทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ไอ้เพื่อนพวกนี้มันจะอะไรหนักหนา ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยแต่ที่ไอ้ดินพูดมันก็ถูก
‘ซัน นายอย่าอยู่ที่นี้เลยวะ มันไม่ดีสำหรับนายหรอก เรื่องนั้นนายลืมมันไปซะเถอะ ถึงนายจะเสียใจไป นายก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วละ ชีวิตนายมันต้องเดินต่อไปข้างหน้านะ... นายลืมดาวไปซะเถอะ’
แต่จะให้ผมลืมดาวเหรอ ผมทำไม่ได้เพราะผม...ผมรักเธอจริงๆ และมารู้สึกตัวเมื่อเธอจากไปแล้ว อย่างว่าคนเราสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เวลาที่สิ่งนั้นมันอยู่ใกล้ตัวมักจะมองไม่เห็นคุณค่า แต่พอเราสูญเสียมันไปแล้วถึงจะรู้สึกตัวว่ามันมีค่าต่อเรามากแค่ไหน
ตอนนี้ต่อให้ตะโกนบอกฟ้าไปมากเท่าไรว่า... ผมไม่สนใจแล้วไอ้คำล้อเลียนไร้สาระนั่น ส่งดาวกลับมาหาผมเถอะ ส่งเธอกลับมาหาผม ส่งเธอกลับมา ส่งเธอกลับมา...
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ผมไม่ได้รักน้ำหวานสักนิด ผมแค่หลงที่เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ถ้าหากจะเทียบกันแล้ว ดาวของผมเธอสวยกว่า และดีกว่าน้ำหวานเสียอีก
แต่ผม...ผมมันโง่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนหลอกใช่ผมถูกน้ำหวานหลอก ไม่ได้มีแค่เรื่องข้าวกล่องที่เนปจูนเคยเล่าให้ผมฟังหรอกนะ มันมีมากกว่านั้น ผมมันโง่จริงๆ โง่จนไม่น่าให้อภัย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ