เงารัก...อธิษฐาน[อ่านต่อจากตอนที่ 25 นะเออ]
9.8
เขียนโดย บุหงา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.04 น.
29 ตอน
6 วิจารณ์
35.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 12.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ตอนที่ 5-100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ~5~
สายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
งานศพของดาวเพิ่งจะเรียบร้อยไปเมื่อวาน งานศพที่ไม่มีศพ แม้แต่นิติเวทก็พิสูจน์ไม่ได้ เพราะรถที่ระเบิดเป็นจุล ไม่มีอะไรหลงเหลือไว้เลย ผมไปงานศพเธอในวันสุดท้าย ทีแรกผมไม่อยากไปด้วยซ้ำ แต่ผมทนฟังคำรบเร้าของแม่ไม่ไหว ผมจึงต้องไปอย่างเสียไม่ได้
พอกลับมาจากงานศพของดาวแล้ว ผมก็มานั่งคิดถึงเรื่องเก่าๆระหว่างเราสองคน รอยยิ้มของดาว...รอยยิ้มที่ใสซื่อ...รอยยิ้มที่ดูจริงใจ ผมเคยหลงรักรอยยิ้มนั้นของเธอ และทุกอย่างในตัวเธอตอนเด็กๆ ก่อนที่เธอจะประสบอุบัติเหตุ...
ตอนนี้เหมือนรอยอุ่นๆ ในใจมันวิ่งวาบขึ้นมา อยู่ๆก็คิดถึงเธอ และก็นึกได้ว่าเธอเคยให้หนังสือเล่มหนึ่งกับผม คะยั้นคะยอให้ผมอ่านให้ได้เสียเหลือเกิน
ผมจึงลุกขึ้นหาหนังสือเล่มนั้น ผมตามหามันจนทั่ว แต่ก็ไม่พบเลย ด้วยความเหนื่อยที่ผมเดินขึ้นลงบันไดบ้านไปทั่วเพื่อหาหนังสือเล่มนั้น ผมจึงฟุบตัวลงนอนกับพื้นห้อง และก็นอนตะแคงไปมาเพราะหายใจไม่สะดวก บังเอิญสายตาเหลือบไปพบหนังสือปกสีดำเล่มหนึ่งกางหน้าคว่ำอยู่ใต้เตียงนอนของผม ผมจึงรีบเอื้อมมือไปคว้ามันมาทันที
ผมเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อพลิกหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดูในท่าที่หงายขึ้น ปรากฏว่ามันกางหน้าคว่ำไว้ที่หน้าร้อยเจ็ดสิบเก้า เหลือบสายตาลงต่ำอีกนิด ใต้หมายเลขหน้าแลเห็น ลายมือตัวบรรจงสวยงาม มองแค่แวบเดียวผมก็จำได้ว่ามันคือตัวหนังสือของดาว และข้อความที่ปรากฏนั้นทำให้หัวใจของผมสั่นสะท้าน อุณหภูมิในร่างกายลดลงอย่างฉับพลัน ขอบตาร้อนผ่าว ก้อนสะอื้นโถมขึ้นมาจุกที่คอ ม่านน้ำตาเอ่อคลอหน่วยตาของผม ทำให้ข้อความนั้นพร่าพรายต่อสายตา..แต่ข้อความนั้นมันยังคงชัดเจน ฝั่งอยู่ในสมองของผม..
. ซันฉันรักนาย...
“ดะ..ดาว”
ผมเอ่ยชื่อของเธอออกมาด้วยอาการปากสั่นคอสั่นไปหมด หัวใจของผมเจ็บปวดรุนแรง เหมือนมีใครบางคนกำลังบีบหัวใจของผมให้แหลกยับคามือ ในหัวย้อนทบทวนไปถึงวันที่ผมพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ ตรงทางเดินหน้าโรงเรียนในวันที่ฝนตกหนัก...
ผมเตะเท้าเต็มแรง ส่งผลให้โคลนปนน้ำฝนกระเซ็นไปปะทะใบหน้าของเธอ...เธอสะดุ้งวาบ หลับตาลง จากนั้นก็เบี่ยงหน้าหลบ และอีกหลากหลายความทรงจำที่ซ้อนทับกันอยู่ภายในใจของผมก็ผุดขึ้นมาอีกฉาก คล้ายกับคนมากรอเทปฉายภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำ
ผมพยายามยื้อจนสุดเรียวสุดแรง พยายามเอื้อมคว้า...จนสุดปลายมือ ทั้งหมดที่ผมวาดหวังไว้ก็เพียงเพื่อจะเหนี่ยว
รั้งให้ดาวอยู่เคียงข้างกับผมตลอดไป...
วินาทีนั้น...จวบจนถึงวินาทีนี้.......ผมสามารถเยื้อเธอไว้ได้แล้วแท้ๆ แต่ผมกลับปล่อยเธอจากผมไป...เธอจากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ
“ซันลูก...เพื่อนมาหาแหนะ”
เสียงแม่ของผมดังขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“ครับ”
ผมตอบรับพลางลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องจับขอบเตียงเอาไว้ เพราะเกิดอาการเซวูบ...ตั้งตัวได้สักพักก็เดินออกจากห้องไปด้วยสมองอันว่างเปล่า
ผมเดินลงบันอย่างคนเลื่อนลอย ต้องจับราวบันไดไว้เพื่อประคองขาตัวเองที่จู่ๆก็หมดเรียวแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนผมขึ้นลงบันไดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งราวบันไดด้วยซ้ำ
“เฮ้ ซัน”
เสียงเนปจูนที่โซฟาดังขึ้น ในขณะที่ผมยืนอยู่บันไดขั้นสุดท้าย ผมยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่คิดจะก้าวเท้าออกไปไหน เมื่อเนปจูนเห็นว่าผมยังไม่ยอมเดินไปหาตามเสียงเรียกเขาสักที เขาจึงเป็นฝ่ายเดินมาหาผมเอง
ผมรู้สึกไม่อยากคุยกับใครในตอนนี้จึงกล่าวกับเนปจูนไปว่า...
“ฉันไม่ว่าง นายมีอะไรไว้ค่อยคุยกันวันหลังแล้วกัน..”
พูดจบผมก็ทำท่าจะเดินกลับขึ้นบันไดไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักด้วยคำพูดของเนปจูน
“ข้าวกล่อง! คำ ๆ นี้มันพอจะทำให้นายว่างได้ยัง”
ผมหันกลับมา เพราะงุนงงกับคำพูดของเนปจูน
“ข่าวกล่องไรวะ...”
ผมพูดจบเนปจูนก็แสยะยิ้มใส่ผม แต่หากว่าผมทำเป็นไม่สนใจเสีย... เพราะสนใจเรื่องข้าวกล่องมากกว่า ไม่ได้คิดจะสนใจรอยยิ้มของเนปจูนสักเท่าไร
“ไปที่โซฟาดิ ฉันขี้เกียจเงยหน้าพูด มันเมื่อยคอ”
ผมก็ไม่ได้สูงกว่าเนปจูนมันหรอก เผลอๆสูงเท่ากันด้วยซ้ำไป เพราะเป็นนักกีฬาด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมยืนอยู่บนบันไดจึงทำให้สูงกว่าเนปจูนเท่านั้นเอง
เนปจูนเป็นนักกีฬาเทควันโด บวกกับหน้าตาหล่อเหลา สาวๆเลยพากันกรี๊ดเขาหลายคน แต่ผมไม่เห็นมันคบกับใครเลยสักคน แถมเมื่อก่อนยังเดินตามติดผมกับดาวแจเลย...
“เออ! ก็ไปดิ ขวางอยู่ทำหอกหักอะไร”
เมื่อนึกถึงตอนที่เนปจูนคอยเอาใจใส่ดาวต่อหน้าผมขึ้นมา ทำให้ผมหงุดหงิด พูดพาลหาเรื่องไอ้เนปจูนขึ้นมาเสียเฉยๆ...
เนปจูนกลับไปนานแล้ว แต่ผมยังนั่งซึมอยู่ที่โซฟาเช่นเดิมด้วยความปวดร้าว หายใจเข้าในแต่ละครั้งรู้สึกเจ็บจี๊ด ที่หัวใจ...อยากรู้ไหม
ว่าทำไมผมถึงมีสภาพน่าสมเพชหนักกว่าเก่า หึ...
พอนั่งลงที่โซฟาไอ้บ้าเนปจูนมันก็เริ่มพล่ามเรื่องของดาวทันที...มันไม่รู้รึไงว่าผมกำลังเจ็บปวดจะตอกย้ำกันไปถึงไหนวะห้ะ สุดจะทนแล้วนะโว้ย...แต่ก่อนที่ผมจะตบะแตกไอ้นี้ก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมอึ้ง
“ฉันหลงรักดาววะ”
เนปจูนพูดขึ้นด้วยสายตาเลื่อนลอยไปไกล
“ฉันมันเห็นแก่ตัว อยากได้ดาวมาครอบครองหลงคิดไปเองว่า...ดาวเสียใจเรื่องของนายแล้วจะตัดใจจากนายได้ ไม่คิดเข้าไปช่วย ปล่อยให้นายด่าว่าเธอสาดเสียเทเสีย ทั้งที่เธอไม่ได้เป็นคนทำ ไม่งั้นดาวคงไม่.....เฮ้อ ยัยมารยาน้ำหวาน ขอเรียกยัยนี้แบบนี้แล้วกัน เพราะไม่เคยเห็นใครตีหน้าพูดได้ใสซื่อเท่ายัยนี้มาก่อน...”
เขาหยุดพูดไปสักพักและเริ่มพูดต่อ
“นายอยากรู้เรื่องทั้งหมดไหม เรื่องข้าวกล่องน่ะ ถึงแม้มันจะสายไปแล้ว แต่นายก็ไม่ควรเข้าใจดาวผิด เพราะดาว
เป็นผู้หญิงที่งดงาม...ทั้งใจ และกาย.......วันนั้นวันที่นายไปพบอาจารย์เพื่อยื่นใบสมัครแข่งวิ่งระดับเขต เพราะต้องเตรียมคัดตัวเข้าร่วมทีมชาติ.... น้ำหวานทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านายไม่อยู่ แต่ก็เดินเข้าไปฝากข้าวกล่องไว้กับดาว แต่ไม่ได้ฝากเฉยๆ หรอกนะ เธอกลับเอาข้าวกล่องราดใส่หัวดาว จนตัวดาวเปื้อนไปหมด ฉันเห็นเข้า แต่ก็เข้าไปช่วยเธอไม่ทัน ได้แต่มองตาน้ำหวานด้วยสายตาชิงชัง พอยัยน้ำหวานเดินออกไปแล้ว ฉันจึงบอกกับดาวว่าเรื่องนี้ต้องบอกนายให้รู้เรื่อง เพราะเขาเป็นแฟนกัน ให้พูดตักเตือนกันเอง แต่เธอกลับนั่งร้องไห้ และบอกว่า...”
เนปจูนเงียบไปอีกครั้งบังเกิดความอัดอันขึ้นในใจของผมทันที...ผมไม่อยากจะฟังต่อ แต่ก็พยายามฝืน
“ไม่ต้องปล่อยเขาไปเถอะ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องของเขาแล้ว ฉันจะไม่ยุ่งกับซันแล้ว”
ผมแทบนั่งไม่ติด เหมือนโซฟาที่ผมนั่งอยู่มันช่างร้อนเหลือเกิน ร้อนไปหมด ร้อนด้วยความรู้สึกสับสน และทรมาน
“ เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันรู้สึกดีใจขึ้นมาเลยปิดปากเงียบ ตกเย็นที่ดาวกำลังจะกลับบ้าน ฉันโดดซ้อมกีฬาเพื่ออยากชวนดาวกลับบ้านด้วยกัน ฉันเห็นนายกับดาวทะเลาะกันเข้าพอดี แต่ก็ไม่เข้าไปห้ามได้แต่ยืนดูอยู่เงียบๆ เพราะฉันมันเห็นแก่ตัว...หลงคิดไปว่าดาวจะตัดใจจากนายได้ และฉันจะเป็นคนดูแลเธอเอง แต่ก็ไม่นึกว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้........”
ผมทอดสายตาอย่างหมดอาลัยตายอยากไปข้างหน้า ภาพที่เห็นมันวางเปล่าดูเลือนรางเหลือเกิน เธอจากไปแล้ว จากไปพร้อมกับความรู้สึกผิดบาปที่กำลังเกิดขึ้นในใจของผม มันจะเป็นตราบาปที่กัดกินใจไปตลอดชีวิต ผมน่าจะรู้ว่าดาวเป็นคนยังไง ไม่เชื่อใจเธอ กลับไปหลงเชื่อใจไอ้คนที่คบกันได้ไม่นาน.......ผมมันเลวจริงๆ
สายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
งานศพของดาวเพิ่งจะเรียบร้อยไปเมื่อวาน งานศพที่ไม่มีศพ แม้แต่นิติเวทก็พิสูจน์ไม่ได้ เพราะรถที่ระเบิดเป็นจุล ไม่มีอะไรหลงเหลือไว้เลย ผมไปงานศพเธอในวันสุดท้าย ทีแรกผมไม่อยากไปด้วยซ้ำ แต่ผมทนฟังคำรบเร้าของแม่ไม่ไหว ผมจึงต้องไปอย่างเสียไม่ได้
พอกลับมาจากงานศพของดาวแล้ว ผมก็มานั่งคิดถึงเรื่องเก่าๆระหว่างเราสองคน รอยยิ้มของดาว...รอยยิ้มที่ใสซื่อ...รอยยิ้มที่ดูจริงใจ ผมเคยหลงรักรอยยิ้มนั้นของเธอ และทุกอย่างในตัวเธอตอนเด็กๆ ก่อนที่เธอจะประสบอุบัติเหตุ...
ตอนนี้เหมือนรอยอุ่นๆ ในใจมันวิ่งวาบขึ้นมา อยู่ๆก็คิดถึงเธอ และก็นึกได้ว่าเธอเคยให้หนังสือเล่มหนึ่งกับผม คะยั้นคะยอให้ผมอ่านให้ได้เสียเหลือเกิน
ผมจึงลุกขึ้นหาหนังสือเล่มนั้น ผมตามหามันจนทั่ว แต่ก็ไม่พบเลย ด้วยความเหนื่อยที่ผมเดินขึ้นลงบันไดบ้านไปทั่วเพื่อหาหนังสือเล่มนั้น ผมจึงฟุบตัวลงนอนกับพื้นห้อง และก็นอนตะแคงไปมาเพราะหายใจไม่สะดวก บังเอิญสายตาเหลือบไปพบหนังสือปกสีดำเล่มหนึ่งกางหน้าคว่ำอยู่ใต้เตียงนอนของผม ผมจึงรีบเอื้อมมือไปคว้ามันมาทันที
ผมเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อพลิกหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดูในท่าที่หงายขึ้น ปรากฏว่ามันกางหน้าคว่ำไว้ที่หน้าร้อยเจ็ดสิบเก้า เหลือบสายตาลงต่ำอีกนิด ใต้หมายเลขหน้าแลเห็น ลายมือตัวบรรจงสวยงาม มองแค่แวบเดียวผมก็จำได้ว่ามันคือตัวหนังสือของดาว และข้อความที่ปรากฏนั้นทำให้หัวใจของผมสั่นสะท้าน อุณหภูมิในร่างกายลดลงอย่างฉับพลัน ขอบตาร้อนผ่าว ก้อนสะอื้นโถมขึ้นมาจุกที่คอ ม่านน้ำตาเอ่อคลอหน่วยตาของผม ทำให้ข้อความนั้นพร่าพรายต่อสายตา..แต่ข้อความนั้นมันยังคงชัดเจน ฝั่งอยู่ในสมองของผม..
. ซันฉันรักนาย...
“ดะ..ดาว”
ผมเอ่ยชื่อของเธอออกมาด้วยอาการปากสั่นคอสั่นไปหมด หัวใจของผมเจ็บปวดรุนแรง เหมือนมีใครบางคนกำลังบีบหัวใจของผมให้แหลกยับคามือ ในหัวย้อนทบทวนไปถึงวันที่ผมพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ ตรงทางเดินหน้าโรงเรียนในวันที่ฝนตกหนัก...
ผมเตะเท้าเต็มแรง ส่งผลให้โคลนปนน้ำฝนกระเซ็นไปปะทะใบหน้าของเธอ...เธอสะดุ้งวาบ หลับตาลง จากนั้นก็เบี่ยงหน้าหลบ และอีกหลากหลายความทรงจำที่ซ้อนทับกันอยู่ภายในใจของผมก็ผุดขึ้นมาอีกฉาก คล้ายกับคนมากรอเทปฉายภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำ
ผมพยายามยื้อจนสุดเรียวสุดแรง พยายามเอื้อมคว้า...จนสุดปลายมือ ทั้งหมดที่ผมวาดหวังไว้ก็เพียงเพื่อจะเหนี่ยว
รั้งให้ดาวอยู่เคียงข้างกับผมตลอดไป...
วินาทีนั้น...จวบจนถึงวินาทีนี้.......ผมสามารถเยื้อเธอไว้ได้แล้วแท้ๆ แต่ผมกลับปล่อยเธอจากผมไป...เธอจากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ
“ซันลูก...เพื่อนมาหาแหนะ”
เสียงแม่ของผมดังขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“ครับ”
ผมตอบรับพลางลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องจับขอบเตียงเอาไว้ เพราะเกิดอาการเซวูบ...ตั้งตัวได้สักพักก็เดินออกจากห้องไปด้วยสมองอันว่างเปล่า
ผมเดินลงบันอย่างคนเลื่อนลอย ต้องจับราวบันไดไว้เพื่อประคองขาตัวเองที่จู่ๆก็หมดเรียวแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนผมขึ้นลงบันไดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งราวบันไดด้วยซ้ำ
“เฮ้ ซัน”
เสียงเนปจูนที่โซฟาดังขึ้น ในขณะที่ผมยืนอยู่บันไดขั้นสุดท้าย ผมยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่คิดจะก้าวเท้าออกไปไหน เมื่อเนปจูนเห็นว่าผมยังไม่ยอมเดินไปหาตามเสียงเรียกเขาสักที เขาจึงเป็นฝ่ายเดินมาหาผมเอง
ผมรู้สึกไม่อยากคุยกับใครในตอนนี้จึงกล่าวกับเนปจูนไปว่า...
“ฉันไม่ว่าง นายมีอะไรไว้ค่อยคุยกันวันหลังแล้วกัน..”
พูดจบผมก็ทำท่าจะเดินกลับขึ้นบันไดไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักด้วยคำพูดของเนปจูน
“ข้าวกล่อง! คำ ๆ นี้มันพอจะทำให้นายว่างได้ยัง”
ผมหันกลับมา เพราะงุนงงกับคำพูดของเนปจูน
“ข่าวกล่องไรวะ...”
ผมพูดจบเนปจูนก็แสยะยิ้มใส่ผม แต่หากว่าผมทำเป็นไม่สนใจเสีย... เพราะสนใจเรื่องข้าวกล่องมากกว่า ไม่ได้คิดจะสนใจรอยยิ้มของเนปจูนสักเท่าไร
“ไปที่โซฟาดิ ฉันขี้เกียจเงยหน้าพูด มันเมื่อยคอ”
ผมก็ไม่ได้สูงกว่าเนปจูนมันหรอก เผลอๆสูงเท่ากันด้วยซ้ำไป เพราะเป็นนักกีฬาด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมยืนอยู่บนบันไดจึงทำให้สูงกว่าเนปจูนเท่านั้นเอง
เนปจูนเป็นนักกีฬาเทควันโด บวกกับหน้าตาหล่อเหลา สาวๆเลยพากันกรี๊ดเขาหลายคน แต่ผมไม่เห็นมันคบกับใครเลยสักคน แถมเมื่อก่อนยังเดินตามติดผมกับดาวแจเลย...
“เออ! ก็ไปดิ ขวางอยู่ทำหอกหักอะไร”
เมื่อนึกถึงตอนที่เนปจูนคอยเอาใจใส่ดาวต่อหน้าผมขึ้นมา ทำให้ผมหงุดหงิด พูดพาลหาเรื่องไอ้เนปจูนขึ้นมาเสียเฉยๆ...
เนปจูนกลับไปนานแล้ว แต่ผมยังนั่งซึมอยู่ที่โซฟาเช่นเดิมด้วยความปวดร้าว หายใจเข้าในแต่ละครั้งรู้สึกเจ็บจี๊ด ที่หัวใจ...อยากรู้ไหม
ว่าทำไมผมถึงมีสภาพน่าสมเพชหนักกว่าเก่า หึ...
พอนั่งลงที่โซฟาไอ้บ้าเนปจูนมันก็เริ่มพล่ามเรื่องของดาวทันที...มันไม่รู้รึไงว่าผมกำลังเจ็บปวดจะตอกย้ำกันไปถึงไหนวะห้ะ สุดจะทนแล้วนะโว้ย...แต่ก่อนที่ผมจะตบะแตกไอ้นี้ก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมอึ้ง
“ฉันหลงรักดาววะ”
เนปจูนพูดขึ้นด้วยสายตาเลื่อนลอยไปไกล
“ฉันมันเห็นแก่ตัว อยากได้ดาวมาครอบครองหลงคิดไปเองว่า...ดาวเสียใจเรื่องของนายแล้วจะตัดใจจากนายได้ ไม่คิดเข้าไปช่วย ปล่อยให้นายด่าว่าเธอสาดเสียเทเสีย ทั้งที่เธอไม่ได้เป็นคนทำ ไม่งั้นดาวคงไม่.....เฮ้อ ยัยมารยาน้ำหวาน ขอเรียกยัยนี้แบบนี้แล้วกัน เพราะไม่เคยเห็นใครตีหน้าพูดได้ใสซื่อเท่ายัยนี้มาก่อน...”
เขาหยุดพูดไปสักพักและเริ่มพูดต่อ
“นายอยากรู้เรื่องทั้งหมดไหม เรื่องข้าวกล่องน่ะ ถึงแม้มันจะสายไปแล้ว แต่นายก็ไม่ควรเข้าใจดาวผิด เพราะดาว
เป็นผู้หญิงที่งดงาม...ทั้งใจ และกาย.......วันนั้นวันที่นายไปพบอาจารย์เพื่อยื่นใบสมัครแข่งวิ่งระดับเขต เพราะต้องเตรียมคัดตัวเข้าร่วมทีมชาติ.... น้ำหวานทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านายไม่อยู่ แต่ก็เดินเข้าไปฝากข้าวกล่องไว้กับดาว แต่ไม่ได้ฝากเฉยๆ หรอกนะ เธอกลับเอาข้าวกล่องราดใส่หัวดาว จนตัวดาวเปื้อนไปหมด ฉันเห็นเข้า แต่ก็เข้าไปช่วยเธอไม่ทัน ได้แต่มองตาน้ำหวานด้วยสายตาชิงชัง พอยัยน้ำหวานเดินออกไปแล้ว ฉันจึงบอกกับดาวว่าเรื่องนี้ต้องบอกนายให้รู้เรื่อง เพราะเขาเป็นแฟนกัน ให้พูดตักเตือนกันเอง แต่เธอกลับนั่งร้องไห้ และบอกว่า...”
เนปจูนเงียบไปอีกครั้งบังเกิดความอัดอันขึ้นในใจของผมทันที...ผมไม่อยากจะฟังต่อ แต่ก็พยายามฝืน
“ไม่ต้องปล่อยเขาไปเถอะ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องของเขาแล้ว ฉันจะไม่ยุ่งกับซันแล้ว”
ผมแทบนั่งไม่ติด เหมือนโซฟาที่ผมนั่งอยู่มันช่างร้อนเหลือเกิน ร้อนไปหมด ร้อนด้วยความรู้สึกสับสน และทรมาน
“ เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันรู้สึกดีใจขึ้นมาเลยปิดปากเงียบ ตกเย็นที่ดาวกำลังจะกลับบ้าน ฉันโดดซ้อมกีฬาเพื่ออยากชวนดาวกลับบ้านด้วยกัน ฉันเห็นนายกับดาวทะเลาะกันเข้าพอดี แต่ก็ไม่เข้าไปห้ามได้แต่ยืนดูอยู่เงียบๆ เพราะฉันมันเห็นแก่ตัว...หลงคิดไปว่าดาวจะตัดใจจากนายได้ และฉันจะเป็นคนดูแลเธอเอง แต่ก็ไม่นึกว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้........”
ผมทอดสายตาอย่างหมดอาลัยตายอยากไปข้างหน้า ภาพที่เห็นมันวางเปล่าดูเลือนรางเหลือเกิน เธอจากไปแล้ว จากไปพร้อมกับความรู้สึกผิดบาปที่กำลังเกิดขึ้นในใจของผม มันจะเป็นตราบาปที่กัดกินใจไปตลอดชีวิต ผมน่าจะรู้ว่าดาวเป็นคนยังไง ไม่เชื่อใจเธอ กลับไปหลงเชื่อใจไอ้คนที่คบกันได้ไม่นาน.......ผมมันเลวจริงๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ