เงารัก...อธิษฐาน[อ่านต่อจากตอนที่ 25 นะเออ]
9.8
เขียนโดย บุหงา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.04 น.
29 ตอน
6 วิจารณ์
35.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 12.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) ตอนที่ 25-100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ~25~
นะโมหายไปไหน?
เช้าวันใหม่ ปกติต้องเตรียมจัดของเพื่อกลับไปทำงานในตอนเย็น แต่ฝันเอาเถอะ เพราะผมลางานเรียบร้อยแล้ว แผนการก็กำลังเริ่มเพียงรอเวลาอีกหน่อย
จะว่าผมตื่นเต้นหรืออะไรไม่ทราบ ทำให้ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเพ่งเล็งจับจ้องไปยังข้างบ้านราวคนเป็นโรคจิตไม่ผิดเพี้ยน แต่สักพักก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยน เพราะอะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับคิดว่าตัวเองเห็นผี
สิ่งที่เป็นร่างสูงเท่าประตูรั้วเกาะประตูรั้วอยู่ และส่งเสียงฮือๆ ดังมาจากร่างนั้น หรือผมโดนผีก่องกอยหลอก ลักษณะตัวเท่านี้เลย ติดอยู่ที่ไม่เห็นไส้ปลิ้น ออกมาข้างนอกเท่านั้นเองเพราะมันยังมืดอยู่
“พี่ดาวฮะ”
แต่แล้วเสียงร้องเรียกชื่อของดาวทำให้ผมลังแล คิดว่าผีหรือคนกันแน่ เมื่อความสงสัยมันขับดันมาจากภายในทำให้ต้องเดินออกไปดูก็เท่านั้นแหละ
พอเดินไปดูใกล้ๆแล้วปรากฏว่าเป็นเด็กผู้ชายผิวขาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ไม่ได้มีไส้ปลิ้นออกมาอย่างที่คิดเลย
“มาหาใครเหรอครับ”
เสียงของผมทำให้เด็กคนนั้นสะดุ้ง ผินหน้ามามองสบตาผมทั้งคราบน้ำตา จากนั้นก็ทำท่าจะแบะปากร้องไห้ต่อ โธ่เอ๊ยไอ้เด็กขี้แหย่ นึกว่าผีหลอกผมเสียอีก
“มาหาพี่ดาวฮะ”
“งั้นรอแป๊บนึง”
จากนั้นผมก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาโทรหาดาวทันที เครื่องต่อสัญญาณสักพักก็ได้ยินเสียงใสใสตอบรับกลับมา ผมมีเบอร์โทรฯดาวตั้งนานแล้วละแค่ไม่เคยโทรหาเลย ก็ไม่จำเป็นนี่น่าเพราะเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน
[สวัสดีค่ะ ดาวพูดคะ]
“ดาวนี่ซันเองนะ มีเด็กผู้ชายมาหาแน่ะ ตอนนี้เกาะประรั้วบ้านดาวอยู่หน้าบ้านท่าทางไม่ดีเลย”
[นะโม! เดี๋ยวดาวจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ]
นะโมเหรอ? หลังจากที่ดาววางสายไปแล้วผมก็หันไปมองนะโมอย่างสงสัย พลางคิดว่าจะเป็นไอ้เด็กนี่จริงๆเหรอ คิดแล้วไม่น่าจะใช่ แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะเห็นดาววิ่งกระหืดกระหอบลงมา
“นะโมเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมบอกพี่สิ”
ดาวพูดพร้อมเปิดประตูรั้วบ้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นนะโมก็โผเข้าไปกอดดาวทันที ผมเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดชอบกล ทั้งที่บอกตัวเองนี่ก็แค่เด็ก
“แม่ผม ฮึก แม่ผมแย่อยู่แล้ว”
“แม่เมตตา!”
สรุปแบบคร่าวๆเลยนะครับ แม่เมตตาที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ตอนนี้อยู่รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล อาการโคม่า ผมกับดาว และนะโม ตอนนี้ก็อยู่ที่โรงพยาบาลที่แม่เมตตารักษาตัวอยู่
คุณหมอบอกให้ญาติทำใจ แต่พอผมเหลือบตามองนะโมก็รู้สึกสงสารจับใจ ร่างเล็กที่หลังไหล่ง้องุ้มนั่งกอดเขาตัวเองเอาไว้เหมือนกำลังป้องกันตัวเองจากความหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาทีละน้อย ทีละน้อย
ดาวที่กำลังนั่งปลอบใจอยู่ข้างๆก็ไม่ได้ช่วยให้เจ้าตัวรู้สึกดีขึ้นเท่าไรเลย ผมก็ได้แต่ยืนมอง และถอนหายใจอยู่เฮือกๆ หลังจากนั้นไม่
นาน มีน และแม่ๆทั้งสองก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ ตรงเข้าไปกอดนะโมอย่างห่วงใย
“โธ่ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ร้องๆเดี๋ยวแม่เมตจะไม่สบายใจนะ ถ้าหนูยังร้องไม่หยุดแบบนี้... เข็มแข็งไว้ลูก”
แม่ผมพูดขึ้นพร้อมยกมือลูบหลังลูบไหล่นะโมเป็นพัลวัน
“คุณหมอเขาว่าไงดาว”
แม่ฝันร้องถามดาว ด้วยน้ำตาปริ่มๆจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
“หมอให้ญาติทำใจค่ะแม่”
“โธ่โมลูกเข็มแข็งไว้”
“ผมไม่เป็นไรฮะ แม่ผมก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร....”
นะโมเงยหน้าขึ้น และมองไปที่ประตูห้องไอซียู ปากก็พึมพำแต่คำว่า ไม่เป็นไร อยู่แบบนั้น เหมือนพยายามหลอกตัวเองอยู่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร
มองนะโมก็เหมือนเป็นภาพสะท้อนของตัวเองเมื่อก่อน พยายามปิดกั้นตัวเองทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองคิดว่าดาวยังมีชีวิตอยู่ มันไม่ได้ทำรู้สึกดีขึ้นเลย มันทำให้แย่ลงต่างหาก เหมือนราวกับฝุ่นผงคลีมันลอยเข้าตาตลอดเวลาทำให้พยายามระงับน้ำตาไม่ให้ไหลเท่าไรก็ไม่เป็นผล ราวกับคนโง่งงมที่พยายามงมหาเข็มในแม่น้ำแทบตาย ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันเจอเข็มเล่มนั้นแน่ๆ
มีแต่คำว่ายอมรับความจริง และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้เท่านั้น ถึงจะช่วยทุเลาความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นทุกอณูของความรู้สึก
ความเจ็บปวดที่มันตีขึ้นเป็นระลอก บางครั้งทาโถมเข้ามาหาเราแทบยืนไม่ไหว สิ่งที่รับมือกับมันได้คือคิดว่าตัวเองสมควรตาย แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยจริงๆ เราต้องคิดถึงคนอีกคนที่ยังคอยห่วงใยเรา
แต่นะโมไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ผมกลัวว่าเขาจะคิดอะไรบ้าๆ ถ้าหากรับรู้ว่าแม่ของตัวเองหยุดลมหายใจไปในวินาทีใด วินาทีหนึ่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงนะโมก็หลับคาตักดาว ส่วนดาวก็ยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมของนะโมแผ่ว ๆ ทุกคนอยู่ในอาการเงียบงัน ทุกสายตาจดจ้องไปที่นะโมที่หลับไปแล้วเป็นสายตาเดียว ผมถอนใจเฮือกเดินเข้าไปซ้อนตัวนะโมจากตักของดาวขึ้นอุ้ม
“ไปกันเถอะครับ ไปพักผ่อนกันได้แล้ว เฝ้ากันอยู่แต่หน้าห้องไอซียูแบบนี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”
หลังจากวันนั้นสองวันข่าวร้ายสำหรับนะโมก็เกิดขึ้นจริงๆ ทุกคนไปร่วมงานศพของแม่นะโมด้วยอาการเศร้าสร้อย ส่วนนะโมวางสีหน้าเรียบเฉยไม่ร้องไห้เลยสักเอ๊ะ
ทุกคนต่างไว้วางใจว่านะโมทำใจได้แล้ว แต่ผมไม่... สังเกตอาการของเขาทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำอะไร แต่ก็เห็นแค่นะโมนั่งมองรูปแม่ของเขานิ่งๆเท่านั้น เฮ้อ...ผมก็หวังว่าเขาจะทำใจได้แล้วจริงๆ
งานศพที่ผ่านไปอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้วางใจไปเปลาะหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ ในช่วงเย็นของวัน
“แม่พรึกเห็นนะโมไหมค่ะ ซันด้วยเห็นไหม”
ดาวถามหานะโมด้วยอาการร้อนรน ผมไม่รอช้ารีบวิ่งหานะโมทันที พลางวิ่งพลางตะโกนเรียกไปทั่วแต่ก็ไร้วี่แวว เห็นป้าอิ่มที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ก็เข้าไปถามหานะโมทันที
“ป้าอิ่มเห็นนะโมไหมครับ”
“ไม่เห็นจ๊ะพ่อซัน”
“แล้วนะโมชอบไปที่ไหนที่สุดครับ”
“เอ๋ ใช่แล้ว....ศาลาที่สระน้ำหลังบ้านคะ”
“นำไปครับป้าอิ่ม เร็วครับผมเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนะโมครับ”
เท่านั้นแหละผมกับป้าอิ่มก็วิ่งออกจากที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
“นะโม”
มาถึงศาลาที่สระน้ำหลังบ้านผมก็ร้องหานะโมทันที แต่ก็ยังไร้วี่แววของนะโม ผมมองลงไปยังผืนน้ำที่เรียบสงบ ไม่มีแรงสั่นกระเทือนของผืนน้ำเลย มันสงบราบเรียบจนน่าใจหาย
“นะโม”
ป้าอิ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบตามหลังผมมาพร้อมกับดาวที่วิ่งตามหลังมาอีกคนก็ประสานเสียงเรียกนะโม พลันสายน้ำที่สงบราบเรียบกลางใจสระก็เกิดแรงสั่นกระเพื่อมขึ้นเป็นระลอกคลื่น จนขยายออกเป็นวงกลมกว้างออกไปกระทบที่ขอบสระ ผมใจหายวาบที่เห็นมือน้อยๆขยับไหวๆพ้นจากผืนน้ำเพียงเล็กน้อยราวกับเจ้าของมือกำลังจะหมดแรงอยู่ที่กลางใจคลื่น
ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดๆจากผมอีก จากนั้นตัดสินใจกระโจนลงไปในสระอย่างรวดเร็ว สรรพสำเนียงต่างๆพลันจมหายไปหลังจากที่ผมลงไปอยู่ใต้น้ำ พยายามลืมตามองในน้ำก็ยากเย็นเสียเหลือเกินที่จะมองเห็นได้ชัดเจน เพราะน้ำในสระเขียวข้นจากวัชพืชนานาชนิดที่อยู่ใต้น้ำ
หากแต่โชคดีเหลือเกินผมมองเห็นผืนผ้าสีแดงพลิ้วสะบัดไปตามแรงคลื่นใต้น้ำ ตั้งใจเขม่นมองอย่างตั้งใจก็พบว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรผมโผล่พรวดจากใต้น้ำ พลั่กดันคนในอ้อมแขน ให้ศีรษะพ้นผิวน้ำจากนั้นก็ว่ายไปที่ขอบสระอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นะโม!”
ดาวร้องขึ้นอย่างตกใจแล้วปราดเข้ามารับตัวนะโมจากผมเพื่อให้พ้นจากสระ จากนั้นผมก็พาตัวเองขึ้นจากสระบ้าง และก็นั่งแผละหมดแรงอยู่ขอบสระตรงนั้นเอง เพราะเหตุเกิดจากขาดอากาศหายใจนานเกินไป
สักพักผมก็ลุกขึ้นไปดูนะโมที่ศาลาริมน้ำ เห็นดาวกำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้นะโมอยู่ แย่ชะมัดจูบแรกของดาวเป็นของนะโมไปแล้ว ผมรู้สึกหงุดหงิดทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันเป็นเพียงแค่การช่วยเหลือ ไม่ควรคิดมาก แต่มันก็ยังหงุดหงิดอยู่ดีนั้นแหละ ไม่รู้จะทำยังไงถึงหายหงุดหงิดก็ไม่รู้
“นะโม โถทำไมถึงทำแบบนี้”
แม่ฝัน กับแม่พรึกของผมวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นๆพลางร้องให้สะอึกสะอื้นมาด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นสักพักนะโมก็สำลักน้ำ และก็งัวเงียลืมตาขึ้นมา
“นะโม เป็นยังไงบ้างลูกโถ ไม่น่าเลย”
แม่ๆทั้งสองขยับเข้าไปใกล้นะโมทันทีส่วนดาวหลังจากที่รู้ว่านะโมก็ขยับลุกจากไปอย่างเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นแหละ นะโมก็จ้องมองตามหลังของดาวไปด้วยสายตาละห้อย คงรู้ตัวละมั้งว่าดาวกำลังโกรธ ก็นะถ้าดาวโกรธก็เดินหนีไปแบบนี้ดื้อๆเป็นประจำแหละ
“ไม่เป็นไรฮะ”
นะโมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พร้อมไอขึ้นอีกสองสามครั้งจากนั้นก็ก้มหน้านิ่งแล้วก็เงียบไป ผมเลยขยับเข้าไปอุ้มนะโมขึ้นบ่า คงหงอยจริงๆแหละเพราะไม่โวยวายเลยขณะที่ผมอุ้มเขานะ ดูก็รู้ไอ้เด็กนี่มันแก่แดดไม่เบามองดาวของผมแบบ แบบคนรักละ
“ของนายไม่เท่าไรหรอก ง้อแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายงอนแล้ว แต่ฉันนี่สิคงยาก เพราะทำเลวกับเขาไว้เยอะ”
จบคำพูดของผมเจ้าตัวก็สะอื้นออกมาทันที เฮ้อ...เด็กยังไงก็ยังเด็กอยู่วันยังค่ำแหละ...ถึงแม้จะพยายามปฏิบัติตัวเป็นผู้ใหญ่ขนาดไหน
“แม่ๆทั้งสองครับไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นะโมไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมคงจะพาไปนอนด้วยแหละ เผลอๆอาจจะมาทำเรื่องอะไรบ้าๆอีก ส่วนป้าอิ่มคงต้องอยู่ที่นี้ละครับไม่ต้องห่วงนะโมหรอก เพราะถ้าไม่มีใครสักคนอยู่ที่นี้มันคงจะไม่ดี”
จากนั้นผมก็เดินตรงมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเองทันที ส่วนนะโมหลับสบายเฉิบบนบ่าผมไปนานแล้วละ เฮ้อ...ผ่านไปอีกวันแต่ทำไมหัวใจถึงยังคงเหนื่อย และอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างแบบนี้ด้วยนะ เหมือนปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าไร ก็ดูเรื่องราวหัวใจของผมดูจะแย่ขึ้นไปทุกที...
นะโมหายไปไหน?
เช้าวันใหม่ ปกติต้องเตรียมจัดของเพื่อกลับไปทำงานในตอนเย็น แต่ฝันเอาเถอะ เพราะผมลางานเรียบร้อยแล้ว แผนการก็กำลังเริ่มเพียงรอเวลาอีกหน่อย
จะว่าผมตื่นเต้นหรืออะไรไม่ทราบ ทำให้ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเพ่งเล็งจับจ้องไปยังข้างบ้านราวคนเป็นโรคจิตไม่ผิดเพี้ยน แต่สักพักก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยน เพราะอะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับคิดว่าตัวเองเห็นผี
สิ่งที่เป็นร่างสูงเท่าประตูรั้วเกาะประตูรั้วอยู่ และส่งเสียงฮือๆ ดังมาจากร่างนั้น หรือผมโดนผีก่องกอยหลอก ลักษณะตัวเท่านี้เลย ติดอยู่ที่ไม่เห็นไส้ปลิ้น ออกมาข้างนอกเท่านั้นเองเพราะมันยังมืดอยู่
“พี่ดาวฮะ”
แต่แล้วเสียงร้องเรียกชื่อของดาวทำให้ผมลังแล คิดว่าผีหรือคนกันแน่ เมื่อความสงสัยมันขับดันมาจากภายในทำให้ต้องเดินออกไปดูก็เท่านั้นแหละ
พอเดินไปดูใกล้ๆแล้วปรากฏว่าเป็นเด็กผู้ชายผิวขาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ไม่ได้มีไส้ปลิ้นออกมาอย่างที่คิดเลย
“มาหาใครเหรอครับ”
เสียงของผมทำให้เด็กคนนั้นสะดุ้ง ผินหน้ามามองสบตาผมทั้งคราบน้ำตา จากนั้นก็ทำท่าจะแบะปากร้องไห้ต่อ โธ่เอ๊ยไอ้เด็กขี้แหย่ นึกว่าผีหลอกผมเสียอีก
“มาหาพี่ดาวฮะ”
“งั้นรอแป๊บนึง”
จากนั้นผมก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาโทรหาดาวทันที เครื่องต่อสัญญาณสักพักก็ได้ยินเสียงใสใสตอบรับกลับมา ผมมีเบอร์โทรฯดาวตั้งนานแล้วละแค่ไม่เคยโทรหาเลย ก็ไม่จำเป็นนี่น่าเพราะเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน
[สวัสดีค่ะ ดาวพูดคะ]
“ดาวนี่ซันเองนะ มีเด็กผู้ชายมาหาแน่ะ ตอนนี้เกาะประรั้วบ้านดาวอยู่หน้าบ้านท่าทางไม่ดีเลย”
[นะโม! เดี๋ยวดาวจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ]
นะโมเหรอ? หลังจากที่ดาววางสายไปแล้วผมก็หันไปมองนะโมอย่างสงสัย พลางคิดว่าจะเป็นไอ้เด็กนี่จริงๆเหรอ คิดแล้วไม่น่าจะใช่ แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะเห็นดาววิ่งกระหืดกระหอบลงมา
“นะโมเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมบอกพี่สิ”
ดาวพูดพร้อมเปิดประตูรั้วบ้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นนะโมก็โผเข้าไปกอดดาวทันที ผมเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดชอบกล ทั้งที่บอกตัวเองนี่ก็แค่เด็ก
“แม่ผม ฮึก แม่ผมแย่อยู่แล้ว”
“แม่เมตตา!”
สรุปแบบคร่าวๆเลยนะครับ แม่เมตตาที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ตอนนี้อยู่รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล อาการโคม่า ผมกับดาว และนะโม ตอนนี้ก็อยู่ที่โรงพยาบาลที่แม่เมตตารักษาตัวอยู่
คุณหมอบอกให้ญาติทำใจ แต่พอผมเหลือบตามองนะโมก็รู้สึกสงสารจับใจ ร่างเล็กที่หลังไหล่ง้องุ้มนั่งกอดเขาตัวเองเอาไว้เหมือนกำลังป้องกันตัวเองจากความหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาทีละน้อย ทีละน้อย
ดาวที่กำลังนั่งปลอบใจอยู่ข้างๆก็ไม่ได้ช่วยให้เจ้าตัวรู้สึกดีขึ้นเท่าไรเลย ผมก็ได้แต่ยืนมอง และถอนหายใจอยู่เฮือกๆ หลังจากนั้นไม่
นาน มีน และแม่ๆทั้งสองก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ ตรงเข้าไปกอดนะโมอย่างห่วงใย
“โธ่ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ร้องๆเดี๋ยวแม่เมตจะไม่สบายใจนะ ถ้าหนูยังร้องไม่หยุดแบบนี้... เข็มแข็งไว้ลูก”
แม่ผมพูดขึ้นพร้อมยกมือลูบหลังลูบไหล่นะโมเป็นพัลวัน
“คุณหมอเขาว่าไงดาว”
แม่ฝันร้องถามดาว ด้วยน้ำตาปริ่มๆจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
“หมอให้ญาติทำใจค่ะแม่”
“โธ่โมลูกเข็มแข็งไว้”
“ผมไม่เป็นไรฮะ แม่ผมก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร....”
นะโมเงยหน้าขึ้น และมองไปที่ประตูห้องไอซียู ปากก็พึมพำแต่คำว่า ไม่เป็นไร อยู่แบบนั้น เหมือนพยายามหลอกตัวเองอยู่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร
มองนะโมก็เหมือนเป็นภาพสะท้อนของตัวเองเมื่อก่อน พยายามปิดกั้นตัวเองทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองคิดว่าดาวยังมีชีวิตอยู่ มันไม่ได้ทำรู้สึกดีขึ้นเลย มันทำให้แย่ลงต่างหาก เหมือนราวกับฝุ่นผงคลีมันลอยเข้าตาตลอดเวลาทำให้พยายามระงับน้ำตาไม่ให้ไหลเท่าไรก็ไม่เป็นผล ราวกับคนโง่งงมที่พยายามงมหาเข็มในแม่น้ำแทบตาย ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันเจอเข็มเล่มนั้นแน่ๆ
มีแต่คำว่ายอมรับความจริง และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้เท่านั้น ถึงจะช่วยทุเลาความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นทุกอณูของความรู้สึก
ความเจ็บปวดที่มันตีขึ้นเป็นระลอก บางครั้งทาโถมเข้ามาหาเราแทบยืนไม่ไหว สิ่งที่รับมือกับมันได้คือคิดว่าตัวเองสมควรตาย แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยจริงๆ เราต้องคิดถึงคนอีกคนที่ยังคอยห่วงใยเรา
แต่นะโมไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ผมกลัวว่าเขาจะคิดอะไรบ้าๆ ถ้าหากรับรู้ว่าแม่ของตัวเองหยุดลมหายใจไปในวินาทีใด วินาทีหนึ่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงนะโมก็หลับคาตักดาว ส่วนดาวก็ยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมของนะโมแผ่ว ๆ ทุกคนอยู่ในอาการเงียบงัน ทุกสายตาจดจ้องไปที่นะโมที่หลับไปแล้วเป็นสายตาเดียว ผมถอนใจเฮือกเดินเข้าไปซ้อนตัวนะโมจากตักของดาวขึ้นอุ้ม
“ไปกันเถอะครับ ไปพักผ่อนกันได้แล้ว เฝ้ากันอยู่แต่หน้าห้องไอซียูแบบนี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”
หลังจากวันนั้นสองวันข่าวร้ายสำหรับนะโมก็เกิดขึ้นจริงๆ ทุกคนไปร่วมงานศพของแม่นะโมด้วยอาการเศร้าสร้อย ส่วนนะโมวางสีหน้าเรียบเฉยไม่ร้องไห้เลยสักเอ๊ะ
ทุกคนต่างไว้วางใจว่านะโมทำใจได้แล้ว แต่ผมไม่... สังเกตอาการของเขาทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำอะไร แต่ก็เห็นแค่นะโมนั่งมองรูปแม่ของเขานิ่งๆเท่านั้น เฮ้อ...ผมก็หวังว่าเขาจะทำใจได้แล้วจริงๆ
งานศพที่ผ่านไปอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้วางใจไปเปลาะหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ ในช่วงเย็นของวัน
“แม่พรึกเห็นนะโมไหมค่ะ ซันด้วยเห็นไหม”
ดาวถามหานะโมด้วยอาการร้อนรน ผมไม่รอช้ารีบวิ่งหานะโมทันที พลางวิ่งพลางตะโกนเรียกไปทั่วแต่ก็ไร้วี่แวว เห็นป้าอิ่มที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ก็เข้าไปถามหานะโมทันที
“ป้าอิ่มเห็นนะโมไหมครับ”
“ไม่เห็นจ๊ะพ่อซัน”
“แล้วนะโมชอบไปที่ไหนที่สุดครับ”
“เอ๋ ใช่แล้ว....ศาลาที่สระน้ำหลังบ้านคะ”
“นำไปครับป้าอิ่ม เร็วครับผมเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนะโมครับ”
เท่านั้นแหละผมกับป้าอิ่มก็วิ่งออกจากที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
“นะโม”
มาถึงศาลาที่สระน้ำหลังบ้านผมก็ร้องหานะโมทันที แต่ก็ยังไร้วี่แววของนะโม ผมมองลงไปยังผืนน้ำที่เรียบสงบ ไม่มีแรงสั่นกระเทือนของผืนน้ำเลย มันสงบราบเรียบจนน่าใจหาย
“นะโม”
ป้าอิ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบตามหลังผมมาพร้อมกับดาวที่วิ่งตามหลังมาอีกคนก็ประสานเสียงเรียกนะโม พลันสายน้ำที่สงบราบเรียบกลางใจสระก็เกิดแรงสั่นกระเพื่อมขึ้นเป็นระลอกคลื่น จนขยายออกเป็นวงกลมกว้างออกไปกระทบที่ขอบสระ ผมใจหายวาบที่เห็นมือน้อยๆขยับไหวๆพ้นจากผืนน้ำเพียงเล็กน้อยราวกับเจ้าของมือกำลังจะหมดแรงอยู่ที่กลางใจคลื่น
ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดๆจากผมอีก จากนั้นตัดสินใจกระโจนลงไปในสระอย่างรวดเร็ว สรรพสำเนียงต่างๆพลันจมหายไปหลังจากที่ผมลงไปอยู่ใต้น้ำ พยายามลืมตามองในน้ำก็ยากเย็นเสียเหลือเกินที่จะมองเห็นได้ชัดเจน เพราะน้ำในสระเขียวข้นจากวัชพืชนานาชนิดที่อยู่ใต้น้ำ
หากแต่โชคดีเหลือเกินผมมองเห็นผืนผ้าสีแดงพลิ้วสะบัดไปตามแรงคลื่นใต้น้ำ ตั้งใจเขม่นมองอย่างตั้งใจก็พบว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรผมโผล่พรวดจากใต้น้ำ พลั่กดันคนในอ้อมแขน ให้ศีรษะพ้นผิวน้ำจากนั้นก็ว่ายไปที่ขอบสระอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นะโม!”
ดาวร้องขึ้นอย่างตกใจแล้วปราดเข้ามารับตัวนะโมจากผมเพื่อให้พ้นจากสระ จากนั้นผมก็พาตัวเองขึ้นจากสระบ้าง และก็นั่งแผละหมดแรงอยู่ขอบสระตรงนั้นเอง เพราะเหตุเกิดจากขาดอากาศหายใจนานเกินไป
สักพักผมก็ลุกขึ้นไปดูนะโมที่ศาลาริมน้ำ เห็นดาวกำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้นะโมอยู่ แย่ชะมัดจูบแรกของดาวเป็นของนะโมไปแล้ว ผมรู้สึกหงุดหงิดทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันเป็นเพียงแค่การช่วยเหลือ ไม่ควรคิดมาก แต่มันก็ยังหงุดหงิดอยู่ดีนั้นแหละ ไม่รู้จะทำยังไงถึงหายหงุดหงิดก็ไม่รู้
“นะโม โถทำไมถึงทำแบบนี้”
แม่ฝัน กับแม่พรึกของผมวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นๆพลางร้องให้สะอึกสะอื้นมาด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นสักพักนะโมก็สำลักน้ำ และก็งัวเงียลืมตาขึ้นมา
“นะโม เป็นยังไงบ้างลูกโถ ไม่น่าเลย”
แม่ๆทั้งสองขยับเข้าไปใกล้นะโมทันทีส่วนดาวหลังจากที่รู้ว่านะโมก็ขยับลุกจากไปอย่างเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นแหละ นะโมก็จ้องมองตามหลังของดาวไปด้วยสายตาละห้อย คงรู้ตัวละมั้งว่าดาวกำลังโกรธ ก็นะถ้าดาวโกรธก็เดินหนีไปแบบนี้ดื้อๆเป็นประจำแหละ
“ไม่เป็นไรฮะ”
นะโมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พร้อมไอขึ้นอีกสองสามครั้งจากนั้นก็ก้มหน้านิ่งแล้วก็เงียบไป ผมเลยขยับเข้าไปอุ้มนะโมขึ้นบ่า คงหงอยจริงๆแหละเพราะไม่โวยวายเลยขณะที่ผมอุ้มเขานะ ดูก็รู้ไอ้เด็กนี่มันแก่แดดไม่เบามองดาวของผมแบบ แบบคนรักละ
“ของนายไม่เท่าไรหรอก ง้อแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายงอนแล้ว แต่ฉันนี่สิคงยาก เพราะทำเลวกับเขาไว้เยอะ”
จบคำพูดของผมเจ้าตัวก็สะอื้นออกมาทันที เฮ้อ...เด็กยังไงก็ยังเด็กอยู่วันยังค่ำแหละ...ถึงแม้จะพยายามปฏิบัติตัวเป็นผู้ใหญ่ขนาดไหน
“แม่ๆทั้งสองครับไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นะโมไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมคงจะพาไปนอนด้วยแหละ เผลอๆอาจจะมาทำเรื่องอะไรบ้าๆอีก ส่วนป้าอิ่มคงต้องอยู่ที่นี้ละครับไม่ต้องห่วงนะโมหรอก เพราะถ้าไม่มีใครสักคนอยู่ที่นี้มันคงจะไม่ดี”
จากนั้นผมก็เดินตรงมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเองทันที ส่วนนะโมหลับสบายเฉิบบนบ่าผมไปนานแล้วละ เฮ้อ...ผ่านไปอีกวันแต่ทำไมหัวใจถึงยังคงเหนื่อย และอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างแบบนี้ด้วยนะ เหมือนปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าไร ก็ดูเรื่องราวหัวใจของผมดูจะแย่ขึ้นไปทุกที...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ