Time Crime บทเพลงและกาลเวลา

10.0

เขียนโดย HirariYurari

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 17.25 น.

  15 chapter
  6 วิจารณ์
  18.69K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 09.24 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เสียงสายฝน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

-05-

เสียงสายฝน

 

เพสตื่นขึ้นมาในยามเที่ยง...เขาไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดที่ตัวเองตื่นขึ้นมาช้าเช่นนี้ เพียงแค่เป็นเวลาที่เขาไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้ตกใจอะไร

เรื่องที่ชวนให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือ...การที่เจโลนั้นได้มานั่งรอเขาอยู่ในห้องของเขาแล้วต่างหาก

“อ้าว...เจโลเหรอ...มีอะไร?” เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา เขาก็เหลือบไปเห็นเจโลที่นั่งอยู่ข้างเตียงเขา เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาขยี้ตาตัวเอง...แดดเที่ยงซึ่งส่องลงมาบนตัวเขาทำให้เขารู้สึกร้อน ในตอนนั้นเขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าตามเนื้อตัวของตัวเองนั้น มีเม็ดเหงื่อผุดพานขึ้นเต็มไปหมด

“วันนี้ตื่นสายจังเลยนะ...ปกติไม่เห็นจะเป็นแบบนี้นี่นา”

“หืม...? ปกติฉันก็ตื่นสายแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?....หาว....” เมื่อเอ่ยตอบเสร็จเขาก็ยันตัวขึ้นมานั่ง ส่งเสียงหาวออกมาหนหนึ่ง ก่อนจะขยี้ตาและเงยหน้าขึ้นมามองเธออีกครั้ง

“มีอะไรเหรอ? หรือบอกว่าไม่มีฉันเล่นด้วยเลยเบื่อมาตามหรือไง?” เขาถามเธอออกไปเช่นนั้น...อันที่จริงต่อให้เธอตอบเช่นนั้นจริงเขาก็คงไม่ว่าอะไรนอกจากลุกออกไปกินอาหารเที่ยงและตามเธอไปเล่นด้วยกันเท่านั้น ตัวเขาในตอนนี้เองก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำอยู่แล้ว...จะตามเธอไปเล่นกับคนอื่นสักเล็กน้อยก็คงไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องคิดมากอะไร

ทว่าเธอคนนั้นกลับเอ่ยออกมาในเรื่องที่เขาไม่คาดฝัน

“เพส...ช่วงนี้มีอะไรปกปิดฉันอยู่หรือเปล่า?”

“!?” เพสเบิกตากว้าง หันไปมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เรื่องปกปิด...งั้นเหรอ...เธอพูดเรื่องอะไรกัน?

เขาไม่คิดว่าเธอจะรู้เรื่องที่เขาแอบขึ้นไปหาคุนทาเร่ตอนกลางคืน ทว่านอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้ทำตัวผิดปกติอะไรเลย...

หรือว่าเธอจะเริ่มรู้สึกตัวแล้วงั้นเหรอ?

“เรื่องผิดปกติงั้นเหรอ...ก็ไม่มีอะไรนิ?” ทว่าเขาก็ยังพยายามสงบใจตัวเองลงไป แกล้งปั้นหน้าไม่รู้เรื่องแล้วเอ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่เข้าใจ

“งั้นเหรอ...ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงคิดมากไปเองล่ะมั้ง...” เจโลก้มหน้าลงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทว่าหลังจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยรอยยิ้มแสนน่ารักและเอ่ยออกมา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปทานข้าวแล้วไปเล่นกันเถอะ อีกครึ่งวันเท่านั้นวันนี้ก็จะหมดลงแล้วนะ!!”

“นี่ นี่ นี่ ฉันเพิ่งตื่นขึ้นมาเองนะ...”

“ก็เพราะว่านายน่ะเอาแต่นอนกินบ้านกินเมืองน่ะสิ” เจโลต่อว่าเขา ทว่าเสียงหัวเราะของเธอกลับทำให้เขารู้สึกโกรธเธอไม่ลง ท้ายที่สุดเขาก็โดนเธอลากพาตัวไป

ท้องฟ้านั้นอาจถูกประดับตกแต่งด้วยเมฆหมอกสีขาวโพลนในตอนนี้ ทว่าอีกไม่นาน....ท้องฟ้านั้นก็จะถูกปกคลุมด้วยความมืดของเมฆฝน...

และบางที...ความมืดเหล่านั้นก็อาจจะค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาแล้ว...

***********************************************

ตอนนี้คุนทาเร่เป็นยังไงบ้างนะ...ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ...

ระหว่างที่กำลังนั่งพักอยู่ในบริเวณไม่ห่างจากจุดที่คนอื่นเล่นกัน เพสก็ได้เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นกลุ่มเมฆสีดำทมิฬเริ่มลอยละล่องเข้ามาในระยะสายตาของเขาทั้งสองข้าง

เมฆเหล่านั้นลอยไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างต่ำ เป็นเมฆที่ลอยอยู่ในจุดที่อยู่ต่ำกว่าปกติ...แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเอื้อมมือไปคว้ามันไว้ไม่ได้

เราจะคว้าเมฆเหล่านั้นเอาไว้ทำไม? แวบหนึ่งเขารู้สึกสะกิดใจและคิดขึ้นมาเช่นนั้น...

เมฆสีดำนั้นเป็นเมฆที่ให้ความรู้สึกเศร้าหมอง...ปกคลุมและดึงล้างเอาความสดใสของท้องฟ้าไปจนหมด...ทำให้ท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

เพราะฉะนั้นตัวเขาจึงไม่สมควรที่จะดึงเมฆแห่งความเศร้าเหล่านั้นลงมา...

ทว่าไม่รู้ทำไม...เขากลับรู้สึกว่าเมฆที่ลอยต่ำนั้นชวนให้รู้สึกน่ายื่นมือไปคว้าเสียเหลือเกิน...เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองในใจ และตัวเขาเองก็ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำเช่นนั้นได้...

“กำลังทำอะไรอยู่น่ะเพส?”

“?” ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านข้าง เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาคนนั้นทั้งที่ยังชูมือขึ้นท้องฟ้าค้างอยู่เช่นนั้น จากนั้นเขาก็ได้เห็น...ภาพใบหน้าของเจโลเพื่อนสนิทของเขาในลักษณะกลับหัวกลับหาง

“อ้าว...เจโล ไม่ไปเล่นกับคนอื่นหรอกเหรอ?”

“พอนายไม่เล่นด้วยแล้วมันไม่สนุกนี่นา ไม่เอาหรอก ฉันอยากเล่นกับนายมากกว่า”

“อะไรกัน...เธอสนิทกับพวกนั้นไม่ใช่เหรอ? แต่ฉันไม่ค่อยสนิทกับพวกนั้นนี่นา...พวกนั้นก็กำลังรอเธอไปเล่นกับพวกนั้นอยู่นะ ดูสิ”

“.....” เจโลหันกลับไปมองตามทิศที่เพสชี้บอก แล้วเธอก็ได้เห็น...กลุ่มเด็กที่เธอสนิทด้วยกันกลุ่มหนึ่ง กำลังโบกมือชวนให้เธอไปเล่นด้วยกันอย่างสดใสร่าเริง

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเล่นเป็นพ่อแม่ลูกกันเถอะ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยากเล่นอะไรที่พวกผู้ชายเขาเล่นกันแล้ว”

“อะ...เอ๋!? ตะ...แต่ตอนนี้พวกเราก็โตๆ กันแล้วนะ พ่อแม่ลูกนี่มันก็ออกจะ...” เพสเบิกตากว้างหน้าเหวอ เขาไม่คิดเลยว่าผู้เป็นเพื่อนสนิทของตนจะชวนเขาเล่นเช่นนี้ ทว่าเธอนั้นก็ได้หัวเราะออกมาและก้าวเดินเข้าไปควงแขนเขาเอาไว้แน่น “ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่เป็นไรหรอกน่า!! ไม่มีใครว่าพวกเราหรอก เพราะฉะนั้นมาเล่นกันเถอะ!!”

“อ่า...เออ คือ....” เพสวางหน้าไม่ถูก เขาก้มลงไปมองมือของพวกเขาที่จับควงกันจากนั้นใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นทีละน้อย...

“อ้า!! เพสกับเจโลกำลังพลอดรักกันอยู่ล่ะ!!”

“เอ๋!!?” ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียง...เด็กที่กำลังวิ่งเล่นอยู่จนถึงเมื่อครู่ตะโกนและชี้มาทางเขา เขาหันไปมองเด็กคนนั้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ทว่าเจโลกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา “พูดได้ดีมากเลยกริฟ!! จำเอาไว้ซะว่าเขาเป็นของฉันนะยะ!!”

“ชิส์...อย่างกับว่าฉันอิจฉาเธอตายแหละ ยัยบ้า!!” เด็กชายที่ชื่อกริฟคนนั้นแลบลิ้นใส่เจโลอย่างสุดแสนจะอิจฉา หลังจากนั้นเขาก็ได้วิ่งกลับไปเล่นกับคนอื่นต่อ เพสได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กคนอื่นๆ ดังขึ้นมา เมื่อนั้นเขาจึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองเจโลด้วยความกังวลใจอีกครั้ง “นี่ เจโล...ไปพูดแบบนั้นกับคนอื่นเดี๋ยวเขาก็เข้าใจผิดกันหมดพอดีหรอก...”

“อ้าว? แต่ว่าพวกเราเองก็อยู่ด้วยกันมาตลอดนี่นา จะเข้าใจผิดก็คงจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“มันก็ใช่...ล่ะนะ...” เพสงึมงำบ่นออกมา เขายังรู้สึกไม่ใคร่พอใจเสียเท่าไรที่เธอตัดสินใจพูดอะไรออกไปตามอำเภอใจ ทว่าเธอนั้นก็ได้ส่งเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยบอกกับเขา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเล่นพ่อแม่ลูกกันเถอะ เพสเป็นพ่อ ส่วนฉันเป็นแม่นะ...ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เราจะมาเล่นสดกันเลย!!”

“เล่นสดงั้นเหรอ...แล้วจะทำยังไงล่ะ?” เพสเริ่มทำอะไรไม่ถูก เขาได้แต่เผยยิ้มแหย่ๆ ออกมาอย่างจำใจ ในขณะเดียวกันก็เหม่อมองเจโลยิ้มและยกมือขึ้นเท้าเอวตัวเองอย่างพออกพอใจ

“เราก็เล่นไปตามที่เราคิดยังไงล่ะ อย่างเช่น!! ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็กล่าวสวัสดีกัน พลอดรักกัน จากนั้นก็ไปทำงาน พอกลับมาก็จูบแก้มกัน กินข้าวกัน อาบน้ำด้วยกัน แล้วจบลงที่นอนด้วยกัน...”

“เฮ้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ!! แบบนั้นมันออกจะมากเกินไปหน่อยแล้วไม่ใช่เหรอ? นี่แค่เล่นไม่ใช่หรือไง?”

“ก็แค่เล่นนี่นา ไม่ใช่เรื่องจริงแล้วมันมีปัญหาอะไรเหรอ?”

“......” เพสเถียงไม่ออก แม้เขาจะอยากเถียงเสียเท่าไรแต่เขาก็ยังเถียงอะไรไม่ออกอยู่ดี

“เลิกเถอะ...ถ้าเล่นแบบนั้นฉันไม่เล่นด้วยหรอก”

“โถ่!! อะไรกัน มาเล่นหน่อยเถอะน่า อย่างน้อยก็แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวน่า!!”

“ไม่เอาหรอก!! ถ้าต้องเล่นกันถึงขนาดนั้นฉันไม่เอาด้วยหรอก ไม่เห็นจะมีสาระอะไรตรงไหนเลย...”

“โถ่...เอ้าๆๆๆๆ!! เล่นแค่ฉากบอกรักกันก็ได้ อย่างน้อยมันก็เป็นความฝันของผู้หญิงที่อยากจะได้ยินคำบอกรักจากปากคนอื่นนะ”

“หา? ถ้าอย่างนั้นก็ไปขอให้คนอื่นเล่นด้วยสิ ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ”

“ก็เพราะมีแค่นายคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ที่ฉันสนิทที่สุดจนพูดคุยได้ไม่จำเป็นต้องอายกันแล้วน่ะ...หัดคิดบ้างสิยะว่ามีคนอื่นบ้างหรือเปล่าที่ฉันจะสนิทจนพูดแบบนั้นได้เนี่ย!?”

“.....” เพสเถียงไม่ออก ถึงอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกว่าเธอเคยไปสนิทกับใครอื่นถึงขนาดเขาบ้างนอกจากตัวเขาเอง...

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ห้ามโต้เถียงอะไรแม้เพียงคำเดียว”

“เอ๋.....? นี่เล่นกันอย่างนี้เลยเหรอ? ไม่เอาน่า ไม่เอา เลิกเถอะ เลิก”

“โถ่....” เจโลบู้ปากเผยสีหน้าไม่พอใจ เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองเพสนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นการถามความในใจกันก็แล้วกันนะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรไม่ดีนี่นา”

“ถามความในใจงั้นเหรอ....อ่า ถ้าเกิดไม่ใช่เรื่องที่ต้องโกหกอะไรก็คงไม่เป็นไรหรอก...”

“คิดว่าเล่นๆ กันนั่นเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ...แต่ก็ช่างเถอะ...” เจโลบู้ปากไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทว่าหลังจากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา

“ถ้าอย่างนั้น...นายคิดว่าฉันเป็นเพื่อนหรือว่าอะไร?”

“?” เพสเผยสีหน้าสงสัยออกมาเมื่อได้ยินคำถามนั้น...เขาหันไปมองเธออย่างไม่เข้าใจ จากนั้นก็เอ่ยตอบออกมา “ก็ต้องคิดว่าเป็นเพื่อนสิ จะเป็นอะไรอีกล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น...นายคิดว่าฉันสำคัญไหม?”

“หา?” คราวนี้เพสส่งเสียงร้องออกมาเป็นครั้งแรก เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการอะไรถึงถามออกมาแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เอ่ยตอบเธอไป “สำคัญสิ ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้วนี่นา”

“สำคัญที่สุดหรือเปล่า?”

“เอ๋?” ยิ่งเอ่ยถามไปเรื่อยๆ คำถามของเธอก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจมากขึ้น...อยู่ดีๆ เขาก็เริ่มรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา...แต่ทว่าเขาก็ยังพยายามสงบจิตสงบใจตัวเองและตอบออกไปตามตรง “ฉันไม่รู้ว่าเธอสำคัญที่สุดหรือเปล่า เพราะยังไงก็มีแม่ของฉัน...มีครอบครัวของฉันอยู่ เพราะฉะนั้นฉันตอบไม่ได้หรอกว่าเธอสำคัญที่สุดหรือเปล่า”

“ถ้าอย่างนั้น...ถ้าวันหนึ่งนายได้รู้จักกับคนอื่นนายจะเดินจากฉันไปไหม? จะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ทิ้งกันหรือเปล่า?”

“หา? นี่เธอถามเรื่องอะไรกันเนี่ย?”

“....” ยิ่งถามไปเข้าเพสก็ยิ่งรู้สึกขนลุก แต่กระนั้นเจโลก็ยังคงยืนยิ้มให้เขาอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีดำทมิฬ

สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา เด็กคนอื่นๆ ต่างก็พากันส่งเสียงร้องโหวกเหวกแล้ววิ่งตรงเข้าไปหลบฝนตามบ้านหลังต่างๆ อย่างรวดเร็ว

“ฉันคงตอบไม่ได้หรอก ก็มันยังมาไม่ถึงนี่นา ระหว่างนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมามันก็ไม่แปลกหรอก...เพราะฉะนั้นฉันคงตอบอะไรเธอไม่ได้” เพสเอ่ยออกมาด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น เขาสังเกตเห็นดวงตาของเธอกระตุกเล็กน้อย ทว่ามันก็เป็นเพียงแค่ชั่วขณะ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้มีสีหน้าใดๆ แปลกไปอีก

“เหรอ...” เธอเพียงพึมพำออกมาเช่นนั้น ในขณะที่สายฝนยังคงโปรยปรายลงมา

“อ่า...ฝนตกลงมาแล้ว เปียกโชกเลย เรารีบไปหลบกันเถอะ”

“.......อืม.......” เจโลพึมพำออกมา ทว่าเมื่อเขารู้สึกสงสัยและหันกลับไปมองเธอ เธอก็ได้เผยยิ้มออกมาให้เขาด้วยสีหน้าสดใส

วันวันนั้นของเขาได้สิ้นสุดลงไปด้วยเสียงสายฝน กว่าสายฝนจะสงบลงก็เป็นเวลาเย็นพอดี...

ในตอนนั้นเจโลก็ได้ขอลากลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านเธอ ส่วนตัวเขาก็ได้ย้อนกลับไปที่บ้านของเขาเพื่อเปลี่ยนชุดและรอเวลาปีนขึ้นไปหาคุนทาเร่เพื่อพบเธอบนเขา

แม้สายฝนจะหยุดลงไปแล้ว ทว่าสายฝนก็ยังคงไม่สิ้นสุด...

อีกไม่นานสายฝนแห่งความเศร้าจะโปรยปรายลมมาพร้อมสายลมแห่งความเกลียดชัง

อีกไม่นาน...อีกไม่นานเกินรอ...

**************************************************

“ฝนตก...งั้นเหรอ?” ยามที่ได้นั่งเล่นอยู่บนเนินเขาแต่เพียงลำพัง คุนทาเร่ซึ่งไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษก็ได้เหลือบมองขึ้นฟ้า ยื่นมือออกไปรับเม็ดฝนด้วยสีหน้าสงสัย จากนั้นสายฝนก็ค่อยๆ โปรยปรายลงมา

สายฝน...เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอรู้สึกชอบ...

เพราะสายฝนโปรยปรายลงมา จึงทำให้เกิดภาพที่แสนสวยงามขึ้นมารายรอบตัวเธอ...

ทั้งภาพของหยดน้ำจำนวนมากที่โปรยสาดลงมาจากท้องนภา...ทั้งเสียงของกบที่กู่ร้องอยู่ภายในป่าเบื้องหลัง...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เธอรู้สึกรื่นรม แล้วก็อาจจะเป็นเพราะตัวเธอนั้นเป็นภูติ...ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเป็นไข้เมื่อสัมผัสสายฝนที่เย็นฉ่ำ ดังนั้นเธอจึงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น...เงยหน้ามองฟ้าอยู่ที่เดิม ปล่อยให้สายฝนสาดโฉลมตัวเธอไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข

เมื่อเมฆฝนจางหายไป ท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่ง...แต่ถึงกระนั้นเวลาที่ฝนตกก็ยังช่วยชำระความเศร้าหมองให้จิตใจคนได้...ยามเมื่อยืนอยู่ใต้ผืนฟ้าผืนนั้น...แล้วกางแขนออกไปรับสายฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำนั้น...

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาก่อนฝน หรือจะเป็นช่วงเวลาหลังฝน...เธอต่างก็ชอบช่วงเวลาเหล่านั้นด้วยกันทั้งนั้น...

“วันนี้ท่าจะเป็นวันดีนะ” เธอหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง หลังจากนั้นไม่นานนักสายฝนก็ค่อยๆ จางหายไป...

เมื่อสายฝนจางหายไปนั้นเวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนถึงเย็นค่ำแล้ว...ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีส้มแสดของช่วงเวลาที่เรียกกันว่า ‘ผีตากผ้าอ้อม’ เป็นความงดงามหลังฟ้าโปร่งที่ชวนให้รู้สึกมีความสุข

หลังจากนั้นท้องฟ้าก็ค่อยๆ แปรสีไปทีละน้อย แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเป็นสีคล้ำ และแปรไปเรื่อยๆ จนมืดสนิทไร้ซึ่งแสงใดๆ

ถึงเวลาแล้วหรือยังนะ...? เธอคิดเช่นนั้นพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า กะระยะเวลาเพียงชั่วครู่แล้วจึงตัดสินใจ

“ลงไปรอเขาดีกว่า” เธอเอ่ยออกมาเช่นนั้นด้วยรอยยิ้มแสนสดใสหลังจากนั้นก็กระโดดลุกขึ้นมา กระโดดลงแอ่งน้ำข้างตัวจนแตกกระจ่ายไป หัวเราะอย่างสดใสแล้วจึงมุ่งหน้าตรงไปทางป่านั้น

“?” ทว่าชั่วขณะนั้นเธอกลับได้ยินเสียง...เสียงฝีเท้าของใครบางคน...

“ใครน่ะ?” เธอเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย แต่กระนั้นเธอก็ยังจับสัมผัสอะไรจากใครไม่ได้...เมื่อเป็นเช่นนั้นบุคคลที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอจึงมีเพียงแค่คนเดียว

“เพสงั้นเหรอ!?” เด็กสาวเผยยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ รีบวิ่งตรงเข้าไปหาเจ้าของเสียงนั้นโดยไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไร

เมื่อเวลาผ่านไป คนเราก็เปลี่ยนแปลงไปได้...และเมื่อได้รับรู้ว่าตัวเองผิดพลาดที่จุดไหน ใครเหล่านั้นก็จะสามารถปรับแก้ไขจุดนั้นๆ ได้ แม้บางจุดจะเป็นจุดที่ยากเกินกว่าจะแก้ไขของใครบางคน ทว่ากลับใครบางคน...มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายอย่างไม่อาจคาดเดาก็เป็นได้...

ผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่านั้นได้เผยยิ้มออกมา...เป็นรอยยิ้มที่แสนโฉดชั่ว...รอยยิ้มที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของมนุษย์

จากนั้นไม่นาน...ประกายแสงสีเงินวามก็ได้ปรากฏขึ้นในมือของเงาร่างนั้น...

*********************************************************

“อย่า....ไม่....” เสียงร้องครางดังก้องขึ้นภายในป่าที่รกชัฏ

เสียงคลานครืดคราดดังไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง...เสียงหยดน้ำไหลหยดลงบนพื้นเป็นท่วงทำนองใสๆ ทว่าหลังจากนั้นเสียงเหล่านั้นก็ได้หยุดลงไป เมื่อมือของใครบางคนได้เอื้อมไปคว้าเอาขาข้างนั้นมาได้

“!!”

ซวบ!!

“อึก!!” ใบมีดแหลมคมสีเงินเปล่งประกายถูกเสียบลึกลงไปภายในอกของเธอ หยาดเลือดสีแดงฉานหลั่งไหลออกมาจากปลายแผล จากนั้นใบมีดเล่มนั้นก็ค่อยๆ ลากคว้านไปทั่วอกของเธอจนเป็นรูปวงกลม

“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!” เสียงกรีดร้องดังแหวกฝ่าขึ้นปกคลุมไปทั่วผืนป่า เสียงเรไรที่ดังหริ่งร้องอยู่จนถึงเมื่อครู่ต่างพากันแตกตื่นและหยุดลงในฉับพลัน

“ไม่ต้องห่วง...การตายของเธอจะต้องไม่สูญเปล่าหรอก”

“!!” เธอได้ยินเสียงนั้น...เสียงของผู้ที่ถือมีดควานไปทั่วอกของเธอนั้น...แม้ตัวเธอในตอนนี้จะรู้สึกอยากสิ้นสติไปเสียเท่าไร แต่ก็เพราะความอึดของร่างกายที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ดังนั้นเธอจึงยังคงต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดอยู่เช่นนั้น

“ยังไม่ตายอีกเหรอ? ดื้อด้านจริงเลยนะ...” เสียงถอนหายใจนั้นดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นมือของใครคนนั้นก็ได้เอื้อมล้วงเข้าไปภายในอกที่เปิดกว้างของเธออย่างช้าๆ

“อึก!!” เธอเจ็บเสียจนแทบร้องออกมาไม่เป็นประโยค ถ้อยคำและคำพูดต่างๆ ล้วนจางหายไปกับความเจ็บปวดทั้งหมด

จากนั้นไม่นาน...อะไรบางอย่างก็ได้ถูกคว้านออกมาจากภายในอกของเธอ...

“ก็เหมือนของมนุษย์ทั่วไปนี่นา ว่าไหม?”

“......” เสียงหอบหายใจดังแหวกฝ่าผืนป่าไป เสียงหริ่งร้องของเรไรเริ่มดังระงมขึ้นอีกครั้ง

“ฉันไม่มีเวลาอยู่กับเธอมากนักหรอกนะ เพราะฉะนั้นรีบๆ ตายไปแล้วรีบๆ ไปเกิดใหม่เสียทีเถอะ อยู่ตรงนี้ต่อไปก็รกโลกไปเสียเปล่าๆ”

ฉึก!!

“อึก! อัก!!” ใบมีดสีเงินเล่มนั้นได้พุ่งปักลงไปในชิ้นส่วนสีแดงฉานที่ถูกล้วงออกมาจากในอกของเธอ...ชิ้นส่วนนั้นยังคงมีเส้นสายต่างๆ ระโยงรยางค์ออกมาจากภายในร่างกายของเธอเต็มไปหมด เพียงแค่ได้เห็นก็ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ ยิ่งเมื่อสิ่งนั้นได้ถูกปักด้วยมีดไป ความรู้สึกเจ็บก็ได้พุ่งปราดไปทั่วร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว

“ฉันขี้เกียจพูดอะไรมากแล้วล่ะนะ...เพราะฉะนั้น...ตายซะ...”

“!!” เสียงที่ฟังดูทุ้มต่ำนั้น ทุ้มลึกเข้าไปภายในจิตใจของเธอจนชวนให้รู้สึกหวาดผวา ชิ้นส่วนสีแดงฉานนั้นได้ถูกขว้างลงพื้นไป จากนั้นเท้าของใครคนนั้นก็ได้ถูกเงื้อขึ้นไปด้านบน

ไม่อยากตาย...ฉันไม่อยากตาย!!

เสียงร่ำร้องแห่งความปรารถนาดังก้องกังวานอยู่ภายในใจของเธอไม่หยุด แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่สามารถหยุดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้

เผละ!!

“!!!”

เสียงสัญญาณของหัวใจครั้งสุดท้าย...ชิ้นส่วนแสดงชีวิตซึ่งถูกเหยียบให้เละจนมองไม่เห็นรูปร่างอยู่บนพื้น...

และแล้ว ตัวเธอคนนั้นก็ได้สิ้นใจตายไปชั่ววินาทีเดียวกันนั้น...

*************************************************

ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้วนะ...?

เพสได้แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าขณะนั่งอยู่ภายในห้องของตัวเอง หลังจากนิ่งจ้องท้องฟ้าไปเช่นนั้นระยะหนึ่ง เขาก็ได้ตัดสินใจ “เอาล่ะ!!”

ในตอนนี้หมู่บ้านทั่วทั้งหมู่บ้านได้ปิดไฟนอนกันไปหมดแล้ว...ช่วงเวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่เขาจะต้องออกไป

เพสได้ตัดสินใจกระโดดออกนอกหน้าต่างไป หันซ้ายหันขวาแล้วจึงวิ่งตรงไปยังบริเวณทางขึ้นเขาซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย

เมื่อเขาไปถึงบริเวณทางขึ้นนั้น เขาก็พลันเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา...ที่นั่นไม่มีคุนทาเร่มารออยู่ก่อนเหมือนเช่นเคย ทั้งที่ตามปกติแล้วเธอมักจะมารอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเสียทุกที

“หรือว่า...จะเป็นเพราะวันนี้ฝนตกกันแน่นะ...?”

เขาเกลียดฝน...และเพราะเช่นนั้นเขาจึงพลันคิดว่าเธอเองก็คงเกลียดฝนเช่นเดียวกัน...

บางทีเธออาจจะไม่อยากลงมาในเวลาที่ฝนเพิ่งหยุดเช่นนี้ก็เป็นได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจ

“เอาล่ะ!!” ปีนขึ้นไปบนหน้าผานั้นด้วยตัวของเขาเอง

เพราะเมื่อช่วงบ่ายนั้น สายฝนเพิ่งสาดโปรยลงมา ดังนั้นพื้นหินในเวลานี้จึงค่อนข้างลื่น...หากเขาเผลอเล็กน้อยเขาอาจจะสะดุดลื่นและกลิ้งลงไปตกจากหน้าผาตายอยู่เบื้องล่างก็เป็นได้

“อันตรายจริงๆ อันตรายจริงๆ...โชคดีจริงที่เธอไม่ได้ลงมารับเราในวันนี้...” เขาเกิดคิดขึ้นมาเช่นนั้น ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วจึงค่อยๆ ก้าวเดิน ปีนขึ้นไปบนทางลาดชันนั้นอย่างระแวดระวัง

ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุดของทางขึ้นเขา ทว่าชั่วขณะนั้น...เขากลับเกิดความรู้สึกไม่สู้ดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ทำไม....ถึงเงียบจัง?

ทั้งเสียงลม...เสียงป่า...เสียงแมลง...ไม่มีเสียงใดๆ ดังผ่านหูเขาไปเลย...ราวกับทุกสรรพเสียงต่างถูกออกคำสั่งให้หยุดลงอย่างไรอย่างนั้น...

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพาขาตัวเองก้าวเดินเข้าไป...ก้าวเดินเข้าไปในป่านั้นแม้ว่าเขาจะรู้สึกกลัวเท่าไรก็ตาม...

เสียงของป่านั้นช่างเงียบสงัด แม้เดินเข้ามาไกลถึงด้านในแล้วก็ยังไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย...

เหล่สายตาหันไปมองทางซ้าย สิ่งที่สะท้อนอยู่บนดวงตาของเขาก็มีอยู่เพียงแค่ภาพของผืนผ่าสีดำสนิท เหล่สายตาหันไปมองทางขวา สิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในสายตาก็ยังคงเป็นภาพของผืนป่าที่แลดูชวนให้ขนหัวลุก

ป่าในวันนี้....ไม่เงียบชวนขนหัวลุกเกินไปหน่อยเหรอ?

เขาเอ่ยถามกับตัวเองเช่นนั้นพลางยกมือขึ้นกอดตัวเองไว้ แต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามก้าวเดินต่อไป...ดึงความกล้าของตัวเองแล้วก้าวเดินต่อไป....

“.......วะ....หวา!!?”

ทันใดนั้นเองเขาก็ได้เห็น...อะไรบางอย่างที่น่าหวาดกลัวสะท้อนอยู่ภายในสายตาของเขา

“อะ...อะไรกัน...นี่มัน...เลือด...งั้นเหรอ?” เขาก้มหน้าลงไปมองสิ่งนั้น ทรุดเข่าลงไปนั่งเอื้อมมือปาดสิ่งที่ติดอยู่บนใบไม้แห้งเปียกน้ำบนพื้น น้ำที่ปิดทับใบไม้แห้งเหล่านั้นเอาไว้ นอกจากจะเป็นน้ำฝนที่เพิ่งตกลงมาตอนช่วงบ่ายแล้ว ก็ยังเป็นน้ำที่มีสีแดงคล้ำ...ไม่ว่าจะดูยังไงนั่นก็จะต้องเป็นเลือดไม่ผิดแน่นอน

ทำไม...เลือดถึงได้มาอยู่ที่นี่...?

ลางสังหรณ์ร้ายๆ เริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา...ท้ายที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหวต้องวิ่งตามรอยเลือดนั้นไป...

รอยเลือดนั้นแปรเปลี่ยนไปตามจุดที่เขาวิ่งไป จากเพียงแค่หยดเลือดธรรมดาได้แปรเปลี่ยนเป็นแอ่งเลือดขนาดใหญ่...จากนั้นก็กลายไปเป็นทางลากเลือดสีแดงฉานราวกับอะไรบางอย่างที่เต็มไปด้วยเลือดได้ถูกลากผ่านไป

ทางนั้นมัน...บริเวณหน้าผาไม่ใช่เหรอ?

ชั่วขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างพลันเย็นยะเยือกไปในฉับพลัน...ราวกับถูกสายลมแห่งความหนาวเย็นพัดผ่านไป ตัวเขาได้เบิกตากว้างจับจ้องมองภาพที่ตัวเองเห็นพลางครุ่นคิดไปเรื่อยๆ อย่างใจคอไม่สู้ดี

อาจจะ...ไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้มั้ง...?

เขาเฝ้าภาวนา...ภาวนาขอให้มันไม่เป็นเช่นนั้นจริงๆ...ทว่าใครจะไปรู้....ว่าคำภาวนานั้น แท้จริงแล้วจะสามารถสัมฤทธิ์ผลแท้จริงได้หรือไม่...

เขาวิ่งตรงไปตามทางสายเลือดนั้น...ตรงไปยังทิศทางที่เธอคนนั้นน่าจะอยู่...ยังทิศทางที่เขากับเธอเคยพูดคุยกันอยู่เป็นประจำ

“!!” หลังจากวิ่งต่อมาไม่นานท้ายที่สุดเขาก็ได้วิ่งมาจนถึงบริเวณทางออกจากป่า และที่นั่นเขาก็ได้พบ...ร่างของใครบางคนที่กำลังนอนพิงตัวอยู่ที่ข้างโขดหิน ไม่ได้รู้สึกถึงการมาเยือนของพวกเขาเลย...

“......คุนทาเร่....?” เพสลองยื่นมือออกไปและเอ่ยเรียกชื่อเธอออกมา ทว่าเธอก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบ...ท้ายที่สุดเขาก็ได้ลองก้าวเดินเข้าไปหาเธอ ทว่าในตอนนั้น...เขาก็ได้ก้าวไปเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างเสียก่อน...

เผละ

“?” เสียงของอะไรบางอย่างแตกสลาย....เป็นเสียงคล้ายตอนที่เขาใช้ช้อนบี้เยลลี่จนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทว่ากลับเป็นเสียงที่ฟังดูชัดเจนกว่านั้นค่อนข้างมาก...

จนกระทั่งเมื่อเขาก้มหน้าลงไปมองสิ่งนั้นและยกเท้าของตัวเองขึ้นมาดูเขาก็ได้เห็น....โลกของตัวเองที่สูญสลายลงไปต่อหน้าต่อตาของตัวเอง...

“......คุนทาเร่.....คุนทาเร่?” เขาลองเรียกชื่อนั้นออกมาอีกครั้ง ทว่าไม่ว่าจะเรียกเท่าไรเธอก็ไม่ยอมส่งเสียงตอบรับเขากลับมาเลย...

“!!” ชั่วขณะนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจ...วิ่งตรงเข้าไปคว้าไหล่ของเธอเอาไว้ ดึงร่างของเธอให้หันมามองเขา ทว่าเมื่อร่างของเธอล้มลงมาภายในอ้อมกอดของเขา เขาก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ

อกของเธอถูกเปิดคว้านออกไป...เลือดสีแดงสดได้หลั่งไหลออกมาย้อมเสื้อผ้าของเขาให้กลายเป็นสีแดง...สิ่งที่ควรจะอยู่ภายในอกนั้นไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว...

“อุ....อัก!!” เมื่อแสงจันทร์ซึ่งลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสาดแสงลงมา ส่องให้เขาเห็นสภาพที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ทั้งหมด เขาก็ไม่อาจฝืนทนเอาสิ่งที่พยายามดันตัวออกมาจากภายในปากนั้นกลับเข้าไปได้

ของเหลวกลิ่นเหม็นสีอ่อนที่แสนจะเหลวเละได้พุ่งทะลักออกมาจากปากของเขา...มันร่วงลงไปเปื้อนใบหน้าของเธอผู้นั้นซึ่งถูกย้อมไปด้วยคราบน้ำตาและหยาดเลือด ตัวเขาก้มหน้าลงไป ดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด พยายามปลดปล่อยของเสียในร่างกายของตนออกไปที่อื่นที่ไม่ใช่บนร่างเธอ...หลังจากที่ตั้งสติได้เขาจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมามองเธออีกครั้ง”

“คุน...ทาเร่...?” ดวงตาของเธอเบิกกว้าง น้ำตาสีใสยังคงคลอค้างอยู่ภายในเบ้าตาทั้งสอง

ทำไมกัน...นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น?

ใคร...ใครเป็นคนฆ่าเธอ...ใคร...ใครกัน?

สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจของเขาในตอนนี้มีอยู่เพียงแค่คำถามแสดงความไม่เข้าใจ และคำถามที่ว่าเธอตายได้อย่างไร...สภาพของเธอนั้นดูไม่เหมือนการฆ่าตัวตาย ดังนั้น...เธอจึงน่าจะถูกใครบางคนฆ่าตาย...

ภาพในอดีตได้หวนย้อนคืนมา ภาพของเธอซึ่งหันกลับมามองเขาด้วยความตกใจเมื่อพวกเขาได้พบกันครั้งแรก...รอยยิ้มของเธอที่เผยให้เขาได้เห็นหลังจากนั้น และภาพของปีกสีชมพูที่เขาเคยได้เห็นเพียงแค่สองครั้งในชีวิต...

ทั้งรอยยิ้มดีใจของเธอ...เสียงหัวเราะของเธอ...ท่าทางร่าเริงสดใสของเธอ....รอยยิ้มแฝงความเศร้าใจของเธอ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยได้เห็น....ประดังเข้ามาภายในหัวใจของเขาอย่างรุนแรงเสียจนเขาไม่อาจฝืนรับไหว...

“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!” หลังจากนั้นเขาก็ได้ส่งเสียงกู่ร้องออกมา...กู่ร้องออกมาสุดเสียงด้วยความเสียใจที่ได้สูญเสียสิ่งสำคัญของตัวเองไป

ใช่แล้ว...เธอเป็นคนสำคัญสำหรับเขา...ยามเมื่อเธอตายเขาจึงได้รับรู้...เพราะอะไรเธอจึงเป็นคนสำคัญของเขาเขานั้นไม่รู้...ทว่าตัวเขานั้นรู้สึกได้...ว่าตัวเขานั้น ไม่สามารถขาดเธอไปได้...

เขาได้ก้มหน้าลงจุ่มพิตใบหน้าของเธอ ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ และเอื้อมมือไปปิดตาของเธอลง...หยาดน้ำตาที่ไหลคลออยู่ภายในเบ้าของเธอได้ร่วงไหลลงไป ทว่าชั่วขณะที่เขาได้คิดว่าต้องลาจาก...เขากลับรู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งในหัวใจของเขาได้สูญสลายไป...

“อย่าจากไป...เลยนะ...” เสียงร้องไห้ของเด็กตัวน้อยๆ...เป็นคำขอที่ไม่มีวันกลายเป็นจริง...

กลุ่มเมฆสีทึมยังคงปกคลุมอยู่ทั่วผืนฟ้า...แม้ว่าเมฆฝนจะจางหายไปแล้ว ทว่าเค้าลางบางอย่างกลับเริ่มคืบคลานเข้ามาภายในชีวิตของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

และแล้วในที่สุด...เขาก็ได้สูญเสียผู้ที่ตัวเองรักไปหนึ่งคน...

*******************************************************

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา