Revamp ศึกนางฟ้าสยบทวยเทพ
8.2
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 16.32 น.
24 ตอน
4 วิจารณ์
30.82K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2556 13.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) จุดที่ปีกแห่งเทพหักลง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ การโจมตีที่อัดกระแทกเข้ามายังตำแหน่งจุดตายของมนุษย์อันเป็นตำแหน่งเดียวกันกับของพวกเทพตกสวรรค์นั้นทำให้ร่างของเรอาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนล้มลงไปแน่นิ่งกับพื้นในทันทีด้วยลมหายใจที่สั่นเครือไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บปวดที่ซ้ำเข้ามายังเส้นผมเกือบทั้งหมดของเธอซึ่งถูกดึงขึ้นอย่างเต็มพละกำลังอันมหาศาลของเหล่าคู่ต่อสู้ร่างเขียวขนาดใหญ่จนหน้าอกโผล่พ้นพื้นขึ้นมาในท่ายืนซึ่งลักษณะที่ฝ่าเท้าไม่สัมผัสกับพื้นโดยตรง ชายร่างยักษ์ที่หน้าตาดูไม่เหมือนกับมีสายพันธุ์ของมนุษย์ในเซลล์พันธุกรรมเลยค่อยๆก้าวเท้าเดินข้ามศีรษะของเมโรเน่ที่กำลังนอนหมดแรงอยู่กับพื้นจากอาการสูญเสียน้ำภายในร่างเป็นจำนวนมากจากการละเล่นที่พวกเธอทำกับในช่วงกลางวันที่เปรียบเหมือนนรกเพลิงไปเหมือนกับไม่สนใจเทวทูตแห่งฟากฟ้าแม้แต่น้อย ชาย(ที่อย่างน้อยก็มีเจ้าสิ่งนั้นยื่นออกมาจากชายผ้าปิดช่วงล่างมาให้เห็น)คนนั้นเข้าไปพิจารณาร่างกายที่สมควรถูกขย้ำโดยผ่ามือทั้งสองของเขาอย่างละเอียดก่อนที่จะฟาดหลังมือเข้าใส่ใบหน้าของลูกน้องของมันให้ปล่อยเส้นผมที่สละสลวยของเรอาให้เป็นอิสระ "กลิ่นกายของเจ้าช่างเย้ายวนใจข้ายิ่งนัก... สมแล้วที่เป็นบุตรสาวแห่งเทวทูตที่ฝักใฝ่ในบาปแห่งมวลมนุษย์จนถูกขับไล่จากเหล่าเทพแห่งสวรรค์จนต้องมาสมสู่กับพวกมนุษย์เพื่อกลับไปล้างแค้นเหล่าทวยเทพไม่มีผิด กลิ่นแห่งความโสมมลอยติดจมูกข้ามาเลยเชียว!" ยักษ์แก่ทำสีหน้าเหมือนแมลงวันกำลังดมตอมอาหารมื้อเด็ดของมันหลังจากที่ละสายตาไปจากเรอาที่ยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกมันใช้ไม้ฟาดเข้าที่กระดูกสันหลังอย่างหนักหน่วงจนหมดสภาพ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงให้ความสนใจเรอาที่มีแววตาเลือนรางจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอัมพาตไปชั่วขณะมากกว่าเมโรเน่ที่กำลังมองพวกมันด้วยสายตาที่โกรธแค้นอยู่ดี "ทำไงได้! ก็ฉันมันเป็นบุตรสาวของเทพตกสวรรค์ที่เกิดกับมนุษย์นี่... การที่กายเนื้อของฉันจะมีกลิ่นที่แสนโสโครกของพวกเทพตกสวรรค์ติดอยู่มันก็ไม่แปลกหรอก! แล้วอีกอย่าง...กรุณาอย่างพูดถึงแม่ฉันอย่างนั้น!!" หลังจากผ่านไปได้พักหนึ่ง ความสามารถในการรักษาตัวที่มีอัตราสูงมากขึ้นท่ามกลางแสงแห่งพระจันทร์เต็มดวงนั้นก็ได้ทำให้กระดูกสันหลังที่เคลื่อนของเรอาเริ่มฟื้นคืนสภาพเดิมขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ยังไม่พอที่จะทำให้เรอาสามารถลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเจรจาความกับเหล่ายักษ์ตาเดียวได้อยู่ดีซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้นำของเหล่ายักษ์รู้สึกประทับใจมากที่ได้มีโอกาสเห็นหนึ่งในเทพและเทพตกสวรรค์พร้อมๆกันก่อนที่ลมหายใจของพวกมันจะดับไปตลอดกาล... "กลิ่นสาปแห่งเทพตกสวรรค์..!? เปล่าเลย... สำหรับปีศาจอย่างพวกเราแล้วก็กลิ่นกายของพวกนั้นก็ไม่ได้น่ารังเกียจเท่าไหร่เลย กลิ่นที่ข้าว่าเหม็นติดจมูกนั่นหมายถึงกลิ่นสาปของพวกไร้พลัง... 'พวกมนุษย์ ต่างหาก!" "เมื่อกี้...แกว่าอะไรนะ..!" เสียงขบฟันที่รบกวนโสตประสาทของผู้ที่รับฟังการเหยียดหยามสถานะของเหล่ามนุษย์ที่เป็นต้นกำเนิดของพลังความศรัทธาและคำสวดภาวนาซึ่งมอบพลังให้แก่เหล่าทูตสวรรค์ รวมไปถึงต้นกำเนิดแห่งบาปอันยากจะหยั่งถึงจุดสิ้นสุดและความหวาดกลัวอันเป็นขุมพลังสำคัญของเหล่าเทพตกสวรรค์ทุกตนนั้นส่งเสียงดังกรอบแกรบจนเป็นที่พึงพอใจของเหล่ายักษ์ที่มองพวกมนุษย์เป็นเพียงเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนร่างกายที่ต้องอัดลงไปในกระเพาะทุกวันเท่านั้น ซึ่งสำหรับเรอานั้นมนุษย์ไม่ได้มีค่าเพียงแค่นั้น... "แกมองว่าพวกมนุษย์ที่ไร้ปีกบินบนท้องฟ้าเป็นเพียงเศษเนื้อไร้ค่าเท่านั้นหรือยังไง!!!" "ก็จริงอยู่ว่าพวกมนุษย์จะเป็นเพียงพวกที่เห็นแก่ความสุขส่วนตนเป็นที่ตั้งจนย้อมร่างกายด้วยเฉดสีแห่งความต่ำต้อยโดยไม่สนสายตาของเหล่าเทพแห่งสรวงสวรรค์ที่มองลงมาอย่างสมเพช... เคารพบูชาปีศาจและเทพแห่งความชั่วร้ายราวกับเทพเจ้าองค์ใหม่แลกชีวิตของตัวเองกับความสุขเพียงชั่วยามเท่านั้น แต่ว่านะ..!! พวกมนุษย์น่ะมีความงดงามมากกว่าที่พวกแกเห็น พวกเขาต่างใช้ชีวิตอยู่อย่างอิสระโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้า...ไม่ต้องมีภาระรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น" "ถึงมนุษย์จะมีอายุขัยที่สั้นกว่าทูตสวรรค์ เทพตกสวรรค์หรือปีศาจอย่างแก แต่ชีวิตทีสั้นและเปราะบางของพวกนั้นกลับมีสีสันและชีวิตชีวามากยิ่งกว่าพวกที่มีอายุเกือบจะเป็นนิรันดร์ของพวกแกหลายเท่า พวกเขาต่างมีรอยยิ้มที่ไม่ได้ออกมาจากการแสแสร้งอย่างพวกอัครเทพ!! มีเสียงร้องเพลงที่บรรเลงออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงผิดกับเพลงที่ขับขานตามหน้าที่ของพวกมหาอัครเทพเซราฟิม!! มีความรู้สึกโกรธแค้นที่กลั่นออกมาจากใจจริงผิดกับความมืดในใจของเทพตกสวรรค์!!!" "ทั้งที่เป็นอย่างนั้น... พวกแกกลับเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกมนุษย์ว่าเป็นพวกชั้นต่ำไร้ค่า...เอาจริงๆแล้วปีศาจอย่างพวกแกมันก็ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าหนอนในลูกมะเขือที่พวกมนุษย์เขี่ยทิ้งนั่นแหละ!!! แกมัน-!!" เสียงตะโกนร้องปกป้องศักดิ์ศรีที่ยังคงมีค่าในสายตาของเรอาถูกขัดจังหวะลงด้วยท่อนไม้ที่ฟาดลงมายังร่างของเธอที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นอย่างหนักจนกระอักเลือดออกมา ผู้นำยักษ์เห็นว่าเปิดโอกาสให้เทพตกสวรรค์ครึ่งมนุษย์ได้พล่ามออกท่มากจนเกินสมควรแล้วจึงสั่งให้ลูกน้องของมันรวบแขนทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาในระดับตาของมัน สายตาที่ได้พิจารณาใบหน้าที่มีรอยเลือดไหลลงมากรังจากริมฝีปากของสาวน้อยที่ยักษ์ตนนั้นใช้มองมายังเธอราวกับมีความคิดอะไรดีๆปรากฏขึ้นมาในใจอย่างหนึ่ง... เป็นสายตาที่เหมือนกับนักประมูลที่ได้เห็นสินค้าเลอราคาที่มีตำหนิเจืออยู่นิดหน่อย "งั้นสินะ... ดูเหมือนว่าเจ้าจะภาคภูมิใจสินะที่ในร่างของเจ้ามีสายเลือดของมนุษย์เจืออยู่ด้วยถึงครึ่ง ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้ใกล้ชิดพวกมนุษย์ที่เจ้ารักนักรักหนามากยิ่งขึ้นก็แล้วกัน" เรอาไม่เข้าใจในสิ่งที่ยักษ์ตาเดียวพูดขึ้นมาเลยสักนิด แต่แล้วเธอก็เริ่มจะเข้าใจในความหมายที่แฝงอยู่ภายในแววตาที่นิ่งสงบอยู่ตลอดเวลาของมันได้ไม่ยากโดยผ่ายทางการกระทำ... คว่าก..!!!!!! "อ๊าก...!!!!!!!..!!! อึ่ก..!!" และในที่สุดความเจ็บปวดที่ร้ายกาจราวกับถูกฉีกเนื้อทั้งเป็นก็ได้โถมเข้าสู่ร่างกายอันบอบช้ำของเรอาอย่างรุนแรงจนต้องร้องออกมาอย่างทรมาน หลังจากที่ยักษ์แก่ได้พิจารณาในสิ่งที่มันสมควรจะทำต่อจากนี้จนเป็นที่เรียบร้อย ฝ่ามือข้างขวาที่ถือท่อนไม้ที่ใช้ฟาดเรอาถึงสองครั้งก็ยกขึ้นมาจับที่ปีกสีดำของเธอเอาไว้มั่นก่อนจะกระชากอย่างสุดแรงจนแผ่นปีกหลุดติดมือของมันมาด้วย สีหน้าของเรอาที่ตอบสนองกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและเลือดที่พุ่งออกมาเป็นจำนวนมากตามส่วนหนึ่งของร่างกายที่เคยติดแน่นอยู่นั้นส่งแววแห่งความทรมานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนออกมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่แผ่นหลังซีกซ้ายลง ก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บปวดที่เหมือนกับทำการฉีกแผ่นเนื้อสดๆในทันทีที่แผ่นหลังอีกข้างหนึ่ง "เรอา!!!!!!!" ร่างของเรอาอ่อนกำลังลงก่อนที่ยักษ์ตาเดียวที่จับแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้จะคลายพันธนาการออกให้ล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง และในที่สุด...เรอาก็ได้เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีปีกบินเสียที "เป็นยังไงบ้าง..!? ความรู้สึกของพวกที่ไม่สามารถยื่นเท้าเข้าไปเหนือผืนดินได้...เจ้าพอจะเข้าใจมันแล้วหรือยัง หรือว่าจะให้ข้ากระชากท่อนขาของเจ้าออกอีกเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ที่ไม่มีขาเดินดีล่ะ!? หึๆ..." ยักษ์แก่หัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจในผลงานของมันที่สามารถทำให้เทพตกสวรรค์คนหนึ่งไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนแห่งเทพได้อีกต่อไป แต่ในตอนนั้นเองที่ร่างกายของมันสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์แห่งการต่อสู้... ฟู่ว์...! หมับ.!!! ทันทีที่พวกยักษ์ตาเดียวหันกลับไปยังทางที่หัวหน้าของพวกมันเดินเข้ามานั้น... ลูกพลังแสงที่อัดแน่นไปด้วยพลังทั้งหมดเท่าที่ยังคงเหลืออยู่ของบุตรสาวแห่งทูตสวรรค์ที่พวกมันไม่สนใจจนถึงเมื่อครู่นี้ก็ได้ตรงเข้ามากลางวงล้อมอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือเพื่อนของเธอที่ถูกแย่งชิงอิสรภาพบนผืนฟ้าไป ซึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปล่อยออกมานี้ไม่ได้มีความเสถียรและถูกรับเอาไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว.. "ถอยเท้าออกไปจากเพื่อนของฉันเดี๋ยวนี้... ไอ้พวกเวร!" เมโรเน่ที่ยังมีสภาพเจียนอยู่เจียนไปจากสภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงได้ใช้พลังใจทั้งหมดดันตัวเองขึ้นมาจากพื้นทรายพร้อมกับรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์เท่าที่จะทำได้โจมตีใส่ศัตรูของเธออย่างสุดกำลัง ซึ่งเมโรเน่สามารถทำได้เพียงมวลก้อนพลังศักดิ์สิทธิ์ขนาดเล็กไม่กี่ลูกเท่านั้น...และพลังเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรผิวหนังที่หนาราวกับหนังช้างได้เลยแม้แต่น้อย "ดูเหมือนว่าทางนี้ก็มีทูตสวรรค์อยากจะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์อยู่ตัวนึงนะ... เข้าไปจัดหนักให้ยัยนั่นหน่อยซิ!" "คิดว่าจะทำตามใจชอบได้งั้นเหรอ..! โล่ศักดิ์สิทธิ์..อึ่ก!" ร่างของเมโรเน่ที่ฝืนพยุงน้ำหนักตัวเอาไว้อย่างเกินกำลังได้แสดงผลข้างเคียงออกมาในที่สุก ทูตสวรรค์ผู้มีสายเลือดแห่งมนุษย์เจือปนครึ่งหนึ่งที่มีอาการขาดน้ำและเร่งเร้าพลังศักดิ์สิทธิในขณะที่สภาพร่างกายไม่เป็นใจนั้นได้ล้มเซลงไปกับพื้นในท่าชันเข่าพร้อมกับสายตาที่เริ่มเลือนลางลงทุกขณะ จนในที่สุดสิ่งที่เข้ามาเตือนสติที่ขาดช่วงไปชั่วขณะของเธอนั้นก็คือ... ท่อนแขนที่ฟาดเข้ามายังใบหน้าของเธออย่างเต็มแรงจนแทบจะล้มทั้งยืนนั่นเอง "ไม่ยอมหรอกน่า!! ถ้าฉันล้มลงไปตอนนี้...ความฝันที่เรอามีมาตลอดก็ต้องถูกทำลายไปพอดีน่ะสิ!!!" แม้ว่าจะถูกทำร้ายในขณะที่ร่างกายอ่อนปวกเปียก เมโรเน่ก็ยังคงใช้ขาทั้งสองข้างค้ำยันตัวเองเอาไว้เพื่อให้ยังมีสติพอที่จะระลึกได้ว่าควรจะทำอะไรมากที่สุดในขณะนี้... และยังเพื่อไม่ให้เธอต้องได้รับความเจ็บปวดแบบเดียวกับเรอาที่นอนตัวสั่นเพราะความเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าด้วย!! "ดูเหมือนว่าเจ้าจะสนิทกับสาวน้อยคนนี้มากเหลือเกินนะ... ทำไมทูตสวรรค์เช่นเจ้าถึงได้ยอมลดฐานะของตัวเองมาตีสนิทกับเทพตกสวรรค์เช่นแม่หนูนั่นด้วยล่ะ!" "ตีสนิทอย่างนั้นเหรอ... อย่างฉันน่ะไม่เคยมีความคิดที่จะฝืนทนอยู่กับคนที่ตัวเองรัเกียจหรอกนะ" เมโรเน่ที่รู้สึกเหลืออดกับการกระทำที่ข้ามหน้าข้ามตาของเหล่าปีศาจตรงหน้าตั้งแต่แรกเริ่มระบายคำพูดที่ต้องการจะปล่อยออกมาใส่ผู้ที่ทำให้เพื่อนของเธอต้องเจ็บปวด "สำหรับฉันแล้วฐานะทูตสวรรค์จะเป็นยังไงก็ช่าง!! ขนาดท่านอัครเทพยังทอดทิ้งฉันเพื่อตัดปัญหาหนอนบ่อนไส้ของสรวงสวรรค์...แต่มีเพียงเรอาเท่านั้นที่ยังไม่ทอดทิ้งฉัน! แม้จะเป็นเทพตกสวรรค์...แต่ยัยนั่นก็ไม่เคยเห็นค่าของฉันด้อยไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งเลย!! เพราะงั้น...ต่อให้คนทั่วโลกจะมองฉันว่าต่ำต้อยแค่ไหน ขอแค่มีเพียงเรอาอยู่เคียงข้างฉันก็เพียงพอแล้ว!!!" เมโรเน่ส่งเสียงตะโกนดังก้องก่อนจะรวบรวมพลังครั้งสุดท้ายเพื่อเรียกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเธอขึ้นมาใช้งาน แม้ว่ามันจะออกมาได้เพียงประกายแสงจางๆก่อนจะสลายไปเท่านั้นก็ตาม... "ดูเหมือนว่าเจ้าจะหมดพลังแห่งเทวทูตแล้วสินะ... คราวนี้ข้าจะจัดการเจ้าเสียเพื่อพาตัวเทพตกสวรรค์นางนั้นไปเสวยสุขกับข้าตามลำพังอย่างมีความสุข ถ้าจะโทษก็ไปโทษพวกอัครเทพที่ทอดทิ้งเจ้าก็แล้วกัน!!" เมโรเน่หลับตาแน่นเพื่อรอรับความเจ็บปวดที่ท่อนไม้ในมือของเหล่ายักษ์จะฟาดลงมายังร่างของเธออย่างต่อเนื่องก่อนที่เธอจะได้เดินทางไปพบกับเทวทูตแห่งความตายซึ่งมีศักดิ์เป็นมารดาของเธอ ในคราวนี้เมโรเน่อาจจะได้ทราบความจริงก็ได้ว่าเทวทูตแห่งความตายนั้นไปตกหลุมรักกับมนุษย์ธรรมดาจนมีผลผลิตออกมาเป็นเธอได้อย่างไร ทุกอย่างจะเริ่มภายใน 1... 2... 3... 4... 5... แต่แล้วเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปดังที่คาดเอาไว้... เมื่อเมโรเน่รอเวลาที่ร่างของเธอจะถูกทำร้ายจนกระดูกทั่วร่างหักละเอียดอยู่เป็นนานสองนานก็ยังไม่รู้สึกอะไร หรือว่าความตายนั้นจะพรากชีวิตของเธอไปนานแล้วก็ได้!? "เมโรเน่..! เมโรเน่..!! ลืมตาขึ้นมาสิ...เมโรเน่!!" ในที่สุดความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทของเมโรเน่หลังจากที่หลับตาลงไปนานมากนั้นก็ได้ถูกกระตุ้นเข้ามายังก้านสมองของเธอตามที่ปรารถนาเอาไว้ หากแต่เมื่อเมโรเน่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง... กลับปรากฏใบหน้าของเรอาที่มีเพียงรอยแผลช้ำจางๆจากการถูกกระแทกอันบางเบาเท่านั้น และนอกจากนั้น...รูม่านตาของเมโรเน่ก็หดตัวลงจากแสงแรกอรุณที่ส่องผ่านเปลือกตาของเธอเข้ามาอีกด้วย "พวกเรา...ฝันไปหรอกเหรอ!?" เมโรเน่พยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างสับสนในใจมาก ในขณะนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเธอคือความอ่อนล้าจากการที่นอนหลับไม่ได้สติมาเป็นเวลานานบนโขดหินสีเทาแข็งๆเท่านั้น... แต่แล้วร่างของเมโรเน่ก็ทรุดลงไปอีกครั้งจากเรอาที่กระโดดขึ้นมากอดเธอเอาไว้ด้วยแรงและน้ำตาทั้งหมดที่มี "เธอไม่ได้ฝันไปหรอก... ตอนนั้นที่พวกไซคลอปส์กำลังจะฆ่าเธอ เธอก็หมดสติไปเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเธอหมดไปจนเกือบจะตายจริงๆ โชคดีมากที่พวกเราได้มือปราบมารที่บังเอิญผ่านมาที่นี่พอดีช่วยไล่พวกยักษ์ออกไปก่อนจะช่วยสวดภาวนาให้เธอจนพ้นจากสภาวะกึ่งตาย ไม่งั้นเธอก็คง...เธอก็คง..." เรอาร้องไห้ออกมาไม่หยุดหลังจากที่อธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทของเธอฟังจนเมโรเน่ต้องโอบกอดเธอเอาไว้เพื่อตอบสนองความโศกเศร้าที่เกือบจะต้องสูญเสียเพื่อนคนสำคัญของเรอาเอาไว้อย่างทะนุถนอม ในขณะเดียวกันสายตาของเมโรเน่ก็สังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนกำลังยืนพิจารณาทิวทัศน์ยามเช้ามืดที่เหน็บหนาวราวกับรูปปั้นหินที่มีชีวิต ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นราวกับเทพบุตรที่ตกลงมาจากฟากฟ้าไม่มีผิด ดวงตาสีฟ้าอ่อนของชายคนนั้นช่างดูเข้ากันกับทรงผมสีเทาที่ตัดจนดูเรียบๆราวกับฟองคลื่นสีขาวที่ลอยฟ่องอยู่เหนือผิวน้ำทะเลสีฟ้าอ่อน ราวไปถึงชุดหนังสัตว์สีน้ำตาลที่ส่องประกายสีเงินจากกระดุมโลหะสีเทานั้นก็ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์เมืองตะวันตก แต่ถึงอย่างนั้นเมโรเน่กลับยิ่งสงสัยมากกว่าว่าทำไมชายหนุ่มที่รูปโฉมงดงามเฉกเช่นเทวดาแห่งสรวงสวรรค์ถึงได้เลือกที่จะเดินทางที่แสนอันตรายนี้... เขาไม่มีความกลัวตายเลยหรืออย่างไร!?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ