จานสี ดินสอ พู่กัน,, รักของฉัน.. เปื้อนสี
เขียนโดย Differ
วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 20.38 น.
แก้ไขเมื่อ 12 กันยายน พ.ศ. 2556 00.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เปิดเทอมใหม่ หัวใจว้าวุ่น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 2
เปิดเทอมใหม่ หัวใจว้าวุ่น^^
____________________
“อรุณเบิกฟ้า เป็นสัญญาณวันใหม่ พวกเราแจ๋มใสเหมือนนกที่ออกจากรัง~” เสียงร้องเพลงเจื้อยแจ่วของไอ้โม ดังขึ้นรบกวนโสตประสาทของฉันอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่ฉันได้ฟังเพลงนี้ เพราะฉันจะได้ยินมันร้องเพลงนี้ทุกครั้งที่เป็นเช้าของวันเรียน และนี่ก็เป็นอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ค่อยได้ฟังมาประมาณหนึ่งเทอม เนื่องจากพวกเราต้องไปฝึกงาน 1เทอมเต็มๆ ไม่รู้ว่าทำไมโรงเรียนเราถึงฝึกงานเยอะนัก ทั้งๆที่โรงเรียนอื่นเขาก็ฝึกกันแค่เดือนเดียว และเราก็เข้าโรงเรียนเฉพาะวันศุกร์เท่านั้น เพราะจะต้องไปทำสรุปการฝึกงานส่งอาจารย์ ฉันอดที่จะยิ้มไม่ได้ที่ได้ยินเพลงที่นะโมร้อง ไม่ใช่ว่าชอบมากมายอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่านั่นเปรียบเสมือนสัญญาณแห่งความสุขที่จะได้เข้าโรงเรียนอีกครั้งในฐานะ ‘นักเรียน’
“อารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะเอ็ง” ฉันเอ่ยทักทายน้องชายสุดที่เลิฟของฉัน
“หรือเอ็งจะให้ข้านั้งร้องไห้ล่ะ” มันสวนกลับอย่างน่ารักหน้าเอ็นดู (หร๊า!!)
“ก็แล้วแต่เอ็งนะ ถ้าอยากร้องไห้ข้าก็ไม่ว่าอะไร” ฉันพูดปัดๆ เพราะไม่อยากมีเรื่องกันตั้งแต่เช้า
“หร๊า!!” มันแผดเสียงหกร้อยยี่สิบแปดหลอดของมันจนแก้วหูฉันสั่นระรัว~~~
“เลิกกวนได้และ จะไปโรงเรียนกันได้หรือยัง” ไม่มีคำตอบอะไรจากนะโม มันบรรจงจำชายเสื้อยัดลงกางเกงยีนส์ตัวเก่งของมันให้ดูเรียบร้อย เซ็ตผมอีกนิดหน่อยให้ได้ตามแบบฉบับเด็กศิลป์ นั่นคือการทำผมรองทรงต่ำแซกกลางแบบมหาดไท ฉันละสายตาจากนะโม แล้วหันไปยิบอุปกรณ์การเรียนของตัวเองยัดใส่ลงไปในกระเป๋าคู่ใจ ปรับสายกระเป๋านิดหน่อยให้พอดี แล้วจึงยกขึ้นสะพายพาดข้างอย่างทะมัดทะแมง
-ณ. โรงเรียนอาชีวศิลป์สยาม-
ในเวลานี้ผู้คนดูบางตา มีนักเรียนไม่กี่คนเดินสวนกันไปมาตรงสนามบาสใจกลางโรงเรียน โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีตึกสามตึกต่อกันเป็นรูปตัวแอล( L )กลับหัว และมีโรงปั้นเล็กๆอยู่ข้างๆ นักเรียนมีราวๆ 500-600คน เรียกง่ายๆก็คือพวกเราทั้งโรงเรียนรู้จักกันหมด ถึงบางคนจะไม่เคยคุย แต่ด้วยธรรมเนียมรุ่นพี่รุ่นน้อง ทำให้เวลาเดินผ่านรุ่นพี่เราก็จะยกมือไหว้ หรือเดินผ่านรุ่นน้อง รุ่นน้องก็จะไหว้เรา ทำให้เราสนิทสนมกันง่ายขึ้น ฉันกับนะโมเดินผ่านตึกทะเบียนมายังตึกเรียนที่1 โดยไม่ลืมที่จะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงเรียน นั่นก็คือองค์พ่อ(พระวิษณุกรรม) และองค์พระพิฆเนยศวร รวมไปถึงลุงเด๋อ ยามหน้าโรงเรียนที่พวกเราเคารพดุจญาติโกโหติกา
“เฮ้~!!” เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ฉันและนะโมต้องหยุดเดิน เพื่อมองหาที่มาขอเสียงนั้นๆ “เฮ้~ โม มนต์ วู้ๆๆๆๆ” สุดท้ายฉันก็เจอเจ้าของเสียง
เพรชนั้งรอพวกเราอยู่ที่โต๊ะที่สองแถวแรกติดบันไดใกล้ตู้โทรศัพท์ ซึ่งเป็นโต๊ะประจำของพวกเรา ฉันและนะโมไม่รอช้า รีบเดินดุ่ยๆตรงไปหาเพื่อนที่นั้งรอเรอยู่
“ไง.. เพรช.. มาแต่เช้าเลยนะ” ฉันเอ่ยทำทักทายเป็นคนแรก
“อื้อ ตื่นเต้น นอนไม่หลับเลยว่ะ คิดถึงโรงเรียนมากกกกกกกกกกก” เป็นลากเสียงยาวเป็นเชิงบอกถึงความรู้สึกที่มีมากเหลือเกิน
“กินไรมายังล่ะไอ้เพชร” นะโมถาม
“ยังเลยว่ะ กะจะมารอกินพร้อมกัน” เพชรตอบ ฉันกับนะโมพยักหน้ารับ แล้วจึงเดินไปนั้งข้างๆเพรช
“ยังไม่มีใครมาเลยหรอเนี่ย” ฉันพูดพรางมองไปรอบๆบริเวณโรงเรียน ที่ขณะนี้เริ่มมีผู้คนทยอยกันมาบ้างแล้ว
“เมื่อกี้ไอ้นุ๊กเพิ่งโทรมาบอกว่าใกล้ถึงแล้ว มากับไอ้เป้ แล้วก็พี่แม็ก” เพชรแจง
“งั้นเดี๋ยวข้าโทรหาไอ้อ้นก่อน” ว่าแล้วฉันก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาเพื่อที่จะโทรหาเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน
“ไม่ต้องโทรหรอก เดี๋ยวมันก็มาพร้อมพี่ไกร ออกแบบนั่นแหละ ไม่ต้องคิดถึงมันมากขนาดนั้นก็ได้” เพรชแขวะ ฉันไม่ได้ตอบโต้อะไร จริงๆแล้วฉันกับอ้นก็ไม่ได้คิดอะไรกันนะ เพียงแต่เพชรมันชอบคิดไปเองว่าฉันชอบไอ้อ้น อาจเป็นเพราะ...
...............................................................
“เอาล่ะ ในชั่วโมงแรกนี้ อาจารย์จะให้นักเรียนออกมารายงานตัวหน้าชั้นนะ จะได้ทำความรู้จักกัน” อาจารย์สราวุฒิบอกถึงจุดประสงค์ในการเรียนชั่วโมงแรกวันนี้ การแนะนำตัวหน้าชั้นเรียนต่อหน้าใครหลายๆคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องยาก เพราะต่างคนก็ต่างเขิน “ใครจะออกมาคนแรกดี”
“..............” ไม่มีใครอยากเป็นคนแรกหรอก มันทำตัวไม่ถูกกันทั้งนั้น
“ให้คนนั้นแนะนำตัวก่อนเลยครับ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น พรางชี้ไปที่นักเรียนหญิงอีกคนที่นั้งอยู่แถวหน้าสุด
“ฮั่นแน่~” เพื่อนๆและอาจารย์ต่างร้องแซว
“อยากรู้จักก็ถามเขาเองเลยดิ่” นักเรียนชายอีกคนแซวขึ้น
“บ้าไง.. แค่เห็นว่าอยู่หน้าสุดเฉยๆเว้ย” เด็กหนุ่มรีบแก้ตัว แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อเพื่อนทุกคนต่างหัวเราะชอบใจกันใหญ่ บ้างก็ตะโกนแซวขึ้นเป็นจังหวะๆ นักเรียนหญิงได้แต่นั้งนิ่งๆไม่พูดอะไร มาเรียนครั้งแรกก็เป็นข่าวซะและ สงสัยจะดังใหญ่
เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นาน นักเรียนหลายๆคนเริ่มสนิท และคุ้นเคยกันมากขึ้น น้ำมนต์และอ้นเองก็เช่นกัน สองคนนี้ใช้เวลาในการทำความรู้จักกันไวมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อาจเป็นเพราะอ้นรู้สึกถูกชะตากับน้ำมนต์ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง ทำให้เขาอยากจะมารู้จักเธอ
“น้ำมนต์ไปกินข้าวกัน”
“เออ ไปดิ่”
“น้ำมนต์ไปซื้อกระดาษกัน”
“เออ ไปดิ่”
“น้ำมนต์ ไปดูดบุหรี่กัน”
“เออ ไปดิ่”
“น้ำมนต์ เลิกเรียนแล้วไปทำธุระเป็นเพื่อนหน่อยดิ่”
“โอเค ได้เลยเพื่อน”
ไม่ว่าเขาจะชวนเธอไปไหน เธอก็มักจะตกลงไปด้วยความเต็มใจเสมอ แรกทีเดียว อ้นก็รู้สึดไม่ค่อยชอบทีน้ำมนต์ดูดบุหรี่ แต่ด้วยเหตุผลของเธอ...
“ใครๆก็รู้ ว่าบุหรี่มันไม่ดี แต่เราถามหน่อยดิ่ อ้นดูดทำไม.. เห็นป่ะ อ้นก็ตอบไม่ได้.. มันไม่ได้เกี่ยวหรอกนะว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าอะไรที่มันผิด ยังไงมันก็คือผิด ไม่ใช่ว่าผู้ชายทำได้ ผู้หญิงทำไม่ได้ เกิดเป็นคนมันต้องเท่าเทียมกันดิ่ใช่มั้ย อ้นอาจจะมองว่ามันดูไม่ดีนะ แต่เอางี้แล้วกัน ถ้าคบๆกันไปแล้วเราเป็นเพื่อนที่ไม่ดี เป็นเพื่อนที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยช่วยเหลืออ้นเลย อ้นเลิกคบเราไปเลยก็ได้” คำตอบของเธอทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แหละ ที่เขาจะรัก! แต่!! มันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น
+ฮัลโหล อ้นหรอ+
“อือ อ้นเอง มีไรมนต์”
+วันนี้เราไปเที่ยวกะเพชรมาเว้ย+
“รู้แล้ว ทำไมแกต้องทำเสียงตื่นเต้นขนาดนั้นวะ”
+ก็ไอ้เพชรอ่ะดิ่ เพชรมันบอกชอบเราเว้ยอ้น+ น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจของน้ำมนต์ ทำให้อ้นรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ
“หรอ.. แล้วแกรู้สึกยังไงกะมันอ่ะ” อ้นฝืนพูดให้เป็นปกติ
+อืม... เราก็รู้สึกดีกับมันนะ แต่เราว่ามันเร็วไปป่ะวะแก เราก็เลยบอกมันว่าให้ดูๆกันไปก่อนอ่ะ+
“อะ.. อือ..”
+แกว่าไงวะอ้น แกว่าเราจะคบกะมันดีเปล่า+
“.......”
+อ้น.. อ้น... ฮัลโหล.. ฮัลโหลอ้นแกฟังอยู่เปล่า+
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ อ้นต้องคอยทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร ต้องทำตัวเป็นเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา ทั้งๆที่ตัวเขาเองมากกว่าที่จะต้องขอคำปรึกษาอย่างเร่งด่วน
เวลาผ่านไปราวๆหนึ่งเดือน อ้นเริ่มทำใจยอมรับได้มากแล้ว ถึงแม้ใจจะยังรักเธออยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเศร้าไปทำไม ยังไงซะเธอก็คงไม่มีวันรู้อยู่ดี
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังนั้งฟลุบอยู่บนโต๊ะเรียนในวิชาจิตรกรรมข้างๆน้ำมนต์ เพรชก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาเพื่อนสนิทของเขา
“น้ำมนต์” เพชรเอ่ยเรียนเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น
“อ้าว เพชร.. ว่าไง.. ทำงานเสร็จแล้วหรอ”
“ยังหรอก แต่อยากมาคุยกับน้ำมนต์ก่อน” คำพูดหยอกล้อของสองคนนี้ สะกิดแผลในใจอ้นอีกครั้ง
“คุยอะไรล่ะ” น้ำมนต์ถาม
“ออกไปคุยข้างนอกได้มั้ย เพชรไม่อยากให้ใครได้ยิน”
“ไม่มีใครได้ยินหรอกเพชร” น้ำมนต์พูด หลังจากที่มองนุ๊ก และแม็กที่เคยนั้งอยู่โต๊ะข้างหน้า แต่ในเวลานี้เขาไม่อยู่แล้ว “จะมีก็แต่อ้น” น้ำมนต์หันไปมองเพื่อนของเธออีกครั้ง “แต่อ้นก็หลับไปตั้งนานแล้ว”
“ก็ได้” เพชรรับคำ ก่อนจะค่อยๆขยับโต๊ะเข้ามาใกล้ๆน้ำมนต์มากขึ้น ส่วนอ้นที่แกล้งหลับอยู่ข้างๆ ก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าน้ำมนต์จะยอมตกลงเป็นแฟนกับเพชรตรงนี้
“อื้อ.. เพชรมีไรว่ามาเลย”
“มนต์จำที่เพชรเคยบอกมนต์ได้มั้ย” เพชรเริ่มเกลิ่น
“อ่อ.. จำได้สิ่”
“เพชรอยากรู้ว่ามนต์.. จะให้คำตอบเพชรได้หรือยัง”
“เพชร.. คือ..” น้ำมนต์เว้นวรรคการพูด ตอนนี้หัวใจของทั้งสามคนเต้นไม่เป็นจังหวะเอาซะเลย และก่อนที่หัวใจจะวายตายกันซะหมด น้ำมนต์ก็เฉลยคำตอบซะที “เราว่า.. เราเป็นเพื่อนกันดีกว่านะเพชร” คำตอบของน้ำมนต์ทำเอาเพชรไปไม่เป็น และทำเอาอ้นแทบจะลุกมากระโดดโลดเต้นเอาซะเดี๋ยวนั้น แต่หน้าที่ของเขาคือ แกล้งหลับ
“ทำไม” มีเพียงคำถามสั้นๆออกจากปากเพชร
“เรายังไม่อยากมีใครว่ะ เราขอเรียนให้เต็มที่ก่อนนะ ถ้าเพชรรักเราจริงเพชรก็ต้องรอเราได้.. ใช่มั้ย”
“อืม.. เพชรรอได้ เพชรจะรอมนต์นะ”
“ขอบใจนะเพชรที่เข้าใจเราอ่ะ ถ้าเราใกล้จบปีสามแล้วเพชรยังไม่มีใคร แล้วเพชรยังรักเราอยู่ วันนั้นเราค่อยมาคบกันนะเพชร”
“เพชรรอมนต์ได้เสมอแหละ มนต์อย่าหลอกเพชรแล้วกันนะ” เพชรรับคำด้วยใจที่สั่นระรัว “งั้นเพชรเป็นเขียนงานต่อก่อนนะ” พูดจบเพชรก็ลุกเดินจากไป พร้อมๆกับความหวังของอ้นที่มากขึ้นๆๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา อ้นชอบทำตัวเหมือนเป็นคนรักของน้ำมนต์ ทั้งๆที่น้ำมนต์ไม่รู้เรื่องด้วยเลย ส่วนเพชรก็เริ่มเกิดความคิดว่า จริงๆแล้วที่น้ำมนต์ปฏิเสธเขา ก็เพราะอยากจะไปคบกับอ้นนั่นเอง แต่เขาก็ไม่โกรธเธอหรอก ใจของเธอ เธอจะรักใครก็ไม่ผิด เขาผิดเอง ที่ทำให้เธอรักได้ และอ้นเอง ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าน้ำมนต์ไม่ได้คิดอะไรกับเขา แต่เขาก็ไม่เคยบอกให้เพชรรู้ น้ำมนต์รู้ดีว่าเธอรักใคร เธอมีเหตุผลมากพอสำหรับการกระทำทุกๆอย่าง และสักวัน.. ทุกคนจะเข้าใจ
.........................................................
ในวิชาทฤษฎีสี เพชรบรรจงนำสีโปรสเตอร์สีชมพูมาผสมกับสีดำเล็กน้อยให้ดูหม่นๆ มาวาดเป็นรูปดอกไม้อะไรสักอย่างที่ถูกโอบกอดด้วยสีม่วงหม่นๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่างานของเพชรจะสื่ออะไร แต่มันดูเศร้าๆสลับกับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“เจ๋งอ่ะเพชร” ฉันชมไปตามที่ฉันเห็น
“รู้หรอว่าความหมายคืออะไร” เพรชหันมาถามฉัน
“ไม่รู้ดิ่ ก็เห็นว่ามันสวย ดูมันกลมกลืนกันดีว่ะ”
“แต๊งกิ้วที่ชมนะยะ” เพชรยิ้มให้ฉันเล็กน้อย ก่อนหันไปลงลายละเอียดในงาน “งานการไม่มีทำไง”
“มี.. แต่ยังไม่อยากทำ มีไรมั้ย!” ฉันขึ้นเสียง แต่เป็นเพียงการล้อเล่นกันเท่านั้น
“มี!!!!” เสียงใหญ่ๆ เปลี่ยมไปด้วยพลังของใครบางคน ทำให้ฉันถึงกับสะดุ้ง
“อุ้ย! อาจารย์.. มาไม่บอกเลยนะ” ฉันเกาหัวแกล๊กๆ พรางหยอกล้อกับอาจารย์อย่างเป็นกันเอง
“แกเป็นแม่ฉันหรือไง ทำไมฉันจะไปไหนมาไหนถึงต้องบอกแกด้วยฮะ”
“แหม.. อาจารย์ หนูไม่ได้หมายความอย่างงั้นซะหน่อย”
“ไปเลยไป ไปนั้งทำงานของตัวเองเลย” ฉันก้มหน้าเสแสร้งทำเป็นสลดเดินกลับไปนั้งทำงานที่โต๊ะของตัวเอง ไม่วายหันไปมองมือของนังเพชรที่โบกหยอยๆเป็นเชิงเยาะเย้ยฉัน
“ชิ!” ฉันเชิดใส่ ก่อนจะกลับมานั้งทำงานของตัวเอง
“เห้ย มนต์” เสียงของอ้นร้องเรียกฉัน “เย็นนี้ไปซื้อสีที่เพาะช่างกัน” จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ร้านของม.เพาะช่างหรอก เพียงแค่อยู่ตรงข้ามกับเพาะช่าง เราเลยเรียกว่าร้านเพาะช่าง
“ไปดิ่.. ว่าจะไปซื้อกระดาษใหม่อยู่เหมือนกัน” ฉันรับคำ
“เห้ยๆๆ ไปด้วยดิ่ จะไปซื้อสีเหมือนกัน” เป้แทรกขึ้นมามั่ง
“ไปดิ่ๆ ข้าว่าจะไปนั้งเล่นบ้านเอ็งอยู่พอดี” เมื่อนึกถึงบ้านไอ้เป้ขึ้นมาทีไรก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบรรยากาศริมน้ำ และก็...
“เห้ย วันนี้ไปกินเหล้าบ้านข้ากัน” นั่นแหละ! ถูกต้องที่สุด ไอ้เป้พูดถูกใจมาก
“ใครเลี้ยงวะ” นุ๊กเล็กจุดประเด็นข่าวร้อน
“ ( - -)(- - )( - -)(- - )” ทุกคนส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธว่า โนววววว~ ไม่ใช่ฉันนะ ไม่ๆๆๆๆๆ
“ข้าเลี้ยงเอง”
“(OoO)!!” เสียงสวรรค์นั้นดังมาจากที่ใดน้อ
“ไอ้เพชรเลี้ยงจริงดิ่” เสียงพี่แม็กถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“จริงดิ่พี่” เพชรยืนยัน
“โอเค งั้นตกลงตามนี้ เดี๋ยวทุ่มนึงมาเจอกันบ้านข้า ไอ้เพชรเลี้ยงงงงงงงงงงง!!!!”สิ้นเสียงไอ้เป้ทุกคนก็โห่ร้องอย่างดีใจ ยิ้ปปี้ ยิ้ปปี้ เย่เย๊~
“เย้!! หนูไปด้วยนะ”
“OoO!!!!” ที่อึ่งไม่ใช่ไรนะ ไอ้ทำว่าหนูไปด้วยเนี่ย มันคือเสียงของอาจารย์
“เงียบทำไม ไม่คุยกันต่อล่ะ”
“ว๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก กกกกกกกกกกกกกกกกกก”ไอ้นะโมแผดเสียงหัวเราะดัวลั่นไม่แคร์ผู้ใด
เผลี๊ยะ!!!
พี่นุ๊กใหญ่ตบหัวไอ้โมไปฉาดใหญ่
“จะแหกปากทำไมวะ บ้าไปแล้วมั้งเอ็งเนี่ย”พี่นุ๊กหัวเราะเบาๆให้กับความปัญญาอ่อนของไอ้โม
“แหมพี่ ก็ผมไม่เคยเห็นอาจารย์แอ๊บแบ๊วนิ่”
“เอ้า ข้าจะแบ๊วมั่งไม่ได้ไงวะ เอ้ย!! พวกเอ็งนี่ยังไง”
“ฮ่าๆๆๆ จี๊ดเลย โดนใจหนูเลยอาจารย์” ไอ้เป้ยกมือทำสัญลักษณ์กดไลค์ให้อาจารย์
“พอๆๆ ไปทำงานกันได้แล้วไป มาไร้สาระกันอยู่นั่นแหละ”
“ครับผม!” ทุกคนรับคำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานอย่างสงบ ฉันแทบจะทนรอคืนนี้ไม่ไหวแล้วสิ่ จะลงแดงตายอยู่แล้วนะเนี่ย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ