The moon'story (Full moon พันธนาการแห่งดวงจันทร์)

8.7

เขียนโดย Sara

วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.48 น.

  6 chapter
  11 วิจารณ์
  10.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 08.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) The way to light

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Chapter 6
The way to light
            เขาไม่ใช่ลูคัส
 
            นั่นคือสิ่งที่แอมมี่คิด ผู้ชายตรงหน้ามีหน้าตาและลักษณะไม่ต่างไปจากลูคัส แม็กฟ็อกซ์ที่เธอรู้จัก ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล เส้นผมสีน้ำตาล รูปร่างแข็งแรงแต่ติดผอมเล็กน้อย ดวงหน้าหล่อเหลาอันคุ้นเคยที่ดูเหมือนจะติดอยู่ในใจเธอตลอดเวลา
 
            แต่ไม่ใช่คนนี้
 
            “นายเป็นใคร” แอมมี่ถามเสียงแข็ง เธอยังถูกผลักติดกับผนังห้องผู้ป่วย แต่เข็มให้น้ำเกลือนั่นถูกเขาปัดจนหลุดมือไปแล้ว
 
            “หืม” ผู้ชายตรงหน้าส่งเสียงในลำคออย่างพิจารณาก่อนที่เขาจะฉีกยิ้มกว้างเหมือนถูกใจอะไรบางอย่าง
 
            ตรงส่วนนี้แหละที่เธอคิดว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ลูคัส รอยยิ้มนั่นไม่ใช่ของลูคัสแน่นอน
 
            “จริงๆ ด้วย พวกนั้นลือกันหนาหูว่าแอมิลเลีย โรเบิร์ตสันความจำเสื่อม ฉันไม่เชื่อก็เลยมาดูด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่พวกนั้นว่าจริงๆ” ผู้ชายตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าสบายๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยเธอ แอมมี่รู้สึกเหมือนตัวเองโดนอ่านใจ เธอไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร แต่เมื่อเขาพูดชื่อเธอขึ้นมาทั้งๆ ที่เธอไม่รู้จักเขา มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนล่วงล้ำเข้าไปในจิตใจ
 
            ราวกับเขาเป็นบุคคลที่โผล่ออกมาจากมิติคู่ขนานปริศนาที่ซึ่งเธอไม่รู้จักและไม่เคยเห็นตัวตนของเขา แต่เขากลับรู้จักเธอดีราวกับเฝ้าดูตลอดเวลา
 
            มันเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีสาเหตุ ใครคนหนึ่งรู้จักเราแต่เราไม่รู้จักเขา ให้ความรู้สึกเหมือนโดนขังอยู่ในวงล้อมของคนๆ นั้น ไม่ว่ายังไงการที่คนตรงหน้ารู้จักเธอนั่นหมายความว่าเขาต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับเธอ มีความเกี่ยวข้องกัน ในขณะที่ตัวเธอเองที่โดนตรีตราว่าความจำเสื่อม มันเป็นการแสดงว่าเธอกำลังเสียเปรียบ
 
            เสียเปรียบเพราะไม่รู้ว่าเธอกับผู้ชายคนนี้รู้จักกันในฐานะอะไร มิตร...หรือศัตรู
 
            “แต่เพิ่งรู้ว่าคนความจำเสื่อมไม่ยักจะลืมสัญชาตญาณตัวเองไปด้วยแฮะ” ชายหนุ่มเย้ย
 
            แอมมี่สะบัดตัวออกอย่างแรงจนในที่สุดก็ออกมาจากพันธนาการของผู้ชายคนนั้นได้ เลือดไหลหยดจากมือที่เคยปักเข็มน้ำเกลือไว้ไหลออกมาเหมือนก็อกน้ำที่ปิดน้ำไม่สนิท
            “นายเป็นใคร” เธอถามอีกรอบ ฟังดูข่มขู่เหมือนหมาที่ถูกคนแปลกหน้าเดินหยั่งเชิงเข้ามาหาอย่างช้าเพื่อฆ่า...และหมาตัวนั้นก็หมอบต่ำระวังตัว
                                                                                                 
            เธอพิจารณาใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง เขาคล้ายลูคัสก็จริง แต่โหนกแก้มสูงกว่าหน่อย...แค่นั้น ส่วนที่เหลือคล้ายกันหมดเลย นอกนั้นยังไม่รวมสายตาและรอยยิ้มแปลกๆ ของคนตรงหน้าซึ่งใครก็มองออกว่าไม่ใช่คนที่ชื่อลูคัส แม็กฟ็อกซ์
 
            “นายเป็นพี่ชายหรือน้องชายของลูคัส” แอมมี่ถามคว้าเข็มให้น้ำเกลือที่เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ขึ้นจ่อใบหน้าคมๆ นั่น คนตรงหน้าเลิกคิ้วให้พร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นช้าๆ แบบกวนๆ พลางขยับถอยหลังไปด้วย
 
            “เธอไม่คิดว่าฉันคือลูคัสเหรอ”
 
            “ไม่!” เธอสวนกลับอย่างรวดเร็ว
 
            แอมมี่ไม่ไว้ใจผู้ชายตรงหน้า เธอไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกอย่างนั้น แต่สัญชาตญาณของเธอมันรุนแรงมากโดยเฉพาะกับสายตาที่ดูสนุกสนาน ถูกใจ และพราวระริกอย่างพึงพอใจอยู่ตลอดเวลา
 
            ชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะลั่นให้กับคำตอบของเธอ ก่อนที่เขาจะถอยไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ เตียง
 
            “ทำไมฉันถึงความจำเสื่อม” แอมมี่ถาม ค่อนไปในทางข่มขู่เล็กน้อย มันไม่แปลกว่าทำไมเธอถึงถามเขาแบบนั้น ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่แสดงออกว่ารู้จักกับเธอและคีย์เวิร์ดก็คือคำว่า ‘ความจำเสื่อม’ เพราะขนาดเจสสิก้ากับสเตฟานยังไม่พูดคำคำนี้ นั่นหมายความว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันกับเธอว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอเองกันแน่
 
          คนที่นั่งอยู่เลิกคิ้วขึ้นอย่างติดสงสัยปนขบขันก่อนที่เขาจะถามออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ตอบ
 
            “ทำไมเธอถึงมาถามฉันล่ะ”
 
            “เพราะนายรู้จักฉัน...ถึงฉันจะไม่รู้จักนายก็ตาม”
 
            “แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าตัวเองความจำเสื่อมล่ะ”
 
            “ฉันไม่คิดจนนายพูดออกมานั่นแหละ” เธอตอบและยังคงยืนจ่อเข็มให้น้ำเกลือไปทางชายหนุ่มอยู่ที่เดิม “เกิดอะไรขึ้นกับฉัน” เธอขู่
 
            ชายหนุ่มกระตุกยิ้มก่อนเอนหลังพิงพนักโซฟาและวางมือบนพนักพิงหลังอย่างสบายใจ เขาเหลือบตามองรอบห้องก่อนมาหยุดตรงหน้าเธอ
 
            “นั่นน่ะสิ” ชายหนุ่มวางท่า ก่อนจะเดาะลิ้นอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับพูดต่อ “แต่ทำไมเธอถึงมาถามฉันล่ะ เห็นได้ชัดว่าตอนแรกเธอพรวดเข้ามาจะเอาเข็มนั่นปักคอฉันด้วยซ้ำ เธอดู...ต่อต้านฉันและ...ไม่ไว้ใจ ไม่กลัวว่าฉันจะบอกข้อมูลเท็จเธอจนทำให้เป็นปัญหาเหรอ อย่างเช่นบอกว่าเธอเป็นปีศาจฆ่าคนไรงี้”
 
            แอมมี่มองชายหนุ่ม มือที่ถือเข็มให้น้ำเกลือเกร็งจนแข็งค้าง ใจของเธอสั่นกระตุกอยู่ตลอดเวลาเหมือนคนตื่นเต้น ร่างกายของเธอกำลังประท้วง หายใจหนักและเหนื่อยหอบ แต่เธอก็ยังฝืนยืนให้ตรงที่สุด
 
          แต่เธอก็เห็นด้วยกับคำพูดของชายหนุ่ม อันที่จริงต้องบอกว่าแค่คิดตาม ยังไม่ถึงกับเห็นด้วย ก้อนสมองเธอเต้นเร่าๆ อย่างจะปฏิเสธผู้ชายคนนี้ มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก แค่ปฏิเสธคนตรงหน้า...ต่อต้านแต่ไม่รุนแรง
 
            และที่สำคัญใบหน้านั้นแหละที่ทำให้เธอไปไม่ถูก
 
            “หรือว่าเธอไม่ไว้ใจฉันแต่หน้าตาของฉันมันทำให้ยากจะเชื่อใช่มั้ย”
 
            แอมมี่ต้องเงียบทันทีเมื่อคำพูดของชายคนนี้เจาะกลางใจของเธอ แน่นอนละว่าเขาพูดถูก ใบหน้าเขาคล้ายกับลูคัสเกินไป สำหรับเธอลูคัสเหมือนบางอย่างที่ติดอยู่ในใจของเธอถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้จักเขา(แน่ละว่าเธอกำลังความจำเสื่อม) เขาเป็นคนที่ลึกๆ แล้วเธอมั่นใจว่าไว้ใจได้ ต่อให้ไม่มีอะไรมาประกัน เขาเหมือนกับความศรัทธา ถึงแม้เขาจะแสดงอาการต่อต้านเธอก็ตาม
 
            ...ไม่ใช่เหตุผล มันมาจากความรู้สึกล้วนๆ บวกกับสัญชาตญาณอีกหน่อย
 
            ดวงตาสีดำของเธอสบกับดวงตาสีฟ้าใสเป็นประกายของชายหนุ่มตรงหน้า วูบหนึ่งแอมมี่รู้สึกว่าเธอโดนดึงเข้าไปในมิติหนึ่ง ในสมองเต็มไปด้วยภาพนับร้อยวิ่งผ่านอย่างรวดเร็วเหมือนม้วนฟิล์มเล่นหนังที่ถูกกรออย่างรวดเร็วจนจับภาพแทบไม่ได้ แต่สิ่งที่เด่นชัดคือดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่เธอเห็นไม่ชัดว่ามันเป็นของใคร
 
            ผู้ชายตรงหน้าถอนหายใจออกมาคล้ายกับยอมแพ้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา
 
            “ฉันชื่อแลค...แลค แม็คฟอกซ์” แลคพูด “นี่ฉันทวนความจำให้เธอนะเนี่ย จำได้มะ” ชายหนุ่มที่ผายมือยักไหล่อย่างสบายๆ ประกอบคำพูด
 
            เขาเป็นญาติของลูคัสจริงๆ แหละ
 
            “ไม่” เธอตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
 
            แลคยักไหล่อีกรอบ “ก็กะอยู่แล้ว”
 
            “ฉันเป็นใคร” เธอถามเขา พลางเดินมายืนข้างหน้าชายหนุ่ม มือยังคงถือเข็มน้ำเกลือจ่อเอาไว้ แลคปรายตามองมันพลางเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างไม่แยแส แน่ละ...เข็มอันแค่นี้จะไปทำอะไรเขาได้
 
            “ก็...แอมิลเลีย โรเบิร์ตสัน”
 
            “พูดมา!” เธอขู่เสียงดัง รู้สึกราวกับว่าตัวเองคล้ายกับสุนัขที่กำลังหมอบต่ำขู่สุนัขอีกตัว ไม่ใช่เพื่อประกาศศักดา แต่เพื่อแย่งเนื้อที่อยู่ในปากสุนัขอีกตัวตรงหน้า
 
            “ก็ฉันพูดผิดตรงไหน” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ความรู้สึกอยากจะฟันคอใครสักคนวิ่งใส่เธอจนทำให้แทบจะยั้งตัวไม่อยู่ แอมมี่มองใบหน้าอันน่าหมั่นไส้ของชายตรงหน้าอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองจนแทบจะเหนื่อยหอบ
 
            “ประตู...” น้ำเสียงห้าวเรียกสติเธอให้กลับมา ก่อนที่เธอจะต้องเบิกตาเมื่อชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างช้าๆ ชัดๆ อีกครั้ง “ประตู...สีดำ”
 
            “ประตูเหล็กดัดสีดำ” แอมมี่ทวนอย่างรวดเร็วพลางจ้องตากลับเพื่อความแน่ใจ มือที่กำเข็มเอาไว้สั่นเกร็งขึ้นมาอย่างคุมไม่ได้ หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและความหวังลึกๆ หวังว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นถูก หวังว่าคนตรงหน้าไม่ได้โกหก
 
            “เธอจำได้นี่” แลคพูดราวกับแปลกใจน้อยๆ แต่รอยยิ้มที่ตามมาบ่งบอกถึงความเย้ยหยันเต็มเปี่ยม
 
            “ฉันจำไม่ได้ ฉันแค่ฝันถึงมัน...” แอมมี่ตอบก่อนจะชะงักอย่างรวดเร็ว เธอจะพูดมากกว่านี้ไม่ได้...ไม่ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นเธอต้องไปทบทวนตัวเองใหม่
 
            ...ห้ามไว้ใจใครก็ตาม แต่ถึงแม้สำหรับคนตรงหน้ามันจะสายไปแล้วก็เถอะ เพราะตอนนี้เธอกลายเป็นอีกคนที่แทบจะไม่รู้จักตัวเอง
 
            “ฝันเหรอ น่าสนใจดีนี่ ฉันว่ามันเป็นความทรงจำที่ติดอยู่ในสมองเธอมากกว่านะ”
 
            แอมมี่ไม่ตอบอะไร วูบหนึ่งเธอรู้สึกอย่างจะเถียงแต่สมองสั่งให้เธอเงียบ...เงียบเพื่อป้องกันตัวเอง
 
            ในวินาทีนั้นชายตรงหน้าก็ลุกขึ้นพรวดก่อนจะหันกลับไปมองประตูข้างหลัง แล้วหันมายิ้มให้เธอช้าๆ แต่แววตากลับแฝงความรู้สึกปริศนาและรอยยิ้มนั้นก็ดูราวกับ...พึงพอใจ
 
            “ประตู กับกุญแจ สองอย่างนี้อาจจะทำให้เธอค้นหาความทรงจำที่หายไปก็ได้”
 
            ถ้าเกิดว่าเธอเป็นผีเสื้อ คำพูดนี่มันก็เป็นคำพูดที่เป็นราวกับน้ำหวานอันหอมหวานและยั่วยวนสำหรับแมลงอย่างเธอให้บินเข้าไปหา สูดกลิ่น สัมผัส และอดไม่ได้ที่จะลิ้มลอง
 
            ถ้าหากว่าสองอย่างนี้ที่ชายตรงหน้าพูดมาเธอไม่รู้จักมัน แอมมี่ก็ตัดสินใจได้ทันทีเลยว่าจะไม่เชื่อมัน แต่ในทางกลับกัน เธอไม่รู้หรอกว่ากุญแจคืออะไร แต่กับประตูสีดำนั่นเธอรู้จักดี และแน่นอนว่าเวลาที่เราต้องการความมั่นใจอะไรบางอย่าง และต้องการหาอะไรต้องการมาสนับสนุนมันก็ไม่ยากเลยที่เราจะเชื่อหมดใจ อย่างเช่นว่าถ้าเราเกิดฝันเกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่างแล้วเอาไปคุยกับเพื่อนแล้วเพื่อนคนนี้ก็เกิดฝันแบบเดียวกับเราเป๊ะ เส้นเล็กๆ บางๆ ที่เรียกว่าเชื่อใจจะปรากฏขึ้นและผูกมัดพวกเราเอาไว้ด้วยกันอย่างหลวมๆ และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่เลยเราจะไม่หาคำตอบว่าทำไมถึงฝันเหมือนกัน
 
          สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เหมือนกับเส้นแห่งความเชื่อใจที่ปรากฏขึ้น มนุษย์ต้องการความเชื่อใจจากใครซักคนไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเกิดเส้นนั้นมันปรากฏขึ้นไม่มีใครที่จะไม่คว้ามันเอาไว้เพื่อเป็นหลักแสดงความมั่นใจว่าสิ่งที่เราเจอนั้นเราไม่ได้รู้สึกไปคนเดียว ไม่ได้เห็นหรือคิดไปเอง จึงต้องมีคนอีกคนมายืนยันในสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความหนักแน่นและเติมเต็มสิ่งที่อยู่ในใจเพื่อกันความผิดหวังของตัวเอง...ต่อให้เรื่องนั้นจะไม่เป็นความจริงก็ตาม
แอมมี่หันมองคนตรงหน้าอีกครั้ง เธอคิดว่าเขากำลังจะไป แต่แทนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไปทางประตูเขากลับเดินออกไปเลื่อนหน้าต่าง และเร็วยิ่งกว่าความตกใจจะวิ่งเข้าหาเธอ เขาก็กระโดดลงไป
 
            แอมมี่วิ่งไปที่หน้าต่างก่อนจะมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่ห่างออกไปราวห้าชั้น...เขาหายไปแล้ว
 
       เขาเป็นใคร...ไม่สิ ผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรต่างหาก...
 
            ประตูข้างหลังเปิดผลัวะทำให้เธอสะดุ้งและหมุนตัวกลับถือเข็มกลับไปจ่อคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่ทันที
 
            ผู้มาใหม่มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากเธอและอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
 
            “สเตฟาน?”
 
            เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดพูดไม่ออกเมื่อเห็นพี่สาวตัวเองยืนถือเข็มให้น้ำเกลืออยู่ริมหน้าต่าง มือข้างซ้ายที่เจาะไว้ให้น้ำเกลือยังมือเลือดไหลออกและบางส่วนแห้งกรังไปบ้างแล้ว
 
            “แอมมี่...พี่ทำอะไรเนี่ย!” ไวเท่าความคิดน้องชายก็พุ่งเข้ามาจับตัวเธอไว้แล้วลากเธอมานั่งที่เตียง “อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” เขากระซิบขู่
 
            แอมมี่อยากจะบอกว่าเธอนอนละเมอ แต่คำตอบแบบนั้นใครก็รู้ว่ามันเป็นคำโกหกที่ห่วยแตกสิ้นดี และถ้าเธอพูดอะไรออกมาน้องชายจอมสงสัยต้องถามกลับออกมาแน่ แล้วเธอก็มั่นใจว่าตัวเองไม่มีคำตอบดีๆ เตรียมไว้อย่างแน่นอน
 
            “พี่...พี่ไม่รู้” คำพูดของเธอฟังดูอ่อนแรงและเป็นเหมือนสวิชต์ปิดคำถามทันที เพราะสเตฟานเพียงแค่มองหน้าเธอด้วยแววตาสงสัยแต่เขาก็ไม่ถามอะไรต่อนอกจากบอกว่าจะไปตามหมอ
 
            ...และมันก็ทำให้เธอมีเวลาคิดมาขึ้น
 
            จะเกิดอะไรเมื่อเราใช้เวลาให้ชีวิตประจำวันตามปกติ ทำกิจวัตรประจำวันปกติ แต่กลับต้องมารู้ตัวว่าตัวเองทำบางอย่างหายไปและสิ่งที่หายไปนั้น...คือความทรงจำ
 
            และที่แตกต่างไปกว่านั้นก็คือการที่มีผู้ชายสองคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน จู่ๆ คนพวกนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำที่เธอทำหายไป และยังไม่นับรวมถึงคนที่มีความเกี่ยวข้องกับสองคนนั้นที่เธอลืมไปอีก
 
            เธอจำที่แลคพูดเอาไว้ได้ว่า ‘พวกนั้นลือกันหนาหูว่าแอมิลเลีย โรเบิร์ตสันความจำเสื่อม’
 
           ‘พวกนั้น’ ที่ว่าคือใคร และเธอแน่ใจว่ามันต้องเกี่ยวกับเธอแน่นอน เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอจะทำยังไงดีกับความทรงจำที่หายไป มันหายไปได้ยังไง สิ่งที่หายไปมันคืออะไร และจากการที่แลคกระโดดหายไปจากทางหน้าต่างนั้นกับประตูเหล็กดัดสีดำที่เธอเคยเห็นนั่น...มันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญแน่นอน
 
            และเธอควรจะต้องทำอย่างไร...
 
       แอมมี่เม้มปาก ก่อนจะเผลอกัดเล็บอย่างลืมตัวเมื่อเครื่องปั่นงานตรรกะในสมองกำลังทำงาน
 
            เธอต้องถาม แต่จะให้ไปถามใคร...ให้เธอไปถามสเตฟานกับเจสสิก้า แต่ดูจากลักษณะและท่าทางก็รู้แล้วว่าสองคนนั้นไม่รู้ว่าเธอความจำเสื่อม...แต่ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้ความจำเสื่อมจริงๆ ล่ะ...
 
            ไม่...เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะสองคนนั้นพูดถึงเรื่องเธอกับลูคัส พูดเรื่องวันวาเลนไทร์ที่แล้วที่เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงนั้นเลย
 
            พอนึกถึงตอนนี้แอมมี่ก็อดคิดย้อนหลังไปไม่ได้ว่าความทรงจำของตัวเธอเองนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอจำเรื่องราวหลังวันวาเลนไทร์ได้ดี เศษกุหลาบยังเต็มพื้นโรงเรียนที่แม่บ้านไม่สบายจนต้องให้นักเรียนช่วยกันเก็บ แล้วเธอก็นึกย้อนกลับไปอีกทีพยายามนึกถึงวันสำคัญๆ ที่น่าจะจดจำได้ดีที่สุด...
 
            เธอจำช่วงเวลาในวันปีใหม่ไม่ได้ ช่วงเวลาที่ควรมีงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่กลับไม่ได้อยู่ในความทรงจำเธอ ยาวเลยไปถึงช่วงวันฮัลโลวีน...เธอจำไม่ได้ว่าวันฮัลโลวีนทำอะไร แต่จำก่อนหน้านั้นได้ที่เธอกับเจสสิก้ากำลังเตรียมชุดแม่มดสำหรับใส่ในวันฮัลโลวีน...
 
            แอมมี่เงยหน้าขึ้นมองผนัง ราวกับแสงเทียนที่ถูกจุดท่ามกลางความมืด
 
            ตอนนี้เธอลดพื้นที่ปัญหาเรื่องความทรงจำของตัวเองได้แล้ว มันหายไปในช่วงตั้งแต่วันฮัลโลวีนจนถึงวันวาเลนไทร์ รวมๆ ก็สามเดือนกว่าๆ
 
            ...เกิดอะไรขึ้นในสามเดือนนั้น และนี่คือหัวข้อปัญหาต่อไปที่เธอต้องหาคำตอบ...
 
            ตอนนี้เธอต้องทำตัวเป็นนักคิด คิดให้ได้วิเคราะห์ให้เป็น และต้องสลัดคราบหญิงสาวธรรมดาทั่วไปทิ้งซะ นี่ไม่ใช่นิยายที่เธอต้องทำตัวเป็นหญิงสาวผู้ไม่เรื่องรู้ราวและปฏิเสธสิ่งที่เป็นทุกอย่างอย่างคนไม่อยากจะยอมรับหรือไม่ชอบ แล้วรอให้พระเอกออกโรงมาช่วย แต่ในเมื่อตอนนี้เธอเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าตัวคนเดียวกับปริศนาทั่วตัว ลางสังหรณ์บอกเธอว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นไปในทางดีหรือร้ายแต่เธอต้องปรับตัวและอยู่กับปัจจุบันให้ได้
 
            เพราะปัจจุบันจะทำให้เรามีอนาคต และก่อนที่จะวิ่งไปในอนาคตมันก็จำเป็นต้องมองไปให้เห็นในอดีต
 
            ความทรงจำสามเดือนที่หายไป มันเป็นเวลาที่นานพอจะเปลี่ยนทุกสิ่ง...ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่เชื่อใจใครนะ แต่ตราบใดที่ความทรงจำเธอยังไม่ครบและสมบูรณ์ตามหลักเหตุผลต่างๆ
 
            ตอนนี้สำหรับเธอ...คนทุกคนคือคนแปลกหน้า...        
 
 ----------------------------------------------------------------------------------
นิยายเรื่องนี้จะติดใช้ภาษาบรรยายค่ะ และพล็ตยังไม่สมบูรณ์เอาง่ายๆ ว่าด้นสดละกัน555555 ตอนแรกที่แต่งนิยายเรื่องนี้คือเอาไว้ฝึกภาษาของตัวเองค่ะ ไปๆ มาๆ ต้องคิดพล็อต เนื้อเรื่องจะเดินค่อนข้างเร็วค่ะ แต่ตอนนี้แต่งเมอร์ลินคู่ไปด้วย บอกได้คำเดียวว่าตรงกันข้ามสุดๆ ทั้งเนื้อหาและการบรรยาย ความจริงกะจะเว้นเรื่องนี้ไว้ก่อน แต่ไอเดียมันก็ชอบวิ่งเข้ามาแวบๆ ไปเร็วมาเร็วเหมือนแมวเลยต้องมาแต่งต่อไม่งั้นเดี๋ยวลืม(ฮา)ก็อย่าว่ากันนะถ้าหากว่าอ่านเรื่องนี้ไปแล้วแอมมี่ดันแอบไปเปลี่ยนชื่อเป็นเมอร์ลิน่า มันคือเบลอๆ 55555 ขอบคุณค่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา