The moon'story (Full moon พันธนาการแห่งดวงจันทร์)

8.7

เขียนโดย Sara

วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.48 น.

  6 chapter
  11 วิจารณ์
  10.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 08.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) When the rain come

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          
บทที่5
When the rain come
 
 
 
          คฤหาสน์สีดำยังคงตั้งตระง่านอยู่กลางป่าที่โอบล้อมด้วยความเงียบสงบ นกกาสองตัวบินคู่ออกมาจากหอคอยทางด้านหลังแล้วบินแยกออกเป็นสองทาง มันอ้าปากร้องเผยให้เห็นลิ้นสีแดงภายใน ก่อนที่จะบินวนไปรอบๆคฤหาสน์แล้วบินเกาะที่โคมไฟเก่าๆตรงทางเข้า ที่ที่มันเฝ้าอยู่เป็นประจำ
          ท้องฟ้าสว่างทันทีที่สายฟ้าฟาดลงมาเป็นจุดๆ เสียงของมันดังครืนครางลั่นดุจดังเสียงคำรามของเจ้าป่า ฝนกำลังจะมา แต่เจ้าอีกาก็ไม่มีวี่แววว่าจะหลบภัย
          พ่อบ้านคฤหาสน์กำลังเดินตรวจความเรียบร้อย ไฟในเตาผิงยังคงโหมลุกตั้งแต่ติดไฟครั้งแรก และโบกซ้ายโบกขวาทั้งๆที่ไร้ความเคลื่อนไหวของลม เสียงเปรี๊ยะ เปรี๊ยะยังคงดังเป็นระยะๆในยามที่ฟืนแตก มันไม่มีวี่แววว่าจะดับลงสักครั้ง
          เขามองไปที่บานประตูใหญ่สีดำที่ปิดสนิท มันจะยังคงไม่เปิดออกจนกว่าจะมีคนมา
และนั่นก็คงจะอีกนาน นอกซะจากว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญ
          เขาเปิดประตูบานนั้นด้วยความเอะใจ ภาพที่อยู่เบื้องหน้าคือทางเดินหินและพุ่มไม้เขาวงกดสีเขียวที่มืดสนิทและเปลี่ยวร้าง รูปปั้นก็อบลินสองตัวตรงทางเข้าหน้าประตูเหล็กดัดยังคงตั้งนิ่ง อะไรบางอย่างทำให้มันดูเหมือนมีชีวิต
          เสียงฟ้าร้องคำรามก้องยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดเปรี้ยงลงตรงกลางป่าแต่ก็ไม่มีแม้แต่วี่แววของเม็ดฝน ความกังวลแล่นเข้ามาในใจเขาเล็กน้อยก่อนที่มันจะหายไปเมื่อคิดได้ว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
          เขาปิดประตูลงอย่างแผ่วเบาก่อนหันกลับมาในบ้าน
          กลางห้องโถงที่สว่างด้วยแสงแห่งเปลวเทียน บันไดที่ปูด้วยพรมสีแดงคล้ำที่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วเคยดูเงียบเหงา
          เขายิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนโค้งตัว นี่เป็นมารยาทพื้นฐานในการต้อนรับแขก
          “ยินดีที่ได้พบขอรับ ท่านฟิลอส”
          ชายหนุ่มผมสีทองที่ยืนอยู่ตรงบันไดฉีกยิ้มร่า
          “สวัสดีเอลฟาน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมสีทองของเขาดูยุ่งเหยิง “คาลอสกับอลิซาเบธล่ะ”
          “นายท่านทั้งสองไม่อยู่ครับ”
          คำตอบจากพ่อบ้านทำให้รอยยิ้มนั้นหายไปทันตา ก่อนจะบึ้งหน้าอย่างไม่พอใจพลางบ่นอุบอิบ “ให้ตายสิ อุตส่าห์มีเรื่องสำคัญมาบอกแท้ๆ ยังไม่อยู่ซะได้”
          สายฟ้าฟาดลงมาอีกครั้ง ฝืนป่าสีดำสว่างไปชั่วขณะ
และแล้ว...สายฝนก็ตกลงมา
          “ท่านคาลอสกับท่านอลิซาเบธมีธุระน่ะขอรับ”
ฟิลอสเบ้หน้า “ช่างเถอะ สองคนนั้นเค้าก็มีเรื่องยุ่งๆกันตลอดน่ะแหละ ขอบคุณชีวิตข้าที่ยังลัลลาได้อีกนาน”
          เขาหัวเราะอย่างสนุกสนานก่อนมองพ่อบ้านที่ชอบก้มหน้าเวลาคุยกับเค้า
          “ข้าไม่ชอบเวลาที่คุยกับเจ้าแล้วเจ้าก้มหน้าใส่ข้า มันเหมือนว่าเจ้ากำลังเมินข้า” ฟิลอสบ่น
          พ่อบ้านหลุดหัวเราะออกมานิดๆ การก้มหัวให้คนระหว่างสนทนาไม่มีตรงไหนที่ทำให้คนอื่นมองว่าเขากำลังเมิน แม้แต่เด็กยังคงรู้เลยว่าเป็นกิริยาที่แสดงความเคารพ และต้องเป็นคนที่เขาควรเคารพ
          “ขออภัยขอรับ” พ่อบ้านพูด ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ
          “เฮ้อ ช่างเถอะ” ฟิลอสบอกปัด พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนกำลังโหมกระหน่ำอยู่รอบๆ แต่กลับไม่มีวี่แววของพายุที่โหมกระหน่ำเหมือนบ้าคลั่ง ฝนตกแรงอย่างนี้เค้าจะทำยังไงดีล่ะ
          “ท่านควรจะค้างที่นี่” พ่อบ้านเอลฟานเสนอราวกับอ่านใจออก “อย่างน้อยก็จนกว่าฝนจะหยุด”
          ฟิลอสยังคงมองสายฝนที่ขาวขุ่นอยู่อย่างนั้น แสงของสายฟ้าที่แลบออกมาทำให้กระจกหน้าต่างบานใหญ่เหมือนกำลังจะระเบิดแตกออกมา ก่อนตามมาด้วยเสียงครืนครางข้างบน
          “อืม...นั่นสินะ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะหันมาพูดอย่างร่าเริง “งั้นวันนี้ข้าพักที่นี่ดีกว่า!”
...พ่อบ้านยิ้มก่อนรับคำอย่างว่าง่าย
 
          อากาศหนาวทำให้ร่างกายเย็นเฉียบไปหมด ความมืดมิดค่อยๆถูกแทนที่ด้วนแสงสว่างที่เจิดจ้าจนแสบตาทำให้เปลือกตาบางต้องหลุบลงไปอีกครั้งเพื่อปรับการรับแสง
          แอมมี่รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ร่างกายเหมือนเพิ่งจะผ่านการวิ่งรอบเมืองมาหมาดๆ ทั้งหมดแรงและปวดเมื่อย นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกว่าร่างกายเธอขยับแทบจะไม่ได้เลย
          “แอมมี่” เสียงคุ้นเคยดังจากทางขวามือ เด็กสาวหันไปมองอย่าอ่อนล้า
          ภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและถอนหายใจอย่างโล่งใจปรากฏอยู่ข้างหน้าเธอ
          “สเตฟาน” เธอเรียกชื่อน้องชายของตัวเอง แต่มันก็แทบจะไม่มีเสียงจนเธอต้องกระแอมปิดท้าย
          เด็กหนุ่มค่อยๆพยุงพี่สาวของเขาที่พอฟื้นตัวตื่นขึ้นมาก็จะขยับตัวลุกนั่งเลย “ค่อยๆนะแอมมี่” เขาบอก
แอมมี่กลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผากอย่างยากลำบาก เธอหิวน้ำ แล้วก็ดูเหมือนว่าน้องชายเธอจะอ่านใจเธอได้เขาจึงรินน้ำใส่แก้วให้เธอ แอมมี่ดื่มน้ำ ลำคอที่แห้งผากกลับมาชุ่มคออีกครั้งแต่เธอรู้สึกขมปากอย่างไรชอบกล
          “ผมจะเรียกหมอนะ” สเตฟานบอกแล้วเดินออกจากห้องไป
          แอมมี่ยังมึนหัวสติเธอยังไม่กลับเข้าร่างเลยเธอต้องใช้เวลาเกือบห้าวินาทีในการนึกว่าน้องชายของเธออกไปไหน สามวินาทีในการระลึกคำพูดของน้องชายว่า“ผมจะเรียกหมอนะ”  และอีกเจ็ดวินาทีในการรู้ตัวว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
          ห้องสีขาวมีเตียงนอนเดี่ยว โซฟา แจกันดอกไม้ แล้วก็สายน้ำเกลือระโยงระยาง ห้องเธอไม่มีของแบบนี้หรอก จะมีก็แต่ที่เดียวเท่านั้นแหละ
          ...โรงพยาบาล
          แอมมี่คิดก่อนนึกย้อนเข้าไปอีก
          “ผมจะเรียกหมอนะ”
          ที่ไหนจะมีหมอนอกจากโรงพยาบาลและคลินิก แต่ที่นี่ไม่น่าจะเป็นคลินิกเพราะงั้นเป็นโรงพยาบาลแหละถูกแล้ว...แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ
          แอมมี่มองสายน้ำเกลือที่แขวนไว้ข้างๆ ก่อนจะมองมือและแขนของตัวเองที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล...ไม่มีความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น มีก็แต่ความร้อนของผ้าพันแผลที่ต้องผิวเธอเท่านั้น
          แผล...
          กระจก...
          ความคิดของเธอผุดขึ้นมาก่อนที่ประตูห้องสีขาวจะถูกเปิดออกโดยน้องชายของเธอ พร้อมกับชายหนุ่มในชุดเสื้อกาว
เขาเป็นหมอ แต่เหมือนจะเพิ่งจบมาใหม่ๆ ใส่แว่นสายตาแต่ก็ยังเห็นดวงตาสีเขียวจัดชัดเจน ผมสีทองของเขาสว่างตาและยุ่งนิดๆอย่างกับไม่มีเวลาหวี เขาเดินเข้ามาก่อนจะถามอาการเธอและตรวจร่างกาย
          สเตฟานมองพี่สาวของตัวเองอย่างเป็นห่วง เขายืนกอดอกพิงผนังอยู่ข้างๆ มองเข้าไปในสายตาของคนเป็นพี่ที่ดูเหมือนจะสับสน...อีกแล้ว
          “อีกครึ่งชั่วโมงพยาบาลจะเอายามาให้ทานนะครับ เป็นยาก่อนอาหาร เดี๋ยวจะมีพยาบาลมาดูแลให้ ตอนนี้พักผ่อนไปก่อนนะครับ”
          คนเป็นหมอพูดกับเธออย่างอ่อนโยนก่อนจะขอตัวเดินออกจากห้องไป
          แอมมี่เอามือกุมขมับเพราะอาการมึนหัว หัวเธอคงหนักได้ประมาณร้อยปอนด์แถมยังปวดหนึบๆ คล้ายไมเกรนกำเริบ เธอมองหน้าน้องชายก่อนจะตัดสินใจถามอะไรโง่ๆ ออกไป
          “เกิดอะไรขึ้น” เธอถาม ถามเหมือนนางเอกในละครที่เป็นลมเพิ่งฟื้น
          สเตฟานลากเก้าอี้มาข้างเตียง ก่อนนั่งลงแล้วมองพี่สาวตนเองด้วยแววตาที่อ่านยาก น้องชายเธอมักเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่กำลังจริงจัง
          “คืองี้นะ...พี่จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้ป้ะ” เขาถามพลางประสานมือไว้ใต้คาง
          แอมมี่ยกมือนวดขมับเบาๆ เหตุการณ์เมื่อคืนค่อยๆ ไหลเข้ามาเหมือนก๊อกน้ำประปาที่น้ำไม่ไหล แค่หยดติ๋งๆ มันไม่ประติดประต่อ
          “ก็...”  เธอเล่นเปียโน ลูคัสเล่นไวโอลิน เราซ้อมดนตรี แล้วฝนก็ตก มีทั้งฟ้าร้อง ฟ้าฝ่า...กระจกแตก ความเจ็บปวดที่เล่นไปทั่วทั้งลำตัว ความกลัวที่เล่นไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง เธอวิ่งหนีอะไรบางอย่าง สัมผัสเจ็บๆ จากเม็ดฝนที่ทิ่มแทงลงตามร่างกาย มีประกายสีแดง...
          “แอมมี่” สเตฟานแตะมือหญิงสาวเบาๆ อย่างไม่แน่ใจ
          “ก็...พอจำได้” เธอพยายามเค้นเสียงอันแหบพร่าตอบกลับ
          “นั่นแหละ รู้สึกว่าพายุมันจะแรงไปหน่อย โรงเรียนเลยสั่งปิด จนตอนนี้ฝนยังไม่หยุดเลย”
          แอมมี่ขมวดคิ้ว เธอรู้สึกได้แค่ว่าหนาวสั่น แต่ไม่ได้รู้เลยว่าที่นอกหน้าต่างหลังผ้าม่านสีฟ้า สายฝนกำลังเทกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เสียงเปรี๊ยงปร้างดังขึ้นเป็นระยะๆ พร้อมกับแสงสีฟ้าที่สว่างวาบไปทั่วทิศ
          เธอนอนอยู่ห้องเดี่ยว ห้องแอร์ เลยทำให้รู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แอมมี่ลุกลงจากเตียงพร้อมกับพยายามขัดขืนร่างกายที่หนักอึ้งและเจ็บปวดไปด้วย ม่านสีฟ้าถูกดึงเปิดออก เผยให้เห็นพื้นหลังสีดำที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและรุนแรงจากม่านฝนสีขาวขุ่นที่บดบังทุกทัศนวิสัยราวกับหมอกหนาทึบ เพียงแต่หมอกนี่เคลื่อนไหวได้ รุนแรง ป่าเถื่อน และเสียงดัง สายฟ้าสว่างวาบก่อนฟาดเปรี๊ยง
          เธอสะดุ้ง ก่อนที่เสียงของน้องชายจะเรียกให้เธอกลับมานอนที่เตียง
          “กี่โมงแล้ว” เธอถามเสียงระโหย รู้สึกง่วง หนังตาปรือๆ สายตาเหลือบเห็นร่างกายของตัวเองที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลเหมือนมัมมี่
          “สิบโมง” สเตฟานพูดอย่างรู้สึกเหมือนไม่อยากจะพูด
          “อืม งั้นนายก็น่าจะนอนได้แล้ว” แอมมี่เสนอ รู้สึกเหนื่อยและหมดแรงเกินกว่าจะสงสัยอะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนเป็นน้องกลับถอนหายใจออกมาเบาๆ
          “แอมมี่ ผมบอกว่าสิบโมง...แต่หมายถึงสิบโมงเช้าน่ะนะ”
แอมมี่เด้งตัวขึ้น ความเจ็บปวดเล่นงานที่หลังทันที สงสัยเมื่อคืนตอนที่กำลังวิ่งหนีหลังเธอต้องไปกระแทกกับอะไรซักอย่างแน่ๆ
          “จะบ้าเหรอ!” หญิงสาวท้วงเสียงดัง ก่อนใจนึงจะนึกไชโยที่เสียงเธอกลับมาจากการวิ่งเล่นแล้ว “มืดขนาดนั้นเนี่ยนะ”
          “เพราะงี้ไงโรงเรียนถึงสั่งปิดน่ะ” สเตฟานตอบอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนอธิบายเพิ่ม “เมื่อคืนพายุเข้าหนักมากถ้าพี่จำได้ กระจกโรงเรียนแตกไปหลายบาน ศาลานั่งเล่นก็เสียหาย แถมเสาไฟยังโค่งลงมาอีก งานนี้ได้มีปิดปรับปรุงยาวแน่ๆ” ประโยคหลังเขาพูดเสียงอ่อยๆ เหมือนรำพึงอยู่คนเดียว
          เหตุการณ์ฉากหนึ่งเมื่อคืนวิ่งไล่เข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วเหมือนแสงฟ้าแลบ กระจกแตกเพราะพายุหรอกเหรอ ไม่ใช่...
          ...ไม่ใช่อะไรล่ะ
          แอมมี่เผลอกัดฟันเมื่อรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เอนตัวลงพิงหมอนอย่างเชื่องช้าแล้วขบคิด
          เมื่อคืนนั้น เธอมั่นใจว่ากระจกไม่ได้แตกเพราะพายุ แต่มันมีอะไรอีกอย่าง เสียงคำราม...
          มันเหมือนมีอะไรดังวิ้งๆ อยู่ในหัวตลอดเวลาเหมือนสัญญาณไฟไหม้ หรือไม่ก็ทุกครั้งที่เราเหมือนจะนึกอะไรออกมันก็จะมีเสียงอะไรซักอย่างดังขึ้นในหู ขัดทุกความคิดทั้งหมด เหมือนมันจะทำให้สมองหยุดทำงานไปโดยปริยาย
          แต่สำหรับเธอตอนนี้นอกจากจะมีเสียงสัญญาณไฟไหม้ดังขึ้นในหูแล้ว ในหัวของเธอยังมีภาพอะไรซักอย่างวิ่งไปวิ่งมาไม่ประติดประต่อเหมือนโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพสุ่มอย่างรวดเร็ว
          แอมมี่ขมวดคิ้วขณะพยายามจะจับภาพในสมองให้ได้ซักภาพ
          สเตฟานคงจะเห็นคิ้วของพี่สาวตัวเองขมวดจนจะชนกัน เมื่อเขาเรียกเจ้าตัวก็ไม่ตอบรับเหมือนอยู่อีกโลก จนเขาก็เปลี่ยนมานั่งบนเตียงแล้วเอานิ้วจิ้มหว่างคิ้วของแอมมี่เบาๆ เจ้าตัวถึงรู้สึก
          แอมมี่มองหน้าน้องชายอย่างมึนๆ
          “พี่ไหวป่ะเนี่ย” เขาถาม เมื่อสีหน้าแสดงอาการเป็นห่วงของน้องชาย แอมมี่จึงได้ผ่อนคลายอาการออกมาโดยการถอนหายใจ
          “ยังกลัวอยู่เหรอ” สเตฟานถามพลางเลิกคิ้ว
          แอมมี่ส่ายหน้าพลางเอื้อมมือไปกุมมือน้องชายตัวเองไว้ ก่อนไถลตัวลงนอนบอกเสียงเบา “ขอพักแป้บนะ”
          สเตฟานอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหนก่อนที่เธอจะหลับ แต่หลังจากที่เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งห้องก็สว่างขาวกว่าเดิมในขณะที่ทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่างนั่นยังคงมืดสนิท
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สเตฟานไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว
          แอมมี่หยัดตัวลึกขึ้น หัวเบากว่าครั้งแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาคงเพราะอาจจะได้รับการพักผ่อนเพียงพอแล้ว แต่เนื้อตัวของเธอยังปวดหนับและยังมีผ้าพันแผลสีขาวพันไว้เต็มแขน
          เสียงซ่าที่ดังเหมือนวิทยุไม่มีสัญญาณจากข้างนอกทำให้เธอรู้ว่าฝนตก แสงสว่างวาบเหมือนแสงแฟล็ชของมันยังคงทำให้เธอสะดุ้งได้เหมือนเดิม
          แต่สิ่งผิดปกติที่เธอสัมผัสได้คือความรู้สึกขนลุกชันที่ต้นคอ มือไม้ที่สั่นราวกับหวาดกลัวทั้งๆ ที่ตัวเธอเองยังไม่รู้ว่ากลัวอะไร หญิงสาวกุมมืออันสั่นเทาทั้งสองข้างไว้ด้วยกันก่อนจะค่อยๆ กดตัวลงเหมือนป้องกันอะไรสักอย่าง
          มีบางอย่างที่เธอได้ยินจากในหัว มันเหมือนเสียงร้องที่เร่งเร้าให้ทำอะไรบางอย่าง สายตาของเธอจับจ้องไปที่หน้าต่างอย่างเขม่ง มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างเหมือนขยับไปเองโดยไร้ความควบคุม เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้แค่ว่ามันสั่น...และบังคับให้หยุดสั่นไม่ได้ สายตาที่จ้องไปที่หน้าต่างที่พยายามจะละจากมันก็ทำไม่ได้
          เธอรู้สึกเหมือนร่างกายตื่นตัวเต็มที่ สัมผัสได้ถึงเลือดในกายที่กำลังเดือดพล่านวิ่งไปมาทั่วร่างกายราวกับพายุ ความรู้สึกหน่วงๆ ในท้องเหมือนกับตอนที่นั่งรถไปเหาะ แต่มันรุนแรงกว่า กดดันกว่า และควบคุมไม่ได้...
          แอมมี่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพแบบนั้นนานขนาดไหน เธอไม่รับรู้ถึงใครอื่น ไม่ได้นึกถึงน้องชายตัวเองที่ตอนนี้หายไปไหน ไม่ได้นึกถึงเจสสิก้า หัวสมองเต็มไปด้วยลูกคลื่นของภาพนับร้อย เสียงขู่คำรามยังคงเร่งเร้าอยู่ในหัว เสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ที่ดังอยู่ในหูยังคงดังวิ้งๆ ไม่มีวันหยุดและไม่มีทีท่าว่าจะดับลง
          ปฏิกิริยาของเธอกำลังต่อต้านอย่างรุนแรงกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง
          หูของเธอได้ยินเสียงดังกริ๊กหนึ่งที ไม่ต้องคิดเธอก็รู้ได้ว่ามันมาจากประตู โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ไร้การควบคุม ปล่อยให้สัญชาตญาณปริศนาครอบคลุม และเร็วยิ่งกว่าสิงโตที่กระโจนตะครุบเหยื่อ มือของเธอดึงเข็มให้น้ำเกลือออก เลือดไหลและติดค้างที่เข็ม เธอดึงมันออกจากสายยางจนขาด แล้วปรี่อย่างรวดเร็วไปยังผู้บุกรุกที่เปิดประตูเข้ามา มือที่ถือเข็มเยื้องไปที่คอของผู้บุกรุกโดยไร้สาเหตุ ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเธอจะถูกคนตรงหน้าเหวี่ยงกระแทกผนังพร้อมเข็มที่เฉี่ยวคอนั้นจนเกิดรอยแผล
          ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วและงุนงงจนน่าแปลกใจ เธอไม่ได้ตกใจกับมัน รู้แค่ว่ามันคือสิ่งที่เคยชิน...
          ดวงตาสีฟ้าสะท้อนอยู่ในตาเธอ เลือดในกายยังคงเดือดพล่าน อะไรซักอย่างที่ส่งเสียงขู่กรรโชกในหัวเธอยังคงคำรามด้วยความไม่พอใจ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเธอกำลังต่อต้านคนที่อยู่ตรงหน้า
          ลูคัส...
          “นึกแล้วเชียว ไม่มีอะไรที่หยุดเธอได้เลยสินะ”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา