The moon'story (Full moon พันธนาการแห่งดวงจันทร์)
8.7
เขียนโดย Sara
วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.48 น.
6 chapter
11 วิจารณ์
10.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 08.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) Fear
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่4
Fear
เสียงของสายลมยามค่ำคืนส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ภายในความมืดประหนึ่งเหมือนกำลังตอกย้ำความเงียบสงัดของผืนป่าที่ไร้แสงจันทร์แห่งนี้...อย่างไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ สรรพเสียงแห่งราตรีกาลเริ่มเคลื่อนไหว เมื่อยามที่มีเสียงของฝีเท้าดังเข้ามาแทนที่ การเหยียบย่ำพื้นดินเป็นไปอย่างช้าๆและเป็นจังหวะ ใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าเมื่อถูกย่ำเหยียบ กลิ่นคาวคลุ้งจากอะไรบางอย่างลอยมาพร้อมกับผืนหมอกที่เริ่มแผ่สยายไปทั่วป่าเปรียบเหมือนเงามรณะที่คอยกลืนกินชีวิต บรรยากาศหนาวเย็นและชื้นแฉะจากหยาดน้ำค้างที่ตกลงมาจากฟากฟ้าที่มืดมิดอย่างเงียบเชียบง
จากความมืดเริ่มสู่ความสว่างเมื่อมีแสงไฟสีนวลเข้ามาแทนที่ซึ่งเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆเท่านั้น แสงจากตะเกียงดวงเล็กๆมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนยามค่ำคืน แผ่นของต้นมอสที่ขึ้นอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ส่องแสงสีเขียวเจิดจ้าในยามที่คนถือตะเกียงเดินมาถึงก่อนที่จะเดินผ่านไปและทิ้งให้สีเขียวชุ่มนั้นจมอยู่ภายใต้ความมืดอีกครั้ง
ผ้าคลุมสีหม่นไหวเพียงน้อยนิดเมื่อผู้สวมใส่หยุดเดินแล้วชูตะเกียงไปข้างหน้าเพื่อมองอะไรบางอย่างในม่านหมอกสีขาวขุ่นที่บังตา ริมฝีปากสีแดงสดเผยยิ้มเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นสาบสางที่แสบจมูกก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า
ดวงไฟสีเหลืองนวลสะบัดไหววูบอยู่ครู่หนึ่งโบกซ้ายโบกขวาก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆจางลงและดับลงไป แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็กลับมาลุกพรึ่บและส่องแสงตามเดิม ผู้มาเยือนหยุดเดินอีกครั้ง นานแสนนานที่คนผู้นั้นยืนอยู่ภายในความมืดมิดกลางผืนพนายามค่ำคืนที่มีเพียงแค่แสงสว่างจากตะเกียงอยู่เป็นเพื่อน เสียงกรีดร้องโหยหวยอันยากจะพรรณนาดังแว่วมาจากความว่างเปล่าไร้ชีวิตตรงหน้า ยิ่งเสียงนั้นดังมากขึ้นเท่าไหร่ริมฝีปากนั้นดูเหมือนจะยิ้มกว้างขึ้น เปลวไฟสีเหลืองในตะเกียงแลจะโหมพัดสะบัดอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับเปลวไฟที่ค่อยๆเจิดจ้าขึ้นเหมือนจะย้ำเตือนหัวใจของผู้ที่ถือมันที่กำลังสั่นระรัวราวกับจะหลุดออกมา
สรรพเสียงอันทรมานจากความว่างเปล่าไร้ชีวิตตรงหน้า
ใช่...ไร้ชีวิต
ภาพตรงหน้าคงจะอธิบายถึงความเงียบสงัดและกลิ่นสาบสางที่ชวนให้แสบจมูกได้ดี ผู้มาเยือนพินิจวิเคราะห์ภาพตรงหน้าอย่างใจเย็นด้วยเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาและเยือกเย็นราวกับกำลังรู้สึกสนุก ไม่นานนักก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มนั้นจะเปล่งคำพูดออกมา
“ม่านโรงละครกำลังจะเปิดฉากแล้ว...”
สายลมพัดหวีดหวิวครู่หนึ่งก่อนที่เปลวไฟใจตะเกียงจะดับพรึ่บ ...แล้วทุกสรรพสิ่งทั้งหลายในราตรีกาลก็เริ่มเข้าสู่นิทราแห่งความเงียบงัน
ตึง!
“เอ่อ...ขอโทษที ฉันเล่นผิดคีย์น่ะ” แอมมี่พูดขณะหันหน้าไปมองคนที่เล่นไวโอลินอยู่ข้างอย่างสำนึกผิด ชายหนุ่มชะงักแล้วมองเธอด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเดิม นั่นเลยทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาโกรธรึเปล่า
ไม่ใช่สิ! เขาต้องโกรธอยู่แล้วเพราะเธอเล่นผิดมาถึงสามครั้งแล้วในวันนี้ เพียงแต่ว่าสายตาแบบนั้นมันทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาโกรธมากหรือโกรธน้อย ...แต่ยังไงก็โกรธอยู่ดีนั่นแหละ
“ลองใหม่นะ” เธอบอก แต่ในขณะที่เธอกำลังวางมือลงบนคีย์เปียโนคนข้างๆเธอก็กลับวางไวโอลินแล้วเดินไปนั่งตรงโซฟา
“ฉันจะพัก” ลูคัสตอบเรียบๆพลางหลับตาลงทิ้งให้แอมมี่นั่งงงอยู่อย่างนั้น
อะไรกัน นี่เขาโกรธเธอมากขนาดนั้นเลยเหรอ!
แอมมี่ทำหน้าบูดเบี้ยวนิดหน่อย อย่างที่เธอคิด อย่างแรกที่เธอต้องปรับตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้คืออารมณ์ของเขา เธอถอนหายใจออกมานิดหน่อยก่อนจะหันหน้าไปทางเปียโนแล้วพรมนิ้วบนคีย์เพื่อบรรเลงเพลงต่อไปคนเดียว
สายตาของหญิงสาวดูเศร้าหมองและเหม่อลอย นั่นก็เพราะเธอกำลังนึกถึงเรื่องราวที่เธอเผชิญมาเมื่อวาน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ อาจารย์นัดให้มาซ้อมดนตรีกันที่โรงเรียน เธอกับลูคัสถูกจับให้ออกมาซ้อมแยกห้องกับคนที่เหลือสาเหตุก็เพราะ การแสดงพิเศษของอาจารย์โจดี้ นั่นเอง
เธอกำลังนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานตอนที่เธอไปปิกนิกกับสเตฟานที่ทะเลสาบในป่า หลังจากตอนที่สเตฟานหายไปข้างในป่านั่น...แม้ว่ามันจะไม่ใช่การหายไปจริงๆแต่มันก็ทำให้เธอกังวล เพราะอะไรก็ตามที่เธอเจอในป่านั่นมันเป็นสิ่งที่ทำให้ความสงสัยของเธอทวีคูณมากขึ้น เหตุการณ์ที่เธอเจอมาทำให้เธอเก็บเอาไปฝัน ความฝันที่โหดร้ายและน่ากลัว...สเตฟานกำลังวิ่งหนีเธอหายเข้าไปในความมืด ที่ที่เธอวิ่งตามไปไม่ทัน
อย่างน้อยก็โชคดีที่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน
ไม่ใช่เพียงแค่นั้นมันยังมีอย่างอื่นอีก ความฝันที่น่ากลัวอย่างอื่น เธอฝันเห็นเธอกำลังเดินอยู่กลางทุ่งหิมะสีขาวที่ว่างเปล่าไหนสักแห่ง เธอไม่ได้เดินอยู่คนเดียว แต่เธอเดินอยู่กับ...ลูคัส เขาเดินจูงมือเธอ ก้าวเดินไปตามทางสีขาวที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดอย่างไร้จุดหมายอย่างไร้จุดหมาย ความมืดบดบังใบหน้าสุขุมและเยือกเย็นของเขาจนทำให้เธอแทบจะมองไม่เห็น
เสียงสายลมที่พัดมาแหลมหวีดหวิวเหมือนเสียงแก้วที่เสียดแทงแก้วหู หยาดหิมะสีขาวที่ตกลงมาดูเบาหวิวและนุ่มนวลเพียงแต่ตอนที่มันสัมผัสลงสู่ตัวเธอมันไม่ได้ให้ความรู้สึกอย่างนั้น มันต่างออกไป...หิมะสีขาวที่ค่อยลอยตกลงมาไม่ได้อ่อนโยนและนุ่มนวล มันกลับแข็งกระด้างและเจ็บแสบเหมือนห่าเข็มนับพันเล่มที่ตกลงมาจากฟากฟ้าที่กรีดข้อมือของเธอที่ถูกลูคัสจับเอาไว้จนเลือดออก
วินาทีนั้นที่เธอปล่อยมือเขาเมื่อความเจ็บแล่นปราดเข้าสู่ข้อมือ
วินาทีที่ชายหนุ่มตรงหน้าของเธอล้มลงของเหลวสีแดงแผ่กระจายท่างกลางพื้นหิมะสีขาวทำให้ดูเหมือนกับดอกไม้สีแดงที่เบ่งบานออกจากความตาย
ในยามที่เธอเห็น...พื้นสีแดงฉานนั้นใกล้ลามเข้ามาถึงปลายเท้าของเธอ และในวินาทีนั้นที่เธอกรีดร้อง
ตึง!
เสียงคีย์เปียโนคีย์สุดท้ายที่มือเรียวยาวนั้นกดค้างเอาไว้ดังกังวานอยู่ภายในห้องสีขาว หญิงสาวรู้สึกตัว เหงื่อไหลโทรมกาย สัมผัสแรกที่เธอรู้สึกคือความเย็นเยียบของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย สัมผัสที่สองคือมือของเธอที่กำลังวางอยู่บนคีย์เปียโน มันส่งเสียงดังกังวานใสลั่นห้องจนเธอต้องรีบยกมือเอาออกแทบไม่ทัน และสัมผัสที่สามคือฝ่ามือของใครคนหนึ่งที่วางอยู่บนไหล่ของเธอ
...ลูคัส
เธอหันกลับไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้าตื่นๆ ใบหน้าของเขายังคงนิ่งขรึมเหมือนเดิมเพียงแต่หัวคิ้วนั่นมุ่นขมวดเล็กน้อย
“เธอ...ถ้าเธออยากจะเล่นเพลงน่ากลัวแบบนี้น่ะนะ” เขาพูดพลางเอามือออกจากบ่าเธอ “เธอเล่นผิดคีย์มาสามครั้งแล้วนะ ยังจะมีอารมณ์ไปเล่นเพลงอื่นด้วยอย่างงั้นเหรอ ถ้าไม่อยากซ้อมก็กลับไปซะ”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โซฟาตัวเดิม
แอมมี่มองตามชายหนุ่มก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองแอร์ที่เปิดอยู่ยี่สิบสามองศาเซลเซียส อากาศภายในห้องนี้เย็น เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเธอก็เย็นเฉียบ แต่ตามร่างกายเธอกลับมีแต่เหงื่อเต็มไปหมด
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้หน้าเปียโนตัวสีดำไปนั่งอยู่ที่โซฟาอีกฟากหนึ่งที่อยู่ติดหน้าต่าง หญิงสาวเหม่อมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มเหมือนฝนจะตก เมฆสีดำเทาบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานพายุก็คงจะมา เธอหันไปมองคนที่นั่งไขว่ห้างอ่าหนังสืออยู่ที่โซฟาอีกด้าน เขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่อยากซ้อมเลย
“นี่...” เธอตัดสินใจเรียกเขาเพื่อถามบางอย่าง ชายหนุ่มเงยหน้ามองเธอ “เมื่อกี้ ตอนที่ฉันเล่นเปียโนอยู่ ฉันเล่นเพลงอะไรอย่างนั้นเหรอ”
ดวงตาสีฟ้าของเขาฉายชัดถึงความนิ่งสงบ ก่อนที่จะสบดวงตาที่ไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อยกับดวงตาของเธอ “เพลงนั้นเธอเป็นคนเล่นเองนะ” พูดจบเขาก็ก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
เธอนิ่วหน้า แต่ก็พอจะเข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มพูด ประมาณว่า ตัวเองเล่นเองแล้วจะถามทำไม คิดๆดูเธอก็เหมือนจะโดนประชดหน่อยๆ
หญิงสาวก้มลงมองนาฬิกาสีขาวบนข้อมือที่บอกเวลาเลยบ่ายสามมาแล้ว เธอไม่รู้ว่าต้องซ้อมจนถึงกี่โมง บางทีอาจจะประมาณหกโมงเย็นกว่าๆหรืออาจจะดึกกว่านั้น หรือไม่ก็ถ้าผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกฟากอยากนึกอยากจะกลับบ้าน
เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าที่มืดครึ้ม แสงสว่างวาบเป็นประกายเจิดจ้าบนท้องฟ้าชั่ววินาทีก่อนที่มันจะหายไป และตามด้วยเสียงดังคลืน จากเม็ดฝนที่เริ่มตกเปาะแปะตอนนี้กลายเป็นฝนห่าใหญ่ไปแล้ว เธอเห็นคู่รักสองคนกำลังวิ่งไปหลบฝนใต้อาคารเรียนเมื่อเธอก้มมองลงไป ห่าฝนที่ตกลงมากระทบพื้นยางมะตอยข้างล่างดูเป็นสีขาวขุ่นไปหมด ละอองฝนสาดกระเซ็นกระทบกระจกหน้าต่างทำให้เกิดฝ้าสีขาวตามมา
ฟ้าร้องอีกครั้ง บรรยากาศเริ่มจะเย็นลงทุกทีเธออยากจะหลับเหลือเกิน ในยามที่เปลือกตากำลังจะปิดลง หางตาของแอมมี่ก็เหลือไปเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ข้างๆเธอ เธอรู้สึกหน้าแดงนิดๆเมื่อคิดว่าเขากำลังจ้องเธอ แต่แล้วเธอก็ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าเขากำลังมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง เธอเกือบจะหลับแล้วเมื่อคิดว่าลูคัสแค่อยากจะมองฝนข้างนอกถ้าไม่ใช่ว่าเขากำลังขมวดคิ้วอย่างหนัก
“มีอะไรงั้นเหรอ” เธอถามเขาพลางหันไปทางเดียวกับชายหนุ่ม ลูคัสหันมามองเธอเพียงชั่วครู่ที่ทำให้เธอพอสังเกตได้ว่าในดวงตานั้นมีประกายหวาดกลัวครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าจะกลับไปนิ่งสงบเหมือนเดิม
แอมมี่รู้สึกว่าขนของตัวเองลุกชัน รู้สึกหนาวๆที่ต้นคอ เธอหันขวับก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอคิดไปเอง และเมื่อหันกลับมาเธอก็ต้องมาเผชิญกับแววตาฉงนของลูคัส
“ฉัน...เอ่อ...ฉันแค่รู้สึกไม่ค่อยดี” เธอตอบตามความจริง
ชายหนุ่มมองไปที่หน้าต่างอีกครั้งก่อนจะตอบสั้นๆ “อืม” เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ชายคนนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเธอ
เธอมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง สายฝนในตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่ดี มันทำให้เธอผวาราวกับว่ามันจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เธอนึกถึงความฝันอันน่ากลัวเมื่อคืน ก่อนที่เธอจะลบมันทิ้งไปจากสมองเมื่อรู้สึกได้ว่ามันให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเอามากๆ
เธอลองจินตนาการถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้น...กระจกหน้าต่างแตก สายฝนสาดกระเซ็นเข้ามาเหมือนห่าเข็ม ไฟทุกดวงดับลง เสียงลมพายุพัดอื้ออึง ค่ำคืนในยามราตรีที่ท้องฟ้าอันมืดดำบดบังแสงแห่งดวงจันทร์ ...เลือด มีเลือดของใครบางคนไหลนองอยู่ที่พื้น สะท้องกับเม็ดฝนใสๆเหมือนเม็ดทับทิมก่อนที่มันจะไหลมารวมกันแล้วกลายเป็นทะเลเลือดภายในห้องมรณะ...
“เฮ้” เสียงของลูคัสทำให้เธอตื่นจะภวังค์ บางครั้งเธอก็รู้สึกกลัวความฝันของตัวเองเหลือเกิน เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้น
แอมมี่มองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ผ่านไปสามสิบนาทีแล้วตั้งแต่ตอนที่ฝนตก เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมขณะมองออกไปข้างนอก เธอสงสัยนักว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ เขากำลังคิดเหมือนกับที่เธอคิดหรือไม่ แต่พอได้คิดอย่างนั้นมันก็ทำให้เธอคิดไปถึงคำพูดที่ว่า เธอกับเขาเคยเป็นแฟนกัน...แบบว่าคนรู้จักกัน แต่ตอนนี้เขากลับปฏิบัติตัวกับเธอเหมือนคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก เขารู้อะไรเกี่ยวกับเธอหรือเปล่า หรือว่าเขาอาจจะกำลังปฏิบัติตัวไม่ถูกกับคนที่เพิ่งจะเลิกกัน
บางทีเธอคิดว่าคนที่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเธอมากที่สุดคงจะเป็นผู้ชายที่ชื่อลูคัสคนนี้
“แอมมี่” เขาเรียกชื่อเธอ มันคือความประหลาดครั้งที่สองที่เธอได้เจอนอกจากตอนที่เขาตอบเธอด้วยคำว่า อืม
หญิงสาวยืดตัวตรงเล็กน้อย เธอรู้สึกดีใจที่เขาเรียกชื่อเธอ
ทันใดนั้นไฟในห้องก็ดับพรึ่บลง ตามมาด้วยเสียงของลูคัส
“กลับบ้าน” เขาพูดเสียงแข็งพร้อมกับแววตาตื่นตระหนกที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วฉุดแขนเธอให้ลุกขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” เธอถาม
“กลับเดี๋ยวนี้...!”
เพล้ง!!
สเตฟานเคยเจอกับพายุแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่เขาก็จำได้ว่ามันทำเอาเขากลับบ้านไม่ถูกเลยทีเดียว นาฬิกาเพิ่งจะบอกเวลาบ่ายสามโมงกว่า แต่ท้องฟ้ากลับดูอึมครึมและมืดครึ้ม ห่าฝนที่สาดตกลงมาทำให้เขาแทบจะมองไม่เห็นสภาพนอกบ้าน วันนี้แอมมี่ไม่อยู่บ้าน เธอต้องไปซ้อมดนตรีที่โรงเรียน
มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง มันทำให้เขาสะดุ้งทันที
“แอมมี่”
แอมมี่ลงมานอนกองอยู่ที่พื้น เธอรู้สึกเจ็บและแสบตามตัว ทุกอย่างดูพร่ามันจนมองแทบไม่เห็น เธอพยายามที่จะค่อยๆขยับตัวช้าๆแต่มันก็แทบจะไม่มีแรงเลย สายฝนกระหน่ำอย่างไร้ความปราณีเข้ามาให้ห้อง น้ำฝนเริ่มเจิ่งนองเต็มพื้น ไม่สงสัยเลยว่าเสียงดังเพล้งเมื่อกี้คือเสียงอะไร ถ้าไม่ใช่กระจกแตก
มือหนึ่งฉุดกระชากเธอให้ลุก เธอสงสัยว่าคงจะเป็นลูคัส เธอพยายามดันตัวขึ้นตามแรงดึงของเขา และวิ่งไปตามแรงฉุดของคนข้างหน้า เขาพาเธอออกจากห้องและเลี้ยวมุม เธอต้องเอามือดันผนังไว้เพื่อไม่ใช้ตัวเองเซจนวิ่งไปชนกับผนังอีกฝาก
มือที่จับมือเธอเอาไว้กระชับแน่น เขาวิ่งเร็วมากจนเธอตามแทบไม่ทัน สภาพของเธอตอนนี้เหมือนกำลังถูกเขาลากมากกว่าจะวิ่งตาม
เขาพาเธอวิ่งทำไม่ ไม่สิ...พาเธอหนีจากอะไรต่างหาก เขาหันมามองเธอเป็นระยะๆและถึงแม้ว่าไฟในอาคารที่ดับไปแล้วจะกลับมาติดใหม่ด้วยไฟสำรอง แต่มันก็ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ชัดอยู่ดี น้ำฝนที่อาบลู่ตามเส้นผมของเธอไหลลงมาอาบใบหน้าของเธอ มันไหลเข้าตาทำให้เธอมองเห็นได้ไม่ชัด
เขาพาเธอวิ่งลงบันได ความเจ็บที่ขาแล่นปราดขึ้นมาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตทำให้เธอล้มและกลิ้งตกลงบันไดไป ความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลทวีคูณขึ้นทันที
ลูคัสเข้ามาประคองเธอให้ลุกขึ้น แต่ขาของเธอนั้นเจ็บไปหมดจนเธอทรุดลงไปอีกรอบ
“ไม่ๆๆ แอมมี่ ได้โปรด” เธอได้ยินเสียงของลูคัส มันดูสั่นเครือผิดปกติ ฝ่ามือของเธอถูกกระชับแน่น มีเสียงอู้อี้ดังอยู่ข้างหูของเธอ เป็นเสียงตะโกน ตะคอก...และเสียงขู่ของสัตว์
เธอรับรู้ได้ถึงความตื่นตระหนกในน้ำเสียงของเขา
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผู้ชายคนนี้กำลังกลัว กลัวอะไรบางอย่างที่เธอรับรู้ได้ว่ามันกำลังตามหลังของพวกเธอมา
เขากลัวอะไร...
และเธอกลัวอะไร...
ประสาทสัมผัสของเธอเลือนรางมากจนแทบจะไม่รับรู้อะไรเลย ตัวของเธอลอยขึ้น ลูคัสกำลังอุ้มเธอสองแขนของเธอโอบอยู่รอบมือคอของเขา เขาวิ่ง
สายฝนที่โปรยปรายสัมผัสถูกตัวเธอทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้พวกเธอออกมาข้างนอกอาคารแล้ว หรือไม่ก็กำลังอยู่ภายในอาคารที่มีกระจกแตกหรือไม่ก็หลังคารั่ว
แอมมี่รู้สึกว่าตัวของเธอถูกฉุดกระฉากไปจากตัวของลูคัส แต่เธอก็ไม่มีแรงลืมตาขึ้นดูว่าเป็นใคร นอกจากเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของคนที่กำลังทะเลาะกัน มีเพียงไม่กี่คำเท่านั้นที่เธอจับความได้คือ อย่ามายุ่ง และ ไป
ใจของเธอกระตุกเมื่อได้ยินเสียงของลูคัส เธอฝืนความเจ็บปวดลืมตาขึ้นมองข้างหน้า ลูคัสไม่ได้มองหน้าเธอ เขากำลังจ้องหน้าคนที่กำลังอุ้มเธออยู่ด้วยสีหน้าเย็นชาแต่ดุดัน สายฟ้าที่แลบออกมาทำให้เธอเห็นประกายสีฟ้าที่ตาขวาของเขา และประกายสีแดงดั่งเปลวเพลิงในดวงตาข้างซ้าย...
ก่อนที่ทุกอย่างจะจมลงสู่ห้วงแห่งรัตติกาล
================================================
อัพให้แล้วอย่าโกรธเค้าน้าาาาาาาาาา
ช่วงนี้ปัญหารัดตัวจริงๆค่ะ
จะพยายามลงทุกอาทิตย์นะคะ ตอนนี้จัดการอะไรเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วค่ะ
โค้งงามๆ
Fear
เสียงของสายลมยามค่ำคืนส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ภายในความมืดประหนึ่งเหมือนกำลังตอกย้ำความเงียบสงัดของผืนป่าที่ไร้แสงจันทร์แห่งนี้...อย่างไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ สรรพเสียงแห่งราตรีกาลเริ่มเคลื่อนไหว เมื่อยามที่มีเสียงของฝีเท้าดังเข้ามาแทนที่ การเหยียบย่ำพื้นดินเป็นไปอย่างช้าๆและเป็นจังหวะ ใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าเมื่อถูกย่ำเหยียบ กลิ่นคาวคลุ้งจากอะไรบางอย่างลอยมาพร้อมกับผืนหมอกที่เริ่มแผ่สยายไปทั่วป่าเปรียบเหมือนเงามรณะที่คอยกลืนกินชีวิต บรรยากาศหนาวเย็นและชื้นแฉะจากหยาดน้ำค้างที่ตกลงมาจากฟากฟ้าที่มืดมิดอย่างเงียบเชียบง
จากความมืดเริ่มสู่ความสว่างเมื่อมีแสงไฟสีนวลเข้ามาแทนที่ซึ่งเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆเท่านั้น แสงจากตะเกียงดวงเล็กๆมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนยามค่ำคืน แผ่นของต้นมอสที่ขึ้นอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ส่องแสงสีเขียวเจิดจ้าในยามที่คนถือตะเกียงเดินมาถึงก่อนที่จะเดินผ่านไปและทิ้งให้สีเขียวชุ่มนั้นจมอยู่ภายใต้ความมืดอีกครั้ง
ผ้าคลุมสีหม่นไหวเพียงน้อยนิดเมื่อผู้สวมใส่หยุดเดินแล้วชูตะเกียงไปข้างหน้าเพื่อมองอะไรบางอย่างในม่านหมอกสีขาวขุ่นที่บังตา ริมฝีปากสีแดงสดเผยยิ้มเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นสาบสางที่แสบจมูกก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า
ดวงไฟสีเหลืองนวลสะบัดไหววูบอยู่ครู่หนึ่งโบกซ้ายโบกขวาก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆจางลงและดับลงไป แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็กลับมาลุกพรึ่บและส่องแสงตามเดิม ผู้มาเยือนหยุดเดินอีกครั้ง นานแสนนานที่คนผู้นั้นยืนอยู่ภายในความมืดมิดกลางผืนพนายามค่ำคืนที่มีเพียงแค่แสงสว่างจากตะเกียงอยู่เป็นเพื่อน เสียงกรีดร้องโหยหวยอันยากจะพรรณนาดังแว่วมาจากความว่างเปล่าไร้ชีวิตตรงหน้า ยิ่งเสียงนั้นดังมากขึ้นเท่าไหร่ริมฝีปากนั้นดูเหมือนจะยิ้มกว้างขึ้น เปลวไฟสีเหลืองในตะเกียงแลจะโหมพัดสะบัดอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับเปลวไฟที่ค่อยๆเจิดจ้าขึ้นเหมือนจะย้ำเตือนหัวใจของผู้ที่ถือมันที่กำลังสั่นระรัวราวกับจะหลุดออกมา
สรรพเสียงอันทรมานจากความว่างเปล่าไร้ชีวิตตรงหน้า
ใช่...ไร้ชีวิต
ภาพตรงหน้าคงจะอธิบายถึงความเงียบสงัดและกลิ่นสาบสางที่ชวนให้แสบจมูกได้ดี ผู้มาเยือนพินิจวิเคราะห์ภาพตรงหน้าอย่างใจเย็นด้วยเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาและเยือกเย็นราวกับกำลังรู้สึกสนุก ไม่นานนักก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มนั้นจะเปล่งคำพูดออกมา
“ม่านโรงละครกำลังจะเปิดฉากแล้ว...”
สายลมพัดหวีดหวิวครู่หนึ่งก่อนที่เปลวไฟใจตะเกียงจะดับพรึ่บ ...แล้วทุกสรรพสิ่งทั้งหลายในราตรีกาลก็เริ่มเข้าสู่นิทราแห่งความเงียบงัน
ตึง!
“เอ่อ...ขอโทษที ฉันเล่นผิดคีย์น่ะ” แอมมี่พูดขณะหันหน้าไปมองคนที่เล่นไวโอลินอยู่ข้างอย่างสำนึกผิด ชายหนุ่มชะงักแล้วมองเธอด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเดิม นั่นเลยทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาโกรธรึเปล่า
ไม่ใช่สิ! เขาต้องโกรธอยู่แล้วเพราะเธอเล่นผิดมาถึงสามครั้งแล้วในวันนี้ เพียงแต่ว่าสายตาแบบนั้นมันทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาโกรธมากหรือโกรธน้อย ...แต่ยังไงก็โกรธอยู่ดีนั่นแหละ
“ลองใหม่นะ” เธอบอก แต่ในขณะที่เธอกำลังวางมือลงบนคีย์เปียโนคนข้างๆเธอก็กลับวางไวโอลินแล้วเดินไปนั่งตรงโซฟา
“ฉันจะพัก” ลูคัสตอบเรียบๆพลางหลับตาลงทิ้งให้แอมมี่นั่งงงอยู่อย่างนั้น
อะไรกัน นี่เขาโกรธเธอมากขนาดนั้นเลยเหรอ!
แอมมี่ทำหน้าบูดเบี้ยวนิดหน่อย อย่างที่เธอคิด อย่างแรกที่เธอต้องปรับตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้คืออารมณ์ของเขา เธอถอนหายใจออกมานิดหน่อยก่อนจะหันหน้าไปทางเปียโนแล้วพรมนิ้วบนคีย์เพื่อบรรเลงเพลงต่อไปคนเดียว
สายตาของหญิงสาวดูเศร้าหมองและเหม่อลอย นั่นก็เพราะเธอกำลังนึกถึงเรื่องราวที่เธอเผชิญมาเมื่อวาน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ อาจารย์นัดให้มาซ้อมดนตรีกันที่โรงเรียน เธอกับลูคัสถูกจับให้ออกมาซ้อมแยกห้องกับคนที่เหลือสาเหตุก็เพราะ การแสดงพิเศษของอาจารย์โจดี้ นั่นเอง
เธอกำลังนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานตอนที่เธอไปปิกนิกกับสเตฟานที่ทะเลสาบในป่า หลังจากตอนที่สเตฟานหายไปข้างในป่านั่น...แม้ว่ามันจะไม่ใช่การหายไปจริงๆแต่มันก็ทำให้เธอกังวล เพราะอะไรก็ตามที่เธอเจอในป่านั่นมันเป็นสิ่งที่ทำให้ความสงสัยของเธอทวีคูณมากขึ้น เหตุการณ์ที่เธอเจอมาทำให้เธอเก็บเอาไปฝัน ความฝันที่โหดร้ายและน่ากลัว...สเตฟานกำลังวิ่งหนีเธอหายเข้าไปในความมืด ที่ที่เธอวิ่งตามไปไม่ทัน
อย่างน้อยก็โชคดีที่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน
ไม่ใช่เพียงแค่นั้นมันยังมีอย่างอื่นอีก ความฝันที่น่ากลัวอย่างอื่น เธอฝันเห็นเธอกำลังเดินอยู่กลางทุ่งหิมะสีขาวที่ว่างเปล่าไหนสักแห่ง เธอไม่ได้เดินอยู่คนเดียว แต่เธอเดินอยู่กับ...ลูคัส เขาเดินจูงมือเธอ ก้าวเดินไปตามทางสีขาวที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดอย่างไร้จุดหมายอย่างไร้จุดหมาย ความมืดบดบังใบหน้าสุขุมและเยือกเย็นของเขาจนทำให้เธอแทบจะมองไม่เห็น
เสียงสายลมที่พัดมาแหลมหวีดหวิวเหมือนเสียงแก้วที่เสียดแทงแก้วหู หยาดหิมะสีขาวที่ตกลงมาดูเบาหวิวและนุ่มนวลเพียงแต่ตอนที่มันสัมผัสลงสู่ตัวเธอมันไม่ได้ให้ความรู้สึกอย่างนั้น มันต่างออกไป...หิมะสีขาวที่ค่อยลอยตกลงมาไม่ได้อ่อนโยนและนุ่มนวล มันกลับแข็งกระด้างและเจ็บแสบเหมือนห่าเข็มนับพันเล่มที่ตกลงมาจากฟากฟ้าที่กรีดข้อมือของเธอที่ถูกลูคัสจับเอาไว้จนเลือดออก
วินาทีนั้นที่เธอปล่อยมือเขาเมื่อความเจ็บแล่นปราดเข้าสู่ข้อมือ
วินาทีที่ชายหนุ่มตรงหน้าของเธอล้มลงของเหลวสีแดงแผ่กระจายท่างกลางพื้นหิมะสีขาวทำให้ดูเหมือนกับดอกไม้สีแดงที่เบ่งบานออกจากความตาย
ในยามที่เธอเห็น...พื้นสีแดงฉานนั้นใกล้ลามเข้ามาถึงปลายเท้าของเธอ และในวินาทีนั้นที่เธอกรีดร้อง
ตึง!
เสียงคีย์เปียโนคีย์สุดท้ายที่มือเรียวยาวนั้นกดค้างเอาไว้ดังกังวานอยู่ภายในห้องสีขาว หญิงสาวรู้สึกตัว เหงื่อไหลโทรมกาย สัมผัสแรกที่เธอรู้สึกคือความเย็นเยียบของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย สัมผัสที่สองคือมือของเธอที่กำลังวางอยู่บนคีย์เปียโน มันส่งเสียงดังกังวานใสลั่นห้องจนเธอต้องรีบยกมือเอาออกแทบไม่ทัน และสัมผัสที่สามคือฝ่ามือของใครคนหนึ่งที่วางอยู่บนไหล่ของเธอ
...ลูคัส
เธอหันกลับไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้าตื่นๆ ใบหน้าของเขายังคงนิ่งขรึมเหมือนเดิมเพียงแต่หัวคิ้วนั่นมุ่นขมวดเล็กน้อย
“เธอ...ถ้าเธออยากจะเล่นเพลงน่ากลัวแบบนี้น่ะนะ” เขาพูดพลางเอามือออกจากบ่าเธอ “เธอเล่นผิดคีย์มาสามครั้งแล้วนะ ยังจะมีอารมณ์ไปเล่นเพลงอื่นด้วยอย่างงั้นเหรอ ถ้าไม่อยากซ้อมก็กลับไปซะ”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โซฟาตัวเดิม
แอมมี่มองตามชายหนุ่มก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองแอร์ที่เปิดอยู่ยี่สิบสามองศาเซลเซียส อากาศภายในห้องนี้เย็น เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเธอก็เย็นเฉียบ แต่ตามร่างกายเธอกลับมีแต่เหงื่อเต็มไปหมด
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้หน้าเปียโนตัวสีดำไปนั่งอยู่ที่โซฟาอีกฟากหนึ่งที่อยู่ติดหน้าต่าง หญิงสาวเหม่อมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มเหมือนฝนจะตก เมฆสีดำเทาบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานพายุก็คงจะมา เธอหันไปมองคนที่นั่งไขว่ห้างอ่าหนังสืออยู่ที่โซฟาอีกด้าน เขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่อยากซ้อมเลย
“นี่...” เธอตัดสินใจเรียกเขาเพื่อถามบางอย่าง ชายหนุ่มเงยหน้ามองเธอ “เมื่อกี้ ตอนที่ฉันเล่นเปียโนอยู่ ฉันเล่นเพลงอะไรอย่างนั้นเหรอ”
ดวงตาสีฟ้าของเขาฉายชัดถึงความนิ่งสงบ ก่อนที่จะสบดวงตาที่ไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อยกับดวงตาของเธอ “เพลงนั้นเธอเป็นคนเล่นเองนะ” พูดจบเขาก็ก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
เธอนิ่วหน้า แต่ก็พอจะเข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มพูด ประมาณว่า ตัวเองเล่นเองแล้วจะถามทำไม คิดๆดูเธอก็เหมือนจะโดนประชดหน่อยๆ
หญิงสาวก้มลงมองนาฬิกาสีขาวบนข้อมือที่บอกเวลาเลยบ่ายสามมาแล้ว เธอไม่รู้ว่าต้องซ้อมจนถึงกี่โมง บางทีอาจจะประมาณหกโมงเย็นกว่าๆหรืออาจจะดึกกว่านั้น หรือไม่ก็ถ้าผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกฟากอยากนึกอยากจะกลับบ้าน
เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าที่มืดครึ้ม แสงสว่างวาบเป็นประกายเจิดจ้าบนท้องฟ้าชั่ววินาทีก่อนที่มันจะหายไป และตามด้วยเสียงดังคลืน จากเม็ดฝนที่เริ่มตกเปาะแปะตอนนี้กลายเป็นฝนห่าใหญ่ไปแล้ว เธอเห็นคู่รักสองคนกำลังวิ่งไปหลบฝนใต้อาคารเรียนเมื่อเธอก้มมองลงไป ห่าฝนที่ตกลงมากระทบพื้นยางมะตอยข้างล่างดูเป็นสีขาวขุ่นไปหมด ละอองฝนสาดกระเซ็นกระทบกระจกหน้าต่างทำให้เกิดฝ้าสีขาวตามมา
ฟ้าร้องอีกครั้ง บรรยากาศเริ่มจะเย็นลงทุกทีเธออยากจะหลับเหลือเกิน ในยามที่เปลือกตากำลังจะปิดลง หางตาของแอมมี่ก็เหลือไปเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ข้างๆเธอ เธอรู้สึกหน้าแดงนิดๆเมื่อคิดว่าเขากำลังจ้องเธอ แต่แล้วเธอก็ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าเขากำลังมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง เธอเกือบจะหลับแล้วเมื่อคิดว่าลูคัสแค่อยากจะมองฝนข้างนอกถ้าไม่ใช่ว่าเขากำลังขมวดคิ้วอย่างหนัก
“มีอะไรงั้นเหรอ” เธอถามเขาพลางหันไปทางเดียวกับชายหนุ่ม ลูคัสหันมามองเธอเพียงชั่วครู่ที่ทำให้เธอพอสังเกตได้ว่าในดวงตานั้นมีประกายหวาดกลัวครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าจะกลับไปนิ่งสงบเหมือนเดิม
แอมมี่รู้สึกว่าขนของตัวเองลุกชัน รู้สึกหนาวๆที่ต้นคอ เธอหันขวับก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอคิดไปเอง และเมื่อหันกลับมาเธอก็ต้องมาเผชิญกับแววตาฉงนของลูคัส
“ฉัน...เอ่อ...ฉันแค่รู้สึกไม่ค่อยดี” เธอตอบตามความจริง
ชายหนุ่มมองไปที่หน้าต่างอีกครั้งก่อนจะตอบสั้นๆ “อืม” เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ชายคนนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเธอ
เธอมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง สายฝนในตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่ดี มันทำให้เธอผวาราวกับว่ามันจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เธอนึกถึงความฝันอันน่ากลัวเมื่อคืน ก่อนที่เธอจะลบมันทิ้งไปจากสมองเมื่อรู้สึกได้ว่ามันให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเอามากๆ
เธอลองจินตนาการถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้น...กระจกหน้าต่างแตก สายฝนสาดกระเซ็นเข้ามาเหมือนห่าเข็ม ไฟทุกดวงดับลง เสียงลมพายุพัดอื้ออึง ค่ำคืนในยามราตรีที่ท้องฟ้าอันมืดดำบดบังแสงแห่งดวงจันทร์ ...เลือด มีเลือดของใครบางคนไหลนองอยู่ที่พื้น สะท้องกับเม็ดฝนใสๆเหมือนเม็ดทับทิมก่อนที่มันจะไหลมารวมกันแล้วกลายเป็นทะเลเลือดภายในห้องมรณะ...
“เฮ้” เสียงของลูคัสทำให้เธอตื่นจะภวังค์ บางครั้งเธอก็รู้สึกกลัวความฝันของตัวเองเหลือเกิน เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้น
แอมมี่มองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ผ่านไปสามสิบนาทีแล้วตั้งแต่ตอนที่ฝนตก เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมขณะมองออกไปข้างนอก เธอสงสัยนักว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ เขากำลังคิดเหมือนกับที่เธอคิดหรือไม่ แต่พอได้คิดอย่างนั้นมันก็ทำให้เธอคิดไปถึงคำพูดที่ว่า เธอกับเขาเคยเป็นแฟนกัน...แบบว่าคนรู้จักกัน แต่ตอนนี้เขากลับปฏิบัติตัวกับเธอเหมือนคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก เขารู้อะไรเกี่ยวกับเธอหรือเปล่า หรือว่าเขาอาจจะกำลังปฏิบัติตัวไม่ถูกกับคนที่เพิ่งจะเลิกกัน
บางทีเธอคิดว่าคนที่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเธอมากที่สุดคงจะเป็นผู้ชายที่ชื่อลูคัสคนนี้
“แอมมี่” เขาเรียกชื่อเธอ มันคือความประหลาดครั้งที่สองที่เธอได้เจอนอกจากตอนที่เขาตอบเธอด้วยคำว่า อืม
หญิงสาวยืดตัวตรงเล็กน้อย เธอรู้สึกดีใจที่เขาเรียกชื่อเธอ
ทันใดนั้นไฟในห้องก็ดับพรึ่บลง ตามมาด้วยเสียงของลูคัส
“กลับบ้าน” เขาพูดเสียงแข็งพร้อมกับแววตาตื่นตระหนกที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วฉุดแขนเธอให้ลุกขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” เธอถาม
“กลับเดี๋ยวนี้...!”
เพล้ง!!
สเตฟานเคยเจอกับพายุแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่เขาก็จำได้ว่ามันทำเอาเขากลับบ้านไม่ถูกเลยทีเดียว นาฬิกาเพิ่งจะบอกเวลาบ่ายสามโมงกว่า แต่ท้องฟ้ากลับดูอึมครึมและมืดครึ้ม ห่าฝนที่สาดตกลงมาทำให้เขาแทบจะมองไม่เห็นสภาพนอกบ้าน วันนี้แอมมี่ไม่อยู่บ้าน เธอต้องไปซ้อมดนตรีที่โรงเรียน
มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง มันทำให้เขาสะดุ้งทันที
“แอมมี่”
แอมมี่ลงมานอนกองอยู่ที่พื้น เธอรู้สึกเจ็บและแสบตามตัว ทุกอย่างดูพร่ามันจนมองแทบไม่เห็น เธอพยายามที่จะค่อยๆขยับตัวช้าๆแต่มันก็แทบจะไม่มีแรงเลย สายฝนกระหน่ำอย่างไร้ความปราณีเข้ามาให้ห้อง น้ำฝนเริ่มเจิ่งนองเต็มพื้น ไม่สงสัยเลยว่าเสียงดังเพล้งเมื่อกี้คือเสียงอะไร ถ้าไม่ใช่กระจกแตก
มือหนึ่งฉุดกระชากเธอให้ลุก เธอสงสัยว่าคงจะเป็นลูคัส เธอพยายามดันตัวขึ้นตามแรงดึงของเขา และวิ่งไปตามแรงฉุดของคนข้างหน้า เขาพาเธอออกจากห้องและเลี้ยวมุม เธอต้องเอามือดันผนังไว้เพื่อไม่ใช้ตัวเองเซจนวิ่งไปชนกับผนังอีกฝาก
มือที่จับมือเธอเอาไว้กระชับแน่น เขาวิ่งเร็วมากจนเธอตามแทบไม่ทัน สภาพของเธอตอนนี้เหมือนกำลังถูกเขาลากมากกว่าจะวิ่งตาม
เขาพาเธอวิ่งทำไม่ ไม่สิ...พาเธอหนีจากอะไรต่างหาก เขาหันมามองเธอเป็นระยะๆและถึงแม้ว่าไฟในอาคารที่ดับไปแล้วจะกลับมาติดใหม่ด้วยไฟสำรอง แต่มันก็ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ชัดอยู่ดี น้ำฝนที่อาบลู่ตามเส้นผมของเธอไหลลงมาอาบใบหน้าของเธอ มันไหลเข้าตาทำให้เธอมองเห็นได้ไม่ชัด
เขาพาเธอวิ่งลงบันได ความเจ็บที่ขาแล่นปราดขึ้นมาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตทำให้เธอล้มและกลิ้งตกลงบันไดไป ความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลทวีคูณขึ้นทันที
ลูคัสเข้ามาประคองเธอให้ลุกขึ้น แต่ขาของเธอนั้นเจ็บไปหมดจนเธอทรุดลงไปอีกรอบ
“ไม่ๆๆ แอมมี่ ได้โปรด” เธอได้ยินเสียงของลูคัส มันดูสั่นเครือผิดปกติ ฝ่ามือของเธอถูกกระชับแน่น มีเสียงอู้อี้ดังอยู่ข้างหูของเธอ เป็นเสียงตะโกน ตะคอก...และเสียงขู่ของสัตว์
เธอรับรู้ได้ถึงความตื่นตระหนกในน้ำเสียงของเขา
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผู้ชายคนนี้กำลังกลัว กลัวอะไรบางอย่างที่เธอรับรู้ได้ว่ามันกำลังตามหลังของพวกเธอมา
เขากลัวอะไร...
และเธอกลัวอะไร...
ประสาทสัมผัสของเธอเลือนรางมากจนแทบจะไม่รับรู้อะไรเลย ตัวของเธอลอยขึ้น ลูคัสกำลังอุ้มเธอสองแขนของเธอโอบอยู่รอบมือคอของเขา เขาวิ่ง
สายฝนที่โปรยปรายสัมผัสถูกตัวเธอทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้พวกเธอออกมาข้างนอกอาคารแล้ว หรือไม่ก็กำลังอยู่ภายในอาคารที่มีกระจกแตกหรือไม่ก็หลังคารั่ว
แอมมี่รู้สึกว่าตัวของเธอถูกฉุดกระฉากไปจากตัวของลูคัส แต่เธอก็ไม่มีแรงลืมตาขึ้นดูว่าเป็นใคร นอกจากเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของคนที่กำลังทะเลาะกัน มีเพียงไม่กี่คำเท่านั้นที่เธอจับความได้คือ อย่ามายุ่ง และ ไป
ใจของเธอกระตุกเมื่อได้ยินเสียงของลูคัส เธอฝืนความเจ็บปวดลืมตาขึ้นมองข้างหน้า ลูคัสไม่ได้มองหน้าเธอ เขากำลังจ้องหน้าคนที่กำลังอุ้มเธออยู่ด้วยสีหน้าเย็นชาแต่ดุดัน สายฟ้าที่แลบออกมาทำให้เธอเห็นประกายสีฟ้าที่ตาขวาของเขา และประกายสีแดงดั่งเปลวเพลิงในดวงตาข้างซ้าย...
ก่อนที่ทุกอย่างจะจมลงสู่ห้วงแห่งรัตติกาล
================================================
อัพให้แล้วอย่าโกรธเค้าน้าาาาาาาาาา
ช่วงนี้ปัญหารัดตัวจริงๆค่ะ
จะพยายามลงทุกอาทิตย์นะคะ ตอนนี้จัดการอะไรเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วค่ะ
โค้งงามๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ