Decisive wars สู่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.46 น.
แก้ไขเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2556 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
42) โหมโรงสู่จุดสิ้นสุด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อยก่อนที่ลำแสงพลังทำลายสูงสุดของแองเจลอยด์ทั้งสองจะเข้าปะทะกัน เวลาก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วินาทีระหว่างที่นางฟ้าทั้งสองกำลังสะสมพลังขั้นสุดยอดที่เก็บออมเอาไว้จากทั่วทั้งร่างเอาไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมจะปล่อยออกมาได้อย่างสะดวกที่สุด
ในระหว่างที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่จนถึงขีดสุดนั้นเอง หายนะร้ายแรงที่สุดเท่าที่โลกนี้กำลังจะเผชิญก็บังเกิดขึ้นมาจนได้
"ฉันบอกว่าให้พวกเธอพอได้แล้วยังไงเล่า!!!!!!"
ม่านผลึกแสงที่ก่อรูปเป็นทรงกลมกักขังมนุษย์คนหนึ่งเอาไว้จากแรงกระแทกภายนอกนั้นเกิดระเบิดขึ้นจากภายในอย่างรุนแรงจนพังทลายลงในที่สุด เด็กชายที่รวบรวมแสงพลังทำลายมหาศาลเอาไว้ที่มือขวาได้จังหวะกระโดดออกมาจากชั้นเกราะที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอุปกรณ์ป้องกันอันตรายใดๆในโลกพุ่งเข้าขวางศึกแตกหักของสองนางฟ้าในทันที
แม้ว่ามันจะสายเกินไปมากแล้วก็ตาม...
{{พลาสม่า แสลชเชอร์}} {{นิวตรอน สตรีม}}
ในจังหวะก่อนที่ฮิซาชิจะเข้าถึงตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อเบี่ยงตัวของพวกเธอออกจากแนวระนาบเดียวกันเพียงชั่วพริบตาเดียว ท่อนแขนที่มีลำแสงซึ่งมีพลังสูงพอที่จะสังหารเขาเพียงการสัมผัสบางเบาประจุเอาไว้ก็ลดระดับลงเหนี่ยวนำการโจมตีเข้าหาฝ่ายตรงข้ามจนเข้าปะทะกันในที่สุด
และด้วยพลังอันมหาศาลที่พุ่งเข้าปะทะกันนั้นเองจึงทำให้เกิดเป็นคลื่นอัดกระแทกซัดร่างของฮิซาชิออกไปจากพื้นที่เสี่ยงเป็นระยะทางหลายสิบเมตร พร้อมกับม่านพายุที่โหมกระหน่ำขัดขวางการเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายของสองผู้พิทักษ์อย่างแน่นหนาแผ่ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
แสงสว่างสีฟ้าสลับน้ำเงินกระจายออกมาจากจุดที่คลื่นพลังของมิรันและฮานามิเข้าปะทะกันเป็นวงคลื่นประจุพลังที่สามารถป่นทุกสิ่งที่มีพลังด้อยกว่ามวลรวมพลังของมิรัน{3.8} และฮานามิ{3.8} ให้กลายเป็นผุยผงได้เพียงการอาบแสงเหล่านั้นเป็นเวลาเพียงไม่ถึงวินาที และสิ่งที่ยืนยันการคาดเดาของฮิซาชิก็เห็นจะเป็น...
เม็ดทรายสีขาวที่ถูกป่นละเอียดเป็นผงสีขาวนวลล่องลอยไปทั่วบริเวณจนต้นมะพร้าวและน้ำทะเลที่อยู่ห่างออกไปนอกรัศมีสองร้อยเมตรมีผงสีขาวละเอียดเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก
และในขณะเดียวกันที่ทุกสิ่งรอบบริเวณถูกละอองสีขาวเกาะจนกลายเป็นสีสันที่ไม่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล ยังมีอย่างหนึ่งที่เริ่มเปลี่ยนเป็นโทนสีตรงข้ามกันอย่างช้าๆระหว่างที่เศษละอองทรายกำลังฟุ้งกระจายตามแรงลมกรรโชกจากท่าไม้ตายของนางฟ้าทั้งสองที่ยังคงจัดหนักเข้าหากันตลอดเวลา
ณ ท้องฟ้าเบื้องบนที่เคยแจ่มใสเป็นสีฟ้าครามนั้นเริ่มมีกลุ่มเมฆสีดำทะมึนเกาะกลุ่มและสร้างสายฟ้าอันเป็นที่เกรงกลัวของเหล่า"เบื้องล่าง"ให้หายไปทีละนิด และดูเหมือนว่าศูนย์กลางของเมฆพายุเหล่านั้นจะอยู่ในตำแหน่งตรงกับจุดที่ท่าไม้ตายของมิรันและฮานามิเข้าปะทะกันพอดีอีกด้วย
"ยัยบ้าพวกนั้น...ทั้งๆที่เซย์ริถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องมนุษย์ แต่เส้นทางที่พวกนั้นกำลังจะเบิกขึ้นมานั่นมีแต่ทางไปสู่หายนะเท่านั้นไม่ใช่เหรอ!"
ทางด้านฮิซาชิที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะเข้าใกล้นางฟ้าผมฟ้าที่คุยด้วยง่ายกว่าประเภทที่ว่าถ้าดำดินไปได้คงทำไปแล้วเริ่มมีสังหรณ์ร้ายเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการต่อสู้ในครั้งนี้ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดสลับกับวิธีเข้าประชิดเป็นรายวินาที
เป็นความรู้สึกกังวลใจที่เหมือนกับว่าจะต้องสูญเสียใครไปแบบเดียวกับเมื่อครั้งที่เผชิญหน้ากับไกอาที่เขาต้องเสียเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดไปด้วยความอ่อนหัดของเขาเอง
และในที่สุดลางสังหรณ์ของฮิซาชิก็เกิดขึ้นจริง เมื่อระดับพลังของทั้งสองฝ่ายที่เท่ากันเริ่มแผ่วลงจากการใช้พลังสูงสุดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้มวลรวมพลังที่อัดแน่นเป็นลูกกลมเริ่มมีจุดโค้งงอและไม่เสถียรมากขึ้นเรื่อยๆโดยที่ไม่มีใครจงใจจะให้เกิดขึ้น
จนสุดท้ายเมื่อแองเจลอยด์ทั้งสองเร่งพลังมากขึ้นกว่าเดิมเพื่ออาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายอ่อนแรงลงในการเผด็จศึก... มวลพลังที่ประจุคลื่นทำลายล้างเกือบทั้งหมดของทั้งสองฝ่ายก็ระเบิดออกเข้าทำร้ายทั้งมิรันและฮานามิจนได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ รวมทั้งชุดพลาสติกที่แทบจะไม่มีส่วนช่วยในการป้องกันร่างกายจากอันตรายภายนอกก็ขาดวิ่นเป็นริ้วๆเช่นกัน
"กรี๊ด..!!!!!!"
ร่างของนางฟ้าทั้งสองถูกคลื่นอัดกระแทกพัดลอยไปด้านหลังด้วยความเร็วที่สูงจนแทบจะประเมินค่าด้วยสายตาไม่ได้ รวมทั้งลำแสงพลังที่พวกเธอปล่อยออกมาเข่นฆ่ากันนั้นก็เหมือนกับจะถูกอะไรบางอย่างดันขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะระเบิดสร้างความเสียหายให้กับพื้นโลกไปมากกว่านี้ แต่ในขณะนั้นฮิซาชิเองก็ถูกคลื่นกระแทกจนไม่สามารถเข้าไปรับทั้งมิรันหรือฮานามิได้เลย
เว้นแต่ว่าจะมีใครสักคนที่มีระบบการป้องกันตัวและอยู่ในสภาพสมบูรณ์พอที่จะฝ่าม่านคลื่นพลังเข้าไปช่วยพวกเธอออกมา มันก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"ฮิโรมิ..."
ตอนนี้ในความคิดของฮิซาชินึกถึงฮิโรมิที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เป็นอันดับแรก อาจเป็นเพราะฮิโรมินั้นมีระบบป้องกันร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาและมิรันรวมกันและยังมีความเร็วในการบินที่สูงมาก แต่ถึงอย่างนั้นฮิซาชิก็นึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่งว่าก่อนที่เขาจะออกมาพบฮานามิ เขาไม่ได้บอกจุดหมายของเขาว่าเป็นที่ไหน ดังนั้นการที่ความช่วยเหลือจะมาถึงจึงเป็นเรื่องที่
"เป็นไปได้..!"
สายตาของฮิซาชิที่มองไปยังร่างของมิรันที่ลอยอยู่กลางอากาศสลับฉากกับเสาลำแสงสีฟ้าน้ำเงินที่ยังคงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรุนแรงนั้นเหลือบไปเห็นใครอีกคนหนึ่งที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าเช่นเดียวกับเธอ เพียงแต่ว่าสาวน้อยคนนั้นไม่ได้สวมชุดพลาสติกสีน้ำเงินเท่านั้นเอง
"ก็เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงไม่อยากให้ฮิซาชิมาเห็นมิรันในสภาพย่ำแย่แบบนี้"
ไม่รู้ว่าเพราะโชคช่วยหรืออะไรกันแน่ แต่ฮิซาชิเห็นผู้หญิงที่รูปร่างเหมือนกับนางฟ้าคนหนึ่งสามารถรับมิรันที่ได้รับบาดเจ็บจากลำแสงที่สะท้อนกลับเข้าหาเจ้าของท่าได้อย่างพอดิบพอดี เพียงแต่ปีกของเธอคนนั้นไม่ว่าจะดูในมุมมองใดก็ไม่เหมือนกับนางฟ้าในหนังสือนิยายภาพสักนิดเดียว
ในตอนนั้นเองที่ฮิโรมิหันมามองในทิศทางเดียวกับตำแหน่งที่ฮิซาชิกำลังต้านแรงลมเหมือนกับกำลังดื้อด้านจะเข้าไปให้ได้อีกแม้ว่ามิรันจะปลอดภัยในอ้อมอกของเธอแล้วก็ตาม และเสียงที่แสบแก้วหูจากลำแสงที่พุ่งขึ้นท้องฟ้ายังคงดังอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะอย่างนั้นเธอจึงต้องตะโกนด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ฮิซาชิ!! มิรันปลอดภัยดีแล้วนะ!! นายมากับพวกเราเถอะ!!!"
"คงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก!! ฉันต้องพาฮานามิไปโรงพยาบาลด้วย!! ไว้เจอกันที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน"
เพราะฮิซาชิส่งสายตาที่เหมือนกับเด็กห้าขวบร้องจะซื้อปลาโลมาจากพิพิทธภัณฑ์สัตว์ทะเลดังที่เคยเป็นข่าวดังเมื่อร้อยปีที่แล้ว ฮิโรมิที่ไม่อยากขัดเจตนาอันบริสุทธิ์ของเขาก็เลือกที่จะพาตัวมิรันที่มีบาดแผลฉกรรจ์ตามร่างกายและรอยช้ำบริเวณหลังระหว่างปีกทั้งสองข้างไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยทันที
เพราะตำแหน่งกลางหลังระหว่างแผ่นปีกทั้งสองข้างนั้นมีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดตายสำคัญที่สุดของเซย์ริอย่างพวกเธอทั้งหมดอยู่...
ตำแหน่งของแกนปีกที่หมายถึงชีวิตของพวกเธอนั่นเอง!
เมื่อฮิซาชิเห็นฮิโรมิพาตัวมิรันบินออกไปจนสุดสายตาแล้ว เขาก็หันหลังกลับไปยังทิศทางที่คาดว่าฮานามิจะถูกแรงอัดกระแทกออกไปพร้อมกับกระโดดส่งตัวให้สามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ และการออกบินในครั้งนี้ก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นเพราะเสาลำแสงที่อัดแน่นด้วยพลังของแองเจลอยด์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสองคนจางหายไปแล้ว
ในตอนนั้นเองที่ฮิซาชิสังเกตได้ถึงความผิดแปลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งทุกอย่างเริ่มมาจากเสียงฟ้าร้องแผ่วๆเพียงครั้งเดียว...
ทำไม...กลุ่มเมฆประหลาดพวกนี้ถึงไม่ยอมสลายไปสักที ซ้ำมันยังค่อยๆขยายอาณาเขตกว้างขึ้นอีกด้วย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าๆ ความรุนแรงของเมฆดำบนท้องฟ้าที่กำลังตั้งเค้าพายุและฟ้าผ่าก็ยิ่งหนักขึ้นทุกขณะ... เป็นบรรยากาศแบบเดียวกับเมื่อครั้งที่ฮิซาชิสามารถเอาชนะผู้นำมาซึ่งความวิบัติคนสุดท้ายในช่วงเวลาที่เขาจากมา คล้ายกับท้องฟ้าที่อุโมงค์มิติกำลังจะเปิดออกมาไม่มีผิด!! แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากเท่าไหร่ เพราะก่อนอื่นเขาจำเป็นต้องหาตัวฮานามิให้พบก่อน
"เรื่องทั้งหมดมันยังไงกันแน่ฮานามิ... อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้? ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ"
แต่ถึงฮิซาชิจะพยายามส่องสายตาหาสักเพียงใด เขาก็ไม่พบร่างของฮานามิที่น่าจะถูกพลังของตัวเองย้อนกลับมาทำร้ายเลย เบาะแสเดียวที่เขาพบนั้นก็ดูจะไม่ใช่สิ่งที่จะระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเธอได้เลยสักนิด
เศษชุดต่อสู้ที่ขาดเป็นชิ้นๆ... เส้นผมสีน้ำเงินที่ค่อยๆกลายเป็นสีดำจากแสงที่น้อยลงทุกขณะ... และ!!
......................................................................................................
"พลาดไปแล้ว! เราทำอะไรพลาดไปอย่างนั้นเหรอ... ทั้งๆที่เราน่าจะจัดการเด็กคนนั้นได้ง่ายๆนี่นา แล้วทำไมผลถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้!"
สาวน้อยคนหนึ่งเรื่มกล่าวโทษในความผิดพลาดของตัวเองที่ตัดสินใจช้าเกินไปพร้อมกับบรรจงนิ้วกดลากไปลากมาบนแถบแสงที่ถูกจัดเป็นกรอบสี่เหลี่ยมลอยอยู่เหนือโต๊ะสีขาวอย่างไม่เร่งรีบใดๆ หรืออาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่เพิ่งได้รับมาสดๆเมื่อสักครู่นี้ถ่วงความเคลื่อนไหวร่างกายให้ช้างลงก็ไม่อาจทราบได้
แต่สีหน้าของเธอคนนั้นดูเหมือนกับเจ็บใจมาก และเธอคงจะกลับไปต่อสู้รู้ให้ผลทันทีหลังจากที่อาการบาดเจ็บหายเป็นปกติ... แม้ว่าร่างกายของเธอจะไม่ตอบสนองก็ตามที
"ฟูจิซากิ มิรัน... โคริคาวะ ฮิซาชิ... ฉันน่าจะจัดการพวกนั้นซะตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก ถ้ารู้ว่าสองคนนั้นจะกลายมาเป็นก้างขวางความตั้งใจของเราก่อนหน้านี้สักนิด ฉันไม่ปล่อยให้พวกนั้นมีลมหายใจอยู่ถึงตอนนี้แน่!"
สาวน้อยคนนั้นยังคงบ่นไปตั้งหน้าตั้งตาลากแฟ้มข้อมูลที่เก็บรวบรวมเอาไว้ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและวิเคราะห์ผลข้อมูลที่ได้มาจากการถอดสมการอย่างต่อเนื่องมาตลอดชีวิต จนในที่สุดนิ้วของเธอก็เลื่อนไปถูกตำแหน่งที่ไม่ควรจะไปสัมผัสเข้าจนได้
มันเป็นไอคอนสีแดงที่มีชื่อบรรยายอยู่ด้านล่างว่า {Anti-virus}
"เฮ้ย! แบบนี้ฉันก็ต้องรออีกเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ตรวจข้อมูลอีกรอบน่ะสิ! ระบบสแกนไวรัสนี่ก็ช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย!!"
ภายนอกห้องสี่เหลี่ยมที่เธอคนนั้นนั่งจับเจ่าเป็นกิจวัตรยิ่งกว่าข้าวสามมื้อตลอดสองปีที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นตลอดเวลาจากกลุ่มเมฆดำที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ของมิรันและฮานามิ ประกอบกับความช้าของแถบสีแดงของโปรแกรมแอนตี้ไวรัสนั้นก็ได้ทำให้สติยับยั้งอารมณ์ของเธอขาดสะบั้น ถ้าเป็นไปได้เธออยากจะทุบเครื่องประมวลผลที่ช้าปานเพนกวินบินทิ้งให้รู้กันไปเลย
จนกระทั่งเมื่อปาฏิหาริย์ระดับแจ๊กพอตแตกสามสิบครั้งรวดยังไม่เท่ากับสิ่งนี้ได้บังเกิดขึ้น ขอบคิ้วที่ขดลงด้วยความหงุดหงิดเป็นทุนเดิมของเธอคนนั้นก็คลายตัวออกพร้อมกับเบิกโพลงด้วยความรู้สึกตกใจอย่างที่สุด
เพราะข้อมูลแต่ละอย่างที่ถูกเก็บเอาไว้นั้นได้ถูกตรวจสอบและสแกนไวรัสมาเป็นอย่างดี จึงไม่มีทางเลยที่ตำแหน่ง "Detected" ของตัวต่อต้านไวรัสจะขึ้นมาเป็น "1" ได้อย่างแน่นอน!!
และทันทีที่ข้อมูลที่ถูกสแกนมีอยู่หนึ่งตัวที่ติดไวรัสจากภายนอก เธอจึงทำการสแกนใหม่อีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้เองที่ดวงตาของเธอได้พบกับความประทับใจยิ่งกว่ามิรันได้รับวิวัฒนาการเสียอีก...
เมื่อมัลแวร์ที่สร้างรอยด่างพร้อยของหน่วยประมวลข้อมูลนั้น... มาจากข้อความที่เป็นแรงจูงใจให้เธอกระทำการทั้งหมดที่ส่งผลกระทบต่อเหล่ามนุษย์ลงไป ทั้งการปลุกสัตว์ประหลาดเพื่อทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยตรง และเหตุผลที่เธอจะยืนหยัดต่อสู้อีกด้วย...
การที่จะปกป้องโลกได้นั้น จำเป็นจะต้องล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดเสียก่อน
[[โคริคาวะ อัทสึชิ]]
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ