Decisive wars สู่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.46 น.
แก้ไขเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2556 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
32) เส้นขนานที่ยังไงก็ต้องชนกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"นามสกุลของเธอ...เหมือนกับอัทสึชิคุงเลยนะ"
คำพูดทิ้งท้ายที่ฮานามิใช้สร้างความเสียหายทางเวทมนต์ให้กับความอยากรู้อยากเห็นของฮิซาชิก่อนจะเดินจากไปเพื่อไปรับอาหารฟรีจากค่าสวัสดิการของเหล่าseiriในการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นได้ทำให้เด็กชายและสาวน้อยที่น่าจะเป็นพี่สาวของเขารู้สึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อย แต่ทั้งอย่างนั้นทั้งสองคนก็ยังคงต้องอยู่ดูการผ่าตัดของมิรันต่อเพื่อให้แน่ใจว่าอนาคตของโลกจะไม่เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่มากนัก
และช่วงเวลาที่จะตัดสินความเป็นความตายของมนุษย์โลกก็ได้ถูกกำหนดให้เริ่มขึ้นเมื่อสัญญาณไฟสีแดงหน้าห้องผ่าตัดดับลงนั่นเอง...
ติ๊ด...ติ๊ด...พรึ่บ!
และในที่สุดแสงไฟที่ทะลุผ่านแผ่นพลาสติกสีแดงจนถูกย้อมสีตามไปด้วยก็ดับลงในที่สุดหลังจากที่ผ่านมาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง ทั้งฮิซาชิและฮิโรมิต่างก็ต้องการคำตอบยืนยันสถานภาพทางร่างกายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็จำเป็นจะต้องรอเวลาให้ประตูกั้นสีขาวนั้นถูกเปิดออกจากด้านในเสียก่อนล่ะนะ...
"ขอถุงเลือดกรุ๊ปเอด่วนที่สุด!! เด็กคนนี้เสียเลือดไปมากจากอุบัติเหตุและยังมีอวัยวะที่ช้ำในหลายแห่ง!! เอามาให้พวกเราที่ห้องผ่าตัดด่วน!!!"
และในที่สุดความอลหม่านที่พวกเขารอคอยก็มาถึงจนได้ เพียงแต่เป็นการนำส่งผู้ป่วยฉุกเฉินจากนอกโรงพยาบาลเข้ามาต่างหาก...
"เอ่อ... ในที่นี้ใครเป็นญาติของseiriคนนี้... คุณฟูจิซากิ มิรันคะ!?"
ในระหว่างที่ฮิซาชิซึ่งรอเก้อกำลังจะกลับไปยังที่นั่งเพื่อไม่ให้ฮิโรมิกระโดดเข้ามากัดหูเขาอีกเป็นครั้งที่สองอยู่นั้น เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่รถเข็นผู้ป่วยที่มาร่างของเด็กสาวที่ถูกรถบรรทุกอัดกระแทกเข้าอย่างรุนแรงผ่านไปแล้วนั้น มีนางพยาบาลผู้ช่วยแพทย์คนหนึ่งเดินแทรกบานประตูที่กำลังปิดลงอย่างช้าๆออกมาพร้อมกับขานชื่อนางฟ้าที่เขากำลังเป็นห่วงไปด้วย
ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ฮิซาชิพอจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง...
"ค่ะๆ! ฟูจิซากิ ฮิโรมิ!! เป็นสมาชิกร่วมบ้านของมิรันเองค่ะ!!" ส่วนฮิโรมิก็ยังคงมีน้ำเสียงที่สดใสเช่นเคย
"เหรอคะ... ถ้าอย่างนั้นฉันขอเล่าอาการบาดเจ็บโดยย่อของคุณฟูจิซากิ มิรันเลยนะคะ"
และในที่สุดสมองทั้งสองด้านที่ไม่ได้รับการพัฒนาสักเท่าไหร่อันเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์"เทอร์รารอยด์"ก็ได้เปิดเผยศักยภาพที่แท้จริงออกมา ทันทีที่นางพยาบาลคนนั้นบอกถึงอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงของมิรันให้ฮิโรมิได้รับรู้ เธอก็ออกอาการเหมือนไม่เข้าใจอะไรสักอย่างจนฮิซาชิต้องเข้ามารับหน้าที่ในการทำความเข้าใจแทนฮิโรมิด้วยตัวเอง...
ซึ่งอาการบาดเจ็บแต่ละอย่างๆของเธอนั้นได้ทำให้จิตใจของฮิซาชิหล่นลงไปจนเกือบจะพ้นตาตุ่ม
"คุณฟูจิซากิ มิรันได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่คล้ายกับแรงอัดระเบิดในระยะประชิดที่กระดูกซี่โครงจนหักไป8ซี่ กระดูกข้อต่อแขนซ้ายแตกละเอียดจนต้องถามความยินยอมของญาติว่าจะตัดออกดีหรือเปล่า ส่วนซี่โครงที่หักไปทั้งหมดนั่นก็หันคมเข้าหาปอดและหัวใจจนเข้าขั้นอันตราย แต่พวกเราก็ได้ผ่าตัดเชื่อมกระดูกของเธอเอาไว้จนพบกับสิ่งแปลกปลอมอย่างหนึ่งในร่างกายของเธอ เจ้าสิ่งนี้แหละ..."
ว่าแล้วนางพยาบาลสาวก็ยื่นอุปกรณ์แปลกๆคล้ายกับเหรียญเหล็กโบราณซึ่งฮิซาชิรู้จักเป็นอย่างดีออกมาจนเขาต้องรีบบอกให้เธอเอากลับไปคืนที่เดิมโดยเร็วที่สุด ก่อนที่นางพยาบาลอีกคนหนึ่งจนเดินออกมาเล่าถึงผลการผ่าตัดต่อจากนางพยาบาลคนนั้น
"ส่วนผลการผ่าตัดก็ออกมาเป็นความสะดวกรวดเร็วเลยนะคะเพราะร่างกายของเธอไม่ทำการสมานบาดแผลเองตามแบบที่seiriควรจะเป็น ส่วนแผลฉีกขาดของอวัยวะภายในก็ได้รับการเย็บสมานจนเลือดหยุดไหลเรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วก็รบกวนช่วยเซ็นเอกสารยืนยันให้หน่อยนะคะ"
ฮิซาชิตาค้างกับแผ่นกระดาษที่ถูกยื่นออกมาตรงหน้า ไม่ใช่เพราะเนื้อความหรอกที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง...เพราะว่าฮิซาชิอ่านมันไม่ออกอยู่แล้ว
"เอกสารว่าด้วยการรับสวัสดิการของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แองเจลอยด์...เรื่องการรักษาในโรงพยาบาลนอกประเทศที่อยู่อาศัยของพวกเธอ"
"พวกเราทราบดีค่ะว่าseiriมีสวัสดิการคุ้มครองเรื่องการรักษาในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่เรื่องค่ารักษาที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเองนั้นมีผลบังคับใช้เพียงแค่ในประเทศที่พวกเธออาศัยอยู่เท่านั้น ซึ่งในกรณีของคุณฟูจิซากิ มิรันมีที่อยู่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น การจะรับสวัสดิการของเธอจึงจำเป็นต้องมีการเซ็นยืนยันเหตุผลที่เธอเข้ามายังประเทศนี้โดยผู้นำส่งด้วยน่ะค่ะ..."
ฮิซาชิไม่คิดอะไรมากหลังจากที่ได้รับเอกสารในมือของนางพยาบาลคนนั้นมาไว้ในมือ เขาได้ส่งมันให้ฮิโรมิช่วยแปลตัวอักษรภาษาแคนาดาท้องถิ่นให้ได้ฟังจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรเจือปนอยู่ภายในก่อนจะเขียนบรรยายเหตุผลที่อ้างอิงความเป็นจริงเพียงครึ่งหนึ่งแล้วยื่นมันกลับคืนวู่เจ้าของเดิมที่รอรับเอกสารนั้นอยู่เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
"ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าจะยังมีคนที่ใช้ภาษาท้องถิ่นอยู่ด้วยแบบนี้น่ะ..."
ฮิซาชิได้โอกาสระบายความในใจที่เขามีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวอักษรที่เขาไม่รู้จักกับสาวน้อยที่อยู่ข้างกายทันทีที่ปลีกตัวออกมาจากนางพยาบาลชาวแคนาดาคนนั้นออกมาได้โดยที่เขาคงจะลืมไปแล้วกระมังว่า... ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นที่เขาเห็นจนชินตาในประเทศบ้านเกิดของเขาเองก็ไม่ใช่ภาษาสากลที่ทั้งโลกใช้สื่อสารเช่นกัน
"ที่นายจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก... เพราะหลังจากสงครามโลกครั้งสุดท้ายจบลงประชาชนเอเชียที่เหลือรอดอยู่ต่างก็มีอิสระในการเดินทางไปทั่วโลกเพื่อขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ลดลงไปมากจนกลายเป็นใช้ภาษาเดียวกันทั้งหมด แล้วภาษาที่ยังเหลืออยู่ในขณะนั้นก็มีเพียง'ภาษาไทย'เท่านั้น เพราะงั้นสันติภาพและการล่มสลายของกำแพงภาษาจึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้ด้านภาษาของผู้คนจะหายไปด้วย คนที่สื่อสารกันด้วยภาษาต่างประเทศอะไรนั่นก็เลยยังคงใช้และสืบทอดกันต่อมาถึงสมัยนี้ยังไงล่ะ"
"บรรยายซะยาวไม่สมกับที่เป็นสายพันธุ์ที่สมองไม่พัฒนาที่สุดเลยนะ...แต่ขออย่างนึงเถอะ ไอ้คำว่า'ขยายเผ่าพันธุ์'นั่นอย่าใช้กับมนุษย์จะได้หรือเปล่า!?"
"ก็ช่วยไม่ได้นี่นา...เรื่องที่ฉันพูดไปเมื่อกี้เจ้าร่างคู่ขั้วฝากบอกมาน่ะ จริงด้วยสินะ...ฉันมีอะไรอย่างนึงจะถามเธอหน่อยน่ะ"
ฮิโรมิเริ่มทำสีหน้าเคร่งขึ้นมาหลังจากที่โยงเข้ามาในเรื่องที่เธอไม่อยากจะถามมากที่สุดในระหว่างที่กำลังเดินไปเยี่ยมฮานามิในห้องพักของเธอที่ทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้ว่าเป็นห้องไหน แต่นั่นก็ทำให้ทั้งสองคนมีเวลาคุยกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
"นายน่ะ...คิดยังไงกับร่างคู่ขั้วของฉันเหรอ!?"
"เอ่อ...คืออย่างนี้นะ! ฉันไม่รู้ว่าร่างคู่ขั้วของฉันเป็นคนยังไงในระหว่างที่พวกเรายังติดกันอยู่อย่างนี้ แล้วเท่าที่ฉันได้ยินมา...ในระหว่างที่อีกร่างของฉันเข้าแทนที่ไปแล้ว ฉันจะไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลยจนกว่าการแทนที่จะกลับไปเป็นแบบเดิม ในฐานะที่นายเป็นคนบอกฉันว่าเคยเจอกับเจ้านั่นมาก่อนก็น่าจะตอบคำถามฉันได้ถูกไหม!?"
เมื่อได้ยินดังนั้นฮิซาชิก็ถึงกับใช้ความคิดอย่างหนักเลยทีเดียว เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเคยเจอกับฮิโรโตะแบบซึ่งๆหน้ามาครั้งหรือสองครั้งจนเห็นนิสัยจริงๆของฮิโรโตะอย่างชัดเจน แต่เรื่องนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลากว่า7ปีจนเขาเริ่มจะลบเลือนมันไปแล้ว หากแต่ยังมีความทรงจำหนึ่งที่ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของฮิซาชิมาตลอดจนเป็นตัวรั้งให็ฮิซาชิยังคงนึกถึงฮิโรโตะออก
"นั่นน่ะสินะ... จริงๆแล้วฉันก็เกือบจะลืมไปแล้วเหมือนกันเรื่องของฮิโรโตะเมื่อ7ปีก่อน แต่เท่าที่ฉันจำได้ก็คือหมอนั่นไม่ใช่คนดีเหมือนกับที่เธอเป็นหรอกนะ เจ้าฮิโรโตะน่ะเรียกได้ว่าเป็นอีกบุคลิกของเธอที่ไม่มีจิตใจของความเป็นคนเหลืออยู่เลย ทำได้ทุกอย่างเพื่อทำร้ายจิตใจของคู่ต่อสู้เพื่อฆ่าทิ้งได้อย่างสะดวก...ฆ่าคนตายได้อย่างไร้ความยั้งคิด...หลงตัวเองว่าแข็งแกร่งที่สุดจนลืมไปว่าในตอนนั้นมิรันที่แข็งแกร่งพอที่จะฆ่าเขาได้ในหมัดเดียวยังคงมีชีวิตอยู่"
"คนแบบนั้น...เรียกได้ตรงๆว่า'ขยะ'สินะ!?" ฮิโรมิช่วยเสริมความคิดแง่ลบของฮิซาชิจนเขาเริ่มจะเห็นด้วย
"ก็ประมาณนั้นแหละ! ถ้าเจ้าหมอนั่นออกมาเมื่อไหร่...ฉันจะแยกตัวมันออกมาจากเธอแล้วจัดการขั้นเด็ดขาดซะเลย!!"
"ทั้งๆที่หมอนั่นมีวิวัฒนาการระดับเดียวกับฉันน่ะเหรอ!?"
"ไม่ต้องกังวลหรอกน่า..! ระดับวิวัฒนาการของเธอก็มีพลังแค่ระดับเริ่มต้นของฉันเท่านั้นนั่นแหละ...แค่ฉันแปลงเป็นร่างโคโรน่าก็จัดการหมอนั่นได้อยู่แล้วล่ะน่า!! อีกอย่างนึงนะ...ฉันน่ะไม่ปรานีให้กับคนที่คิดจะทำลายโลกอยู่แล้วล่ะ!"
ฮิโรมิหัวเราะร่าในความคิดอันแสนทรมานจิตใจของเด็กชายที่หัวเราะไปด้วยกันอย่างมีความสุข เพราะอย่างน้อยแม้ว่าร่างกายของเธอจะถูกอีกบุคลิกหนึ่งเข้าครอบงำจริงๆ อย่างน้อยๆฮิซาชิก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อแยกตัวพวกเธอออกมาแล้วจัดการปิดบัญชีระเบิดแสวงเครื่องที่อยู่ข้างในร่างของฮิโรมิโดยไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน
และแม้ว่าภายใต้ใบหน้าที่ถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของฮิโรมินั้นจะมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่เหมือนกับคราบน้ำตาเจือปนอยู่ก็ตาม...
"ฮานามิ..! หาอยู่ตั้งนานมาอยู่ห้องนี้เองเหรอ!"
หลังจากผ่านไปเป็นเวลากว่า15นาทีหลังจากที่หนุ่มสาวทั้งสองปิดประเด็นเรื่องของฮิโรโตะไปแล้วมุ่งความสนใจในการเดินหาห้องผู้ป่วยที่ฮานามิใช้ในการรักษาบาดแผลที่ยังไม่หายดีจากการโจมตีของมิรัน ทั้งคู่ก็ได้พบว่าแท้จริงแล้วพวกเขาได้เดินผ่านประตูห้องของเธอในระหว่างที่กำลังพูดคุยเรื่องฮิโรโตะนั่นเอง
และฮิซาชิเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับฮิโรมิเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วด้วย เขาจึงไม่คิดที่จะบอกให้สาวน้อยที่เดินไปหัวเราะไปได้รู้ถึงความผิดปกติของป้ายชื่อห้องให้เธอได้รู้ และเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้ใบหูของเขามีรอยฟันของเทอร์รารอยด์สาวฝังลงมาเป็นรอยสักสีแดงสดอีกรอยหนึ่ง
"ขอโทษจริงๆนะ... แต่เธอช่วยเดินลงไปซื้อของกินมาให้พวกเราหน่อยได้หรือเปล่า!? ขอแบบเยอะๆเลยนะ!!"
หลังจากที่ฮิซาชิได้รู้ตำแหน่งของห้องผู้ป่วยของฮานามิที่อยู่ถึงชั้น15ของโรงพยาบาลแล้วนั้น เขาก็ได้วางแผนที่จะไล่ฮิโรมิออกไปจากห้องนั้นเป็นเวลานานที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ให้หูของเขาสามารถแหย่นิ้วทะลุไปอีกด้านได้ เขาได้ยื่นเงินจำนวนหนึ่งที่ขโมยมาจากกระเป๋าเงินส่วนตัวของมิรันที่ขณะนี้กำลังถูกนำตัวส่งห้องปลอดเชื้อเพื่อรอเวลาที่พลังในตังของเธอจะสูงพอที่จะรักษาบาดแผลที่เหบือจากการผ่าตัดที่แพทย์ทำการรักษาไม่ได้ให้กับฮิโรมิก่อนจะออกคำสั่งให้ทำตาม
"แล้วทำไมเมื่อตอนที่อยู่ข้างล่างถึงไม่ไปซื้อให้มันจบๆเล่า!! แล้วที่จริงนายควรจะเป็นคนลงไปซื้อเองใช่หรือเปล่า!? เดี๋ยวฉันจะเจาะหูนายให้เสียบท่อแป๊บเข้าไปได้เลยดีไหมเนี่ย!!"
"ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา...เพราะของที่เธอเป็นคนซื้อมาให้ฉันมันอร่อยกว่านี่! แล้วอีกอย่างนึงนะ...ตอนนี้เธอก็หิวแล้วไม่ใช่เหรอ!?"
ไม่รู้ว่าเพราะฮิซาชิอมอะไรเอาไว้ในปากหรือเปล่า แต่ทันทีที่ฮิซาชิพูดคำๆนั้นออกมาก็มีคลื่นลมที่มีพลังทำลายอันรุนแรงจนของเหลวสีใสๆข้างในช่องปากของฮิโรมิไหลออกมาจนเธอต้องยอมทำตามคำขอร้องของเขาแต่โดยดี และเพราะเหตุนั้นเองจึงทำให้ฮิซาชิมีเวลาในการพูดคุยกับสาวน้อยคนที่สองมากขึ้นยิ่งกว่าเมื่อครั้งฮิโรมิเสียอีก
"เอาล่ะ...ทีนี้เธอมีอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่า!? ถึงกับเอาจุดอ่อนของเด็กคนนั้นมาล่อให้ออกไปจากห้องนี้เลยนะ"
"มีอยู่แล้วล่ะ...เรื่องข้อความในโทรศัพท์ของเธอไงล่ะ!"
"อะไรเหรอ...ถ้าจะบอกว่าข้อความที่ไครซิสส่งมานั่นมีเนื้อหาแปลหๆละก็..."
"เรื่องที่ข้อความจำนวนมหาศาลของระบบคอลล์เซ็นเตอร์ส่งมาให้พวกนั้น รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ที่มีกระทั่งของยัยมิรันที่เพิ่งจะรู้เมื่ออาทิตย์ก่อนพวกนั้น...ทำไมถึงไม่มีข้อความหรือการติดต่อจากคนที่เธอเรียกว่า'อัทสึชิคุง'เลยแม้แต่อันเดียว!?"
ฮานามิเรียกได้ว่าคาดคะเนผิดพลาดเป็นอย่างมาก ที่จริงเธอนึกว่าเรื่องที่ฮิซาชิอยากจะถามเธอนั้นเป็นเรื่องที่ไครซิสสั่งให้เธอสังหารมนุษย์ทั่วโลกเสียอีก หรือว่าเป็นเพราะเนื้อหาภายในนั้นเป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องของละครซีรี่ส์ที่ฮิซาชิติดงอมแงมกันนะ!?
"ยังมีอีกเรื่องนึงนะ..! ฮานามิที่ฉันรู้จักในสมัยของฉันเป็นคนที่ไม่ชอบการต่อสู้มากประเภทที่ไม่อยากจะเข้ามาก้าวก่ายในการต่อสู้ของใครเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เธอที่ฉันเห็นในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดยักษ์ในตอนนั้นเหมือนกับพวกที่ชอบการต่อสู้เหมือนเป็นกิจวัตรที่ขาดไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้สร้างseiriอีกคนหรือเปล่า!?"
"งั้นเหรอ... สรุปคือเรื่องที่เธออยากจะรู้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับอัทสึชิคุง แล้วก็รายละเอียดของผู้สร้างseiriอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ฉันสินะ ฉันจะบอกให้เธอฟังก็ได้...ตั้งใจฟังให้ดีก็แล้วกัน!"
ในที่สุดฮานามิก็มีความตั้งใจที่จะบอกเล่าความเป็นจริงที่ถูกเก็บงำเอาไว้ให้ได้รู้แล้วสินะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็อาจจะรู้ความเป็นไปที่แท้จริงจากปากฮานามิที่ไม่มีการเก็บซ่อนอะไรทั้งนั้นทุกซอกทุกมุมเลยก็ได้... แต่คงไม่ต้องเอาเครื่องบันทึกเสียงมาบันทึกหรอกมั้ง!?
"การที่ฉันจะพูดถึงอัทสึชิคุงน่ะจำเป็นต้องเล่าไฟถึงผู้สร้างอีกคนที่เคยทำงานร่วมกับฉันมาก่อน... เธอคงรู้อยู่แล้วสินะว่าseiriคนนั้นเป็นผู้ชาย เขาคนนั้นเป็นคนที่มีความปรารถนาที่จะปกป้องพวกมนุษย์มากกว่ามนุษย์ด้วยกันเป็นเท่าตัว เจ้านั่นยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะสามารถปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะเดือดร้อนยังไง และในที่สุดผลงานที่สุดยอดของหมอนั่นก็เสร็จสมบูรณ์...นายก็เคยเห็นผลงานสุดยอดนั่นแล้วสินะ!?"
"เจ้านั่นสร้างseiriที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาได้เมื่อ3ปีก่อนโดยตั้งชื่อให้ด้วยตัวเองว่า 'ฟูจิซากิ มิรัน' เด็กคนนั้นมีพลังกำลังและพลังแฝงที่สูงกว่าseiriรุ่นก่อนๆจนเทียบไม่ติด แต่ถึงอย่างนั้นหมอนั่นก็ยังคงคิดที่จะสร้างseiriที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปกว่าเด็กมิรันนั่นขึ้นมาอีกโดยการนำเอาข้อมูลพันธุกรรมที่มีอยู่มาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นจนกลายเป็น'seiriรุ่นที่สอง'ที่มีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่ารุ่นที่หนึ่ง พวกที่สามารถเร่งพลังในตัวให้เกินกว่าขีดจำกัดที่พวกรุ่นหนึ่งสามารถทำได้และมีความแข็งแกร่งสูงยิ่งกว่าเดิม"
seiriรุ่นที่สอง..!? พวกไกอา!!!
"แต่แล้วหมอนั่นก็ไม่สามารถสร้างสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าฟูจิซากิ มิรันได้ แล้วยิ่งประกอบกับเหตุการณ์ที่หมอนั่นถูกรังเกียจจากทั้งพวกมนุษย์และseiriด้วยกันเองจนหันหลังให้กับความถูกต้อง... ก็อย่างที่ฉันอยากจะบอกนั่นแหละว่าพวกเธอในตอนนี้ไม่มีทางที่จะเอาชนะผู้นำมาซึ่งความวิบัติได้หรอก เพราะคู่ต่อสู้ของพวกเธอเป็นถึงผู้สร้างที่รู้จุดอ่อนและศักยภาพของseiriทุกคนเป็นอย่างดี...และยังเป็นคนที่เปรียบเสมือน'พ่อ'ของพวกเธอด้วยไงล่ะ!"
ฮิซาชิเริ่มจะเข้าใจเรื่องบางอย่างขึ้นมาในทันทีที่ได้ฟังคำอธิบายย่อๆของฮานามิ และในตอนนั้นเองที่ฮิซาชิเริ่มรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา...ในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเครื่องปรับอากาศที่พ่นลมเย็นลงมากลางหลังของเขาอีกต่อไปแล้ว
"ฮานามิ...เธอเข้าใจผิดแล้ว! ผู้นำมาซึ่งความวิบัติ...ผู้สร้างseiriอีกคนหนึ่งที่เธอพูดถึงนั่นน่ะสร้างseiriรุ่นที่สองสำเร็จแล้ว และหมอนั่นก็ได้แสดงศักยภาพของรุ่นที่สองนั้นออกมาให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็นแล้วด้วยว่ามันน่ากลัวแค่ไหน... ต่อให้เป็นเธอ,ฉัน,มิรัน รวมทั้งseiriทั้งหมดรวมพลังกันสู้ก็ไม่มีวันชนะเจ้าพวกนั้นได้อย่างแน่นอน รวมไปถึง...ความสามารถของลูกน้องของหมอนั่นที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าseiriรุ่นที่สองด้วย!!"
เมื่อได้ยินที่ฮิซาชิพูดออกมาดังนั้น ฮานามิก็ทำเป็นเหมือนกับไม่ได้ยินดังเช่นที่ผ่านๆมา...แต่ด้วยเนื้อความในคำพูดพวกนั้นเองที่ทำให้แม้เธอจะทำหูทวนลมอย่างมั่นคงสักแค่ไหน จิตใจที่ไม่เคยหวั่นไหวต่อคู่ต่อสู้และมนุษย์ที่เดือดร้อนตรงหน้าก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที แต่เธอก็ยังทำเป็นไม่ได้ยินต่อไปอย่างนั้น
"แต่จะว่าไป...เท่าที่เธอพูดมาทั้งหมดนั่นไม่เห็นจะมีอัทสึชิอะไรนั่นปนอยู่เลยนี่นา แบบนี้ที่เธอเล่ามาทั้งหมดก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลยน่ะสิ!?"
"เกี่ยวสิ...เธอก็แค่ไม่รู้อะไรเท่านั้น"
ในที่สุดเนื้อหาภายในก็ถูกเฉลยออกมาแล้ว พร้อมกันกับที่ฮิโรมิกลับมาจากซื้อของกินพอดี
"เพราะผู้สร้างseiriอีกคนที่ว่า...กับ'โคริคาวะ อัทสิชิ'ที่ฉันรัก...คือคนๆเดียวกันไงล่ะ"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ