อัญมณีสีบาป
-
เขียนโดย meenkal
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 01.36 น.
11 ตอน
4 วิจารณ์
14.29K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 22.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ตอนที่ 6 สมบัติที่หายไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 6
สมบัติที่หายไป
หลังจากที่คิรากรออกมาจากบ้านจิรโชติยานนท์ เขาก็แวะเข้าโรงพยาบาล กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบเย็น
“กลับมาแล้วหรอตากร”
“ครับ” เขาตอบเสียงเรียบปราศจากรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง
อัญชลีสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติของลูกชาย แต่พยายามทำเป็นมองไม่เห็นและพูดด้วยน้ำเสียงปกติเช่นเดิม
“เป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ทำไมคุณแม่ไม่บอกผมล่ะครับ” คิรากรถามผู้เป็นแม่อย่างไม่เข้าใจ เขาพยายามอดทนแล้วที่จะไม่พูดถึงมันและทำเป็นไม่สนใจ แต่เขาทนไม่ไหวจริงๆ
“เรื่องอะไร” อัญชลีขมวดคิ้ว พอจะรู้แล้วว่าลูกชายหมายถึงอะไร
“ที่ผ่านมาผมเข้าใจผิดไปเอง หรือว่าคุณแม่หลอกผมกันแน่ครับ”
“แม่ไปหลอกอะไรลูก”
“ก็เรื่องที่ผมต้องไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่ผมตกลงรับหน้าที่ต่อจากพ่อยังไงครับ และยิ่งไปกว่านั้นคือคุณแม่เป็นคนเสนอให้พวกเขาเอง”
อัญชลีสะอึก ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ มองหน้าลูกชายที่เต็มไปด้วยแววตาที่เศร้าหมอง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันครับ”
“ฟังแม่ก่อนน่ะตากร ที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อครอบครัวของเราน่ะลูก ลูกต้องนำของสำคัญของตระกูลเรากลับมาให้เร็วที่สุด หน้าที่ของลูกคือหาของสำคัญของตระกูลเราให้เจอ และมันก็มีวิธีเดียวคือลูกต้องเข้าไปอยู่ที่นั่น ส่วนการรักษารัตติกาลมันเป็นแค่หน้าที่รองเท่านั้น”
“คุณแม่ยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องนั้นอีกหรือครับ ที่ผ่านมาคุณพ่อต้องมาตายไม่ใช่เพราะไอ้ของสิ่งนั้นหรอกหรือไงครับ”
“แต่ของสิ่งนั้นมันสำคัญกับตระกูลเราน่ะลูก ตั้งแต่มันหายไปลูกก็รู้ว่าครอบครัวเราต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน เราต้องรีบนำมันกลับมาให้ได้ ครอบครัวของเราจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“คุณแม่พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงกันครับ”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ทำตามที่แม่สั่งก็พอ”
“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงครับ ผมไม่อยากอยู่ที่นั่นคุณแม่ก็รู้ดีกว่าใคร ทำไมต้องบังคับผมด้วย”
“แล้วลูกไม่อยากรู้หรือไงว่าพ่อของลูกตายเพราะอะไร”
คิรากรเงียบ! อัญชลีสะกิดได้ถูกจุดพอดี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่คิรากรอยากรู้มากที่สุดก็คือสาเหตุการตายของผู้เป็นพ่อ
คิรากรอยากรู้ถึงสาเหตุการตายของบิดา ที่อยู่ดีๆก็เกิดหัวใจหยุดเต้นกะทันหันในขณะที่กำลังตรวจอาการของรัตติกาลในคฤหาสน์หลังนั้น เขาและครอบครัวหัวใจแทบสลายเมื่อได้รับข่าวจากโรงพยาบาล เขารู้ดีว่าถึงยังไงวันนั้นจะต้องมาถึงเพราะผู้เป็นพ่อมีโรคประจำตัวซึ่งก็คือโรคหัวใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขาและครอบครัวประหลาดใจก็คือวันที่เขาไปรับศพ บุรุษพยาบาลที่คอยดูแลศพบอกเขาว่าร่างกายของศพมีเหงื่อไหลออกมาตลอดเวลาซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก เขาลองสังเกตดูซึ่งมันก็มีเหงื่อไหลออกมาจริงๆ คิรากรลองเอานิ้วไปแตะ เพียงแค่นิ้วได้สัมผัสมันเบาๆกลิ่นก็ตีเข้าจมูกเขาทันที มันไม่ใช่เหงื่อและมันก็มีกลิ่นแปลกๆ สักพักเขาเริ่มรู้สึกปวดแสบบริเวณนิ้วที่ไปสัมผัส เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นนิ้วตัวเองเริ่มพองและแดงขึ้นราวกับถูกน้ำร้อนลวก นี่มันอะไรกัน!! เขาพยายามถามสาเหตุการตายของผู้เป็นพ่อจากครอบครัวนั่นแต่กลับไม่มีใครปริปากพูดออกมาสักคำ บอกเพียงแค่ว่าหมอปรานต์กำลังตรวจอาการของรัตติกาลอยู่ดีๆก็ล้มลงพับกับพื้น มันอาจจะเป็นคำตอบที่ทำให้เขาเชื่อถ้าไม่ไปเจอกับเหงื่อปริศนานั่นซะก่อน เวลาเขาถามอะไรพวกเขาก็ตอบโดยที่ไม่ยอมสบสายตาโดยเฉพาะคันธรสที่ดูเหมือนกำลังกลัวเขายิ่งกว่าใคร คงจะเป็นเพราะหล่อนยังอยู่ในอาการตกใจที่มีคนตายในบ้านของตัวเอง และนั่นก็คือสาเหตุที่เขาไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลนั้น
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการนำของสำคัญของคุณแม่กลับมา”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ลูกแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง และนำของของเรากลับมาให้ได้ก็พอ”
หลังจากเกลี้ยกล่อมลูกชายได้สำเร็จ อัญชลีเดินเข้าไปในห้องที่ถูกปิดตายมาเกือบหนึ่งปีหลังจากที่หมอปรานต์เสียชีวิต อัญชลีจะเข้ามาในห้องนี้ทุกครั้งที่รู้สึกกังวลใจหรือคิดถึงผู้เป็นสามี มันเป็นห้องที่สามีของหล่อนชอบเข้ามาอ่านหนังสือ เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับหมอปรานต์ อัญชลีเดินเข้าไปเปิดตู้เซฟที่วางอยู่ใกล้โต๊ะทำงาน ในตู้มีแต่ความว่างเปล่าเหมือนทุกครั้ง
ของในตู้เซฟนี่แหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สามีของหล่อนต้องไปพัวพันกับตระกูลอัปมงคลนั่น
เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาบ้านอัครยาสิทธินันท์ถูกโจรปล้น และของสำคัญของตระกูลหายไป ในบ้านมีของมีค่ามากมาย แต่สิ่งที่หายไปกลับมีเพียงแค่ชิ้นเดียวคือของที่อยู่ในตู้เซฟนี้ ราวกับว่ามันจงใจที่จะมาปล้นเฉพาะแค่สมบัติชิ้นนี้ชิ้นเดียว และที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีร่องรอยของการงัดแงะประตูบ้านและตู้เซฟเลยแม้แต่น้อย
‘ ไอ้โจรนั่นนำของสำคัญของตระกูลออกไปได้อย่างไรกัน ’ คำถามนี้ยังคงก้องอยู่ในใจของอัญชลีตลอดมา
อัญชลีเงยหน้ามองรูปภาพของหมอปรานต์ที่ติดอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงาน
“ตากรต้องทำสำเร็จให้ได้ คุณต้องช่วยลูกด้วยนะค่ะ”
อัญชลีเชื่อว่าคิรากรต้องยอมเข้าไปอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
“พึมพำอะไรอยู่หรือค่ะคุณแม่”
อัญชลีตกใจกับบุคคลที่เข้ามาสวมกอดด้านหลัง ก่อนจะหันไปยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“ลูกกำลังจะทำให้แม่หัวใจวายนะรู้ไหม” อัญชลีหยิกแก้มลูกสาวเบาๆ
“เข้ามาในห้องนี้อีกแล้ว แล้วอย่างนี้เมื่อไรคุณแม่จะทำใจได้ล่ะค่ะ”
“แม่ทำใจได้แล้วจ้ะ แค่คิดถึงคุณพ่อของลูกเท่านั้น” อัญชลีเงยหน้ามองรูปภาพอีกครั้ง
“หวานจะยอมเชื่อก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้ท้องของหวานกำลังร้อง จ้อกๆ เพราะความหิวแล้ว”
อัญชลีหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว เพราะได้ยินเสียงท้องร้องจริงๆอย่างที่ลูกสาวว่า
“กลับมาปุ๊บหิวปั๊บเลยนะเรา”
“ก็วันนี้หวานใช้พลังงานเยอะหนิค่ะ เฮ้อ! เหนื่อยชะมัดเลย” มัลลิกาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่ายเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้
“โรงเรียนเพิ่งเปิดวันแรก งานเยอะขนาดนั้นเลยเหรอลูก”
“งานไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่เหนื่อยกับคนมากกว่า”
“คน!” อัญชลีมองหน้าลูกสาวอย่างงงๆ
“ก็กมลเนตรกับเขมวรรณไงค่ะคุณแม่ ทะเลาะถกเถียงกันได้ตลอดเวลาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายคนที่เหนื่อยก็คือหวานที่ต้องคอยเป็นกำแพงกั้นระหว่างเขาสองคน” มัลลิกาพูดด้วยอารมณ์ขัน แต่ดูเหมือนว่าอัญชลีไม่ได้รู้สึกขันไปด้วยเลย
“นี่ลูกยังไม่เลิกคบเด็กสองคนนั้นอีกหรือ แม่สั่งแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก” อัญชลีพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตำหนิที่ลูกสาวไม่ยอมเชื่อฟัง
ในขณะที่มัลลิกาเองก็ดูตกใจไม่น้อยเพราะดันไปเผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ไม่ใช่ว่าหล่อนจะจำไม่ได้ว่ามารดาสั่งอะไรไว้ แต่เป็นเพราะว่าหล่อนทำไม่ได้ต่างหาก จึงตัดสินใจเลือกที่จะปิดบังแต่ดันเผลอหลุดปากจนได้
“หวานขอโทษค่ะคุณแม่ แต่หวานทำไม่ได้จริงๆ เขาสองคนเป็นเพื่อนของหวานน่ะค่ะ”
“ทำได้สิ ลูกต้องอยู่ให้ห่างจากพวกเขา เชื่อแม่น่ะหวาน”
“ทำไมล่ะค่ะ” มัลลิกาไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาถึงห้ามไม่ให้คบกับสองคนนั้น ทั้งๆที่สองคนนั้นเป็นคนดีไม่ได้เลวร้ายอะไร
อัญชลีเอาแต่เงียบ จนมัลลิกาทนไม่ไหว
“ว่าไงละค่ะ คุณแม่ช่วยอธิบายให้หวานเข้าใจหน่อยได้ไหมค่ะ”
“อย่าถามอะไรแม่เลยหวาน ลูกแค่ทำตามในสิ่งที่แม่ขอก็พอ”
“หวานทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆค่ะ อย่าห้ามหวานเลยน่ะค่ะ”
“หวาน!!!!”
มัลลิกายืนยันซะขนาดนั้น อัญชลีก็ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมลูกสาวได้ยังไงอีก จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
“เอาล่ะ แม่เข้าใจว่ามันยากสำหรับลูก ไม่ต้องถึงกับเลิกคบก็ได้ แค่อยู่ให้ห่างๆจากพวกเขาก็พอ”
“แต่คุณแม่ค่ะ...” มัลลิกาพยายามที่จะค้านความคิดของมารดา
“ไหนบอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ รีบลงไปข้างล่างกันดีกว่า แม่จะทำของอร่อยๆให้กิน ดีมั้ย” อัญชลีรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ค่ะ” มัลลิกาตอบอย่างเอือมระอา มารดาของหล่อนก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ถ้าทำให้เปลี่ยนใจไม่ได้ก็ต้องบังคับทางอ้อม
มัลลิกาถอนหายใจไปพร้อมๆกับเดินตามหลังมารดาลงข้างล่างและกำลังจะเดินตรงเข้าไปในครัว แต่สวนทางกับคิรากรที่กำลังจะขึ้นไปข้างบน
“อ้าวพี่กร ลงไปทานอะไรข้างล่างด้วยกันไหมค่ะ”
คิรากรได้แต่ยิ้มตอบน้องสาวแล้วก็เดินตรงขึ้นไปข้างบนห้องของตัวเอง มัลลิกาขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วหันไปหามารดาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“คงจะเหนื่อยมาจากโรงพยาบาลล่ะมั้ง”
อัญชลีตอบก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัว
คืนนั้นคิรากรเอาแต่นอนขังตัวเองอยู่ในห้อง แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ ได้แต่เอามือก่ายหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจะทำยังไงดี เขาทนไม่ได้แน่ที่ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่มีกำหนดที่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้เมื่อไร แต่ถ้าไม่ตกลงเขาก็หมดโอกาสที่จะสืบหาความจริง โอ๊ย ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว มันต้องมีทางออกให้เขาได้เลือกสักทางหนึ่งน่า เขาพยายามข่มตาให้หลับแต่มันกลับยิ่งทำให้คิดมากขึ้นกว่าเดิม
จริงสิ!! เจ้าชลัทน่าจะมีความคิดดีๆ ต้องหาทางออกให้ได้แน่ๆ นี่เขาลืมเพื่อนคนนี้ไปได้ยังไง ชลัทเป็นเพื่อนสนิทที่เขาไว้ใจและสามารถช่วยเหลือหาทางออกให้เขาได้ทุกครั้งเมื่อยามคับขัน
คิรากรควานหาโทรศัพท์ รีบกดหมายเลขปลายทาง
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด
“ฮัลโหล ชลัท นี่ฉันเองน่ะ”
[ว่าไงไอ้หมอ โทรมาซะดึกขนาดนี้แสดงว่ากำลังเครียดอยู่ใช่ไหมว่ะ]
“สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆเลยน่ะ” คิรากรเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมา แค่ได้ยินเสียงเพื่อนรักเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นทันที
[และถ้าให้ฉันเดาอีกน่ะ แกกำลังเครียดเรื่องที่ต้องไปอยู่ในคฤหาสน์จิรโชติยานนท์]
“แกรู้เรื่องนี้แล้วเหรอ แล้วรู้ได้ยังไง”
[อย่าลืมสิว่าฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจิรโชติยานนท์]
“เออว่ะ ฉันลืมไป แต่ข่าวกระจายเร็วไปหรือเปล่า”
[ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อตอนเย็นที่ไปส่งเกดที่นั่น] เสียงปลายสายเริ่มเบาลงอย่างผิดสังเกต
“วันนี้แกไปที่นั่นด้วยเหรอ”
[อืม]
“เป็นอะไรหรือเปล่าว่ะ” คิรากรเริ่มสัมผัสถึงเสียงที่ผิดปกติของชลัท
[เปล่าหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร]
“แกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกฉันได้น่ะ” คิรากรเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าปรึกษาถูกเวลาหรือเปล่า เพราะดูเหมือนชลัทจะมีปัญหาอยู่ในใจเช่นเดียวกัน
[แล้วที่แกโทรมานี่ต้องการให้ฉันช่วยอะไร]
ดูเหมือนชลัทพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย คิรากรเข้าใจและรู้ดีว่าชลัทยังไม่พร้อมที่จะบอกอะไรเขาตอนนี้ เมื่อไหร่ที่พร้อมเขาจะบอกเอง
“แกช่วยไปพูดให้ย่าของแกเปลี่ยนใจได้ไหมว่ะ”
[ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะไปเปลี่ยนความคิดของคุณย่าเล็กได้หรอก และไม่มีใครทำได้ด้วย]
เสียงปลายสายพูดราวกับว่าหมดหนทาง ก่อนจะพูดประโยคต่อไป
[ย่าเล็กเป็นคนที่ไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ แต่ต่อรองได้]
เขาคิดไม่ผิดจริงๆทีปรึกษาชลัท มันทำให้เขารู้สึกเบาใจขึ้นเยอะเลย แต่สักพักก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง คำพูดของรัตติกาลยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตั้งแต่กลับมา รัตติกาลกับเขมวรรณเป็นคู่แฝดที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยจริงๆ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคู่แฝดบางคู่ก็เกิดจากไข่คนละใบทำให้มีใบหน้าที่ไม่เหมือนกัน
เช้าของวันรุ่งขึ้น คิรากรตัดสินใจขับรถไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อคืนเขาได้คำแนะนำจากชลัท ถึงจะยกเลิกข้อเสนอไม่ได้ แต่เราก็สามารถต่อรองได้ แม้ว่าจะทำได้แค่น้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นคือคำพูดของชลัท
คิรากรขับรถจนถึงหน้ารั้วคฤหาสน์ ระหว่างที่รอคนมาเปิดประตูรั้ว เขาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังด้อมๆมองๆ อยู่บริเวณรั้วหน้าบ้านที่มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นหนา
“เชิญครับ”
เสียงลุงหมายดังขึ้น คิรากรเลื่อนกระจกรถลงเพื่อจะกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันไปทางผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
.....หายไปแล้ว.....
“หรือว่าเราเครียดจนตาฝาดไป” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะขับรถเข้าไปในรั้วคฤหาสน์ ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะไปคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของตัวเอง
คิรากรค่อยๆเดินเข้าไปข้างในคฤหาสน์ เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ‘หวังว่าวันนี้คงไม่ต้องเจอยัยเด็กนั่นอีกน่ะ’
“คุณหมอค่ะ”
คิรากรสะดุ้ง แต่เมื่อหันไปหาเจ้าของเสียงเขาก็โล่งอก ป้าอิ่ม แม่บ้านของที่นี่นั่นเอง
“คุณท่านกำลังรอคุณอยู่ในห้องโน้นค่ะ”
แม่บ้านบอกพร้อมเดินนำทางคิรากรไปยังห้องนั้น แต่คิรากรก็ยังไม่หยุดหันซ้ายหันขวา
“คุณหนูของป้าไม่มีใครอยู่เหรอครับ”
“อ๋อ คุณเขมกับคุณเนตรไปเรียนค่ะ ส่วนคุณรสอยู่ในไร่ค่ะเธอไปก่อนที่คุณจะมาถึงได้ไม่กี่นาทีนี่เอง”
แค่ได้รู้ว่าคันธรสไม่อยู่ เขาก็รู้สึกโล่งอกและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยวันนี้เขาคงไม่เจอกาแฟรสน้ำปลาแน่
“ส่วนคุณเกด เช้านี้ป้ายังไม่เห็นเธอลงมาข้างล่างเลยค่ะ แต่เห็นแปลกๆตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะค่ะหลังจากที่คุณชลัทมาส่งเธอก็ดูซึมๆไป”
“เธอไม่สบายเหรอครับ”
“ป้าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ตั้งแต่เมื่อเย็นวานเธอยังไม่ยอมลงมาเลยค่ะ ข้าวปลาก็ไม่ยอมลงมากิน”
คิรากรเดินตามแม่บ้านไป เขานึกถึงเมื่อคืนที่คุยกับชลัทซึ่งมีอาการแปลกๆ แล้วมาวันนี้แม่บ้านบอกว่าเกสรารันก็มีอาการซึมๆหลังจากที่พวกเขาแยกกันเมื่อวาน พวกเขาสองคนต้องมีปัญหาอะไรกันแน่ๆ แต่เรื่องนี้เอาไว้ทีหลัง เขาต้องเคลียร์เรื่องของตัวเองให้เสร็จก่อน
คิรากรเดินเข้าไปในห้องโถง และก็พบว่าจิตรสินีกำลังนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว และยังมีอีกบุคคลหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆจิตรสินี เขาจำได้ว่าคนๆนั้นคือการุญ ประมุขคนปัจจุบันของตระกูลจิรโชติยานนท์ ซึ่งสายตาที่การุญมองเขานั้นมันบอกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ
“ไม่คิดว่าคุณหมอจะตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้ เชิญนั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณครับ” คิรากรกล่าวพร้อมกับเดินไปนั่งตรงข้ามระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน
“ผมยินดีที่จะรับข้อเสนอของคุณ” จิตรสินียิ้มออกมาแต่ก็ต้องหุบลงเมื่อได้ยินประโยคต่อมา “ก็ต่อเมื่อ คุณยอมรับข้อต่อรองของผม”
“ข้อต่อรองของคุณคืออะไรล่ะ”
“ผมอยู่ที่นี่ได้ครับ แต่บางวันผมก็ต้องทำงานที่ผมกำลังรับผิดชอบอยู่และไม่สามารถที่จะทิ้งได้ด้วยครับ”
“ทำไม คุณก็แค่ลาออกจากที่นั่นปัญหาก็จบ”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ มีคนอีกมากมายที่รอให้ผมช่วยเหลือ ผมอยากใช้อาชีพที่ผมมีทำประโยชน์ให้กับสังคมให้ได้มากที่สุด และผมก็ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกมากมาย ผมยังอยากหาประสบการณ์ให้ได้มากกว่านี้”
“หมายความว่าคุณจะเปลี่ยนใจไม่รับงานนี้อย่างนั้นหรือ”
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากทิ้งในสิ่งที่ผมอยากทำเท่านั้น ผมเพิ่งเรียนจบได้ไม่กี่ปีเองนะครับ ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมพวกคุณถึงได้อยากให้ผมเป็นคนรักษาหลานของพวกคุณนัก ทั้งๆที่คุณพ่อของผมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอที่เก่งยังทำได้ไม่สำเร็จเลยด้วยซ้ำ”
“ที่พ่อคุณรักษาไม่สำเร็จ ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเขาดันมาตายซะก่อนนะสิ” การุญที่นั่งเงียบมานานเริ่มพูดแทรกขึ้นมา
“การุญ!!!” จิตรสินีเรียกเตือนสติการุญ เพราะเกรงว่าคิรากรจะไม่พอใจแล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคิรากรมีสีหน้าที่ดูตกตะลึง
“ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยชอบคุณพ่อผมนะครับ”” คิรากรมองการุญซึ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขี้น
“ข้อต่อรองของคุณก็คือ คุณจะอยู่ที่นี่ได้เฉพาะวันที่คุณว่าง ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า” จิตรสินีรีบเปลี่ยนประเด็น
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ เอ่อ คือผมหมายความว่า ผมอยู่ที่นี่ได้แต่ผมก็ยังต้องไปทำงานของผมอยู่” คิรากรหันหน้ามาทางจิตรสินี
“ก็ดี!! บ้านหลังนี้ไม่ค่อยต้อนรับให้คนอื่นเข้ามาเหยียบ” การุญยังไม่ยอมหยุด จิตรสินีที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปตวาดใส่ด้วยสายตา
คิรากรหันไปมองหน้าการุญอีกครั้ง และครั้งนี้การุญก็กำลังจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว สายตาของการุญมองมาอย่างไม่เป็นมิตร
“ตกลง ฉันจะรับข้อต่อรองของคุณ แต่เมื่อไหร่ที่ฉันสั่งให้คุณมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือว่าทำอะไรคุณก็ต้องมาทันที” จิตรสินีบอกด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง
“ตกลงครับ”
“อย่าเพิ่งกลับน่ะค่ะ วันนี้ฉันอยากให้คุณไปดูรัตติกาลหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง หลังจากเมื่อวานที่คุณกลับไปก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมคุยกับใครเลย”
“ถ้าอย่างนั้นผมขึ้นไปดูให้เลยก็ได้ครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ฉันจะขึ้นไปด้วย” การุญพูดแทรกแต่ไม่ได้มองหน้าคิรากรโดยตรง
“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ บางทีรัตติกาลอาจจะยังไม่อยากคุยกับใคร”
“คุณจะมารู้ดีไปกว่าเราได้ยังไง” การุญเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ
“นั่นสิครับ ทำไมผมถึงได้รู้ดีกว่าพวกคุณ” คิรากรเริ่มตอบกลับขึ้นมาบ้างด้วยความเหลืออด
“ให้คุณหมอขึ้นไปดูก่อนดีกว่าน่ะ” จิตรสินีส่งสายตาดุใส่การุญ
“แต่แม่เล็กครับ”
“แกเป็นผู้ใหญ่แล้วน่ะรุญ และฉันก็แก่มากแล้วด้วย ถึงฉันจะไม่ใช่แม่แท้ๆของแก แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเห็นแกมีนิสัยเป็นเด็กๆแบบนี้”
คิรากรค่อยๆแง้มประตูเข้าไป เขาเห็นรัตติกาลกำลังนั่งซบหน้ากอดเข่าอยู่ข้างเตียง กำลังพูดพึมพำอยู่คนเดียวและเนื้อตัวก็สั่นระริกราวกับกลัวอะไรบางอย่าง ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้รัตติกาลก็เอาแต่ควานหาข้าวของปาใส่เขาโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองเลยแม้แต่น้อย ส่วนคิรากรเองก็ได้แต่หลบข้าวของที่ลอยมาแทบไม่ทัน
“ออกไปเดี๋ยวนี้น่ะ ออกไป!!!”
“โอ๊ยย!!”
“ออกไป๊!!”
“น้องกาล นี่หมอเอง”
สมบัติที่หายไป
หลังจากที่คิรากรออกมาจากบ้านจิรโชติยานนท์ เขาก็แวะเข้าโรงพยาบาล กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบเย็น
“กลับมาแล้วหรอตากร”
“ครับ” เขาตอบเสียงเรียบปราศจากรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง
อัญชลีสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติของลูกชาย แต่พยายามทำเป็นมองไม่เห็นและพูดด้วยน้ำเสียงปกติเช่นเดิม
“เป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ทำไมคุณแม่ไม่บอกผมล่ะครับ” คิรากรถามผู้เป็นแม่อย่างไม่เข้าใจ เขาพยายามอดทนแล้วที่จะไม่พูดถึงมันและทำเป็นไม่สนใจ แต่เขาทนไม่ไหวจริงๆ
“เรื่องอะไร” อัญชลีขมวดคิ้ว พอจะรู้แล้วว่าลูกชายหมายถึงอะไร
“ที่ผ่านมาผมเข้าใจผิดไปเอง หรือว่าคุณแม่หลอกผมกันแน่ครับ”
“แม่ไปหลอกอะไรลูก”
“ก็เรื่องที่ผมต้องไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่ผมตกลงรับหน้าที่ต่อจากพ่อยังไงครับ และยิ่งไปกว่านั้นคือคุณแม่เป็นคนเสนอให้พวกเขาเอง”
อัญชลีสะอึก ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ มองหน้าลูกชายที่เต็มไปด้วยแววตาที่เศร้าหมอง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันครับ”
“ฟังแม่ก่อนน่ะตากร ที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อครอบครัวของเราน่ะลูก ลูกต้องนำของสำคัญของตระกูลเรากลับมาให้เร็วที่สุด หน้าที่ของลูกคือหาของสำคัญของตระกูลเราให้เจอ และมันก็มีวิธีเดียวคือลูกต้องเข้าไปอยู่ที่นั่น ส่วนการรักษารัตติกาลมันเป็นแค่หน้าที่รองเท่านั้น”
“คุณแม่ยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องนั้นอีกหรือครับ ที่ผ่านมาคุณพ่อต้องมาตายไม่ใช่เพราะไอ้ของสิ่งนั้นหรอกหรือไงครับ”
“แต่ของสิ่งนั้นมันสำคัญกับตระกูลเราน่ะลูก ตั้งแต่มันหายไปลูกก็รู้ว่าครอบครัวเราต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน เราต้องรีบนำมันกลับมาให้ได้ ครอบครัวของเราจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“คุณแม่พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงกันครับ”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ทำตามที่แม่สั่งก็พอ”
“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงครับ ผมไม่อยากอยู่ที่นั่นคุณแม่ก็รู้ดีกว่าใคร ทำไมต้องบังคับผมด้วย”
“แล้วลูกไม่อยากรู้หรือไงว่าพ่อของลูกตายเพราะอะไร”
คิรากรเงียบ! อัญชลีสะกิดได้ถูกจุดพอดี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่คิรากรอยากรู้มากที่สุดก็คือสาเหตุการตายของผู้เป็นพ่อ
คิรากรอยากรู้ถึงสาเหตุการตายของบิดา ที่อยู่ดีๆก็เกิดหัวใจหยุดเต้นกะทันหันในขณะที่กำลังตรวจอาการของรัตติกาลในคฤหาสน์หลังนั้น เขาและครอบครัวหัวใจแทบสลายเมื่อได้รับข่าวจากโรงพยาบาล เขารู้ดีว่าถึงยังไงวันนั้นจะต้องมาถึงเพราะผู้เป็นพ่อมีโรคประจำตัวซึ่งก็คือโรคหัวใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขาและครอบครัวประหลาดใจก็คือวันที่เขาไปรับศพ บุรุษพยาบาลที่คอยดูแลศพบอกเขาว่าร่างกายของศพมีเหงื่อไหลออกมาตลอดเวลาซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก เขาลองสังเกตดูซึ่งมันก็มีเหงื่อไหลออกมาจริงๆ คิรากรลองเอานิ้วไปแตะ เพียงแค่นิ้วได้สัมผัสมันเบาๆกลิ่นก็ตีเข้าจมูกเขาทันที มันไม่ใช่เหงื่อและมันก็มีกลิ่นแปลกๆ สักพักเขาเริ่มรู้สึกปวดแสบบริเวณนิ้วที่ไปสัมผัส เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นนิ้วตัวเองเริ่มพองและแดงขึ้นราวกับถูกน้ำร้อนลวก นี่มันอะไรกัน!! เขาพยายามถามสาเหตุการตายของผู้เป็นพ่อจากครอบครัวนั่นแต่กลับไม่มีใครปริปากพูดออกมาสักคำ บอกเพียงแค่ว่าหมอปรานต์กำลังตรวจอาการของรัตติกาลอยู่ดีๆก็ล้มลงพับกับพื้น มันอาจจะเป็นคำตอบที่ทำให้เขาเชื่อถ้าไม่ไปเจอกับเหงื่อปริศนานั่นซะก่อน เวลาเขาถามอะไรพวกเขาก็ตอบโดยที่ไม่ยอมสบสายตาโดยเฉพาะคันธรสที่ดูเหมือนกำลังกลัวเขายิ่งกว่าใคร คงจะเป็นเพราะหล่อนยังอยู่ในอาการตกใจที่มีคนตายในบ้านของตัวเอง และนั่นก็คือสาเหตุที่เขาไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลนั้น
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการนำของสำคัญของคุณแม่กลับมา”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ลูกแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง และนำของของเรากลับมาให้ได้ก็พอ”
หลังจากเกลี้ยกล่อมลูกชายได้สำเร็จ อัญชลีเดินเข้าไปในห้องที่ถูกปิดตายมาเกือบหนึ่งปีหลังจากที่หมอปรานต์เสียชีวิต อัญชลีจะเข้ามาในห้องนี้ทุกครั้งที่รู้สึกกังวลใจหรือคิดถึงผู้เป็นสามี มันเป็นห้องที่สามีของหล่อนชอบเข้ามาอ่านหนังสือ เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับหมอปรานต์ อัญชลีเดินเข้าไปเปิดตู้เซฟที่วางอยู่ใกล้โต๊ะทำงาน ในตู้มีแต่ความว่างเปล่าเหมือนทุกครั้ง
ของในตู้เซฟนี่แหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สามีของหล่อนต้องไปพัวพันกับตระกูลอัปมงคลนั่น
เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาบ้านอัครยาสิทธินันท์ถูกโจรปล้น และของสำคัญของตระกูลหายไป ในบ้านมีของมีค่ามากมาย แต่สิ่งที่หายไปกลับมีเพียงแค่ชิ้นเดียวคือของที่อยู่ในตู้เซฟนี้ ราวกับว่ามันจงใจที่จะมาปล้นเฉพาะแค่สมบัติชิ้นนี้ชิ้นเดียว และที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีร่องรอยของการงัดแงะประตูบ้านและตู้เซฟเลยแม้แต่น้อย
‘ ไอ้โจรนั่นนำของสำคัญของตระกูลออกไปได้อย่างไรกัน ’ คำถามนี้ยังคงก้องอยู่ในใจของอัญชลีตลอดมา
อัญชลีเงยหน้ามองรูปภาพของหมอปรานต์ที่ติดอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงาน
“ตากรต้องทำสำเร็จให้ได้ คุณต้องช่วยลูกด้วยนะค่ะ”
อัญชลีเชื่อว่าคิรากรต้องยอมเข้าไปอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
“พึมพำอะไรอยู่หรือค่ะคุณแม่”
อัญชลีตกใจกับบุคคลที่เข้ามาสวมกอดด้านหลัง ก่อนจะหันไปยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“ลูกกำลังจะทำให้แม่หัวใจวายนะรู้ไหม” อัญชลีหยิกแก้มลูกสาวเบาๆ
“เข้ามาในห้องนี้อีกแล้ว แล้วอย่างนี้เมื่อไรคุณแม่จะทำใจได้ล่ะค่ะ”
“แม่ทำใจได้แล้วจ้ะ แค่คิดถึงคุณพ่อของลูกเท่านั้น” อัญชลีเงยหน้ามองรูปภาพอีกครั้ง
“หวานจะยอมเชื่อก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้ท้องของหวานกำลังร้อง จ้อกๆ เพราะความหิวแล้ว”
อัญชลีหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว เพราะได้ยินเสียงท้องร้องจริงๆอย่างที่ลูกสาวว่า
“กลับมาปุ๊บหิวปั๊บเลยนะเรา”
“ก็วันนี้หวานใช้พลังงานเยอะหนิค่ะ เฮ้อ! เหนื่อยชะมัดเลย” มัลลิกาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่ายเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้
“โรงเรียนเพิ่งเปิดวันแรก งานเยอะขนาดนั้นเลยเหรอลูก”
“งานไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่เหนื่อยกับคนมากกว่า”
“คน!” อัญชลีมองหน้าลูกสาวอย่างงงๆ
“ก็กมลเนตรกับเขมวรรณไงค่ะคุณแม่ ทะเลาะถกเถียงกันได้ตลอดเวลาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายคนที่เหนื่อยก็คือหวานที่ต้องคอยเป็นกำแพงกั้นระหว่างเขาสองคน” มัลลิกาพูดด้วยอารมณ์ขัน แต่ดูเหมือนว่าอัญชลีไม่ได้รู้สึกขันไปด้วยเลย
“นี่ลูกยังไม่เลิกคบเด็กสองคนนั้นอีกหรือ แม่สั่งแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก” อัญชลีพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตำหนิที่ลูกสาวไม่ยอมเชื่อฟัง
ในขณะที่มัลลิกาเองก็ดูตกใจไม่น้อยเพราะดันไปเผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ไม่ใช่ว่าหล่อนจะจำไม่ได้ว่ามารดาสั่งอะไรไว้ แต่เป็นเพราะว่าหล่อนทำไม่ได้ต่างหาก จึงตัดสินใจเลือกที่จะปิดบังแต่ดันเผลอหลุดปากจนได้
“หวานขอโทษค่ะคุณแม่ แต่หวานทำไม่ได้จริงๆ เขาสองคนเป็นเพื่อนของหวานน่ะค่ะ”
“ทำได้สิ ลูกต้องอยู่ให้ห่างจากพวกเขา เชื่อแม่น่ะหวาน”
“ทำไมล่ะค่ะ” มัลลิกาไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาถึงห้ามไม่ให้คบกับสองคนนั้น ทั้งๆที่สองคนนั้นเป็นคนดีไม่ได้เลวร้ายอะไร
อัญชลีเอาแต่เงียบ จนมัลลิกาทนไม่ไหว
“ว่าไงละค่ะ คุณแม่ช่วยอธิบายให้หวานเข้าใจหน่อยได้ไหมค่ะ”
“อย่าถามอะไรแม่เลยหวาน ลูกแค่ทำตามในสิ่งที่แม่ขอก็พอ”
“หวานทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆค่ะ อย่าห้ามหวานเลยน่ะค่ะ”
“หวาน!!!!”
มัลลิกายืนยันซะขนาดนั้น อัญชลีก็ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมลูกสาวได้ยังไงอีก จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
“เอาล่ะ แม่เข้าใจว่ามันยากสำหรับลูก ไม่ต้องถึงกับเลิกคบก็ได้ แค่อยู่ให้ห่างๆจากพวกเขาก็พอ”
“แต่คุณแม่ค่ะ...” มัลลิกาพยายามที่จะค้านความคิดของมารดา
“ไหนบอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ รีบลงไปข้างล่างกันดีกว่า แม่จะทำของอร่อยๆให้กิน ดีมั้ย” อัญชลีรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ค่ะ” มัลลิกาตอบอย่างเอือมระอา มารดาของหล่อนก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ถ้าทำให้เปลี่ยนใจไม่ได้ก็ต้องบังคับทางอ้อม
มัลลิกาถอนหายใจไปพร้อมๆกับเดินตามหลังมารดาลงข้างล่างและกำลังจะเดินตรงเข้าไปในครัว แต่สวนทางกับคิรากรที่กำลังจะขึ้นไปข้างบน
“อ้าวพี่กร ลงไปทานอะไรข้างล่างด้วยกันไหมค่ะ”
คิรากรได้แต่ยิ้มตอบน้องสาวแล้วก็เดินตรงขึ้นไปข้างบนห้องของตัวเอง มัลลิกาขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วหันไปหามารดาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“คงจะเหนื่อยมาจากโรงพยาบาลล่ะมั้ง”
อัญชลีตอบก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัว
คืนนั้นคิรากรเอาแต่นอนขังตัวเองอยู่ในห้อง แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ ได้แต่เอามือก่ายหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจะทำยังไงดี เขาทนไม่ได้แน่ที่ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่มีกำหนดที่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้เมื่อไร แต่ถ้าไม่ตกลงเขาก็หมดโอกาสที่จะสืบหาความจริง โอ๊ย ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว มันต้องมีทางออกให้เขาได้เลือกสักทางหนึ่งน่า เขาพยายามข่มตาให้หลับแต่มันกลับยิ่งทำให้คิดมากขึ้นกว่าเดิม
จริงสิ!! เจ้าชลัทน่าจะมีความคิดดีๆ ต้องหาทางออกให้ได้แน่ๆ นี่เขาลืมเพื่อนคนนี้ไปได้ยังไง ชลัทเป็นเพื่อนสนิทที่เขาไว้ใจและสามารถช่วยเหลือหาทางออกให้เขาได้ทุกครั้งเมื่อยามคับขัน
คิรากรควานหาโทรศัพท์ รีบกดหมายเลขปลายทาง
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด
“ฮัลโหล ชลัท นี่ฉันเองน่ะ”
[ว่าไงไอ้หมอ โทรมาซะดึกขนาดนี้แสดงว่ากำลังเครียดอยู่ใช่ไหมว่ะ]
“สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆเลยน่ะ” คิรากรเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมา แค่ได้ยินเสียงเพื่อนรักเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นทันที
[และถ้าให้ฉันเดาอีกน่ะ แกกำลังเครียดเรื่องที่ต้องไปอยู่ในคฤหาสน์จิรโชติยานนท์]
“แกรู้เรื่องนี้แล้วเหรอ แล้วรู้ได้ยังไง”
[อย่าลืมสิว่าฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจิรโชติยานนท์]
“เออว่ะ ฉันลืมไป แต่ข่าวกระจายเร็วไปหรือเปล่า”
[ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อตอนเย็นที่ไปส่งเกดที่นั่น] เสียงปลายสายเริ่มเบาลงอย่างผิดสังเกต
“วันนี้แกไปที่นั่นด้วยเหรอ”
[อืม]
“เป็นอะไรหรือเปล่าว่ะ” คิรากรเริ่มสัมผัสถึงเสียงที่ผิดปกติของชลัท
[เปล่าหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร]
“แกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกฉันได้น่ะ” คิรากรเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าปรึกษาถูกเวลาหรือเปล่า เพราะดูเหมือนชลัทจะมีปัญหาอยู่ในใจเช่นเดียวกัน
[แล้วที่แกโทรมานี่ต้องการให้ฉันช่วยอะไร]
ดูเหมือนชลัทพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย คิรากรเข้าใจและรู้ดีว่าชลัทยังไม่พร้อมที่จะบอกอะไรเขาตอนนี้ เมื่อไหร่ที่พร้อมเขาจะบอกเอง
“แกช่วยไปพูดให้ย่าของแกเปลี่ยนใจได้ไหมว่ะ”
[ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะไปเปลี่ยนความคิดของคุณย่าเล็กได้หรอก และไม่มีใครทำได้ด้วย]
เสียงปลายสายพูดราวกับว่าหมดหนทาง ก่อนจะพูดประโยคต่อไป
[ย่าเล็กเป็นคนที่ไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ แต่ต่อรองได้]
เขาคิดไม่ผิดจริงๆทีปรึกษาชลัท มันทำให้เขารู้สึกเบาใจขึ้นเยอะเลย แต่สักพักก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง คำพูดของรัตติกาลยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตั้งแต่กลับมา รัตติกาลกับเขมวรรณเป็นคู่แฝดที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยจริงๆ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคู่แฝดบางคู่ก็เกิดจากไข่คนละใบทำให้มีใบหน้าที่ไม่เหมือนกัน
เช้าของวันรุ่งขึ้น คิรากรตัดสินใจขับรถไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อคืนเขาได้คำแนะนำจากชลัท ถึงจะยกเลิกข้อเสนอไม่ได้ แต่เราก็สามารถต่อรองได้ แม้ว่าจะทำได้แค่น้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นคือคำพูดของชลัท
คิรากรขับรถจนถึงหน้ารั้วคฤหาสน์ ระหว่างที่รอคนมาเปิดประตูรั้ว เขาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังด้อมๆมองๆ อยู่บริเวณรั้วหน้าบ้านที่มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นหนา
“เชิญครับ”
เสียงลุงหมายดังขึ้น คิรากรเลื่อนกระจกรถลงเพื่อจะกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันไปทางผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
.....หายไปแล้ว.....
“หรือว่าเราเครียดจนตาฝาดไป” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะขับรถเข้าไปในรั้วคฤหาสน์ ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะไปคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของตัวเอง
คิรากรค่อยๆเดินเข้าไปข้างในคฤหาสน์ เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ‘หวังว่าวันนี้คงไม่ต้องเจอยัยเด็กนั่นอีกน่ะ’
“คุณหมอค่ะ”
คิรากรสะดุ้ง แต่เมื่อหันไปหาเจ้าของเสียงเขาก็โล่งอก ป้าอิ่ม แม่บ้านของที่นี่นั่นเอง
“คุณท่านกำลังรอคุณอยู่ในห้องโน้นค่ะ”
แม่บ้านบอกพร้อมเดินนำทางคิรากรไปยังห้องนั้น แต่คิรากรก็ยังไม่หยุดหันซ้ายหันขวา
“คุณหนูของป้าไม่มีใครอยู่เหรอครับ”
“อ๋อ คุณเขมกับคุณเนตรไปเรียนค่ะ ส่วนคุณรสอยู่ในไร่ค่ะเธอไปก่อนที่คุณจะมาถึงได้ไม่กี่นาทีนี่เอง”
แค่ได้รู้ว่าคันธรสไม่อยู่ เขาก็รู้สึกโล่งอกและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยวันนี้เขาคงไม่เจอกาแฟรสน้ำปลาแน่
“ส่วนคุณเกด เช้านี้ป้ายังไม่เห็นเธอลงมาข้างล่างเลยค่ะ แต่เห็นแปลกๆตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะค่ะหลังจากที่คุณชลัทมาส่งเธอก็ดูซึมๆไป”
“เธอไม่สบายเหรอครับ”
“ป้าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ตั้งแต่เมื่อเย็นวานเธอยังไม่ยอมลงมาเลยค่ะ ข้าวปลาก็ไม่ยอมลงมากิน”
คิรากรเดินตามแม่บ้านไป เขานึกถึงเมื่อคืนที่คุยกับชลัทซึ่งมีอาการแปลกๆ แล้วมาวันนี้แม่บ้านบอกว่าเกสรารันก็มีอาการซึมๆหลังจากที่พวกเขาแยกกันเมื่อวาน พวกเขาสองคนต้องมีปัญหาอะไรกันแน่ๆ แต่เรื่องนี้เอาไว้ทีหลัง เขาต้องเคลียร์เรื่องของตัวเองให้เสร็จก่อน
คิรากรเดินเข้าไปในห้องโถง และก็พบว่าจิตรสินีกำลังนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว และยังมีอีกบุคคลหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆจิตรสินี เขาจำได้ว่าคนๆนั้นคือการุญ ประมุขคนปัจจุบันของตระกูลจิรโชติยานนท์ ซึ่งสายตาที่การุญมองเขานั้นมันบอกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ
“ไม่คิดว่าคุณหมอจะตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้ เชิญนั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณครับ” คิรากรกล่าวพร้อมกับเดินไปนั่งตรงข้ามระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน
“ผมยินดีที่จะรับข้อเสนอของคุณ” จิตรสินียิ้มออกมาแต่ก็ต้องหุบลงเมื่อได้ยินประโยคต่อมา “ก็ต่อเมื่อ คุณยอมรับข้อต่อรองของผม”
“ข้อต่อรองของคุณคืออะไรล่ะ”
“ผมอยู่ที่นี่ได้ครับ แต่บางวันผมก็ต้องทำงานที่ผมกำลังรับผิดชอบอยู่และไม่สามารถที่จะทิ้งได้ด้วยครับ”
“ทำไม คุณก็แค่ลาออกจากที่นั่นปัญหาก็จบ”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ มีคนอีกมากมายที่รอให้ผมช่วยเหลือ ผมอยากใช้อาชีพที่ผมมีทำประโยชน์ให้กับสังคมให้ได้มากที่สุด และผมก็ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกมากมาย ผมยังอยากหาประสบการณ์ให้ได้มากกว่านี้”
“หมายความว่าคุณจะเปลี่ยนใจไม่รับงานนี้อย่างนั้นหรือ”
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากทิ้งในสิ่งที่ผมอยากทำเท่านั้น ผมเพิ่งเรียนจบได้ไม่กี่ปีเองนะครับ ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมพวกคุณถึงได้อยากให้ผมเป็นคนรักษาหลานของพวกคุณนัก ทั้งๆที่คุณพ่อของผมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอที่เก่งยังทำได้ไม่สำเร็จเลยด้วยซ้ำ”
“ที่พ่อคุณรักษาไม่สำเร็จ ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเขาดันมาตายซะก่อนนะสิ” การุญที่นั่งเงียบมานานเริ่มพูดแทรกขึ้นมา
“การุญ!!!” จิตรสินีเรียกเตือนสติการุญ เพราะเกรงว่าคิรากรจะไม่พอใจแล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคิรากรมีสีหน้าที่ดูตกตะลึง
“ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยชอบคุณพ่อผมนะครับ”” คิรากรมองการุญซึ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขี้น
“ข้อต่อรองของคุณก็คือ คุณจะอยู่ที่นี่ได้เฉพาะวันที่คุณว่าง ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า” จิตรสินีรีบเปลี่ยนประเด็น
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ เอ่อ คือผมหมายความว่า ผมอยู่ที่นี่ได้แต่ผมก็ยังต้องไปทำงานของผมอยู่” คิรากรหันหน้ามาทางจิตรสินี
“ก็ดี!! บ้านหลังนี้ไม่ค่อยต้อนรับให้คนอื่นเข้ามาเหยียบ” การุญยังไม่ยอมหยุด จิตรสินีที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปตวาดใส่ด้วยสายตา
คิรากรหันไปมองหน้าการุญอีกครั้ง และครั้งนี้การุญก็กำลังจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว สายตาของการุญมองมาอย่างไม่เป็นมิตร
“ตกลง ฉันจะรับข้อต่อรองของคุณ แต่เมื่อไหร่ที่ฉันสั่งให้คุณมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือว่าทำอะไรคุณก็ต้องมาทันที” จิตรสินีบอกด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง
“ตกลงครับ”
“อย่าเพิ่งกลับน่ะค่ะ วันนี้ฉันอยากให้คุณไปดูรัตติกาลหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง หลังจากเมื่อวานที่คุณกลับไปก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมคุยกับใครเลย”
“ถ้าอย่างนั้นผมขึ้นไปดูให้เลยก็ได้ครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ฉันจะขึ้นไปด้วย” การุญพูดแทรกแต่ไม่ได้มองหน้าคิรากรโดยตรง
“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ บางทีรัตติกาลอาจจะยังไม่อยากคุยกับใคร”
“คุณจะมารู้ดีไปกว่าเราได้ยังไง” การุญเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ
“นั่นสิครับ ทำไมผมถึงได้รู้ดีกว่าพวกคุณ” คิรากรเริ่มตอบกลับขึ้นมาบ้างด้วยความเหลืออด
“ให้คุณหมอขึ้นไปดูก่อนดีกว่าน่ะ” จิตรสินีส่งสายตาดุใส่การุญ
“แต่แม่เล็กครับ”
“แกเป็นผู้ใหญ่แล้วน่ะรุญ และฉันก็แก่มากแล้วด้วย ถึงฉันจะไม่ใช่แม่แท้ๆของแก แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเห็นแกมีนิสัยเป็นเด็กๆแบบนี้”
คิรากรค่อยๆแง้มประตูเข้าไป เขาเห็นรัตติกาลกำลังนั่งซบหน้ากอดเข่าอยู่ข้างเตียง กำลังพูดพึมพำอยู่คนเดียวและเนื้อตัวก็สั่นระริกราวกับกลัวอะไรบางอย่าง ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้รัตติกาลก็เอาแต่ควานหาข้าวของปาใส่เขาโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองเลยแม้แต่น้อย ส่วนคิรากรเองก็ได้แต่หลบข้าวของที่ลอยมาแทบไม่ทัน
“ออกไปเดี๋ยวนี้น่ะ ออกไป!!!”
“โอ๊ยย!!”
“ออกไป๊!!”
“น้องกาล นี่หมอเอง”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ