อัญมณีสีบาป

-

เขียนโดย meenkal

วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 01.36 น.

  11 ตอน
  4 วิจารณ์
  14.31K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 22.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่ 1 แค่ฝัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
ตอนที่ 1
แค่ฝัน
 
 
 
โครมม!!
            คิรากรสะดุ้งตื่นในความมืด ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลราวกับสายน้ำ   เขาลุกพรวดและมองไปรอบๆอย่างมึนงง  ก่อนจะค่อยๆคลำพื้นที่ที่เขากำลังนั่งอย่างสำรวจ  แต่แปลก  ทำไมพื้นที่ตรงนี้ถึงได้นุ่มไม่เหมือนผืนดิน  สายตาของเขาค่อยๆปรับกับความมืดจนเห็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวได้ชัดขึ้น
             มันไม่ใช่พื้นดินแต่มันคือเตียง เขากำลังนอนอยู่ในห้องของตัวเอง   แล้วสิ่งที่เขาพบเจอก่อนหน้านี้ล่ะ มันคือความฝันอย่างนั้นเหรอ  แล้วเมื่อสักครู่นี้มันคือเสียงอะไร  ตอนนี้เขากำลังฝันอยู่อีกหรือเปล่า  เขาหันไปมองหานาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่ข้างเตียง
              “เพิ่งเที่ยงคืนเองเหรอ”   แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ถึงได้ยาวนานกว่าคืนอื่นๆ
โครมม!! 
              เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาสะดุ้งตกใจจนกระโดดตกลงมาจากเตียง ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ก้นไปกระแทกกับพื้นทำให้เขาได้คำตอบว่าตอนนี้เขาไม่ได้ฝัน   และเสียงนั้นมันดังมาจากห้องข้างๆ  ถัดจากห้องของเขาซึ่งก็คือห้องทำงานของหมอปรานต์บิดาของเขา  เขาตัดสินใจลุกขึ้นจากพื้นแข็งๆและค่อยๆเดินไปยังห้องนั้น
              คิรากรค่อยๆเปิดประตูเข้าไป  ในห้องมีแต่ความว่างเปล่าและเงียบกริบ ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ดูผิดปกติเลย  สิ่งที่เขาคิดในตอนแรกว่าอาจจะเป็นโจรก็หายไป เขาคงจะเครียดจนคิดไปเอง  เขาตัดสินใจที่จะเดินออกไปและกำลังจะปิดประตูแต่แล้วก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น  เขาจึงรีบเปิดประตูเข้าไปอีกครั้ง
             สิ่งที่เขาเห็นก็คือมีเงาตะพุ่มอยู่บริเวณโต๊ะทำงานของหมอปรานต์  หรือว่าจะเป็นโจรจริงๆ
            “โอยย”  เสียงนั้นร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด
            “นั่นใครหน่ะ!!”
            เขาถามแต่มือก็ควานหาสิ่งของที่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธพร้อมกับกดเปิดสวิตซ์ไฟ  ห้องที่สว่างปรากฏให้เห็นเงาตนนั้นอย่างชัดเจน  เขาเห็นผู้หญิงที่มีรูปร่างคุ้นตากำลังร้องโอดโอยอยู่ใต้โต๊ะทำงาน   เก้าอี้และข้าวของกระจัดกระจายไปหมด
           “คุณแม่”
           คิรากรรีบเข้าไปช่วยประคองอัญชลีผู้เป็นมารดาอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะสำรวจร่างกายด้วยความเป็นห่วง
          “คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ  แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
          “แม่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกลูก   และก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นด้วย”
          “แล้วคุณแม่เข้ามาทำอะไรมืดๆในห้องนี้ล่ะครับ”
          “แม่ลืมของไว้นะจ้ะ  ก็เลยเข้ามาเอา  แต่แม่ดันทำเก้าอี้ล้มซะก่อนข้าวของก็พลันตกกระจัดกระจายไปด้วย”
          “เข้ามาหาของ”   เขาถามอย่างแปลกใจ
          “จ๊ะ มีอะไรเหรอลูก”
          “ตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะครับ”
          “แม่เพิ่งนึกขึ้นได้หน่ะ  ก็เลยรีบเข้ามาเอา  กลัวว่าจะเผลอลืมอีก”
          “แล้วหาเจอหรือยังครับ  ผมจะช่วยหาให้”
          “ไม่ต้องหรอก  แม่หาเจอแล้ว”
          “ถ้าอย่างนั้น  คุณแม่รีบไปเข้านอนเถอะครับ  ผมจะจัดการกับของพวกนี้เอง”   คิรากรบอกพลางมองดูของที่กระจัดกระจาย
          “จ๊ะ”   อัญชลีทำท่าจะเดินออกไป  แต่ก็หยุดชะงักเหมือนว่าจะนึกอะไรออก
          “อ้อ!!  แล้วเรื่องที่แม่ขอล่ะ  เมื่อไหร่ลูกจะให้คำตอบกับแม่สักที”
          สีหน้าคิรากรเปลี่ยนไปทันที นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เขาถึงกับเก็บมันไปฝัน  เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาถึงได้อยากให้เขาเข้าไปพัวพันกับคนพวกนั้นนัก  ทั้งๆที่รู้ดีว่าเขาไม่คิดแม้แต่จะเข้าไปเหยียบในบ้านหลังนั้นเลยด้วยซ้ำ
          “เรื่องนั้นค่อยคุยกันทีหลังเถอะครับ”
          “หวังว่าแม่จะได้รับคำตอบที่น่าพอใจนะ”
          “แล้วถ้าเกิดว่าผมไม่ตกลงล่ะครับ”  เขาตอบอย่างเหลืออด
          “ตากร!!”
          “คุณแม่ก็รู้ดีกว่าใครว่าผมไม่อยากยุ่งกับคนพวกนั้นอีก  แล้วคุณแม่จะบีบบังคับผมทำไมครับ”
          “ก็เพื่อตระกูลของเราไงลูก”
          “เพื่อตระกูลของเรา!!!   ผมไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับตระกูลของเรา”
          “ลูกยอมรับข้อตกลงเมื่อไร  แล้วแม่จะอธิบายให้ฟังเอง”
          “แต่คุณแม่ครับ”
          “ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันสั่ง  ก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่อีก”
          อัญชลีพูดออกไปด้วยความโมโห ก่อนที่จะรู้ตัวว่าไม่ควรพูดทำร้ายจิตใจลูกชาย   คิรากรเองก็อยู่ในอาการตกตะลึง  เขาไม่เคยเห็นมารดาโกรธขนาดนี้มาก่อน
          “ตากร  ลูกคือความหวังเดียวของพ่อกับแม่น่ะ”   น้ำเสียงของอัญชลีอ่อนลง
          “ขอเวลาผมคิดอีกสักคืนน่ะครับ”
 
          “พี่กร  วันนี้ตื่นเช้าจังนะค่ะ”
          “พี่ก็ตื่นตามปกติ   เราต่างหากทำไมวันนี้ถึงได้ตื่นเช้า  ปกติถ้าไม่เที่ยงก็ไม่ตื่นไมใช่เหรอ”
          มัลลิกาย่นจมูกใส่พี่ชายก่อนจะชี้นิ้วไปยังชุดที่ตนกำลังสวมอยู่   คิรากรขมวดคิ้วอย่างงงๆ
          “อะไร”
          “โธ่พี่กร  ไม่เห็นหรือไงว่าหวานสวมเสื้ออะไรอยู่”
          เออ!! จริงด้วย  น้องสาวของเขาใส่เสื้อนักเรียน  เขาไม่ทันได้สังเกต  โรงเรียนเปิดแล้วเหรอเนี่ย  วันเวลาช่างผ่านไปเร็วนัก  แต่ทำไมความทรงจำที่แสนเจ็บปวดของเขาถึงไม่ยอมหายไปพร้อมกับกาลเวลาสักที
          “ที่นี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมหวานถึงได้ตื่นเช้า”
          “โรงเรียนเปิดแล้วเหรอ”
          “ค่ะ”
          “ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจเรียนล่ะกันนะ ไอ้น้อง”
          “ค่า  หวานจะตั้งใจเรียนและจะต้องเป็นหมอเหมือนคุณพ่อแล้วก็เหมือนพี่กรให้ได้”   มัลลิกาตอบเสียงจริงจังแน่วแน่
          “ให้ตระกูลของเรามีอาชีพอื่นปะปนบ้างเถอะ   เป็นอย่างอื่นก็ได้หนิไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องเป็นหมอเหมือนพี่กับคุณพ่อเลย”
          “หวานก็อยากจะเก่งเหมือนคุณพ่อกับพี่กรบ้างสิค่ะ”
          “เอาตอนนี้ให้รอดก่อนเถอะครับคุณหนู”   คิรากรพูดแซวน้องสาว
          “คอยดูเถอะ   ถ้าหวานได้เป็นหมอเมื่อไหร่ล่ะก็........”
          “ทำไมเหรอไอ้น้อง”
          “พี่กรได้ตกงานแน่  เพราะหวานจะต้องเป็นหมอที่เก่ง และเก่งกว่าพี่ให้ได้”   มัลลิกาบอกพร้อมยักคิ้วใส่พี่ชายอย่างท้าทาย
          “คร้าบผม  พี่จะรอวันนั้นน่ะ  แล้วอย่าปล่อยให้พี่รอนานล่ะ เพราะพี่ไม่อยากโดนตะคริวกิน  ฮ่าๆๆๆๆ”
          “พี่กร!!  เคยให้กำลังใจกันบ้างมั้ยเนี่ย”
          “พี่พูดเล่นน่า  น้องสาวพี่ทำได้อยู่แล้ว  แต่ขอร้องล่ะ”
          “อะไรค่ะ”  มัลลิกาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
          “อย่ามาทำงานที่เดียวกับพี่น่ะ  เพราะพี่อยากทำงานอย่างสงบ”
          คิรากรทำตาละห้อย ทั้งพี่ชายทั้งน้องสาวต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
          “หยุดหัวเราะและรีบมาทานข้าวได้แล้ว  ทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละ”
          “จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะคุณแม่”
          “รีบไปกันเถอะพี่กร”   มัลลิการีบชวนพี่ชายอย่างกับรู้ว่าถ้าขืนยังมัวชักช้าวันนี้พวกเขาอาจจะไม่ได้ทานข้าวเช้าแน่
          “โห  หอมจังเลยค่ะ”  มัลลิการีบเดินเข้าไปนั่งที่ประจำของตน
          “วันนี้คุณแม่ลงมาทำอาหารเองเลยเหรอค่ะ”
          อัญชลียิ้มให้ลูกสาวแทนการตอบ  นานมากแล้วที่อัญชลีไม่ได้ลงมาทำอะไรอย่างนี้นับตั้งแต่หมอปรานต์ผู้เป็นสามีเสียชีวิตไป
          ทุกคนเริ่มทานข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย  อัญชลีทานไปจ้องมองลูกชายไปจนคิรากรเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของมารดา
          “คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
          “ลูกพร้อมที่จะให้คำตอบกับแม่หรือยัง”
          “เรื่องอะไรครับ”   เขาทำเหมือนไม่เข้าใจ  ก้มหน้าก้มตากับอาหารตรงหน้า
          “ลูกก็รู้ว่าแม่หมายถึงอะไร”
          “มีเรื่องอะไรกันเหรอค่ะ  ทำไมดูเครียดกันจัง”   มัลลิกาถามแทรกอย่างสงสัยว่ามารดากับพี่ชายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่   ทำไมถึงได้ดูจริงจังขนาดนั้น  แต่ไม่มีใครสนใจคำถามของหล่อนเลย
          “ทำไมคุณแม่ถึงได้อยากให้ผมทำนักล่ะครับ”
          “แม่เคยบอกลูกไปแล้วว่าจะอธิบายหลังจากที่ลูกตกลง”
          “นี่มันเรื่องอะไรกันค่ะ  ช่วยพูดให้หวานเข้าใจด้วยคนสิ”   มัลลิกาถามขึ้นเป็นครั้งที่สอง  แต่ก็ยังไม่มีใครหันมาสนใจเหมือนเคย
          คิรากรถอนหายใจเฮือกใหญ่  เขาไม่เคยรู้สึกหนักใจเท่านี้มาก่อน  ในห้องอาหารก็เริ่มเต็มไปด้วยความเงียบไม่มีใครพูดเอ่ยอะไรออกมาเป็นพักใหญ่  อัญชลีก็เอาแต่จ้องลูกชายด้วยสายตาอ้อนวอนที่แฝงไปด้วยการบังคับ  จนคิรากรเริ่มอ่อนใจ
          “ก็ได้ครับก็ได้  เฮ้อ!! ผมยอมแพ้แล้ว”
          “ผมจะไปที่นั่นวันนี้เลยดีไหมครับ”   เขาพูดแกมประชด
          อัญชลียิ้มออกมาอย่างพอใจ  ก่อนจะค่อยๆตักอาหารใส่ปากอีกครั้งอย่างสบายอารมณ์
          “ลูกตัดสินใจถูกแล้วที่เชื่อฟังแม่”
          ก็แหงล่ะ  เล่นบังคับเขาทุกหนทางอย่างนี้จะหนีไปทางไหนได้ล่ะ  เขาคิดอย่างหงุดหงิด  ตักอาหารใส่ปากไปถอนหายใจไปอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่มัลลิกามองมารดากับพี่ชายด้วยอาการงงเป็นไก่ตาแตก
          “ทีนี้คุณแม่จะบอกเหตุผลและอธิบายได้หรือยังครับ”
          “ลูกกลับมาจากบ้านหลังนั้นเมื่อไหร่  แม่จะบอกทันที”
          อัญชลีพูดโดยที่ไม่ได้หันไปสบตามองคิรากร  ทำให้ไม่เห็นว่าตอนนี้คิรากรเริ่มมีสีหน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆ เพราะความโมโห  แต่เขาพยายามเก็บและอดทนมันไว้
          “แต่คุณแม่สัญญากับผมแล้วน่ะครับ”
          “ลูกก็ต้องทำให้แม่เห็นด้วยสิว่าจะทำตามที่แม่ขอจริงๆ  และต้องสัญญาด้วยว่าลูกจะไม่เปลี่ยนใจ”
          คิรากรถอนหายใจอย่างหนัก ไม่รู้ว่าวันนี้เขาถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว   มารดาของเขายังคงความเจ้าเล่ห์ไม่เคยเปลี่ยน  ส่วนมัลลิกาเองก็เริ่มไม่สนใจกับคำสนทนาของมารดากับพี่ชายแล้วหันไปสนใจกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าแทน
 
          ‘แสงตะวันยามเช้าวันนี้ช่างดูสดใสเหลือเกิน’การุญ จิรโชติยานนท์  ชายวัยกลางคนคิดด้วยความรู้สึกที่ล่องลอยไปตามอากาศที่แสนสดชื่นในยามเช้า  มันทำให้ชวนนึกถึงวันวานที่แสนโหดร้ายกับอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิดและเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนในตระกูล ‘จิรโชติยานนท์’    ตระกูลที่ใครๆต่างก็คิดว่าเป็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น   หากความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่หน้ากากที่คอยปกปิดเรื่องราวอันแสนเลวร้ายที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรู้ได้
          อุบัติเหตุในครั้งนั้นได้พรากชีวิตคนในครอบครัวของเขาไป  หนึ่งในนั้นคือประมุขของบ้าน ‘ กรินทร์  จิรโชติยานนท์ ’  บิดาของเขา  ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประมุขที่ให้ความรักและความยุติธรรมกับคนในตระกูลอย่างเท่าเทียมกัน แต่เป็นเพราะความโลภและความเห็นแก่ตัวแท้ๆ ที่ทำให้คนๆหนึ่งคิดฆ่าได้แม้แต่สายเลือดตัวเอง
          ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ เรื่องราวในอดีตกลับกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อกับลูกและหลานของเขาซึ่งก็คือทายาทในปัจจุบันของตระกูลจิรโชติยานนท์  ที่ต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป
          “เฮ้ยย!!!”
          การุญอุทานด้วยความตกใจทำให้ต้องหลุดออกจากโลกในอดีต เมื่อรู้สึกว่ามีตัวอะไรมากระโจนกอดอยู่บนหลังของเขา  อะไรที่ว่านั้นการุญรู้ดีว่ามันคือเจ้าตัวแสบประจำตระกูล   เพราะความเป็นผู้นำของตระกูลที่ต้องสวมบทมาดขรึมบวกกับความเย็นชาและแววตาที่เฉยชาทำให้ไม่มีใครกล้าเล่นอะไรแบบนี้กับเขานอกจาก  ‘เขมวรรณ’ บุตรชายคนโต เฮ้ย!!  ไม่ใช่สิ  บุตรสาวคนโตของ ‘กันต์กมล  จิรโชติยานนท์’  น้องสาวของเขาที่เสียชีวิตไปแล้วในอุบัติเหตุครั้งนั้น   การุญจึงรักเขมวรรณและรัตติกาล บุตรสาวคนเล็กของกันต์กมลเหมือนลูกแท้ๆของเขาเอง
          เขมวรรณ  จิรโชติยานนท์  มีบุคลิกที่ดูห้าวๆแข็งๆเหมือนเด็กผู้ชาย คอยสร้างแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับทุกคนทำให้เป็นที่รักของคนในตระกูล ซึ่งจะแตกต่างกับรัตติกาลที่เป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจา ทั้งๆที่เป็นคู่แฝดกันแท้ๆแต่กลับไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่หน้าตา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา