จอมใจ....สุดที่รัก

7.7

วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.25 น.

  23 ตอน
  50 วิจารณ์
  119.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 21.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) +++....หนึ่งที่เจอ 2 +++

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 

                “ออกไป!! ไม่ต้องมายุ่งกับเมียฉัน! เป็นเพราะนาย….เพราะนายคนเดียว!!!”

 

                ผู้เป็นพี่ตะโกนไล่ผู้เป็นน้องเสียงกร้าว ทำให้เหล่าบอร์ดี้การ์ดที่อยู่คุ้มกันในบริเวณแถวนั้นต้องรีบมาลากนายน้อยคนรองออกมาจากรถอย่างเร็วรี่ ความชุลมุนทำให้ร่างแกร่งถูกผลักลงกับพื้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากแต่พอเมื่อกายหนุ่มจะตั้งหลักใหม่รถคันโกก็แล่นจากเขาไปไกลเสียแล้ว

 

                ‘บึ้มมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!!’

 

                เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเพลิงไฟที่ลุกฮือไปทั่วรถคันโก้ต่อหน้าต่อตาทุกคน ความแรงของระเบิดนั้นทำเอาชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แทบจะเผาไหม้เนื้อหากว่าเขาอยู่ใกล้รัศมีอีกเพียงไม่ถึงเมตร ต้นไม้แถวนั้นถูกแผดเผาจนเกิดเป็นเพลิงไหม้วงใหญ่ หากแต่เพราะฝนที่ตกกระหน่ำจึงทำให้เกิดกลุ่มควันไฟลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้นและเคลื่อนตัวแผ่กระจายออกไปทุกสารทิศแทน

 

                อีดีธยืนมองควันไฟกลุ่มใหญ่นั้นด้วยอาการช็อกที่ทำให้เขาตัวตื้อชาไปหมด สิ่งรอบด้านกลายเป็นเสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ในหูและโสตประสาทการรับรู้ เหตุการณ์ต่างๆถูกฉายวาบเป็นภาพแบบช็อตต่อช็อต ก่อนที่ทุกๆอย่างจะเคลื่อนช้าลงอย่างกะทันหัน และเลือนรางจนมืดหม่นลงในที่สุด….  

 

ให้เหลือเพียงแค่ความทรงจำสุดท้าย….กับรอยยิ้มที่แสนหวาน….และตราบาปที่ติดอยู่ใจของเขาไปตลอดกาล!

 

แล้วหลังจากวันนั้น….

 

                “ดอลลี่….”

 

               “ดอลลี่หนูอยู่ไหน….ตอบอาหน่อยสิครับ ดอลลี่….”

 

                ชายหนุ่มเรียกหาหลานสาวสุดที่รักพลางวิ่งไปทั่วคฤหาสน์ หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าหลานตัวน้อยได้หายไปจากอ้อมอกอันแสนอุ่นของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาวิ่งวุ่นเปิดห้องทุกห้องดูและควานหาไปทั่วดั่งว่าเธอเป็นตุ๊กตาตัวเล็กๆที่สามารถตกหล่นไปทุกซอกทุกมุมได้อย่างไงอย่างงั้น ความกลัวก็พลันสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อหาเจ้าตัวเล็กเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักที จนตอนนี้เขารู้สึกร้อนรุ่มใจจนแทบจะบ้าตายเลยทีเดียว

 

                “ดอลลี่….”

 

                ร่างแกร่งวิ่งลงมายังชั้นล่างก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นผู้เป็นภรรยากำลังยืนคุยอยู่กับแม่บ้านและลูกน้องคนสนิทด้วยท่าทีที่เหมือนมีลับลมคมนัย เขารีบตรงไปหาหล่อนอย่างเร็วรี่ อารมณ์โกรธเกรี้ยวพุ่งสูงขึ้นในทันทีเพราะเขารู้ดีว่าที่หลานเขาหายไปนี้จะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้....

 

นอกจากฝีมือของภรรยาคนนี้….ที่เขาถูกบีบบังคับให้แต่งงานด้วยนั่นเอง!

 

                “คุณเอาหลานสาวของผมไปไว้ไหน!” เสียงกร้าวถามออกไปดังลั่นพร้อมกับกายกำยำที่ก้าวฉับไปหาคนตัวการ ทำเอาคนที่ยืนคุยกันอยู่ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจพลางหันไปมองเขาอย่างหวาดๆ ก่อนที่คนเป็นภรรยาจะทำทีตีสีหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น

 

                “อะไรของคุณคะอีดีธ” หล่อนกล่าวพลางทำหน้าตาใสซื่อจนน่าหมั่นไส้

 

                “ผมถามว่าคุณเอาดอลลี่ไปไว้ที่ไหน!!” ชายหนุ่มย้ำคำถามอีกครั้งน้ำเสียงเข้ม ความโกรธเกรี้ยวยิ่งทวีคูณมากขึ้นจนเขาแทบจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่

 

                “ฉันจะเอาหลานของคุณไปทำไมล่ะคะ อย่ามากล่าวหากันพล่อยๆแบบนี้นะ” หล่อนว่าก่อนจะทำทีเป็นหันไปคุยกับแม่บ้านคนสนิทที่ยืนหลบหน้าหลบตาตัวแทบสั่นต่อ หากแต่ก็ต้องหันกลับไปหาผู้เป็นสามีโดยเร็วพลันเพราะถูกมือแกร่งกระชากแขนอย่างแรงจนหล่อนแทบจะอุทานออกมา

 

                “อย่ามาตลกหน่าเรเบล….ผมรู้ว่ามันเป็นฝีมือของคุณ เพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปในห้องของผมหากไม่ได้รับอนุญาตนอกจากคุณและลูก!”

 

                “มีหลักฐานหรอคะว่าฉันลักพาหลานสาวสุดที่รักของคุณไป”

 

                “หึ….ไม่ต้องมีหลักฐานหร๊อก….แค่เห็นหน้าคุณผมก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร” อีดีธกล่าวอย่างเหยียดๆพลางมองคนตรงหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์และเต็มไปด้วยความรังเกียจจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ “เพราะคำว่าชั่วมันแปะไว้อยู่กลางหน้าผากของคุณยังไงเล่า!”

 

                “ใช่ค่ะฉันมันชั่ว! แต่คุณไม่ชั่วยิ่งกว่าฉันหรอคะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างทันควัน พลางมองสามีสุดที่รักด้วยแววตาที่ตัดพ้อต่อว่า และแฝงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างยวดยิ่ง “คุณฆ่าได้แม้กระทั่งพี่ชายของตัวเอง….เพียงเพราะแค่รักนังผู้หญิงเอเชียหน้าโง่คนนั้น!”

 

                “ผมไม่ได้ฆ่าเขา! ผมไม่ได้ฆ่าใครทั้งนั้น!!”

 

                “คุณฆ่า! ฆ่าทั้งพี่ชายของคุณและยัยผู้หญิงคนนั้น คุณเป็นคนฆ่าพวกเขา!!”

 

                “หุบปาก!!!”

 

                 ‘เพี๊ยะ!!!!’

 

                ความโมโหจนเลือดขึ้นหน้าเพราะถูกกล่าวหาเรื่องที่ฝังรากลึกอยู่ในใจทำให้ผู้เป็นสามีควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่     มือสากฟาดเข้าให้ที่แก้มนิ่มอย่างจังจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณกลางคฤหาสน์ ร่างอวบอึ๋มเซถลาไปตามแรงตบนั้นจนเกือบจะล้มลงหากแม่บ้านและลูกน้องคนสนิทไม่เข้ามาประคองเอาไว้เสียก่อน    

       

               “อย่าพูดพล่อยๆแบบนี้อีก จำไว้!” ชายหนุ่มบอกก่อนที่ร่างแกร่งจะหมุนตัวกลับพลางพยายามกดอารมณ์โกรธให้ต่ำลง ก่อนที่เขาจะก้าวฉับตรงไปยังบันไดแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงสั่นเครือของผู้เป็นภรรยาดังขึ้นมาเสียก่อน

 

                “ทำไมคะ! ทำไมคุณถึงต้องทำทุกอย่างเพื่อมันด้วย ทั้งๆที่มันก็แค่เป็นเพื่อนของคุณคนหนึ่งเท่านั้น….ทำไมคุณต้องคิดถึงมัน….ทำไมคุณถึงไม่ลืมมันไปเสียที!!” หล่อนถามพลางร่ำไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น ความเจ็บปวดรุกรามไปทั่วหัวใจจนเหมือนมันกำลังจะแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดี

 

               “เพราะเธอคนนั้นมีค่าสำหรับฉัน….มากกว่าใครทั้งหมดน่ะสิ” เสียงทุ้มตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลงแต่คนฟังยังคงได้ยินคำตอบนั้นอย่างชัดเจน ความเจ็บปวดรุกรามไปทั่วหัวใจดวงแกร่งไม่แพ้กับหัวใจที่อ่อนแรงของผู้เป็นภรรยาที่แหลกสลายไปแล้วกับคำตอบที่ได้รับ

 

               “แล้วคุณแต่งงานกับฉันทำไมคะ คุณแต่งทำไม!!!”

 

                “ก็เพราะว่าฉันถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานกับเธอยังไงล่ะ” อีดีธหันขวับมาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเข้มห้วน ดวงตาหม่นฉายไปด้วยแววกรุ่นโกรธและเหมือนกับกำลังโทษหล่อนอยู่ไม่มีผิด “ไม่อย่างนั้นเธอคิดเหรอว่าฉันจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงร้ายกาจอย่างเธอ!”

 

                “แต่ตอนนั้นคุณบอกว่า….”

 

                “มันก็แค่คำโกหก!....ที่วันนั้นฉันบอกรักเธอ….มันก็แค่คำประชดของฉันเท่านั้น”

 

                คำพูดของเขาทำเอาคนเป็นภรรยาต้องนิ่งงันไปในทันใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนวาดฝันไว้มันกลับพังทลายและแหลกสลายไปหมดจนไม่เหลือเป็นชิ้นดี ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกมาตลอดว่าผู้เป็นสามีแอบมีใจให้กับเพื่อนสาวต่างชาติของเขาก็ตาม แต่ในวันงานแต่งงานของเขาและหล่อน….เขากลับเอ่ยบอกคำว่ารักให้หล่อนฟัง แจ้งประจักษ์ให้คนในงานได้รู้กันทั่วว่าเขารักหล่อนมากแค่ไหน

 

จริงสินะ….เขาพูดออกสื่ออย่างไม่คิดจะอายใคร….แต่แววตาและน้ำเสียงที่เขาใช้ มันเหมือนกับกำลังประชดใครอยู่จริงๆ

 

หากแต่หล่อนกลับเลือกหลงเชื่อคำของเขาจนหมดหัวใจ….เพราะความรักที่หล่อนมอบให้เขามันมากมายเสียหล่อนไม่คิดจนไม่ลืมหูลืมตา!

 

                ชายหนุ่มมองหน้าภรรยาของตัวเองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันตัวกลับและเดินตรงไปยังบันไดหรูอีกครั้ง หากแต่ก็ต้องชะงักงันและรีบหันขวับกลับไปอีกหนเมื่อจู่ๆเสียงยิงปืนก็ดังลั่นไปทั่วคฤหาสน์อันเงียบสงบอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย!

 

                ‘ปัง! ปัง!!’

 

                “เรเบล!”

 

                อีดีธยืนตะลึงงันมองดูร่างสองร่างของลูกน้องที่พากันล้มลงไปต่อหน้าต่อตา เลือดสีสดไหลอาบไปทั่วพื้นชั้นดีจนน่ากลัว ร่างท้วมของแม่บ้านประจำตระกูลที่ชักกระตุกเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆแน่นิ่งไปทำเอาผู้เป็นนายถึงกับพูดอะไรไม่ออก กายที่ดูเหมือนอ่อนแรงของผู้เป็นภรรยาที่ยืนก้มหน้าหันหลังให้กับเขาค่อยๆหันกลับมาทางเขาพร้อมกับยกมือที่ถือปืนไว้มั่นขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาโฉบเฉี่ยวแดงก่ำและช้ำบวมจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด ร่างอวบอึ๋มสั่นเทาไปตามแรงกลั้นสะอื้นจนแทบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่

 

               ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะมืดหม่นลงจะเขาและหล่อนแทบจะหยุดหายใจ มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ที่เล็ดลอดออกมาจากปากสวยที่พอดังให้ร่างใหญ่ได้สติ ก่อนที่เขาจะต้องชะงักไปอีกครั้งและรีบสั่งห้ามเหล่าลูกน้องที่เข้ามาป้องกันเขาไว้ไม่ให้โดนทำร้ายโดยการเล็งปืนไปที่ผู้เป็นภรรยาของเขาเช่นกัน ทำเอาคนมีสำนึกความเป็นสามีต้องอกสั่นเพราะกลัวว่าแม่ของลูกจะได้รับอันตรายเข้า

 

                “เรเบล! อย่าทำอะไรบ้าๆนะ!” อีดีธร้องห้ามภรรยาของตัวเองเสียงหลง เพราะกลัวว่าถ้าหากหล่อนนึกครึ้มเหนี่ยวไกปืนขึ้นมาไม่ใช่เขาหรอกที่จะเป็นคนหมดลม แต่จะเป็นหล่อนต่างหากที่เป็นคนสิ้นใจ!

 

                “คุณอยากรู้มากใช่ไหมว่าหลานสาวสุดที่รักของคุณหายตัวไปไหน” หล่อนพูดเสียงสั่นเครือก่อนจะกระตุกยิ้มด้วยอารมณ์ที่ติดอยู่ในด้านมืดที่ไม่มีวันกู่ให้กลับได้อีกแล้ว “ใช่….ฉันเป็นคนลักพาแกไปเอง….เพราะอะไรนะหรือ….หึ….ก็เพราะคุณไงล่ะ….คุณคือตัวการทุกอย่างของเรื่องทั้งหมด ทุกคนต้องตาย….ก็เพราะคุณ….ทั้งพี่ชายของคุณ เพื่อนของคุณ และหลานสาวของคุณ….ต่างก็ต้องมาตายก็เพราะคุณ….เพราะคุณคนเดียวเท่านั้น!”

 

                “ธะ….เธอหมายความว่า….” เขาถามออกมาเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างจับใจ   

 

                “หลานสาวของคุณถูกฉันขายให้กับพวกแก๊งนักล่าเด็กเลือดเย็นไปแล้ว….ฉันก็ไม่รู้นะว่าตอนนี้แกจะยังอยู่หรือว่าตาย….หึ….สะใจดีไหมล่ะคะคุณอีดีธ” หญิงสาวว่าด้วยน้ำเสียงที่เย็นเหยียบเหมือนดั่งว่าหล่อนไม่มีหัวใจแล้วอย่างไงอย่างงั้น

 

                “เธอ….”

 

                “หวังว่ามันคงจะไม่รอดเหมือนกับแม่ของมัน….เหมือนกับที่ฉันทำให้แม่ของมันตาย!”

 

                คำพูดของหล่อนทำเอาผู้เป็นสามีต้องเบิกตากว้าง ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวด้วยความตกใจอย่างยวดยิ่ง สิ่งที่เขาสงสัยมาตลอดกลับกระจ่างชัดขึ้นมาทุกสิ่งอย่าง มัจจุราชที่พรากชีวิตสองชีวิตไปจากเขานั้นไม่ใช่หมู่มารหรือซาตานที่ไหน….

 

แต่กลับเป็นภรรยาที่เขาไม่เต็มใจจะร่วมชีวิตด้วยคนนี้เอง!

 

               “นี่เธอเป็นคน….”

 

                “ใช่ค่ะ! ฉันเป็นคนสั่งวางระเบิดในรถของพี่ชายคุณเอง….ไม่ดีหรอคะ….ฉันอุตส่าห์ช่วยคุณกำจัดศัตรูตัวฉกาจนะ….จะไม่ชื่นชมฉันหน่อยหรอคะ” เสียงสั่นเอ่ยออกมาอย่างติดตลกแบบร้ายๆ เหมือนกับว่าตอนนี้จิตวิญญาณและสามัญสำนึกของหล่อนมันหลุดลอยไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว

 

               “แล้วมันก็เป็นความบังเอิญเหลือเกิน….ที่ฉันสามารถกำจัดศัตรูของฉันให้สิ้นซากไปได้ด้วย”

 

               “ทำไมเธอถึงทำแบบนี้….ทำไมกันเรเบล”

 

               “ก็เพราะคุณยังไงล่ะคะ! เพราะคุณ….ที่ฉันต้องทำทุกอย่างนี้มันก็เป็นเพราะคุณ….ถ้าเพียงคุณให้โอกาสฉันและลูกสักครั้ง….แค่เพียงคุณหันมามองพวกเราบ้าง สนใจพวกเราบ้างอย่างที่คุณสนใจผู้หญิงคนนั้นและหลานของคุณ….ฉันก็คงไม่ต้องทำแบบนี้” หล่อนเอ่ยความในใจออกมาจนหมดสิ้น ความเจ็บช้ำอย่างยวดยิ่งกัดกินหัวใจดวงน้อยของหล่อนจนไม่เหลือไว้ให้ต้องชอกช้ำอีกต่อไป

 

แล้วจู่ๆเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น….เมื่ออยู่ๆมือเรียวก็ค่อยๆย้ายปากกระปอกปืนเลื่อนมาจ่อตรงขมับของตนแทน!

 

                “ฉันรักคุณมากนะคะอีดีธ….แต่เพราะว่าคุณไม่รักฉัน….ฉันก็เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อให้คุณรัก….แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น….คุณยังคงไม่รักฉัน….มาจนถึงตอนนี้” หญิงสาวกล่าวก่อนจะกระชับปืนให้แนบขมับมากขึ้น ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ต้องอกสั่นขวัญหายไปตามๆกัน

 

                “เรเบล! อย่าทำอะไรบ้าๆนะ! ฟังผมก่อนที่รัก ฟังผม….”

 

                “ไม่! ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น….คุณบอกเองว่าไม่ได้รักฉัน….คุณไม่เคยรักฉันเลย!”

 

                เสียงเครือตวาดขึ้นจนเสียงดังลั่นไปทั่วคฤหาสน์ ให้เด็กน้อยที่ยืนเกาะเสาบันไดชั้นบนสุดและมองดูเหตุการณ์เบื้องล่างต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัว ร่างเล็กเกาะเสาไว้แนบแน่น จ้องมองผู้เป็นพ่อและแม่ของตนตาไม่กระพริบ ดั่งกำลังเก็บกักทุกสิ่งใส่ไว้ในพื้นที่ความทรงจำ….ที่หม่นดำและเต็มไปด้วยภาพแห่งความช้ำที่ผู้เป็นแม่ต้องเผชิญ

 

                “เรเบล….ฟังผมก่อนนะ คุณไม่เป็นห่วงลูกบ้างเหรอ….ป่านนี้โมนิก้าคงจะร้องไห้โยเรียกหาคุณไปทั่วห้องแล้วล่ะ….เราไปหาลูกกันเถอะนะเรเบล” ชายหนุ่มรีบเอาลูกสาวคนเดียวของเขาและหล่อนมาเป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะให้ผู้เป็นภรรยาได้สติและคิดขึ้นมาได้ว่าหล่อนยังมีลูกที่เป็นเสมือนดั่งดวงใจของหล่อนอยู่

 

                “หึ….ลูกหรอ….คุณยังจำโมนิคลูกของเราได้อยู่อีกหรอคะ….อีดีธ” หล่อนแค่นเสียงสวนกลับทันควัน “ฉันจำได้ว่าตั้งแต่ที่แกลืมตาดูโลกมา คุณก็ไม่เคยคิดจะสนใจแกเลยแม้แต่นาทีเดียว….ไม่เหมือนกับหลานสาวของคุณ….ที่พอมันลืมตาดูโลกขึ้นมาปุ๊บ คุณก็เร่เรียกหาแต่มันปั๊บ….น่าสงสารโมนิก้าของเราจริงๆเลยนะคะ”

 

                “ผม….” เขาได้แต่อ้ำอึ้งพลางหลุบตาลงเหมือนดั่งกำลังปกปิดความผิดของตนอยู่

 

                “ฉันขอให้คุณจำไว้….ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเพราะตัวของคุณ….คนที่ผิด….ก็คือคุณ….วิญญาณทุกวิญญาณจะพร้อมใจกันสาปแช่งคุณ….และฉันขอให้คุณทนทุกข์อยู่กับตราบาปนี้….ที่มันจะติดตัวคุณ….ไปจนวันตาย!”

 

                “คุณ….เป็นคนฆ่า....ทุกๆคน….”

 

                ‘ปัง!!!!!’

 

                “เรเบล!!!!”

 

                “แม่….”

 

                เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวจนคนได้ยินต่างต้องใจหายวาบไปตามๆกัน ทุกอย่างจบลงเมื่อร่างผู้เป็นนายหญิงของบ้านสิ้นลมหายใจ เลือดสีสดที่รินไหลออกจากกายที่ไร้วิญญาณเป็นเสมือนรอยบาปที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจของคนสองคนไปตลอดกาล

 

ดวงตาน้อยที่จ้องมองเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์จะจดจำโศกนาฏกรรมนี้ไปจนชั่วนิจนิรันดร์….

 

 

               

เวสต์เลค ฟลอริด้า , สหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน….

 

                เขายังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดี….ไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปีหรือจะผ่านไปกี่วินาทีเขาก็ยังคงจำมันได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน ความผิดที่เขาก่อมันมากมายเกินกว่าที่จะให้อภัยได้ ถึงแม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะถูกปิดเงียบไปโดยพ่อของเขาจนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนที่รู้เรื่องดีที่สุดก็คือเขา….คนทั้งสามที่เขารักจนหมดหัวใจกลับต้องมาตายจากไปมันก็เป็นเพราะฝีมือของเขาเอง

 

ใช่….เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาโกรธแค้นพี่ชายของเขามากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรเลือดมันก็ย่อมข้นกว่าน้ำ….เขาก็ยังรักและแอบชื่นชมในความเก่งของผู้เป็นพี่เสมอมา ถึงแม้ว่าทุกครั้งเขาจะต้องเจ็บปวดกับความชอกช้ำที่คนเป็นพี่ชายสุดที่รักยัดเยียดให้เขาก็ตาม

 

และใช่….เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้รักภรรยาของเขาในเชิงชู้สาว แต่ยังไงเขาก็รัก….ในฐานะที่หล่อนเป็นแม่ของลูกเขา รัก….ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมโลก รัก….ในฐานะที่หล่อนและเขาเกิดมาคู่กัน

 

                “ตอบฉันมาสิคะ”

 

                เสียงแห้งที่ดังขึ้นทำให้ชายสูงวัยหลุดพ้นจากภวังค์แห่งความทุกข์ออกมาได้ ใบหน้าเหี่ยวย่นหันไปมองคนตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาอ่อนโรยสบตากับดวงตาหมองหม่นด้วยแววตาอ่อนโยนอีกหน และแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าจนหญิงสาวต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่เธอจะได้ทันพูดถามอะไรมือสากก็ทำการเปิดกล่องไม้ออกและพูดกับเธอขึ้นมาเสียก่อน

 

                “เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน ตอนนั้นฉันและพ่อของเธอซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่แท้ๆของฉันมีปัญหาเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างหนัก จนทุกๆอย่างมันเลวร้ายไปหมด….มันเป็นความผิดของฉันเอง”

 

                “นี่เป็นรูปพ่อและแม่ของเธอ” เขาหยิบภาพถ่ายเก่าๆใบหนึ่งออกมาและยื่นมันให้กับคนตรงหน้า “ดูสิ….นั่นใช่แม่ของเธอหรือเปล่า”

 

               กานดารับรูปมาจากมือสากนั้นพลางจ้องมองมันตาไม่กระพริบ เธอไล้นิ้วอย่างแผ่วเบาไปตามคนที่อยู่ในรูปถ่าย ซึ่งมีผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาในแบบชาวอเมริกันกำลังโอบกอดผู้หญิงที่มีหน้าตาสละสลวยในแบบชาวเอเชียไว้อยู่ ในอ้อมอกของหญิงสาวนั้นมีเด็กน้อยตัวเล็กๆหน้าตาแป้นแล้นกำลังยิ้มแฉ่งมองมาที่เธอ ภาพต่างๆเหมือนถูกย้อนเข้ามาในความทรงจำในทันใด แต่มันเลือนรางเสียจนเธอไม่สามารถจะอธิบายออกมาได้ จนเธอคิดไปว่าเธออาจจะเพ้อเจ่อไปเอง ที่พอแค่เห็นรูปนิดๆหน่อยๆก็ชวนเชื่อคำของใครเขาไปเสียหมด

 

หากแต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกสับสน….คือเธอและผู้หญิงในรูปนั้น….กลับมีหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างยวดยิ่ง!

 

               “ตอนนั้นเธออายุประมาณสองขวบเห็นจะได้ น่าจะพอจำหน้าพ่อกับแม่ได้ลางๆบ้างนะ” อีดีธเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปนาน “ทีนี้เชื่อหรือยังล่ะว่าเธอเป็นหลานสาวของฉันจริงๆ”

 

                “แค่รูปใบนึงคงทำให้ฉันปักใจเชื่อคุณไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับส่งรูปนั้นคืนให้กับผู้ที่อ้างว่าเป็นอาของเธอ “แล้วอย่างที่บอก….คนเรามันหน้าตาคล้ายคลึงกันได้ และถ้าฉันเป็นหลานของคุณจริงๆ….ฉันก็คงไม่ต้องไปตกระกำลำบากตั้งแต่จำความได้หรอกค่ะ ในเมื่อตระกูลของคุณออกจะรวยล้นฟ้าขนาดนี้”

 

                คำพูดอันเชือดเฉือนเหมือนกำลังตัดพ้อต่อว่าของคนตรงหน้าทำให้ผู้เป็นอาต้องใจแป้วรู้สึกผิดมากเข้าไปใหญ่ เขาถอนหายใจออกมาอีกรอบก่อนที่มือสากจะหยิบรูปในกล่องออกมาอีกสองสามใบ และส่งมันให้กับเธอเป็นหลักฐานเพิ่มเติม

 

                “นี่เป็นรูปของเธอที่ฉันมีทั้งหมด….ฉันเก็บมันไว้อย่างดีในกล่องใบนี้ เมื่อได้มันมาจากการตามหาเธอ”

 

                กานดามองคนในรูปนั้นแล้วก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นมาอีกครั้ง ทุกรูปที่ได้เห็นนั้นมีตัวเธออยู่ในรูปหมดทั้งสิ้น ภาพแรกคือภาพวัยเด็กที่เธอถ่ายกับกลุ่มเพื่อนหลังจากรับรางวัลในงานแข่งขันกีฬาสีของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยความที่เธอตัวเล็กและเป็นคนวิ่งเร็วจึงทำให้ชนะในการแข่งขันวิ่งแข่งมา ซึ่งเรียกได้ว่ามันเป็นความทรงจำอันล้ำค่าอย่างหนึ่งเลยทีเดียวเพราะวันนั้นเป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุดตั้งแต่จำความได้นั่นเอง

 

                ภาพที่สองเป็นภาพที่เธอถ่ายกับเหล่าพี่เลี้ยงและเพื่อนๆในวันที่เธอต้องจากที่นั่นมา ส่วนภาพสุดท้ายเป็นภาพที่เธอถ่ายกับเจ้าของร้านอาหารที่เธอไปทำงานในช่วงวัยมัธยม ซึ่งพวกเขาเปรียบเสมือนเป็นลุงและป้าบุญธรรมของเธอ เป็นเหมือนดั่งคนในครอบครัวจริงๆของเธอตั้งแต่ที่เธอเกิดมาเลยก็ว่าได้ วันนั้นเป็นวันที่ลุงบุญธรรมได้กล้องถ่ายรูปมาใหม่ จึงอยากเก็บภาพในช่วงเวลานั้นไว้ดูยามที่เหงาในอนาคต

 

                “คุณไปได้รูปพวกนี้มาจากไหน” หญิงสาวถามพลางจ้องคนตรงหน้าตาเขม็ง นึกหวั่นอยู่ในใจว่าคนในรูปทุกคนจะเกิดอันตรายอะไรขึ้นมาหรือเปล่า

 

                “ตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอ….ถูกส่งตัวไปอยู่ที่เมืองไทย ฉันก็ออกตามหาเธอมาตลอด”

 

               อีดีธกล่าวเสียงแผ่วลงเล็กน้อย พลางนึกย้อนไปถึงวันที่เขารู้ว่าจริงๆแล้วหลานสาวของเขาไม่ได้ถูกขายให้กับแก๊งนักล่าเด็กแต่อย่างใด แต่ภรรยาของเขาส่งตัวเธอไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยมีคนรับใช้ประจำตัวแม่ของเธอและเป็นเสมือนพี่เลี้ยงของเธอติดตามไปด้วยต่างหาก

 

               “ฉันพยายามติดต่อหน่วยงานต่างๆที่ประเทศไทย พยายามตามหาเธอทุกวิถีทางที่ทำได้….แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่วุ่นวายมาก บวกกับเพราะบางสิ่งบางอย่างจึงทำให้ฉันไม่สามารถตามหาเธอได้อย่างสะดวก….ฉันจึงได้มาแต่รูปภาพพวกนั้น….แทนที่จะเป็นตัวเธอ”

 

                หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วฟังชายสูงวัยตรงหน้าพูดอย่างไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด….เธอไม่เข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เธอไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดกับเธอได้อย่างไร เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้านี้ถึงตามหาตัวเธอไม่เจอทั้งๆที่แค่เขาดีดนิ้วเปาะเดียว….คนทุกคนที่เขาตามหาหรือต้องการตัวก็มาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างง่ายดายแล้ว

 

แต่กับเธอ….ทำไมเขาถึงทำไม่ได้….ทำไมเขาถึงตามหาตัวเธอไม่เจอ….มันเป็นเพราะอะไรกัน?

 

                “เธออาจจะยังไม่เชื่อนะ ว่าเธอเป็นหลานของฉันจริงๆ” เสียงทุ้มเครือกล่าวก่อนที่เขาจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน “แต่สิ่งที่ทำให้ฉันมั่นใจว่าเธอนี่แหละคือหลานสาวแท้ๆของฉันจริงๆ นั่นก็คือแหวนพลอยวงนั้น….วงที่เธอใส่อยู่ตอนนี้”

 

                กานดามองคนตรงหน้าด้วยความงุนงงก่อนที่เธอจะค่อยๆก้มมองแหวนเก่าๆที่มีทับทิมสีแดงประดับอยู่บนหัวแหวนอย่างสวยงาม มันเป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่จำความได้ ในตอนที่เธอยังเด็กอยู่มากพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเธอมาตลอดมักจะนำมันออกมาขัดถูให้เงาวับอยู่เป็นประจำ แล้วก็บอกว่าของชิ้นนี้เป็นของที่สำคัญมากๆสำหรับเธอ แต่พอเธอถามว่าทำไมหล่อนก็มักจะเงียบไปหรือไม่ก็เฉไฉเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน แล้วในเวลาต่อมาพี่เลี้ยงของเธอคนนี้ก็ป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ซึ่งเธอมาทราบตอนโตว่าโรคที่หล่อนเป็นนั้นคือโรคมะเร็งนั่นเอง หล่อนจึงนำแหวนวงนั้นมาร้อยเข้ากับสายสร้อยและสวมให้กับเธอ พร้อมกับย้ำเตือนเธอว่าให้นำมันติดตัวตลอดห้ามทำหาย และอย่าให้ใครยืมไปหรือขโมยไปเด็ดขาด ตั้งแต่นั้นเธอจึงนำแหวนวงนี้ติดตัวตลอดมา และพอเมื่อเธอโตขึ้นพอที่จะสวมแหวนได้แล้ว เธอจึงสวมใส่มันไว้ตลอด ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร หรือเวลาใดก็ตาม….

 

                “มันเป็นแหวนประจำตระกูลที่ย่าของเธอทำขึ้นมาเพื่อมอบให้กับสะใภ้ของบ้านและทายาทสือบต่อไป….ฉันและอีเดนหรือพ่อของเธอเราได้มากันคนละวง ของฉันเป็นทับทิมสีเขียวมรกตส่วนของอีเดนเป็นทับทิมสีแดงสด ซึ่งแหวนทั้งสองวงจะมีชื่อตระกูลเจสซี่สลักไว้ภายในวงแหวน….ฉันคิดว่าเธอคงไม่ได้สังเกตก็เลยไม่ได้ออกตามหาฉันที่เป็นญาติแท้ๆของเธอ”

 

                ผู้เป็นอากล่าวก่อนจะส่งแหวนที่ตนถืออยู่นั้นให้กับหลานสาวสุดที่รัก มือเล็กเอื้อมไปรับมันไว้อย่างมึนงง เธอมองดูแหวนวงนั้นสลับกับแหวนวงที่เธอสวมใส่ไปมา มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ผิดก็แต่หัวแหวนที่ประดับด้วยพลอยสีต่างกันเท่านั้นเอง เธอจึงลองเพ่งดูรอบๆในตัววงแหวนแล้วก็เห็นว่ามีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสลักอยู่ ซึ่งมันเป็นชื่อสกุลของคนตรงหน้าเธอจริงๆเสียด้วย

 

                ‘ตระกูลเจสซี่’

 

                เธออ่านมันในใจพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหันมามองแหวนของตนบ้าง และค่อยๆถอดมันออกมาเหมือนกำลังต้องมนตร์สะกด แหวนเก่าๆที่ไม่เคยถูกขัดให้เอี่ยมวับเหมือนแหวนวงแรกพลอยยังคงสุกสดไม่หมองหม่นไปตามกาลเวลา ดวงตากลมหม่นจ้องมองไปที่วงแหวนอย่างตาไม่กระพริบ ถึงแม้ว่ามันจะเก่าและมีสีที่คล้ำลง แต่ตัวหนังสือที่สลักไว้นั้นก็ยังคงปรากฏให้เธอเห็นเป็นอักษรลางๆที่พอจะอ่านความได้

 

                ‘ตระกูลเจสซี่’

 

                หญิงสาวพึมพำออกมาพลางจ้องมองตัวหนังสือนั้นตาเขม็ง เธออ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ เหมือนกับว่าตอนนี้สมองของเธอไม่ยอมสั่งการอะไรอีกแล้วนอกจากสั่งให้อ่านมันอยู่อย่างนั้น ตัวของเธอร้อนวูบขึ้นมาอย่างฉับพลัน และจู่ๆก็กลับหนาวจนแทบสั่นขึ้นมาอย่างจับใจ ใบหน้าซีดขาวค่อยๆเงยหน้ามองใบหน้าสูงวัยนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ปากเล็กขยับเพียงนิดดั่งกำลังพูดอะไรออกมาหากแต่กลับมีแต่ลมออกมาเท่านั้น ก่อนที่เธอจะก้มมองแหวนทั้งสองวงอีกครั้งด้วยแววตาตื่นๆ

 

                “ทีนี้จะเชื่อฉันหรือยังล่ะว่าเธอเป็นหลานของฉันจริงๆ”

 

                “มะ….มันเป็นไปได้ยังไง”

 

                “ไม่รู้สิ….แต่มันก็เป็นไปแล้ว พระเจ้าคงรับฟังคำอ้อนวอนของฉันแล้วล่ะมั้งเราถึงได้พบกัน” อีดีธกล่าวพลางมองหลานสาวของตนที่ยังคงอยู่ในอาการตื่นตกใจ

 

                กานดายังคงก้มมองแหวนทั้งสองวงนั้นโดยที่ไม่คิดจะตอบอะไรออกมา เธอกำลังช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมานี้จะเป็นเรื่องจริง เธอเป็นหลานสาวของเขา….เป็นหลานสาวของเขาจริงๆอย่างนั้นหรือ นี่เธอมีญาติมีตระกูลกับเขาด้วยหรือนี่ เธอยังมีคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนในครอบครัวอยู่อีกหรือ

 

ไม่ได้ฝันไป….ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม….สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างนี้….มันเป็นความจริงไม่ใช่ความฝันจริงๆใช่ไหม….

 

                “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องโตมาอย่างลำบากลำบน ต่อแต่นี้ฉันจะขอชดใช้ความผิดทั้งหมดที่ฉันมี….กับเธอ” เสียงทุ้มเครือเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิดจริงๆ “ต่อไปนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอลำบาก ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอกลายเป็นคนไม่มีญาติ….ฉันรู้มาว่าเธอถูกเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็นนามสกุลของคนที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นั่นจึงทำให้ฉันตามหาตัวเธอยากมากยิ่งขึ้น….พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปเปลี่ยนนามสกุลกลับมาเป็นเจสซี่อย่างเดิม….ดอลลี่….หรือกานดา เจสซี่”

 

                หญิงสาวได้แต่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก คำพูดต่างๆลอยผ่านเข้ามาในหูเหมือนเป็นเสียงหวี่ที่ดังก้องไปทั่วโสตประสาท ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนไม่มีตัวตนสำหรับเธอไปแล้วในตอนนี้ มีเพียงแต่เสียงทุ้มเครือที่เธอยังคงได้ยินอยู่เพียงเท่านั้น จนเหมือนกับว่าเธอกำลังจะเป็นลมหมดสติ เหมือนกับว่าเธอกำลังกลับไปไม่สบายอีกหนอย่างไงอย่างงั้น

 

                “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพี่ชายฉันเธอจะได้มันไปทั้งหมด เธอจะมีชีวิตที่สุขสบาย จะมีคนคอยรับใช้เป็นร้อย ทุกๆอย่างที่ทำให้เธอมีความสุข….ต่อแต่นี้อาจะมอบให้เธอเอง”

 

                “ดะ….เดี๋ยวนะคะ ขอฉันตั้งสติก่อนได้ไหมคะ” เสียงแห้งขัดขึ้นเพราะตอนนี้สมองของเธอกำลังมึนงงอย่างเต็มที่

 

                “มันคงจะยากเสียหน่อยในการปรับตัว….แต่เรามาค่อยๆพยายามกันก็แล้วกันนะ” อีดีธกล่าวพลางส่งยิ้มน้อยๆให้กับหลานสาวสุดที่รักที่พลักพรากจากกันไปนานของเขา ก่อนที่ใบหน้าเหี่ยวย่นจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย

 

                “แต่ตอนนี้อาคงต้องขออะไรเธอบางอย่าง….ไม่ว่าเธอจะยอมหรือไม่ก็ตาม แต่อีกสามวันเธอต้องเดินทางกลับไปอยู่ที่เมืองไทยก่อน ไปอยู่กับลุงและป้าบุญธรรมของเธอ….แล้วหลังจากที่เรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วอาจะไปรับเธอมาอยู่ด้วย อาสัญญา”

 

                “หมายความว่ายังไงคะ” เธอถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ

 

                “เพราะเธอดันไปอยู่กับศัตรูของอา….วิลเลียม….อาจำเป็นต้องจัดการเขา ถ้าเธอยังอยู่อาเชื่อว่าเธอคงต้องขัดขวางอาแน่ๆ เพราะอารู้ว่าเธอกับเขาเป็นอะไรกัน” เสียงทุ้มเครือตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีการล้อเล่นใดๆทั้งสิ้น

 

                “คุณจะฆ่าเขาหรอคะ” กานดาถามขึ้นมาอีกครั้งพลางเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก

 

                “ไม่ถึงกับฆ่าหรอก….เธอก็รู้นี่ว่าอาจะยึดบริษัทเลสเซิ้ลมาเป็นของอาเอง เพราะเธอรู้เรื่องนี้อาก็เลยต้องจับตัวมาปิดปากยังไงล่ะ แต่ยึดมาเพื่ออะไรนั้นอาไม่ขอบอกเธอก็แล้วกันนะ….ให้รู้ไว้อย่างเดียวว่าอามีเหตุผลของอา และอาก็ต้องทำมันให้สำเร็จด้วย”

 

                “ถ้าคุณยึดบริษัท….เลสเซิ้ลก็ต้องล้มละลาย”

 

                “นั่นแหละคือสิ่งที่อาอยากจะให้เป็น”

 

                  หญิงสาวยิ่งเบิกตากว้างมากเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ความเป็นห่วงครอบครัวของชายอันเป็นที่รักนั้นวิ่งแล่นเข้ามาเกาะกุมหัวใจดวงน้อยในทันที พลางตั้งคำถามไปต่างๆนาๆว่าทำไมอาของเธอถึงต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องจ้องแต่จะฮุบบริษัทของคนอื่น แล้วทำไมถึงอยากให้ตระกูลอื่นต้องล้มละลาย

 

นี่อาของเธอเป็นคนเลือดเย็นหรืออย่างไร?

 

                “คุณทำแบบนั้นไม่ได้!” เสียงแหบโพล่งออกมาโดยอัตโนมัติ

 

                “ฉันต้องทำ” ผู้เป็นอากล่าวก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและวางกล่องไม้ลงบนตู้ลิ้นชักข้างเตียง “เธอคงจะรู้จักลูกพี่ลูกน้องของเธอแล้วสินะ….เดี๋ยวฉันจะสั่งให้โมนิก้าไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆกับกระเป๋าเดินทางให้เธอเอง เพราะฉันคงปล่อยให้เธอออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้ ตอนนี้คนของวิลเลียมกำลังตามหาตัวเธอกันให้ควัก อีกอย่าง….ฉันคิดว่าเธอคงจะหนีไปแน่ๆหากฉันปล่อยเธอออกไปจากห้องนี้”

 

                “ฉัน….”

 

                “เอาไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน วันนี้ฉันต้องไปทำงานก่อน” เสียงทุ้มเครือเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้เป็นหลานสาวจะพูดอะไรออกมา “อ้อ….เรื่องไมเคิลเธอไม่ต้องเป็นห่วง เขายังไม่ตายหรอก เพราะฉันไม่ฆ่าใครสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ๆ ตอนนี้เขาปลอดภัยดี….อาไปก่อนล่ะดอลลี่หลานรัก”

 

                กล่าวจบร่างท้วมกันหันหลังกลับและเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้ให้คนเป็นหลานต้องนั่งอึ้งกิมกี่อยู่อย่างนั้น โดยไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่อาและหลานสนทนากัน มีใครบางคนที่แอบดักฟังทุกคำสนทนานั้นด้วยความแค้นที่สุมขึ้นเป็นไฟเพลิงลุกโชดช่วง….เมื่อได้รู้ความจริง

 

                โมนิก้ายืนกำหมัดแน่นอยู่หลังกำแพงที่หล่อนพึ่งหลบมาอีกทางเมื่อรู้ว่าผู้เป็นพ่อกำลังเดินออกมาจากห้อง หล่อนได้ยินทุกๆอย่างตั้งแต่เริ่มจนจบ ความทรงจำในวัยเด็กถูกย้อนคืนกลับมาจนหมดสิ้น ภาพความเลวร้ายที่หล่อนเก็บเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจถูกกระชากขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ความเจ็บปวดของผู้เป็นมารดาที่หล่อนได้เห็นยังหลอกหลอนหล่อนทุกครั้งที่คิดถึงมัน

 

                หล่อนเห็นการกระทำทุกอย่างที่ผู้เป็นพ่อทำกับผู้เป็นแม่ หล่อนเห็นพ่อทำร้ายทุบตีแม่อย่างไม่ใยดี พวกเขาทะเลาะกันเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่หล่อนไม่คิดแม้แต่จะเรียกชื่อ ผู้หญิงที่ดูเผินๆแล้วเหมือนจะเป็นคนดีหนักหนา แต่ภายในกลับเน่าเฟะและร้ายกาจอย่างไม่น่าให้อภัย กับลูกของมันที่น่าเกลียดเป็นไหนๆ….มันแย่งความรักของพ่อจากหล่อนไปอย่างน่าไม่อาย มันแย่งทุกๆอย่างจากหล่อนไป….ตั้งแต่ที่มันเกิดมา

 

 ความแค้นที่ฝังจำ….ความเจ็บปวดที่ฝังลึกในจิตใจ….จะถูกนำมาชำระอย่างสะอาด….ไม่เหลือแม้แต่คราบหยดน้ำตาที่ไหลริน!

 

“แม่คะ….หนูจะแก้แค้นให้แม่เอง….”

 

“ในเมื่อมันและแม่ของมันแย่งความรักของพ่อไปจากพวกเรา….หนูก็จะแย่งความรักทุกสิ่งอย่างไปจากมันเหมือนกัน!!” 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา