Tale of Utopia
เขียนโดย The_Paper
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทนำ (ของจริง)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทนำ
“แอนนา เบลล์” คือชื่อที่ทุกคนพากันเรียกหาตัวฉัน ฉันเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูล “เบลล์” ตระกูลที่เรียกได้ว่าเคยมั่งคั่งที่สุดในเมืองนี้ อันที่จริง...ตอนนี้ตระกูลของเราก็ยังคงมั่งคั่งอยู่นะถึงจะไม่ใช่อันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่ข่าวร้ายก็คือ...ณ เวลานี้ฉันกลับเป็นสมาชิกคนเดียวของตระกูลที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ฉันอายุเพียงสิบเจ็ดแต่กลับมีทรัพย์สินจากมรดกอยู่ล้นมือดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ใครๆพากันอิจฉาว่าไหม? แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้เองที่ทำให้พวกชาวเมืองคนอื่นๆพากันพูดว่าตระกูลของฉันถูกสาปไปเสียอย่างนั้น บ้างก็บอกกันว่าตระกูลของฉันสืบทอดสายเลือดมาจากพ่อมดแม่มดผู้ชั่วร้ายในอดีตซึ่งไม่เคยมีมูลความจริงอยู่เลย มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่ฉันไม่เคยพบเจอเวทมนต์จากที่ไหนสักแห่งในบ้านเลยด้วยซ้ำเนี่ยนะ และที่แย่ที่สุดก็คือตอนนี้ฉันกำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของนักซุบซิบนินทาทั้งหลายว่าเมื่อไหร่... ฉันถึงจะตาย.. นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ใช่วัยรุ่นวัยสิบเจ็ดทุกคนต้องเจออีกเหมือนกัน
ฉันยอมรับนะว่าประเด็นที่ว่าฉันจะตายเมื่อไหร่นี้ดังพอสมควรทีเดียว ทุกคนรู้จักฉันเพราะเหตุนี้... และนั้นทำให้ฉันต้องอยู่ลำพังเรื่อยมา ไม่มีใครอยากคุยกับฉันอีกแล้ว.. พวกเขากลัวว่าถ้าคุยกับฉันแล้วตนจะถูกคำสาปไปด้วย ไร้สาระแท้ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เดือนร้อนนักหรอก อย่างน้อยฉันก็มีบ้าน อย่างน้อยฉันก็มีเงิน อย่างน้อยทุกคนก็ยังยอมใช้เงินของตระกูลฉันอย่างน้อยฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้
จริงสิ...คงจะสงสัยสินะว่าทำไมฉันถึงอยู่คนเดียว เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของฉันกันแน่ ฉันก็จะเล่าให้ฟังเอง...
ครอบครัวของฉันเคยเป็นครอบครัวที่เคยอบอุ่นและสมบูรณ์ แต่แล้ว...มันกลับค่อยพังทลายลงโดยที่ฉันยังไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือว่าเป็นเพียงการเล่นตลกของโชคชะตา คนแรกที่จากไปคือท่านพ่อกับท่านแม่ของฉัน พ่อกับแม่ที่แสนดีที่สุดในโลกของฉันจากไปพร้อมกันในอุบัติเหตุเครื่องบินตก คุณย่าและคุณปู่ที่ล้มป่วยอยู่แล้วก็จากไปหลังจากนั้นไม่นาน คุณตาท่านเสียไปก่อนหน้านั้นอีก ดังนั้นในคฤหาสน์หลังใหญ่โตจึงเหลือแต่ฉันซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียวกับคุณยายเท่านั้น น่าแปลกที่บ้านเราออกจะมั่งคั่งแท้ๆแต่กลับแทบไม่มีญาติมิตรสหายอาศัยอยู่ที่อื่น จริงสิ....นอกจากนี้บ้านเรายังมีคนใช้อีกคนด้วย เธอชื่อ มากาเร็ต และแล้วในวันหนึ่งสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดก็มาถึง...เช้าวันนั้นคุณยายก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ฉันได้แต่เฝ้ามองใบหน้าของท่านยายด้วยความสงสัยนับแต่นั้นเรื่อยมา ใบหน้าที่ดูเหมือนมีความสุขของท่านยามหลับนั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉัน ท่านยายมีความสุขเหรอ...ที่ต้องจากฉันไป ที่ต้องทิ้งฉันเอาไว้ในโลกนี้เพียงลำพัง
เมื่อนั้นฉันถึงตระหนักได้ว่าตอนนี้มีฉันเป็นสมาชิกของตระกูลอยู่เพียงลำพังเท่านั้น มากาเร็ตก็กำลังจะไปเหมือนกัน เธอได้งานที่ดีกว่า และเธอก็เริ่มกลัวคำสาปเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันไม่เคยคิดที่รั้งเธอไว้
ยามนี้คฤหาสน์กว้างกว่าที่เคยเป็น ฉันได้แต่ยืนมองทางเดินภายในคฤหาสน์ที่ทอดยาวอย่างโดดเดี่ยว มากาเร็ตจะไปวันนี้แล้ว เธอขอโทษฉันที่จะไปแล้วต้องปล่อยให้ฉันอยู่เพียงลำพัง เธอบอกว่าเธอกลัวที่นี่ เธออยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เธอบอกให้ฉันหาคนใช้คนใหม่ ฉันแต่เพียงรับปากเธอเพื่อให้เธอสบายใจเท่านั้น ในใจของฉันไม่มีความคิดที่จะจ้างคนใหม่มาอีกแล้ว
อีกไม่กี่เดือนฉันจะมีอายุครบ 18 ปีเต็ม ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว แต่...ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่เหมือนกัน เอาเถอะ....อย่างน้อยฉันก็สามารถดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่จนได้ก็แล้วกัน ในไม่ช้าสมบัติทั้งหมดของตระกูลก็จะถูกโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของฉันอย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นทุกคนจะกลับมาให้ความสนใจและเพิ่มความเป็นมิตรต่อฉันหรือเปล่า แต่ถ้ามันเป็นเพราะทรัพย์สมบัติ ฉันคงพอใจที่จะอยู่คนเดียวต่อไปมากกว่า
นอกจากข่าวลือเรื่องคำสาปของตระกูลที่ทำให้ทุกคนพากันหลีกเลี่ยงฉันแล้ว น่าจะเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวของฉันอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดจากเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆในเมือง ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่า ฉันเป็นรักสันโดษและความสงบอย่างมาก ฉันไม่สนใจที่จะไปเที่ยวเล่นหรือเหลวไหลนอกบ้าน แม้แต่ในโลกออนไลน์ฉันก็ไม่ค่อยสนใจ ฉันใช้ชีวิตแทบทั้งหมดภายในคฤหาสน์ของฉัน แน่นอนว่าบริเวณบ้านกว้างมาก และฉันก็ยังมีสวนที่ตอนนี้รกร้างเต็มทีเพราะขาดคนดูแล ฉันรู้ดีว่าที่นี่คือบ้านของฉัน ที่ที่ปลอดภัยที่สุดของฉัน สิ่งเดียวที่เป็นความสุขของฉันก็คือการอ่านหนังสือ ฉันพนันได้เลยว่าจำนวนหนังสือที่ฉันอ่านมาทั้งหมดถ้านำมารวมกันคงจะมากกว่าจำนวนหนังสือที่ทุกคนในเมืองอ่านรวมกันซะอีก เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่ได้กังวลอะไรกับสถานภาพของตัวเองมากเท่าใดนัก เพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะประสาทกินไปแล้วก็ได้
หนังสือคือ “ชีวิตของฉัน” ฉันไม่ได้ชอบอ่านหนังสือแนวไหนเป็นพิเศษ ฉันรู้สึกท้าทายเสมอเวลาที่อ่านหนังสือเล่มหนาๆเหล่านั้น ฉันคงสืบทอดนิสัยแบบนี้มาจากบรรพบุรุษกระมัง ทุกคนในตระกูลรักการอ่าน ในคฤหาสน์ของเรามีห้องหนังสือบรรจุหนังสือไว้หลายพันเล่ม หรืออาจจะมากกว่านั้น ฉันจึงไม่จำเป็นต้องไปห้องสมุดประจำเมือง ไม่ต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเท่าใดนัก สำหรับชีวิตการเรียนของฉัน มันไม่เคยเป็นปัญหากับฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันลงเรียนหลักสูตรแบบเร่งรัด และตอนนี้ฉันก็จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้วแล้ว ฉันเป็นอัจฉริยะเหรอ? อาจารย์ชมฉัน ฉันปฏิเสธ ฉันบอกว่าฉันแค่อ่านมากกว่าคนอื่น และจำทุกสิ่งทุกอย่างที่อ่านได้ก็เท่านั้น และฉันก็มีความสุขกับมัน ฉันจบปริญญาตรีมาทางด้านวรรณกรรม ถ้าเป็นไปได้ฉันอาจจะเรียนต่อ....แต่เรื่องนั้นไว้อีกสักพักค่อยคิดก็คงไม่สาย
อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดอยากจะทำมันให้ได้ ฉันมีความฝัน...ฉันฝันที่จะเป็นนักเขียนชื่อดังระดับโลก ฝันของฉันเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะไกลเกินเอื้อม ฉันอ่านมากก็จริง แต่ฉันกลับไม่มีความสามารถในการเขียนเอาซะเลย ฉันแต่งหนังสือไว้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่จบกลับไม่มีสักเรื่อง ทุกอย่างดูเหมือนจะวนเวียนอยู่แต่ในหัวของฉัน พอจรดปากกาเพื่อที่จะบันทึกมันลงไปในกระดาษ ฉันก็ไม่สามารถจะเขียนอะไรต่อไปได้อีก ทุกอย่างมันพลันหายไปหมดราวกับอากาศธาตุ สงสัยฉันจะเขียนได้แต่ไดอารี่ละมั้ง
วันนี้ฉันก็ยังคงใช้ความพยายามแบบเก่าในการเริ่มต้นเขียนเรื่องสักเรื่องหนึ่ง แต่ฉันก็ทำได้ดีที่สุดแค่จับปากกาแล้วนั่งนิ่งงันไปหลายชั่วโมงเท่านั้น แผ่นกระดาษยังคงว่างเปล่า ฉันยอมแพ้และถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะวางปากกาลงกับโต๊ะ ฉันนั่งครุ่นคิดถึงปัญหาในการแต่งเรื่องราวของฉัน บางทีฉันอาจจะขาดแรงบันดาลใจ...อย่างนั้นหรือเปล่านะ?
**********
ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครจ้องมองฉันอยู่ ฉันสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองรอบๆในทันที ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่ตามลำพังภายในห้องนี้น่ะ ฉันผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วแล้วมองไปรอบๆอีกครั้ง แต่กลับไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติไปเลย
นี่มันตอนเริ่มต้นของหนังสือแฟนตาซีหรือเปล่า...ฉันคิดเล่นๆตอนทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างเดิม ถึงบ้านหลังนี้จะเป็นคฤหาสน์หลังโตที่เก่าแก่แต่ฉันยังไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นประเภทวิญญาณเลยนะ แล้วสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นต่อหน้าฉันเอง กระดาษเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าฉันขยับทั้งๆที่ไม่มีลมพัดเลยสักนิด ฉันตะลึงมองมันด้วยความอัศจรรย์ใจ ก่อนที่กระดาษแผ่นนั้นค่อยๆพับตัวเองราวกับมีมือล่องหนมาพับกระดาษต่อหน้าฉัน ชั่วพริบตาเดียวกระดาษแผ่นนั้นก็มีรูปร่างเป็นนกกระเรียน มันบินขึ้นเหนือโต๊ะของฉันอย่างช้าๆ และพุ่งไปที่ชั้นวางหนึ่งทางทิศตะวันออกภายในห้องหนังสือนั้น ด้วยสัญชาตญาณมากกว่าจะรู้สึกตัวฉันเอื้อมมือไปคว้าสมุดบันทึกของฉันแล้ววิ่งตามนกกระเรียนกระดาษตัวนั้นไปทันที ฉันไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าหัวใจของฉันเต้นรัวมากแค่ไหน
พอวิ่งเข้ามาท่ามกลางหนังสือแล้ว ฉันกลับมองหานกกระเรียนกระดาษตัวนั้นไม่พบ ฉันกวาดสายตาไปรอบๆอย่างผิดหวัง แต่ก่อนที่ฉันจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง ทันใดนั้นเสียงพรึ่บพรั่บของกระดาษก็ดังขึ้น ฉันหันไปทางซ้ายมือจึงเห็นนกกระเรียนตัวนั้นบินอยู่เฉยๆเหมือนจะรอฉันอยู่ พอฉันเดินไปหามัน มันก็บินออกนำไปอีก ฉันยิ้มแทนที่จะรู้สึกกลัว...ฉันรู้แล้วว่ามันต้องการให้ฉันตามไป ตอนนี้ฉันไม่ต้องกลัวว่าจะพลัดหลงกับมันอีกแล้ว
ถ้าจะถามว่าตอนนั้นฉันตัดสินใจผิดหรือเปล่า ฉันคงตอบว่าไม่....ฉันรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ฉันไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่กลับตื่นเต้นยิ่งกว่าที่เคยรู้สึก ความรู้สึกแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นความดีใจและความอยากรู้อยากเห็นในบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า มันเป็นเหมือนความรู้สึกที่หนีออกจากบ้านครั้งแรกไม่มีผิด ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้าก็ตามฉันก็อยากจะเผชิญหน้ากับมันด้วยตาของตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่ฉันกลัวมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...ฉันกลัวว่าจะไม่พบสิ่งนั้นมากกว่า
ในที่สุดฉันพบก็ว่านกกระเรียนกระดาษตัวนั้นนำฉันมาที่ประตูบานหนึ่ง
“เอ๊ะ?” ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจ ประตูบานนี้ไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อนแน่ๆฉันมั่นใจ แม้ว่าฉันจะจำประตูที่มีอยู่ภายในบ้านทั้งหมดที่มีอยู่เป็นร้อยไม่ได้ก็ตาม แต่ประตูบานนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ประตูบานนั้นมีสีขาวตัดกับกำแพงสีหม่นของคฤหาสน์จนดูราวกับจะเปล่งแสงออกมาได้ รูปร่างของประตูแปลกตากว่าที่ฉันพบเห็นจากที่ไหนมาก่อน ที่พิเศษไปกว่านั้นคือมันถูกสลักลวดลายเอาไว้ทั้งสวยงามอ่อนช้อยราวกับถูกสร้างขึ้นจากเวทมนต์
บัดนั้นคำถามข้อหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของฉัน ประตูบานนี้จะนำฉันไปไหนกัน?
ทันใดนั้นนกกระเรียนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าฉันก็ขยับอีกครั้ง ฉันยืนมองมันด้วยใจระทึก มันค่อยๆคลายตัวออก ในไม่ช้ามันก็กลับเป็นกระดาษแผ่นเรียบเหมือนเก่า พอฉันเอื้อมมือไปรับกระดาษนั้นข้อความในกระดาษก็พลันปรากฏขึ้น
“ถึงท่านผู้ถูกเลือก “แอนนา เบลล์”
ประตูที่อยู่เบื้องหน้าท่านจะนำท่านไปสู่ ยูโทเปีย
หากท่านยังไม่ตระหนักว่าสิ่งใดคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน โปรดจงใช้พลังของท่านเพื่อเปิดประตูบานนี้เถิด
ภารกิจกำลังรอคอยท่านอยู่...”
ฉันเลิกคิ้วสูง ฉับพลันตัวหนังสือในกระดาษก็หายไป ฉันยืนนิ่งจ้องมองข้อความในกระดาษด้วยสีหน้าประหลาดใจ ข้อความในกระดาษไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรแก่ฉันเท่าใดนัก แต่แล้วฉันก็พอจะสรุปออกมาได้ว่า อีกด้านของประตูคือ ยูโทเปีย ยูโทเปียคืออะไร? ฉันถามตัวเองด้วยความสงสัย ถ้าต้องการสิ่งสำคัญอย่างนั้นเหรอ ภารกิจ.... หมายความว่าถ้าอยากได้สิ่งสำคัญนั้นก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จสินะ ฉันคิดในใจ
ไม่มีอะไรต้องกลัว ฉันตัดสินใจในสุดก่อนจะคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นมาสอดไว้ในสมุดบันทึกพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้น แต่แล้วประตูกลับเปิดไม่ออกอย่างที่คาดไว้ มันถูกล็อคอยู่...ฉันคิด แล้วฉันจะทำยังไงดี ฉันเอามือลูบคางพลางคิดทบทวนข้อความในกระดาษนั้น ทันใดนั้นความคิดของฉันก็มาสะดุดอยู่ที่ประโยคประโยคหนึ่ง
“โปรดจงใช้พลังของท่านเพื่อเปิดประตูบานนี้เถิด”
“พลังของฉันอย่างนั้นเหรอ ฉันมีพลังที่ไหนกัน!” เร็วเท่าความคิด ฉันฉุกใจแล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากสมุดทันที
“ช่วยให้ฉันได้ไปสู่ “ยูโทเปีย”ด้วยเถอะ” ฉันกระซิบกับกระดาษ ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ฉันทำแบบนั้น แต่เมื่อกระดาษสั่นไหวฉันก็ทำได้แค่เพียงเบิกตากว้าง พอฉันปล่อยมือจากกระดาษมันก็ค่อยๆ พับตัวเองจนกลายเป็นกุญแจดอกหนึ่งต่อหน้าฉัน
“หมายความว่า...” ฉันเอื้อมมือไปรับกุญแจ
ฉันลังเลเล็กน้อยขณะที่ยื่นกุญแจออกมาไขประตูตรงหน้า เสียงกริ๊กจากประตูทำให้ฉันรู้ว่าฉันทำสำเร็จ ฉันค่อยผ่อนลมหายใจที่กลั้นอยู่ชั่วครู่ใหญ่ออกมา ดูเหมือนฉันจะไม่อาจก้าวถอยหลังได้อีกต่อไปแล้ว นี่เป็นความจริงอย่างนั้น....หรือว่าฉันกำลังฝันกลางวันอยู่
ฉันเอื้อมมือไปเปิดประตูอย่างกล้าๆกลัวๆอีกครั้ง คราวนี้มันเปิดออกได้อย่าง่ายดาย แสงสว่างพุ่งออกมาจากประตูนั้นจนฉันต้องเอามือบังตาเอาไว้ ตอนนั้นเองฉันรู้สึกเหมือนถูกลมดูดให้เข้าไปภายในประตูนั้น ในไม่ข้าฉันก็ไม่อาจทนแรงนั้นได้....ร่างของฉันก็พุ่งผ่านเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว ฉันมองเห็นตัวคฤหาสน์ของตระกูลเบลล์เพียงแว่บเดียวเท่านั้นก่อนที่บานประตูจะปิดลง ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยลาด้วยซ้ำไป
นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?....ฉันทำอะไรลงไป....
สิ่งที่ฉันทำต่อไปนั่นคือกลั้นใจลืมตาเมื่อรู้สึกว่าแสงสว่างบางตาลงบ้างแล้ว ตอนนั้นเองฉันก็พบว่าตนเองอยู่ในท้องฟ้า ฉันกำลังจะตกลงไปเบื้องล่าง ฉันรู้สึกตกใจแทบจะสิ้นสติ สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เท่านั้น แต่ฉันยังคงไม่ลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง นั้นก็คือเรื่องที่ฉันกำลังจะไปสู่ ยูโทเปีย
ณ คฤหาสน์ตระกูล “เบลล์” ที่แห่งนั้นนั้นยังคงเงียบสนิทเหมือนอย่างเคย ประตูบานวิเศษนั้นค่อยๆปิดลงอย่างเงียบเชียบก่อนจะส่งเสียงดังแกร็กเบาๆ ประตูบานนั้นถูกล็อคอีกครั้งแล้ว แล้ในไม่ช้าภาพของประตูก็ค่อยๆเลือนหายไปจากกำแพงตรงนั้นทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า
**********
อันนี้เหมือนเป็นบทนำของจริงเลยเนอะ ฮ่าๆๆ....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกัน และอย่าลืมติชมกันบ้างนะจ๊ะ พบกันใหม่บทหน้าขอเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์จ้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ