The Tenderly
เขียนโดย ปรัสรา
วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 23.32 น.
แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556 23.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บท 6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“...อย่างนี้นี่เอง แหม...อาเคจังนี่แย่จริง” คุณอากิโกะกล่าวระหว่างสาวเส้นราเม็งชามยักษ์แบบห่อกลับบ้านอย่างเมามันส์ มือหนึ่งอุ้มถ้วยความกว้างสามสิบเซนติเมตรไว้ในอ้อมแขน “ทั้งที่หนูมิยะอุตส่าห์ต้องโดนสายตาประณามจากรอบข้างเพื่อเขาแท้ๆ แต่เขากลับเห็นงานมาก่อนเสียดาย ไม่รู้จักปลอบโยนผู้หญิงเสียบ้าง”
เด็กหนุ่มแหยไปบ้างกับคำว่า ‘ผู้หญิง’ แต่ยังคงบีบน้ำตาเศร้าเล่าความเท็จปนจริงเป็นบางส่วนกับมารดาสามี “ใช่เลย! แถมยังไล่ให้มิยะออกไปจากห้องอีกต่างหาก แบบนี้มันทำร้ายจิตใจกันมากไปแล้ว ฮึ! ออกไปขับรถวนหาเสียให้เข็ดเลย เผื่อเขาจะรู้ค่าของมิยะเสียบ้าง!”
“ถูกต้อง! เรื่องนี้ฉันสนับสนุนหนูเต็มที่เลยจ้ะ!” คุณอากิโกะเริ่มโมโหตามลูกยุ “ฉันไม่โทรไปแจ้งว่าหนูกลับมาแล้วแน่นอน ผู้ชายนี่ยังไงนะ เห็นผู้หญิงรักเข้าหน่อยก็ได้ใจก็เหลิง ทีแรก...ฉันนึกว่าหนูมิยะจะหลงใหลคลั่งไคล้อาเคจังแบบไม่ลืมหูลืมตา ฉันล่ะเป็นห่วงแทบแย่ แต่แบบนี้คงวางใจได้สักหน่อย ว่าแต่...เรื่องอะไรที่มันมิสมควรๆ น่ะ มิยูรินะจังเขาฝากเตือนลูกชายผ่านฉันมาแล้ว ฉันเองก็อยากให้หนูมิยะรักตัวเอง ห้ามทำอะไรชิงสุกก่อนห่ามเด็ดขาดเลยนะจ๊ะ เอ...หรือว่าจะพาไปอยู่กับฉันเลยดีไหมนะ แบบนี้อาเคจังจะได้แวะมาเยี่ยมฉันบ่อยๆ ด้วย นี่น้องสาวอาเคจังก็อยากพบอยู่เหมือนกันนะ”
พาไปอยู่บ้าน? บ้านของคุณแม่คนที่มีคอนโดหรูขนาดนี้อาจจะเป็นคฤหาสน์ใหญ่โตเลยก็ได้ แถมเป็นคฤหาสน์ที่มีแต่คนคอยรองมือรองเท้า น้ำส้มไม่ต้องคั้นเอง นมสดไม่ต้องแกะกล่อง อาหารสามมื้ออาจเป็นเป๋าฮื้อไปแล้วสอง แถมยังได้รับบริการรับดับตำนานเพราะเป็นคนรักลูกชาย อาจจะจัดเป็นว่าที่สะใภ้เลยก็ได้!
แต่เดี๋ยวก่อน...น้องสาวอาเคจิคนนั้นน่ะนะ!? แค่ตัวพี่ชายก็ขนาดนี้แล้ว ตัวน้องสาวอาจจะทั้งดุทั้งเข้ม เต็มไปด้วยสายตาเฝ้าจับผิดติดระแวง และถ้าหล่อนเชียร์มิยูรินะจนพาลเกลียดสาวๆ ทุกคนที่มาติดพันผู้ชายล่ะก็ ผู้หญิงคนนั้นคงเข้าออกตามใจชอบช่วยกันจับผิดระแวงเพื่อชิงอาเคจิกลับมาสู่ความโสดตามเดิมแน่ ส่วนเขาคงรับบทสาวน้อยวัยสิบเจ็ดผู้ถูกรังแกจากน้องสาวกับคู่ดูตัวสามี เอ่อ...สองพยางค์หลังนั่นมันเปรียบเปรยเฉยๆ หรอกน่ะ
แล้วถ้าไปอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายแบบนั้น เขามิโดนจับได้ตั้งแต่แรกเจอด้วยกกน. บ็อกเซอร์และอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงเรอะ
เมื่อคิดสะระตะถี่ถ้วน ระหว่างอยู่คอนโดหรูสบายกับเจ้านายจอมเย็นชาไม่สนใจเพื่อนมนุษย์และแต่งกับงานทางพฤตินัยไปแล้ว กับโดนไล่ออกจากคฤหาสน์ใหญ่โตโอ่โถงที่มีเวลารวมสองวันในการอยู่อาศัย เขาอยากได้ที่ซุกหัวนอนที่มากกว่าม้านั่งยาวในสวนสาธารณะล่ะนะ เด็กหนุ่มแสร้งทำเสียงเครือ “จะให้มิยะไปอยู่บ้านคุณอากิโกะได้ยังไงกัน บางทีเราอาจจะเลิกกันวันนี้เลยก็ได้ ที่เขาขับรถตามหามิยะก็เพราะคุณจะมาไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นแล้ว...ต่อให้มิยะนอนหนาวอยู่นอกบ้านก็คงไร้คนเหลียวแล...”
“โอ๋ๆ อาเคจังไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก เขาคงเข้าใจว่าหนูไปนอนค้างบ้านเพื่อนหรืออะไรแบบนั้นมากกว่า” คุณอากิโกะปลอบอย่างใจดี “แต่หนูมิยะเองก็ต้องเข้าใจว่าอาเคจังมักทำงานจนลืมสิ่งรอบกาย ฉันอยากให้หนูเข้าใจและมองเขาด้วยความรักเสมอ เมื่อเขาเหนื่อยและล้าให้ใช้สองมือช่วยประคองไว้...”
“สองมืออะไรนั่นคงสามารถโทรตามผมได้เหมือนกันล่ะครับ” เสียงเย็นชาดังขึ้นจากหน้าประตูห้องอาหารของคอนโด เจ้าของเสียงนั้นคือร่างเปียกชุ่มของชายหนุ่มผู้โกรธเคืองยิ่งกว่าฟ้าผ่าที่กำลังมองจ้องมา เล่นเอาหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษพร้อมใจสะดุ้งโหยง โดยเฉพาะมิยารุโนะที่รู้ว่าเรื่องนี้ตัวเองโดนหนักแน่ๆ
แม้จะสมรู้ร่วมคิด แต่ไร้ซึ่งสัจจะในหมู่โจรและหัวขโมย รวมทั้งแม่สามีที่กำลังเมาท์เรื่องลูกชายกับลูกสะใภ้อย่างเพลิดเพลินด้วย คุณอากิโกะกระแอมเบาๆ แล้วรีบชิ่งกลับโดยไว ไร้การวางมาดอย่างตอนขามาโดยสิ้นเชิง ในใจนึกภาวนาให้เด็กหนุ่มไม่เละเป็นโจ๊กคาคำบ่นก่นด่าของลูกชายตนไปเสียก่อน แล้วถ้าฟ้าเป็นใจสวรรค์ให้โอกาส วันหลังหล่อนจะมาเมาท์ด้วยกันใหม่...
คุณอาเคจิเปิดข้อความที่คุณอากิโกะส่งมาบอกเซอร์ไพรซ์ให้ปิดเขาไว้ก่อนด้วยสีหน้าโมโหจัด ก่อนจะดึงตัวคนรักจอมปลอมมายังระเบียงที่มีหลังคาบังแดดฝนไว้ ซึ่งชายหนุ่มเปิดประตูกระจกอย่างแรงแบบไม่กลัวบานเลื่อนจะเจ๊ง ส่งผลให้ลมแรงตีหน้าสวนเข้ามาแบบไม่รอให้ตั้งตัว ด้านนอกคอนโดอุ่นแห้งคือความเปียกชื้นหนาวเหน็ลและเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นเป็นระยะ สัญญาณเหมือนพายุลงเลยทีเดียว เขาชี้ออกไปท่ามกลางสายฝนตกเปียก
“ฉันฝ่าฝนตกหนักขนาดนี้ออกไปหานายที่แล้วที่เล่า! คิดด้วยซ้ำว่าถ้านายหลบฝนอยู่ในร้านอะไรสักอย่างก็คงจะดีหรอก ถึงจะมีร่ม แต่ลมแรงแบบนี้จะกางได้ยังไง รู้ไหมว่าฉันฝ่าน้ำฝ่าลมไปถามร้านอาหารร้านนั่นร้านนี้ที่นายเคยแปะเบอร์สั่งของมากแค่ไหน! แต่นายกลับมานั่งคุยหัวเราะคิกคักอยู่ที่นี่เนี่ยนะ! จะโทรตามสักนิดหรือก็ไม่! บางทีนายควรจะรู้ว่าตัวเองนอนอยู่บ้านของฉัน!”
สายฝนดังครืนดุจตอบรับต่อคำตะโกนของอาเคจิ ผู้สำนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งพูดในสิ่งที่น่าจะทำร้ายจิตใจเด็กหนุ่มออกไปมากทีเดียว ฝ่ายนั้นอ้าปากออกมาช้าๆ ราวกับมีก้อนคำบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ หากแต่คำที่ว่านั้นกลับกลายเป็นก้อนอากาศที่ทำได้เพียงขยับปากขึ้นลงเท่านั้น และหยดฝนคงสาดเข้ามาใส่มากจนเกินไป เพราะใบหน้าของเด็กหนุ่มมีแต่น้ำเต็มไปหมด
เขารู้ว่าตัวเองทำผิดและอยากขอโทษกับการกระทำสิ้นคิดแบบนี้ นั่นสิ...ทำไมถึงกล้าทำอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้ ทั้งที่คอนโดนี้ไม่ได้เป็นของเขา กระทั่งมีสัมพันธ์เป็นเพื่อนหรือก็ไม่ เป็นคนรักยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ เป็นแค่คนรู้จักผิวเผินไม่ต่างจากคนสวนทางกันต่างหาก เขานี่คิดบ้าอะไรถึงเข้าใจว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ไปแกล้งเจ้านายแรงๆ แบบนี้ แต่กระนั้น...ทั้งเสียงทั้งหน้าของเขาชาไปหมดแล้ว “ฉัน...อึก ฉัน...ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ!”
อาเคจิผลุนผลันกับเข้าห้องไปสะสางงานที่ค้างไว้ด้วยสมาธิที่ถูกความโกรธผสานกับความไม่ได้ดั่งใจในคำพูดทำลายไปครู่หนึ่ง แต่น้ำชาอุ่นๆ หนึ่งแก้วช่วยรวบรวมมันกลับมาได้เป็นอย่างดี วูบหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกผิดต่อความสงบสุขนี้ มันเท่ากับว่าเขาไม่ใส่ใจอะไรในตัวอีกฝ่ายเลยงั้นรึ? ไม่สิ... เขาตวัดปากกาแล้วเริ่มต้นทำงานของตัวเองต่อไป
เช้าอันสดใสวันรุ่งขึ้น...กระเป๋าเสื้อผ้ากับของใช้ต่างๆ ในห้องนอนเล็กได้หายไปแล้ว
“กัก...กักขังหน่วงเหนี่ยว คุณคิริซาโตะน่ะหรือ” หญิงสาวอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ ”ถึงว่าสิ สองวันมานี้หาเป้าหมายสตอล์กไม่เจอเลย”
“ใช่ไหมล่ะคะ! ฉันเองยังว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ เลย มิยารุโนะคุงมีปัญหาอะไรถึงไม่ยอมมาเรียนตั้งสองวันแล้ว ถ้าเขามีปัญหาอะไรก็ต้องปรึกษาเราแน่ แต่หายไปแบบนี้มันก็...” เธอกัดริมฝีปากเบาๆ “ต้องโดนผู้ชายคนนั้นจับตัวไว้แน่”
ในความคิดของคาโต้ ซาโต้ มิยูรินะคือผู้หญิงว่างงานที่เอาแต่สุมความคิดเพี้ยนๆ ของคนที่เขาชอบอย่างเปิดเผยให้เพี้ยนยิ่งขึ้น และการใส่ความคนอื่นว่าลักพาตัวใครไปก็คงเช่นกัน หล่อนคงพูดเข้าข้างฮิมิโกะจนเธอแน่เสียยิ่งกว่าแน่ว่าความคิดตัวเองถูก ไม่ได้การล่ะ เห็นทีเขาต้องปรามสักหน่อย มนุษย์เราควรมีใครขัดถ่วงความคิดไว้บ้าง จะได้ไม่หลงทางในความจริงความลวงเอาง่ายๆ
แต่ผิดคาด...
“เราไม่ควรด่วนสรุปอะไรลงไปง่ายๆ นะ ถึงคุณคิริซาโตะจะเป็นผู้ชายไร้จิตสำนึกที่อยู่กินกับเด็กโรงเรียนตัวเองได้หน้าตาเฉย แต่ฉันรู้จักคุณป้ามานาน เขาคงไม่ถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นคนแบบนั้นหรอก” หล่อนว่า “นี่มันเพ่งบ่ายสามโมงเย็นเอง คุณคิริซาโตะคงยังไม่กลับบ้าน ฉันว่าลองไปสอบถามเขาหรือคุณโมโตยะกันก่อนดีกว่า ได้ยินว่ามิยารุโนะคุงมีครอบครัวอยู่เมืองโรกุโจใช่ไหม บางทีเขาอาจกลับบ้านไปด้วยปัญหาบางอย่าง”
“ถึงเจ้ามิยะมีปัญหาแค่ไหนก็ไม่กลับบ้านหรอกครับ” คาโต้ ซาโต้ ยกมือค้านทันควัน หลังจากมองการไม่คล้อยตามของหล่อนปลื้มปีติ ในที่สุด...ผู้หญิงสองคนนี้ก็มีคนที่ตั้งสติได้ ไม่ยกพลบุกไปถล่มคอนโดคนอื่นจนพังพินาศ พร้อมรุมยำเจ้าของห้องก่อนถามไถ่ความปลอดภัยของคนหายอย่างที่เขาคิดว่าตัวเองต้องห้ามทัพอีกยาว ว่าไงดีล่ะ...กฎเหล็กว่าด้วยการปลอดภัยของบุรุษเพศ อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงที่มีแนวคิดรุนแรงเดียวกันดีกว่า ถ้าไม่อยากเจ็บตัวด้วยเหตุผลนานัปการอันยากแก่การเข้าใจ
ฮิมิโกะเป็นคนอธิบายต่อความงุนงงของอีกฝ่ายเอง ถึงเธอจะไม่รู้เรื่องมากเท่าไหร่เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยอยากเล่า แต่มิยารุโนะเป็นคนเกลียดครอบครัวตัวเองอย่างรุนแรง หลีกเลี่ยงการกลับบ้านและพูดถึงภูมิลำเนาเดิมที่สุด แก๊งสามคนอาจมีการเยี่ยมบ้านเพื่อน ค้างคืนต่างเมืองที่บ้านของคาโต้ ซาโต้ บ้าง หรือรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวฮิมิโกะ แต่สถานที่เดียวที่พวกเขาไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปคือบ้านตระกูลฮิชิยามะ
เด็กหนุ่มเสริมขึ้นอีกแรง “เพราะงั้น...อย่าถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือจำพวกแผนผังครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหายกับพวกเราหรือเจ้ามิยะดีกว่านะครับ ถ้าคุณอยากไปที่นั่นก็แอบๆ ไปดีกว่า”
มิยูรินะเลิกคิ้ว “แปลว่าพวกเธอก็ไม่รู้ที่อยู่บ้านเด็กคนนั้นงั้นสิ?” และคำตอบคือการพยักหน้าหงึกหงักของแก๊งสามที่เหลือสองคน
อา...ไม่ยากหรอก ในฐานะอดีตคู่ดูตัวแล้ว ไม่มีอะไรที่ยากแก่การกระทำหรอก
สีหน้าอาเคจิทะมึนอย่างที่สุดเมื่อพูดถึงชื่อของคนรักจอมปลอมที่รับประทานมื้อเย็นเปลืองสิ้นดี แถมยังทำอะไรไม่คิดจนเขาเปียกปอนไปทั้งตัว ดีที่วันนั้นเขาไม่ต้องเผชิญฝนมากเท่าไหร่ เลยไม่ปรากฏอาการป่วยไข้แต่อย่างใด
ทว่า...สีหน้าทะมึนที่ว่าต้องกลายเป็นความแปลกใจ เมื่อพูดถึงการหายตัวไปของเด็กหนุ่มจอมซนที่เขาหายเคืองไปตั้งแต่เมื่อวาน “ไม่ใช่ว่าที่ผลุนผลันรีบวิ่งออกไปเมื่อวานนี้จะไปพักบ้านพวกเธอสองคนหรอกหรือ”
“แหงสิ! ไม่งั้นพวกเรา...” ฮิมิโกะเตรียมว้ากอย่างไม่เกรงกลัว เธอหมดศรัทธาตั้งแต่รู้ว่าเขาคบกับเพื่อนล่ะ! ยังดีที่มิยูรินะช่วยยั้งไว้ได้บ้าง
หล่อนกระแอมเบาๆ เตรียมตัวพูดเรื่องสำคัญ “มิยารุโนะคุงหายตัวไปตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้วล่ะค่ะ พอโทรไปก็ไม่มีคนรับ ไม่มาโรงเรียนไม่มีใครพบตัวเลยล่ะค่ะ ดิฉันกำลังจะโทรแจ้งความอยู่เหมือนกัน แต่อยากซักถามคุณให้รู้เรื่องก่อน เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ที่คอนโดหรือคะ?”
ปฏิกิริยาของเขาคือการส่ายหน้า ลมหายใจเอย สีหน้าเอย ทุกอย่างดูปกติมาก ทั้งยังสบตาหล่อนระหว่างปฏิเสธว่าเรื่องนี้ เขาไม่มีส่วนรู้เห็นแต่ประการใด “คุณไปถามที่หอพักเก่าของเขามาหรือยัง”
หอพักเก่า...? สีหน้าหล่อนดูอึ้งๆ มีหอพักเก่าด้วยเหรอ...?
อาเคจิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วกล่าวออกมา “นึกว่าคุณจะถามเรื่องพวกนี้เก่งเสียอีก”
หล่อนค้อน “ก็เก่งอยู่ค่ะ แต่คุณโชคดีนะคะที่ดิฉันไม่ได้ฟันธงลงไปว่าคุณเป็นฆาตกรโรคจิตหรือพวกกักขังหน่วงเหนี่ยว”
“เขาเพิ่งย้ายมาพักกับผมได้ไม่นานนักหรอกครับ คุณมิยูรินะ รู้สึกเขาจะให้ที่อยู่ไว้ในสมุดหน้าเหลืองที่คอนโดผมด้วย แต่ถ้าคุณยังต้องการที่อยู่ของภูมิลำเนาเดิมเด็กคนนั้นก็แจ้งคุณโมโตยะแล้วกัน ผมเคลียร์งานต่ออีกครู่หนึ่งแล้วจะขับรถไปดูที่นั่นให้”
ห่วงงานมากกว่าแฟนตัวเองหรือนี่... ฮิมิโกะบอกได้คำเดียวคือ...เธออยากจะกรี๊ด
ฮิมิโกะไม่รู้ว่ามิยูรินะไปพูดอะไร คุณป้าเจ้าของหอจึงหอบเอาจดหมายกองเป็นพะเนินที่จ่าหน้าถึง ‘ฮิชิยามะ มิยารุโนะ’ มาให้ แล้วเดินหนีไปแบบไม่สนเสียงเรียกใดๆ ทั้งสิ้น แต่เธอเพิ่งทราบว่าเขาไม่เคยรับจดหมายในตู้ตัวเองเลยสักครั้ง เรื่องค่าน้ำค่าไฟส่วนใหญ่ก็จ่ายไปพร้อมค่าเช่าห้อง
สิ่งเดียวที่ตอบกลับมาหลังจากอาเคจิกระหน่ำทุบประตูคือเสียงตะโกนลั่น “กลับคอนโดคุณไปเหอะ! ห้องนี้มันเงินผม!”
โกรธเรื่องนั้น!? โกรธเรื่องนั้นเนี่ยนะ! เขาเสียอีกที่ต้องไปเดินท่อมๆ ตากฝน ขับรถวนหาทั่วเมืองจนเปลืองน้ำมันไปไม่รู้กี่ลิตร จริงอยู่ที่เขาเองก็รู้ว่าคำพูดนั้นมันแรงสุดๆ แต่ถ้าชั่งน้ำหนักดูแล้วมันก็น่าจะครือๆ กันไม่ใช่หรือไง เป็นผู้ชายจะคิดมากไปทำไมนักหนา อย่างเขายังหายโกรธตั้งแต่เมื่อวานเลย คิดบ้างไหมว่าศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอก บ้าจริง...ทำไมเขาถึงกลายเป็นฝ่ายผิดไปได้นะ แล้วถ้าดูจากเหตุผล ความเสียหาย และการเสียเวลาแล้ว เขาสิต้องเป็นฝ่ายโมโหกับการกระทำสิ้นคิดแบบนั้น
ขอร้องล่ะ...โผล่หน้าออกมาเสียทีเถอะ เพราะเขากำลังจะโดนผู้หญิงสองคนสอบสวนทางสายอยู่รอมร่อแล้วนะ! “นี่...หลบอยู่ในนั้นไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะ แล้วถ้าคำนวณกันจริงๆ ค่าหอก็เป็นเงินฉันอยู่ดี”
จังหวะนั้นเองที่คนเอาหูแนบประตูฟังอยู่ตลอดเวลาก็เปิดผางด้วยสีหน้าโมโหจัด ในมือมีไม้เบสบอลอันหนึ่งทำจากของเล่นที่เด็กน้อยห้องข้างๆ ลืมไว้ ถึงมันจะเป็นไม้เบสบอลพลาสติกสีแดงสดใสตีไม่เจ็บอะไรด้วยแรงเด็กห้าขวบ แต่รับรองได้ว่าความโกรธผสมแรงเด็กมัธยมปลายปีสามมันต้องสร้างค่าโจมตีให้พุ่งสูงแน่นอน “หนอย! เงินนาย! เงินนายงั้นเรอะ! ใช้เจ้าก้อนเนื้อที่คิดถึงแต่ผลปประโยชน์ของตัวเองคิดเสียบ้างว่านี่น่ะมันค่าจ้างฉันทั้งนั้น! ฉันจะตีให้นายสำนึกเลย! ฮึ่ม!”
มิยูรินะเกือบเข้าไปห้ามตามคนใช้สติมากกว่าเหตุรุนแรงในกรณีที่มีคนต่อยกัน หรือจะเปรียบเทียบได้กับพลเมืองดีที่เข้าไปช่วยแยกอย่างกล้าหาญ ไม่ยืนมุงดูเฉยๆ เหมือนฮิมิโกะ เข้าไปรุมยำฝ่ายนั้นอีกคน รวมทั้งไม่ใช่ฝ่ายที่รั้งหล่อนไว้อย่างคาโต้ ซาโต้ ด้วย “ปล่อยเขาไว้ก่อนเถอะครับ นานๆ ทีจะเห็นเจ้ามิยะรุมตีใครเสียขนาดนี้ ยกเว้นคนที่เอาแต่พูดถึงครอบครัวเจ้าหมอนั่นหรือคนที่พูดจาดูถูกสักประการน่ะนะ...”
อาเคจิอยากร้องไห้ระหว่างหลบไม้เบสบอลสีแดงไปมา เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นสักหน่อย!
จังหวะที่ไม้เบสบอลเกือบโดนตีจนหักเป็นจังหวะที่เขาเบี่ยงตัวหลบและตั้งใจจะหักข้อมือตีไม้เบสบอลนั่นให้ร่วง คาดไม่ถึงว่าจะโดนมองทางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง มือที่สับลงไปพลาดเป้าไปในเสี้ยววินาที และไม้เบสบอลสีแดงสดใสบรรจงกระทบท้ายทอยเขาจนดาวขึ้น ถึงเวลาราตรีสวัสดิ์พอดี...
“ฟาดจนสลบเลยแฮะ” มิยูรินะนึกดีใจที่ก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงต่อเขาขนาดนั้น “แล้วตกลงมันเรื่องอะไรกันล่ะนี่...”
เสียงประตูหอพักที่มีช่องตาแมวปิดดังปัง แต่ครั้งนี้ไม่มีใครกล้าเคาะถามปลอบประโลมอะไรอีก
หญิงสาวพยักหน้ากับฮิมิโกะแล้วพยักเพยิดมองคาโต้ ซาโต้ ที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เอาล่ะ...เขาจะช่วยลากร่างของผู้อำนวยการไปส่งตรงม้านั่งยาวหน้าหอพักแล้วกัน หลังจากนั้นจะสอบสวนอะไรก็ตามใจเถอะ เขาไม่ขวางหรอก บางทีจะแอบแวบไปซื้อน้ำแก้กระหายให้ระหว่างสอบสวนผู้ต้องหา (จำเป็น) เลยยังได้
ก็ผู้หญิงสองคนน่ะน่ากลัวกว่าไม้เบสบอลเมื่อครู่นี้เยอะเลยนี่...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ