อลัน ลัสเบิร์ก...ผมกำลังตามหาเจ้าหญิง
-
เขียนโดย WhenSasukefollowers
วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 23.47 น.
5 ตอน
3 วิจารณ์
9,703 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556 00.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) เพื่อนสทินของผมกำลังสารภาพความจริงบ้างอย่าง!!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนนี้ผมกำลังนั่งจิบชาอยู่กับเพื่อนและ...เอ่อ คนแคระ ขอเล่าย้อนไปสักสิบนาทีก่อน ผม ‘อลัน ลัสเบิร์ก’ ถูกเพื่อนที่ซี้กันมาตั้งแต่เกรดสี่ ‘เชอรีน พาลวินส์’ ลากมายังสถานที่แห่งนี้ ไม่ใช่เพราะเธอโตจนมีรถยนต์เป็นของตัวเองหรอกนะ เพราะความจริงแล้วเธออายุสิบสี่ และเธอก็พาผมนั่งรถแท็กซี่มา ไม่ใช่รถยนต์ส่วนตัว ตอนที่แท็กซี่ขับผ่านป้ายหน้าทางเข้านั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ป้ายใหญ่บอกว่าที่นี่คือ เดอะ ริเวอร์ แต่ผมคิดว่าคนตั้งชื่อคงจะมีปัญหากับการแปลความหมายของคำว่าเดอะ ริเวอร์แล้วล่ะ เพราะที่นี่ไม่มีแม่น้ำเลยสักนิดหรืออย่างน้อยก็อาจจะเคยมี ร่างผอมๆของเชอรีนเดินพรวดพราดผ่านผมไป ผมจ้องมองเรือนผมสีบลอนด์ของเชอรีนสะบัดไปมา หน้าร้อนนี้เชอรีนสูงขึ้นประมาณสามเซนต์ได้ หุ่นของเชอรีนเลยเข้าใกล้นางแบบผอมๆในทีวีไปทุกที แต่มันแย่สำหรับเด็กหนุ่มอเมริกันอย่างผมก็ตรงที่เมื่อก่อนผมเตี้ยกว่าเธอเกือบสองเซนต์ “อลัน! เข้ามาในนี้เร็ว” เชอรีนร้องเรียกผม ทำให้ผมเลิกคิดน้อยใจในส่วนสูงระดับมาตรฐานเด็กชายทั่วไปแต่น้อยกว่าเพื่อนผู้หญิงบางคน เชอรีนกำลังจะเปิดประตูเข้าไปใน...โรงนาล่ะมั้ง ผมเดาว่ามันคือโรงนาเพราะรอบๆมันเต็มไปด้วยเศษหญ้าแห้งๆและกองฟางจำนวนมหาศาลน่ะสิ โรงนาเล็กที่ว่านี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวใจกลางผืนดินที่ตั้งชื่อว่าเดอะ ริเวอร์มันเป็นสิ่งปลูกสร้างเล็กๆเพียงหนึ่งเดียวในบริเวณหลายสิบไร่ของเดอะ ริเวอร์ ผมเดินตามเชอรีนเข้าไป แล้วก็ต้องตะลึง เมื่อภายในโรงนาแห่งนี้ดูกว้างใหญ่ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับ มันกว้างพอที่จะยัดพิพิธภัณฑ์ใจกลางเมืองเรฟลีย์ของเราเข้าไปสักสิบหลัง ในขณะที่ผมกำลังอ้าปากหวออย่างนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆผม เยื้องๆไปทางด้านล่างนิดหน่อย “อย่ามัวสงสัยในเวทมนตร์เลยเจ้าหนู! เพราะความไม่รู้นี่แหละ ถึงยังทำให้มันยังคงเรียกว่าเป็นเวทมนตร์ได้” คนตัวเล็ก(?)ที่สูงประมาณเอวผมพูดขึ้น “ฉันชื่อสกู๊ป หวังว่านายจะอยากมาดื่มชากับเราที่ เดอะ ริเวอร์เพลส นะ” ทำให้ตอนนี้ผมได้มานั่งจิบชาอยู่กับเชอรีนและ...เอ่อ คนแคระ คนแคระจริงๆ ไม่ใช่แค่คนตัวเล็กทั่วไปที่คุณเคยเห็น ผมยาวประบ่าสัน้ำตาลของเขาพันกันยุ่งเหยิงและดูรุงรัง ผมคิดว่าถ้าเขาสระผม ผมเขาคงยาวเกือบถึงเอว (แต่น่าเสียดายก็ตรงที่มันคือเอวของคนแคระ) “สกู๊ปคะ นี่คืออลัน” เชอรีนแนะนำผมกับคนแคระที่ชื่อสกู๊ป สกู๊ปพยักหน้าเบาๆก่อนจะบอกว่า “สวัสดีอลัน ฉันชื่อสกู๊ป” “ผมรู้แล้วครับ” “เจ้าควรจะตอบว่า สวัสดีสกู๊ปไม่ใช่เรอะ” “เอ่อ ครับ สวัสดีสกู๊ป” “ที่เรามาวันนี้ก็มีอยู่เหตุผลเดียว คือความช่วยเหลือที่คุณขอมาค่ะ สกู๊ป” เชอรีนพูดพลางยื่นถาดขนมบิสกิตมาให้ผม ผมกำลังจะรับไว้แต่เจ้าคนแคระสกู๊ปกับยื่นมือมาฉกถาดไปเสียก่อน “นี่เรอะ ความช่วยเหลือ” สกู๊ปพูดพลางเคี้ยวบิสกิตตุ้ยๆ “มีแค่สองคนคิดว่าจะช่วยฉันได้งั้นเรอะ” “แล้วคุณต้องการให้เราช่วยอะไรล่ะครับ” “เหอะๆ มันยากเกินไปสำหรับเจ้าแน่ๆ แต่ข้าคิดว่าเชอรีนต้องทำได้” สกู๊ปหัวเราะในลำคอ เขายกชาขึ้นซดเสียงดังชนิดที่ว่าแม่ผมคงจะเอาไม้กวาดไล่ฟาดทั้งวันแน่ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งทางขวามือ ผมมองหน้าเชอรีนอย่างไม่เข้าใจ “เขาหมายความว่าไงเหรอ” “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเราต้องการคนเพิ่ม เพราะการทำงานครั้งนี้สำคัญมาก เราจะพลาดไม่ได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง นิ้วมือเรียวยาวของเธอกำลังม้วนผมสีบลอนด์ไปมาอย่างใจลอย แบบที่เธอชอบทำตอนกังวลใจ “คนเพิ่มเหรอ เจ้าคนแคระนั่นต้องการให้เราช่วยอะไร” “อย่าเรียกเขาว่าเจ้าคนแคระนะ” เชอรีนดุ “เขา...เป็นคนที่เลี้ยงฉันมา” “ฮะ? จริงเหรอ” ผมถามอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะเจ้าสกู๊ปนั่นไม่น่าจะเลี้ยงใครเป็น “เธอเคยอยู่ที่นี่งั้นเหรอ” “ที่นี่มันเคยเป็นบ้านของฉัน แต่เพราะมันกลายเป็นแบบนี้ไงล่ะ ฉันถึงต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น” “ฉันจำได้ วันที่เธอย้ายบ้านมา” ผมระลึก เชอรีนยิ้มบางๆก่อนจะบอกว่า “ฉันก็จำได้เหมือนกัน” “แล้วคุณสกู๊ปต้องการให้เราช่วยอะไรกันแน่” “แค่เอาของสำคัญบางอย่างที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาน่ะ” “ของที่ว่านั่น มันคืออะไร?” “เราเรียกมันว่า หินโรสเซส มันเป็นของประจำตระกูลพาลวินส์ที่ถูกขโมยไป และในช่วงที่มันหายไป สกู๊ปก็เป็นคนดูแลมันอยู่” เชอรีนเล่า ในขณะที่เล่าเธอก็กำจี้ของสร้อยคอตัวเองเสียแน่น “เขาเลยต้องรับผิดชอบ” “ของตระกูลพาลวินส์....ตระกูลของเธองั้นเหรอ” ผมพยายามทำใจว่าเชอรีนเป็นญาติเกี่ยวดองกับเจ้าสกู๊ปนี่ ซึ่งคงใช่เวลานานสักห้าสิบปี “สกู๊ปเป็นแค่คนดูแลของประจำตระกูลเราน่ะ” เชอรีนรีบพูดราวกับอ่านใจผมออก “ตระกูลของสกู๊ปก็รับใช้พวกเรามาเป็นเวลานานแล้ว” “ฟังดู...อลังการดีจัง เธอนี่รวยขนาดนี้เลยเหรอ” เชอรีนไม่ตอบ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร “นี่ไงๆ กรอบรูปบานนี้ยังแขวนอยู่ที่เดิมเปี๊ยบ” สกู๊ปเดินออกมาจากห้องๆนั้น แล้วก็ส่งกรอบรูปใหญ่ๆหนักๆมาให้ผม “เอ้า! เอาไปดูสิเจ้าหนู” ผมปัดฝุ่นออกจากกรอบรูป สงสัยมันคงจะถูกสตาฟอยู่กับที่มาแล้วสักสามสิบปี เพราะดูจากรูปถ่ายขาวดำไม่รวมกับหยากไย่ชุดใหญ่บนกรอบรูปก็น่าจะอยู่มาตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้ว ด้านล่างของรูปมีข้อความสลักไว้จางๆว่า‘ครอบครัวพาลวินส์’ ผมไล่สายตาไปตามใบหน้าของบุคคลในรูป แล้วก็ไปหยุดที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสวมชุดคล้ายกับเจ้าหญิง ผมบ๊อบสั้นสีดำนั่นทำให้ผมนึกถึง....สโนวไวท์จูเนียร์ ซึ่งนั่นมันแย่มาก เพราะผมเอียนสโนวไวท์สุดๆ ผมเล่านิทานเรื่องนี้ให้น้องสาวทั้งสามคน อลิซ เอเวอลีน และอลิเซีย มาเกือบสี่ปีแล้ว ข้างๆเด็กหญิงผมบ๊อบนั่นหน้าเหมือนใครบางคนที่ผมรู้จักและหน้าเหมือนเด็กหญิงผมบ๊อบคนเมื่อกี้นี้ด้วย ผมพยายามนึกว่าเด็กหญิงคนนี้หน้าเหมือนใครแต่ผมก็คิดไม่ออก จนกระทั่งเชอรีนบอกว่า “นั่นคือฉันเองแหละ” “เธอว่าไงนะ รูปนี้มันสัก...สามสิบปีที่แล้วได้” “ไม่ใช่แค่สามสิบปีหรอก รูปนี้ถูกถ่ายขึ้นตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีนิทานเรื่องสโนวไวท์นู่น” เชอรีนบอก เธอหยิบกรอบรูปที่น่าจะมีอายุพันล้านปีไปจากมือผมก่อนจะพูดเรื่องโจ๊กที่ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ “ฉัน...เป็นฝาแฝดของสโนวไวท์ นายรู้จักใช่ไหมสโนวไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดน่ะ” ผมได้แต่นิ่ง ช็อก และขยับตัวไม่ได้ ด้วยความที่ผมซี้กับเชอรีนมาเกือบหกปีทำให้ผมรู้ว่า เชอรีนเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเรื่องตลกนัก แต่เท่าที่เป็นเพื่อนกันมา เธอยังไม่เคยพูดเรื่องตลกเลยสักครั้ง ผมสะบัดปอยผมสีดำออกไปจากหน้าผากตัวเองเพื่อมองเชอรีนให้ชัด ๆ “เธอกำลังอำฉันเล่นหรือเปล่า?” “นายคิดว่าไงล่ะ” “เอ่อ....ไม่ มั๊ง” “งั้นก็ยอมรับความจริงซะเถอะ อลัน ฉันเป็นฝาแฝดของสโนวไวท์ เจ้าหญิงดิสนี่ย์คนนั้นนั่นแหละ” เชอรีนพูดเหมือนว่าการยอมรับความจริงที่แปลกประหลาดขนาดนี้มันทำกันง่ายๆอย่างงั้นแหละ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ