Tale from monster ONLINE

-

เขียนโดย Crezus

วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.17 น.

  4 บท
  3 วิจารณ์
  7,209 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556 22.20 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ชายหนุ่มผู้ถูกเลือก(3 จบ)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ก่อนที่เธอจะพูดประโยคนี้ผมก็เดินออกมาได้ซักพักแล้ว ผมหันหน้ากลับไปฟังประโยคนี้พร้อมกับรอยยิ้มของเธอ เพราะนั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เห็น …

 

ผมเดินลงมาชั้นแรกของอาคารเริ่มต้น ผมมองไปรอบๆอาคารอีกครั้ง แต่ก็ต้องพบกับภาพที่น่าตกใจ คนที่เคยอยู่พลุกพล่านในอาคารตอนนี้หายไปหมดเหลือไว้เพียง สิบกว่าคน ผมเดินผ่านกลุ่มคนที่เหลือ พวกเขาใบหน้าเศร้าหมองเหมือนกลัวอะไรซักอย่าง ผมแอบเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกันแต่ก็จับใจความไม่ได้ ได้ยินพวกเขาบ่นพึมพำว่า ‘ เราไม่ควรไปยุ่งกับมันหาที่ปลอดภัยหลบเถอะ ’ ‘ มันเป็นปิศาจ! ’ซึ่งผมก็ไม่รู้พวกเขาพูดถึงใคร พอผมเดินไปที่หน้าอาคารเริ่มต้น ผมก็เจอภาพที่น่าตกใจยิ่งกว่า นั่นคือไม่มีคนอยู่บนถนนเลยซักคนพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน ? ผมเดินตามถนนที่ไร้ผู้คนไปยังประตูเมืองจากนั้นก็เห็นหลังคนแว๊บๆ และสุดท้ายปริศนาที่ค้างคาใจผมก็คลี่คลายลง ทุกคนไม่ได้หายไปไหน พวกเขาเพียงไปรุมยืนดูอะไรซักอย่าง โดยนิสัยผมแล้วผมไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน(หรอ?) แต่งานนี้ดูท่าทางใหญ่โตพอสมควร ผมใช้ความคล่องตัวเบียดผู้เล่นคนอื่นๆไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และภาพที่ผมได้เห็นนั้นคือ คนสองคนกำลังยืนคุยกัน คนแรกเป็นผู้ชายไว้ผมตั้งสีแดงเลือดหมูอย่างเท่และไว้ยาวลงมาถึงปีก ใส่ชุดคลุมหนังมีลวดลายเป็นลายเพลิงสวยงานดูน่าเกรงขาม คาดว่าข้างในชุดคลุมนั้นคงใส่เสื้อเกราะอีกชั้นแต่ไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากถูกชุดคลุม กางเกงยาวสีเลือดหมู และมีลายเพลิงประดับบ้างเล็กน้อยพองาม มือสวมถุงมือที่มีลูกแก้วติดอยู่ทั้งสองข้าง อีกคนนึงเป็นผู้หญิงผมยาวสลวยสีดำเงา ใส่ชุดผู้เล่นเริ่มต้นธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจยกเว้นผมสีดำ และ ใบหน้าของเธอ ซึ่งหวานขนาดน้ำผึ้งยังยอมแพ้ เธอผิวขาว ปากชมพูระเรื่อ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆอีกนิดเพื่อดูว่า ทั้ง 2 คนคุยอะไรกัน

 “ ฉันจะบอกเป็นครั้งสุดท้ายนะ ส่งสร้อยนั่นมาเดี๋ยวนี้! ”

ผู้ชายคนนั้นตะโกน ใส่ผู้หญิงอย่างแรง ทำให้ผมพอเข้าใจว่ากำลังทะเลาะกันมากกว่าแค่คุยกันธรรมดา

“ ไม่มีวัน! ไม่ว่าแกจะทำอะไรก็ตาม สร้อยเส้นนี้จะไม่มีวันเป็นของแกเด็ดขาด ”

ผู้หญิงคนนั้นแผดเสียงของเธอโต้ตอบชายคนนั้นซึ่งดูยังไงก็เหมือนเธอพูดทั้งๆที่เธอกลัวมากกว่า

 “ หึหึ งั้นฉันแย่งเอามาจากศพของเธอก็ได้วะ ! ”

มือของชายคนนั้นเป็นสีแดงเหมือนกำลังจะร่ายเวทย์ผมทนเห็นภาพนี้ไม่ได้เด็ดขาด

“ อ่าวเห้ย! แกไอ้นักเวทย์กระจอก แกกล้าทำกับผู้หญิงแบบนี้หรอ! ”

ผมหลุดออกมาจากฝูงชนแล้วไปยืนระหว่าง 2 คนนั้นแล้วชี้หน้าด่าผู้ชายคนนั้นทันที

“ มันไม่ใช่เรื่องของแก ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามายุ่ง ฉันเตือนแกแล้วนะ ”

ผมชายคนนั้นลดมือสีแดงของเขาลง แล้วหันมาพูดกับผมแทนด้วยสายตาอันเย็นชา

“ อยากรู้เหมือนกันนักเวทย์แบบแกจะทำอะไรเราได้ ! คู่ต่อสู้ของแกอยู่นี่แล้วไม่ต้องไปสู้กับผู้หญิงหรอก ”

ผมเอาดาบเหล็กเก่าที่ได้จากคุณลิลี่ ชี้หน้ามันซึ่งเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของการต่อสู้

 “ ฉันขอเวลา 2 วินาทีในการฆ่าแก ไอ้หนู แกเล่นผิดคนแล้ว ... ‘แปะ’...”

หลังจากเขาพูดเสร็จเขาก็ดีดนิ้วดัง แปะ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าเขาคิดจะทำอะไร

“ อย่ามาดูถูกกันแบบนี่เซ่ ! อย่างแกชั้นขอแค่ 2 เสี้ยว…. ”

ผมยังพูดไม่จบประโยค จู่ๆพื้นที่ผมยืนก็ระส่ำระส่าย จากนั้นพื้นที่ระยะ 10 เมตร x 10 เมตร รอบตัวผมก็ระเบิดขึ้นมา มันเหมือนปะทุร้อนจากนรกพุ่งขึ้นมา ตัวผมลอยอยู่บนฟ้า ไม่กล้ามองลงมายังพื้น ผมเห็นผู้คนที่ดูเหตุการณ์ เอามือปิดตา บ้างก็วิ่งหนีเข้าไปในเมืองด้วยความหวาดกลัว ตัวผมลอยลงถึงพื้นแล้ว แต่ยังไม่ได้สติ หูผมอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่เสียงหัวใจตัวเองก็ตาม ดวงตาของผมมันเบลอไปหมด มองอะไรไม่รู้เรื่องซักอย่าง เวลาผ่านไปซัก 5 วินาที ผมเริ่มมองเห็นสิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือแขน แต่ผมแทบไม่เชื่อสายตาว่านั่นเป็นแขนของผม มันไร้ความรู้สึก และไม่เหลือสภาพที่จะเรียกว่าแขน ผมไม่กล้ามองไปที่ตัวผมเลย สิ่งที่ผมเริ่มมองเห็นนั่นคือหลอดพลังชีวิต ซึ่งเหลือพลังชีวิตริบหรี่ไม่น่าถึง 3 % ด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจจริงๆ เวทย์เมื่อกี้แรงขนาดแหวนที่ลดพลังโจมตีไปแล้ว 99.9% ยังสร้างความเสียหายมหาศาลขนาดนี้ หรือ ในจังหวะเมื่อกี้แหวนเกิดไม่ทำงานฉับพลันซึ่งไม่น่าเป็นไปได้…  จากนั้นชายคนนั้นก็เดินเข้ามา

“ ปากดีนักเจ้าหนู นี่ฉันยังไม่ได้ใช้พลังสุดยอดเลย หึๆ นี่แกยังไม่ตายนี่นา เห็นแล้วนึกถึงใครบางคนจริงๆ แต่ช่างเถอะฉันรู้ว่าแกทรมาณแต่เดี๋ยวฉันจะส่งแกไปที่ชอบๆ เองนะ ”

เขาเอาฝ่ามือชี้มาที่ผม จากนั้นมือของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ Fire ball !”

ลูกบอลไฟ ก้อนเท่าหัวคนพุ่งเข้ามาที่ตัวผม ดูท่าทางไม่ทรงอานุภาพเท่าเวทย์เมื่อกี้แต่ก็พอที่ถ้าผมโดนคงต้องตายแน่ๆ ผมได้แต่โทษตัวเองที่มายุ่งกับเรื่องนี้ และสิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ ผมคงต้องเลิกเล่นเกมส์นี้

 

“ Plant wall !”

จังหวะก่อนที่ลูกบอลไฟนั่นจะมาถึงผม ได้มีขวดยาโยนลงมาแตกข้างหน้าผมสารเคมีที่อยู่ในขวด ทำปฏิกิริยากับหญ้าอย่างรวดเร็ว มันทำให้หญ้าที่โดนนั้นกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มและแข็งแกร่ง จากนั้นก็พุ่งขึ้นเป็นดั่งป้อมปราการ ป้องกันลูกไฟที่มายังตัวผม ผมพยายามหันหน้าไปมองบุคคลที่กล้ามาช่วยชีวิตผม แต่ตอนนี้เขาเดินมาอยู่ข้างๆผมแล้ว

“ โอ้โหเว่ย ไซฮะ สมัยนี้แกกันดาร ขนาดที่ต้องใช้เวทย์ไม้ตายฆ่าคนอ่อนแอเพื่อแย่งไอเทมแล้วหรอเนี่ย ฮ่าๆๆ น่าขำสิ้นดีหว่ะ ”

คนที่มาช่วยผมเป็นผู้ชาย อายุน่าจะประมาณ 20 ต้นๆ ดูอายุน้อยกว่านักเวทย์คนนั้นบ้างซัก3-4ปี ผู้ชายคนนี้ผมสีขาว กระเซิงเป็นรังนกกระจอก ใส่เสื้อคลุมหนังสีขาวครีม มีลายตัดขวางไม่เท่เท่าไรนักแต่มันทำให้คนอื่นๆดูเหมือนว่าเขาเป็นคนมีความรู้ มือขวาของเขาถือหนังสือเล่มโตน่าจะประมาณ 2 พันกว่าหน้าได้ แต่สิ่งที่สะดุด ตาที่สุดก็คือ เยลลี่สีน้ำตาล ที่มีตาโต 2 ดวงยื่นออกมาจากหัว แต่ตัวมันและไม่น่าจะเป็นเยลลี่ได้ ขนาดของมันเท่าลูกสุนัข ดูท่าทางมันเป็นสัตว์เลี้ยงของชายผู้นี้

 “ มิว ! แกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่ ตามมาเร็วเหมือนสุนัขตำรวจเลยว่ะ ”

ขณะที่ไซฮะกำลังพร่ามประโยคเมื่อกี้ มิวเหมือนไม่ได้สนใจอะไรเขาเปิดหนังสือเล่มโตของเขาอย่างไวเหมือนเครื่องนับเงิน แล้วเขาก็หยุดที่หน้านึง

“ หน้า 846 ! Full restoration ”

เขาปิดหนังสือ แล้วเปิดเสื้อคลุมของเขา ผมแทบช้อค ข้างในชุดคลุมของเขามีตัวอย่างยาขวดเล็กๆหลากสีเกือบ 100 ชนิด ! ทุกพื้นที่ว่างในชุดคลุมนั้นถูกทำเป็นที่เหน็บหลอดยา เขาหยิบขวดเปล่ามา จากนั้นก็โชว์การผสมยาสดๆ ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นั่น ทำเอาเสียงฮือฮา เขาเอายาประมาณ4-5 ชนิดมาผสมกันในขวดเปล่า จากนั้น ก็เทยาผสมนั่นมาที่ตัวผม มันออกฤทธิ์เร็วมาก แผลที่เหวอะน่ากลัวของผมหายไปอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสของผมกลับมาดีเหมือนเดิม และแน่นอนพลังชีวิตของผมก็เต็มหลอดด้วย

“ เจ้าหนู ยาเมื่อกี้ 50,000 bay น่ะเว้ย ถ้าแกหาตังได้เมื่อไหร่อย่าลืมเอามาใช้ด้วยหล่ะ ฮ่าๆ ”

ผมอยากจะยิ้มกับเขาแต่ผมก็ยิ้มไม่ออก แต่ดูท่าทางเจ้านักเวทย์ที่ชื่อไซฮะพอเจอคนๆนี้แล้วดูเหมือนเขาจะหวั่นใจพอสมควร อาจเป็นเพราะอัจฉริยะจอมปรุงยาคนนี้ คงเป็นระดับสุดยอดพอๆกับไซฮะก็เป็นได้

“ นี่แกไม่ได้สนใจที่ฉันพูดเลยหรอ! อย่างแกจะทำอะไรฉันได้ ปรุงยาระเบิดอัดหน้าฉันงั้นรึ ?“

ไซฮะดูท่าทางฉุนเฉียวแล้วตะคอกใส่มิวเต็มๆ

“ โอ้ย รู้จักกันมาตั้งนาน ฉันเคยสนใจแกซะที่ไหนล่ะ ถ้าฉันจะสนใจก็น้องผู้หญิงที่แกจะแย่งสร้อยนั่นแหละ จะบอกให้นะไซฮะ ฉันไม่เสียเวลาปรุงยาระเบิดหรอกหว่ะ และฉันก็ไม่อยากสู้กับแกด้วย แต่เจ้านี้แหละจะเป็นคู่ต่อสู้กับแกเอง ”

มิวชี้มาที่เจ้าเยลลี่น่าขยะแขยงนั่น ผมไม่ค่อยเข้าใจว่า เยลลี่นั่นมันดูน่าเกรงขามยังไง? ถ้าเจอไอ้ท่าระเบิดนั่นซักทีก็คงแหลกแล้ว แต่มิวเริ่มเปิดหนังสือเล่มโตนั่นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าผมคงจะได้เห็นอะไรเจ๋งๆอีกแล้ว

“ หน้า 1785 ! Reforming ”

คราวนี้เขาใช้ยาเกือบ 10 ชนิดผสมกันอย่างคล่องทั้งเขย่า บ้างก็เติมผงอะไรไม่รู้แล้วใช้แท่งแก้วคน อันนี้ดูเทพกว่าครั้งที่แล้วมาก ยาที่ผสมเสร็จถูกเทราดไปยัง เจ้าเยลลี่นั่น จากนั้นร่างกายของมันถึงเปลี่ยนแปลง มันตัวโตขึ้นเกือบเท่าตู้ไปรษณีย์ หัวของมันเป็นเหมือนด้วง ลำตัวเปี่ยมไปด้วยหนามแหลม มีปีกแบบแมลง ยืน2ขาลักษณะคล้ายหมี มีแขนเป็นเหล็กแข็งมันเงาขนาดใหญ่ ขาเป็นข้อปล้องแบบแมงมุม

“ ดูไว้ซะ ไซฮะ นี่คือร่างใหม่ของ เนโซ ที่ฉันสร้างมาเพื่อจัดการกับแกโดยเฉพาะ หัวของมันประมวลผลไวมาก ร่างกายของมันเป็นเกราะป้องกันไฟชั้นดี แขนของมันเป็นเหล็กพลาสเมียมคมขนาดที่ตัดหินได้อย่างตัดเต้าหู้ มีปีกเอาไว้หลบสกิลไฟกระจอกๆของแก เอาเป็นว่า มันคือเครื่องจักรที่ถูกสร้างมาให้ฉีกแกเป็นชิ้นๆยังไงเล่า ฮ่าๆๆๆ ”

ไซฮะ มองไปที่เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นในสายตาที่เป็นกลางๆ ซึ่งทุกทีสายตาของไซฮะนั้นจะเป็นสายตาที่ดูหมิ่นคู่ต่อสู้ว่าอ่อนแอกว่าตนเสมอ

 “ เชอะ ไม่ลองก็ไม่รู้ เริ่มเลยดีกว่ามิว แล้วอย่าหนีแบบตอนนั้นอีกล่ะ ”

มิวแสยะยิ้มให้กับการต่อว่าของไซฮะ

“ ฉันไม่ใช่คนชอบแก้ตัวนะ ขอทิ้งไว้คำเดียว ศึกวันนี้ แกนั่นแหละอย่าหนีก็แล้วกัน ”

ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นการต่อสู้ของพวกระดับเทพ ตอนนี้สมรภูมิเริ่มร้อนระอุ ไซฮะเริ่มจะร่ายเวทย์ของเขา ส่วมมิวก็เปิดหนังสือ เตรียมสั่งเจ้า เนโซ บุกเต็มกำลัง แต่ในเสียววินาทีก่อนทั้งคู่จะเริ่มโจมตี ก็มีค้อนขนาดใหญ่มหึมา ถูกโยนมายังตัวของไซฮะอย่างไม่เร็วมากเหมือนไม่ได้ตั้งใจโยน ซึ่งไซฮะก็พลิกหลบสบายๆ ค้อนนั้นเป็นค้อนเหล็กสีเงินถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีตัวหนังสือสีแดงเขียนว่า ‘200 kg’ ถ้าผมเห็นตอนแรกคงไม่เชื่อแต่พอผมมองไปยังพื้นมันปักอยู่ ผมล่ะเชื่อจนสนิทใจเลยทีนี้ว่ามัน 200 กิโลกรัมจริงๆ จากนั้นก็มีผู้ชายอีกคนซึ่งดูท่าทางเป็นเจ้าของค้อนมหึมานั่น เดินมาหยิบค้อนขึ้นพรางพูดว่า

“ นี่พี่พลาดอะไรสำคัญไปรึเปล่าเนี่ย ?  ”

ชายคนนั้นผมสีเหลืองทองสั้นกระเซิงหน่อยๆ มีผ้าคาดหัวสีแดงผูกไว้ เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาๆ แต่เขาปลดกระดุมออก ทำให้เห็นกล้ามชัดเจน เขาสวมสร้อยกางเขน ขาสวมกางเกงยืนที่มีรอยขาดบ้างแต่ไม่ถึงขั้นเหวอะ เข็มขัดหนังหัวเข็มขัดเป็นรูปถุงเงิน ดูเด่นมากเมื่อเทียบกับชุดอันธรรมดาๆ มีค้อนขนาดเล็กอีก 2 ตัวเหน็บอยู่ที่กางเกง หน้าตาดูมีอายุมากกว่า มิว แต่ก็พอๆกันกับไซฮะ ในตอนนี้ผมและทุกคนคงคิดเหมือนกันว่า ‘ ชายล่ำบึกคนนี้อยู่ฝ่ายใดกันแน่ ? ’

“ แย่จริง มีหนูสกปรกสองตัวมารอให้ฉันเชือดทีเดียวเลยเว่ย ”

ไซฮะ อุทานขึ้นมาทำให้ทุกคนรู้ว่าชายล่ำคนนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับมิว

“ ไซฮะ ! พูดอะไรระวังปากหน่อย ก่อนที่ค้อนสองร้อยกิโลของฉันจะไปประทับที่ปากของแกนะ ”

 “ อยากรู้จริงนะกานต์ กว่าแกจะยกค้อนนั่นมาได้ ตัวแกคงลุกเป็นไฟไปนานแล้ว ”

กานต์หยิบค้อนขึ้นมาด้วยมือเดียวจากนั้นเอามาแบกไว้บนไหล่ ทำเอาสาวๆบริเวณนั้นกรี๊ดสลบไปหลายราย

“ โอ้ว้าว แกนี่ช่างกล้าพูดเนอะ อยากรู้เหมือนกันว่าใครหนีฉันหางจุกตูดตอนอยู่พีระมิดน่ะ ”

กานต์เดินมาข้างๆมิวกับผม เหมือนเป็นสัญญาณว่าเราจะสู้ด้วยกัน

“ แกพร่ามอะไรของแก ! มาเลยงานนี้ฉันให้แกรุม 2 ต่อหนึ่งยังได้ ”

“ ไซฮะ นี่แกบ้าไปแล้วหรอ แกเอาอะไรมองว่า สองรุมหนึ่ง แบบนี้เขาเรียกสี่รุมหนึ่งต่างหาก ”

มิวพูดตัดบทขึ้นมา พลางมองมาที่พี่กานต์กับผมและสาวคนนั้น พร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

“ นี่แกนับเศษสวะ 2 ตัวนั่นด้วยเหรอ ? ดูยังไงมัน 2 ตัวก็ไม่น่ารอดเกิน 2 วินาทีหรอก ”

“ เพราะแกเป็นแบบนี้ไงไซฮะ ! แกไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ แล้วตอนนี้เป็นยังไง ? โดนพวกเราไล่บี้จนไม่มีที่จะยืนแล้ว ”

พี่กานต์พูดเสริมทำเอาไซฮะฉุนขึ้นมาทีเดียว

“ หยุดพูดซะที ! ฉันจะส่งพวกแก 4 คนไปลงนรกเดี๋ยวนี้แหละ ”

ไซฮะ เหมือนคนไม่ได้สติ ใบหน้าของเขาเริ่มแดงกล่ำ ท่าทางคราวนี้คงจะได้เห็นอะไรเด็ดๆแล้วหละ

“ 2 คนนี้อ่ะ หลบอยู่ข้างหลังก่อนเถอะ นายพาน้องผู้หญิงไปในที่ๆปลอดภัยก่อนนะ ไอ้มนุษย์เพลิงเนี่ยเด๋วฉันกับพี่กานต์จะจัดการมันเอง ”

มิวหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เกรงกลัวต่อ ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าแม้แต่นิดเดียว ผมพยักหน้ากำลังจะเดินหนี แต่ก็เกิดแสงสว่างจ้า ขึ้นมาบริเวณนั้น มันเป็นเวทย์เคลื่อนย้าย จำนวนเกือบ 20 กว่าวง กำลังฉายแสงวับๆ อยู่บนพื้น นั่นหมายความว่า มีคนเกือบ 20 กว่าคนกำลังจะมาที่นี่

“ ไซฮะ !!! หยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้นะ ”

เสียงอันหนักแน่นของนักรบชายที่เผยโฉมออกมาจากแสงสว่างพูดดังขึ้น เขาไว้ผมสีน้ำตาลบรอนซ์ทรงผมคล้ายๆไซฮะแต่เซตผมให้เรียบร้อย ดูมีอายุมาก น่าจะเป็นรุ่นพี่ของไซฮะซัก 10 กว่าปี ใส่ชุดเกราะสีเขียวมรกตทั้งตัว เขาคาดดาบที่สวมปลอกไว้อย่างมิดชิด แขนมีเชือกพันไว้กับโล่สีเขียวขนาดพอดีตัว ดูท่าทางจะเป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้มาก

                “ อ่าวๆมากันอีกแล้ว นี่มันวันรวมญาติรึงัยว่ะเนี่ย และแสงที่เหลือนั่นมันอะไร ”

แสงที่เหลือเกือบ 20 วงนั่น กลายมาเป็น ชุดเกราะที่ลอยได้เหมือนมีคนสวมแต่มองไม่เห็นคน พูดง่ายๆ มันเป็นเหมือนกับ ชุดเกราะวิญญาณ ขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดา 2 เท่า จำนวนเกือบ 20 ตัว ลอยอยู่รอบตัวไซฮะ

“ มันก็คือ ทหารเทพ ไง แกจนมุมแล้วหละไซฮะ ”

พี่กานต์พูดพร้อมลดอาวุธลง แล้วเอามือผสานกันไว้บนหัว สื่อความหมายเหมือนกับยังไงก็ชนะแน่ๆ

                “ ฝากไว้ก่อนเถอะ วันนี้โชคเข้าข้างพวกเจ้า แต่รอบหน้าต้องไม่มีแบบนี้อีกแน่นอน ”

ไซฮะ พูดอย่างเกรียวกราด พร้อมสะบัดผ้าคลุมจากนั้นตัวเขาก็กลายเป็นไฟ และหายไปในพริบตา

“ แหม ไหนบอกว่าจะไม่หนีไงเนี่ย แล้วนี่มันอะไร ไซฮะชอบผิดสัญญาอยู่เรื่อย ”

มิว หันมาแซวไซฮะให้พี่กานต์ฟังทั้งๆ ที่ตอนนี้ไซฮะ หายไปแล้ว

“ โถ่ มิว เค้าเรียกว่าถอยไปตั้งหลักไม่ได้เรียกว่าหนี ฮ่าๆ ”

พี่กานต์ก็รับมุกของมิว ทั้งสองก็ตลก แต่ตอนนี้คนที่ไม่ตลกก็คือ อัศวินเกราะเขียวคนนั้น

“ มิว ! ทำไมมาไม่รอคนอื่น ถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจะทำยังไง ? ”

อัศวินคนนั้น หันมาพูดต่อว่ามิว ในขณะเดียวกัน ทหารเทพเหล่านั้นก็หายตัวไป รวมทั้งเจ้า เนโซ ก็กลับเป็นร่างปกติแล้วด้วย

“ เอาน่าลุงซิกฟรีส ก็.. ชอบซีเรียสอยู่เรื่อย ถ้าผมมาช้ากว่านี้เจ้าหนู่เนี่ยก็คงเละเป็นโจ้กไปแล้ว”

มิวแก้ตัวกับ ซิกฟรีสพร้อมทั้งชี้มาที่ผม แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็รู้สึกแปลกๆเหมือนเวียนหัว อาจเป็นเพราะร่างกาย คงต้องการพักฟื้น ทำให้ผมสลบไป ณ ที่แห่งนั้น

“ เห้ยเจ้าหนู เป็นไรป่าวว่ะ แผลก็ไม่มีนี่นา ”

พี่กานต์เดินมาแล้วยกตัวของผมขึ้น ผมไม่ได้สติก็จริงแต่หูผมก็ยังฟังได้บ้าง

“ ไม่มีแผลน่ะใช่ แต่ร่างกายคงยังปรับสภาพไม่ทันหรอก ไอ้หนูเนี่ยโดน vermilion  ของไซฮะเข้าไปเต็มๆ รอดมาได้ถึงขนาดนี้ ก็โชคช่วยสุดๆ ให้มันหลับซักตื่นก็หายดีแล้วหละ”

มิวเล่าให้อีกสองคนฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่สองคนนั้นจะมา

“ โดน vermilion แล้วยังรอดชีวิต ! ”

พี่กานต์กับซิกฟรีสพูดพร้อมกัน ทำเอามิวตกใจไปด้วย

“ งั้นเอางี้เดี๋ยวน้าจะพาเขาไป... ”

ซิกฟรีสยังพูดไม่จบประโยคแต่ผมก็หลับไปก่อนเพราะแรงเฮือกสุดท้ายของผมหมดแล้ว ผมไม่รู้ตัวว่าผมหลับไปนานเท่าไร ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา