The Cruise In The Lost Time
8.1
เขียนโดย scorpionman
วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 19.31 น.
4 บท
7 วิจารณ์
8,206 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556 13.28 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) เส้นทางที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมืองริเวอร์ ยอร์ค สแควร์
เกาะเล็กๆทางตอนใต้ของอาณาจักรเพิร์ล
อย่าได้ถามว่าผมเป็นใคร...
คุณเคยคิดกันเล่นๆหรือเปล่าหากวันหนึ่งคุณหลงทางมายังที่ๆคุณไม่รู้จักและต้องทำเป็นว่าสูญเสียความจำโดยที่แม้กระทั่งชื่อตัวเองก็ยังจำไม่ได้ มันคงจะแย่น่าดู นั่นคือเรื่องจริงที่ผมเลี่ยงไม่ได้ สามปีมาแล้วที่ผมอยู่ที่นี่เมืองเล็กๆชื่อว่าริเวอร์ ยอร์ค สแควร์ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ประชากรทั้งหมด 133,987 คน อาชีพส่วนใหญ่คือประมง สินค้าส่งออกคือผลิตภัณฑ์อาหารทะเลและสิ่งทอ
ผมอาศัยอยู่กับคุณนายลอเรนซ์ ลองส์ เจ้าของธุรกิจการประมง “ลองส์” ซึ่งเป็นคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมจึงอยู่ในฐานะลูกจ้างของร้าน เด็กส่งปลาและผลิตภัณฑ์จากทะเลทั่วราชอาณาจักรใช้ชื่อว่า “อาร์เดนท์ ลองส์” นั่นคือชื่อที่เธอตั้งให้ตอนที่เจอผมครั้งแรกที่นอนเกยตื้นบนชายหาดพร้อมกับเป้สีเหลืองใบใหญ่ ผมไม่รู้ว่ามาที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ว่าที่นี่คือส่วนใดของโลก ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ณ ตอนนั้นผมเหลือแต่เพียงความทรงจำสุดท้ายอันแสนจะเลือนราง คือใบหน้าของหญิงสาวที่อาบไปด้วยความหวาดผวาและเสียงกรีดร้องที่ยังคงดังก้องอยู่ในหู
สามปีก่อน...
Minaj Eastern Science High School นี่คือชื่อสถาบันการศึกษาระดับมัธยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านวิทยาศาสตร์ ประจำเมืองนิวยอร์ค แหล่งรวมเด็กเก่งระดับHigh IQ ผู้มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก และผม ‘ฌอน ไมเนอร์’ นักเรียนปีสุดท้ายผู้คลั่งไคล้วิทยาศาสตร์สุดขีด ผู้ซึ่งมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นวิศวกรที่มีชื่อเสียงระดับโลก
“คุณ ฌอน แม้ว่าคุณจะเป็นนักเรียนทอปคลาส นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิที่จะไม่เข้าเรียนวิชาของฉันได้”
“โทษทีครับ ดร.ลีน่า ผมแค่ลืมรายงานไว้ที่บ้านเลยย้อนกลับไปเอา”
“เป็นคำแก้ตัวที่ดีมากเลยนะสำหรับการโดดเรียนในคลาสประวัติศาสตร์ของฉันรอบที่สาม”
“ ขอโทษครับ”
“ ไม่จำเป็น คุณรู้ไหมว่าฉันจะทำยังไงกับนักเรียนที่ไม่เข้าเรียนในคลาสของฉัน”
“...”
“20 คะแนนจะถูกหักจากรายวิชาประวัติศาสตร์และ คุณไมเนอร์ ซัมเมอร์นี้ฉันคิดว่าค่ายประวัติศาสตร์ขอต้อนรับคุณอย่างเต็มใจ เพราะชื่อของคุณจะอยู่ในlistตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป”
“โอ้!ให้ตายสิ ผมลงชื่อค่ายวิทยาศาสตร์ไปแล้วนะ” ผมทำสีหน้าแบบไม่รู้ร้อนใส่เธอ
“โอ๊ะ โอ่ เสียใจด้วยนะฉันได้ข่าวว่าค่ายวิทยาศาสตร์เลื่อนการรับสมัครเป็นอาทิตย์หน้า คุณไมเนอร์อย่าคิดตุกติกกับฉันนะ” เธอตอบทวนคำและยกชาร์ตสีเขียวที่มีใบลงชื่อสำหรับค่ายประวัติศาสตร์ขึ้นมาพร้อมกับเขียนชื่อของผมลงไปในนั้นอย่างไม่ลังเลและชูขึ้นให้ผมดูก่อนจะเดินสะบัดก้นกลับห้องไป
ผมเดินไปตามระเบียงของอาคารสังคมศาสตร์ชั้นสอง อย่างลำบากใจพลางมองที่เสาตึก ที่มีโปสเตอร์ประกาศกิจกรรมระหว่างปิดภาคเรียนฤดูร้อน นั่นก็หมายถึงค่ายวิทยาศาสตร์ของผมเช่นกัน ผมพยายามเลี่ยงสายตาจากโปสเตอร์แผ่นนั้นเพราะยิ่งมองยิ่งหดหู่ใจ แล้วก็เปลี่ยนมานั่งที่ระเบียงพร้อมกับหยิบหนังสือพิมพ์รายวัน Fresh daily ขึ้นมา และไล่สายตาไปบนแผ่นกระดาษอย่างเรื่อยเปื่อย ข้อความส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงแต่เรื่องเศรษฐกิจและการเมืองอันสุดแสนจะน่าเบื่อในอเมริกา กับประกาศคนหายที่ตามตัวไม่เจอมาประมาณ 1เดือนแล้ว เด็กหญิงผมสีดำขลิบจากการย้อมไฮไลท์หน้าม้าด้วยสีม่วงที่ดู ใบหน้ายิ้มแย้มตัดกับสไตล์การแต่งหน้าจัดคมเข้มที่เข้ากันดีกับเสื้อผ้าแนวดาร์ค ก็อทธิค แอนนา โพลซาร์ นั่นคือชื่อของเด็กที่หายตัวไป อันที่จริงเธอก็เป็นเด็กโรงเรียนเดียวกับผม แถมบ้านของเธอก็ยังอยู่ตรงข้ามบ้านผม เราสองคนไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร เพราะครอบครัวของเรามีทัศนคติที่ไม่ค่อยตรงกัน ครอบครัวของผมเป็นวิศวกรที่ศรัทธาในวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อในเรื่อง เวทมนต์ โชคชะตาหรือไสยศาสตร์ ใดๆทั้งสิ้น ต่างกับครอบครัวของ โพลซาร์ที่ถึงแม้จะเป็นตระกูลแพทย์แต่กลับมีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ ทำให้เราทั้งสองตระกูลมีความบาดหมางกันเล็กน้อยในด้านจิตวิทยา
“เฮะ เฮ้ ว่าไงพ่อหนุ่มอัจฉริยะ” เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเดินเข้ามาตบไหล่ผมอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงเล่นทำเอาผมสะดุ้งเลยทีเดียว
“แมท แกเป็นบ้าไรเนี่ย ฉันตกใจนะโว้ย” แมทเพื่อนสนิทชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม แต่ความจริงเขาแก่กว่าผมสองปี เพราะแมทซ้ำชั้นสองปี อันที่จริงตัวเขาไม่ได้เก่งอะไรมากมายแต่พ่อของเขาที่เป็นรองผู้อำนวยการของโรงเรียนแห่งนี้ใช้เส้นสายเล็กน้อยเพื่อให้ลูกชายสุดเกเรของตนเองได้มีสถานที่เรียนเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่อายขายขี้หน้าใคร
“ ก็เห็นแกสนใจอ่านหนังสือพิมพ์เป็นพิเศษ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอ่าน” แมทพูดต่อ
“ เซ็ง”
“ หืม?” แมททำสีหน้างุนงง
“ก็ป้าแก่ลีน่าไง จะอะไรนักหนาแค่ไม่เข้าเรียนวิชาของป้าแกเท่านั้นเอง บังคับให้เข้าค่ายประวัติศาสตร์เฉยเลย” ผมตอบพลางวางหนังสือพิมพ์กลับเข้าที่เดิม
“555 ฉันก็เจอ” แมทตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“ทำไมต้อง ค่ายประวัติศาสตร์ทุกทีเลย”
“แกรู้แล้วก็เงียบไว้นะ” แมทลดเสียงลงจนกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบและเขยิบมาใกล้ผมมากขึ้น
“ก็ป้าแก่ลีน่าน่ะ... เศรษฐกิจทางบ้านแกกำลังอยู่ในช่วงขาลง ถ้ามีทางไหนที่หาเงินได้มันก็จำเป็น แล้วไอ้เงินบำรุงมันก็ไม่ใช่น้อยๆเพราะฉะนั้นถ้าสมาชิกค่ายไม่ครบถึงห้าสิบคนเธอจะไม่ได้เงินบำรุงค่ายเพิ่ม” แมทเริ่มกลับมาเป็นโทนเสียงปกติ “ทีนี้แกเข้าใจหรือยังขอแค่ให้มีคนครบก็พอ”เขาพูดต่อ
ผมไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่หันกลับไปมองหน้าแมทและพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“แต่อาจารย์ฟิชเชอร์ไม่ยอมแน่ๆ เพราะซัมเมอร์นี้ฉันจะต้องไปคัดตัวนักกีฬาบาสเก็ตบอลระดับเขต”
แมทพูดต่อและกอดอกอย่างวางท่า “และแน่นอนซึ่งก็เป็นไปอย่างคาด ฉันผู้มีผลงานดีเด่นสร้างชื่อเสียงด้านกีฬาให้กับโรงเรียนนี้ ผอ.จึงอนุมัติเห็นดีด้วยกับอาจารย์ฟิชเชอร์” พูดจบเขาก็ยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“เจ๋ง” ผมชูนิ้วโป้งสองข้างให้แมทก่อนที่เขาจะตบบ่าผมอีกทีและเดินลงบันไดไป ทีนี้คงเหลือแต่ผมแล้วล่ะนะที่ต้องติดแหง็กอยู่ในค่ายประวัติศาสตร์บ้าๆนี่
ในที่สุดสัปดาห์แรกของซัมเมอร์ก็มาถึง เมื่อผมต้องเดินทางไปยังค่ายประวัติศาสตร์อันสุดแสนจะน่าเบื่อ ผมนั่งถอนหายใจนับสิบครั้งเมื่อหันไปมองรสบัสคันสีขาวที่จะมุ่งหน้าไปค่ายวิทยาศาสตร์สลับกับรสบัสคันสีส้มเก่าๆหลุดลอก ป้ายทะเบียนเริ่มห้อยต่องแต่งซึ่งนั่นคือรสบัสของค่ายประวัติศาสตร์ ผมคงจะพบจุดจบแล้วล่ะงานนี้
“พวกเธอทั้งหลายเวลาไม่คอยท่านะ รีบขึ้นรถมากันได้แล้ว” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดสูทสีน้ำเงินที่กระดุมปริตั้งแต่ช่วงอกลงมากลางพุงนั่นคือ ผอ.ของโรงเรียนผมเอง เขากำลังโบกมือไปมาพร้อมตะโกนเสียงดังทำให้ผมต้องลุกขึ้นเดินอย่างอ่อนแรงและมองไปที่รถบัสคันสีขาวอย่างเศร้าใจแต่แล้วความตกใจก็มาแทนที่ เมื่อร่างกายของผมถูกใครบางคนกระชากจากทางด้านหลัง
“เฮ้! ปล่อยฉันนะ” ผมตะโกนอย่างตกใจพร้อมดึงมือออกจากด้านหลังและหันกลับไปมอง
“นี่ฉันเอง แมทไง” ชายร่างใหญ่เอ่ยทักด้วยรอยยิ้มกวนๆ
“แมท... แกมาทำบ้าอะไรที่นี่”
“ก็มาเข้าค่ายเก็บตัวนักกีฬาไง นู่นรถค่ายฉันนายไม่เห็นหรือไง” เขาชี้ไปทางรถบัสคันสีฟ้าก่อนจะหยิบกระดาษปริศนาสองแผ่นขึ้นมาให้ผมดู มันเป็นใบคัดลอกรายชื่อนักเรียนทั้งหมดที่เข้าค่ายวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ ทันทีที่เห็นผมก็คว้ามันเข้ามาดูใกล้ๆและแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ได้ไง!” ผมอุทานขึ้นและหันไปมองหน้าแมท
“ฉันแอบเข้าไปแก้รายชื่อให้แกเอง พอดีแอลลี่สุดที่รักฉันอยากจะเข้าค่ายประวัติศาสตร์แล้วคนมันเต็มฉันก็เลยให้แอลลี่เปลี่ยนที่กันกับแก โดยย้ายไปค่ายวิทยาศาสตร์แทน เป็นไงล่ะ เจ๋งใช่ไหม ”
“สุดยอดว่าแต่แกทำได้ยังไง”
“ฉันอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว แล้วพ่อฉันเป็นใครแกก็รู้ดี เรื่องแค่นี้เอง”
“อ่อ”
“แค่คนครบก็พอจำได้ไหม”
“ฮ่ะ?...อ่า” ผมตอบอย่างงงๆพลางมองหน้าแมทแล้วย้อนนึกถึงเมื่อหลายเดือนก่อนที่ผมกับแมทเจอกันเรื่องโดนลงโทษให้เข้าค่าย แล้วแมทเอ่ยคำว่า แค่คนครบก็พอ ทำให้ผมนึกได้ทันที เขาคงจะหมายถึงเรื่องนี้สินะ
“ ขอบใจแกมากนะ แมท”
“ไม่เป็นไรหรอกถือว่าตอบแทนที่แกช่วยฉันทำรายงาน” แมทบอกพร้อมกับเดินเข้ามาตบบ่าเบาๆก่อนจะจากไปส่วนตัวผมเองก็ไม่รอช้ารีบรุดไปยังรถบัสคันสีขาวทันที
#########
BY...Inferno Scorpio
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ