รอยต่อแห่งฝัน

7.4

เขียนโดย candle

วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 20.36 น.

  11 ตอน
  31 วิจารณ์
  16.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 22.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

          ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็ก ๆ กับผู้ปกครองระบายอยู่ทั่วไปทั้งบริเวณลานจัดงาน  โยกำลังเล่นกีต้าร์ร้องเพลง “เด็กเอ๋ยเด็กดี” ในเวอร์ชั่นใหม่ซึ่งแปลกแตกต่างกันไปในแต่ละปี  ข้าง ๆ เขามีเจ้าตัวตุ๊กตาแท๊ดดี้แบร์ตัวเบ้อเริ่มยืนโยกซ้ายโยกขวาปรบมือประกอบเพลงไปด้วย 

 

          หล่อนแทบจะมองทะลุเข้าไปถึงด้านในเจ้าตัวตุ๊กตาตัวนั้น  ที่ป่านนี้คงมีเหงื่อท่วม  ฟางมักจะแพ้โยในเรื่อง “เป่ายิ่งฉุบ” เสมอ  ซึ่งนิศาไม่รู้ว่าเพราะอะไร  และคนแพ้ก็มักจะต้องเป็นคนสวมชุดตุ๊กตาอยู่ร่ำไป  สองสามปีหลังมานี่ฟางมักยินยอมใส่ชุดต๊กตาโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ

          “การจะทำความดี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ยังถือว่าเป็นความดีอยู่วันยังค่ำ” 

          ฟางเปรย ๆ ออกมาทำนองนี้ให้พวกเพื่อนได้ยิน  แต่ผลที่ได้รับกลายเป็นเสียงหัวเราะที่เสียดแทงใจ

 

          สองหนุ่มมาช่วยกิจกรรมงานวันเด็กในโรงเรียนที่แพรวาสอนอยู่ทุกปี  ส่วนคิวมาบ้างไม่มาบ้างเพราะขานั้นบางทีก็มีงานไปถ่ายทำโฆษณาต่างจังหวัด  ส่วนนิศาเองหล่อนมักจะไม่ค่อยรับงานอะไรในวันนี้หากเป็นไปได้

 

          อีกมุมหนึ่งใต้ต้นประดู่ต้นใหญ่  อัฐสอนเด็ก ๆ วาดภาพ  แพรวาก็อยู่ตรงนั้นด้วย  เธอถูกกำหนดให้อยู่ฝ่ายกิจกรรมในวันเด็กเสมอ  เพราะครูสาวคนนี้มักจะมีไอเดียดี ๆ สำหรับเด็กซึ่งผอ.ไว้วางใจ  และในคราวนี้เธอก็เชื้อเชิญอัฐมาร่วมงานด้วย  มาสอนเด็ก ๆ วาดรูป

 

          เด็ก ๆ ซึ่งบัดนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยสีสันหลากหลายแม้ว่าด้านหน้าจะถูกปกปิดไว้ด้วยผ้ากันเปื้อนแล้วก็ตาม  ตามแขนขา  ผมเผ้า  ใบหน้าล้วนถูกแต่งแต้มด้วยสีละลานตาอย่างไม่ตั้งใจ  พอมองหน้ากันทีก็หัวเราะแล้วยิ่งแกล้งป้ายจมูกกันอีกต่างหาก  เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มลอยค้างอยู่ในอากาศ

 

          อัฐดูมีความสุข  ใบหน้าอ่อนโยนระบายยิ้มส่งให้แพรวา  ซึ่งก็ไม่แตกต่างกัน  ใช่แล้ว...ทุกคนดูมีความสุข

 

          และนิศาก็มองเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของอัฐที่ส่งถึงแพรวา  บางอย่างที่ลึกซึ้ง...ภาพนั้นช่างดูสวยงาม  อ่อนหวาน  ลำคอดูจะตีบตันขึ้นมาเฉย ๆ หล่อนหันหลังกลับตัดสินใจไม่เข้าไปร่วมงานอย่างที่ตั้งใจไว้  วันนี้ตอนเช้าหล่อนมีนัดสัมภาษณ์รายการทีวีรายการหนึ่งที่ไม่สามารถเลี่ยงได้  นิศาจึงไปอัดรายการก่อนหวังว่าจะกลับมาร่วมงานวันเด็กที่โรงเรียนของแพรวา  แต่...อะไรบางอย่างทำให้หล่อนตัดสินใจหันหลังกลับ

 

          **

          **

 

          เสียงหัวเราะเสียงพูดคุยลอยมากระทบโสตประสาท  นิศารีบปรับสีหน้า  หล่อนลุกจากชิงช้า

 

          “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”  นิศาทักทายน้ำเสียงรื่นเริง  เปิดประตูรั้วไม้ผายมือเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้ามา  อัฐ  แพรวา  โย  เดินยิ้มเข้ามา  ขณะคนท้ายสุดหน้าหงิกหน้างอ 

 

          ฟางถอดเสื้อยืดได้ก็ขว้างใส่หน้านิศา

 

          “ร้อนชิบ...ขออาบน้ำก่อน”

          “ไอ้...”  นิศาสงบปากไว้ได้ทันเมื่อเหลือบแลไปเห็นอัฐ

          “ทำดีเป็นคนดี  มันช่างร้อนเลือดเดือดแท้”  ฟางยังบ่นขณะล่วงหน้าขึ้นบันไดไปไม่สนใจผู้เป็นเจ้าของบ้าน

          “เป็นไงสนุกกันไหม”  นิศาถามไม่เจาะจง

          “ครับสนุกมาก  ที่จริงต้องใช้คำว่ามีความสุขมากกว่า  ต้องขอบคุณคุณแพรที่ชวนผมมา”

          “แพรต้องขอบคุณคุณสิคะถึงจะถูก”

          “งั้นก็ขอบคุณกันและกันสิคะ  แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”  นิศายิ้มกับแพรวา

 

          อัฐหัวเราะ

 

          “ใช่  ขอบคุณซึ่งกันและกัน  คุณนิเข้าใจพูด”

          “หิวกันไหม  นิมีเซอร์ไพร์ส”

          “ฉันอยากนอนว่ะ”  โยว่าสีหน้าบอกว่าแสนเหนื่อยอย่างกับว่าไปออกรบมายังไงยังงั้น  เขาขึ้นแทบจะไม่พ้นบันไดก็ล้มตัวลงนอนทันที  พวกทำงานกลางคืนนอนกลางวันก็อย่างงี้  ตื่นเช้ามาหน่อยแทบสิ้นชีวิตแต่ที่อุตส่าห์ตื่นเช้ามาช่วยงานวันเด็กก็เพราะความมีน้ำใจ  นิศารักพวกเพื่อนของหล่อนมากก็เพราะเหตุนี้

          “ตามสบายค่ะคุณอัฐ  เดี๋ยวแพรไปหากาแฟมาให้”

          “ครับขอบคุณ”

          “เชิญในบ้านดีกว่ามั๊ยคะ”  นิศาบอกอัฐ  มองดูแพรวาที่กุลีกุจอรับรองแขกแล้วก็หน่ายกับตัวเองนัก  หล่อนอยู่ที่บ้านแท้ ๆ ทำไมถึงไม่คิดจัดเตรียมไว้ก็ไม่รู้

          “ไม่เป็นไรครับ  ตรงระเบียงนี่สบายดีออก”

          “ออ...ค่ะ”  นิศาใช้เท้าเขี่ยโยให้ออกไปพ้นทาง

          “อะไรว่ะ”  โยหงุดหงิด

          “แกก็นอนให้พ้นทางหน่อยไม่ได้รึไงเล่า”  นิศาถลึงตาใส่โย

          “ยุ่งจริง  คนมันเหนื่อย”  โยคืบคลานเข้าไปบนผ้าที่นิศาปูไว้มือคว้าเจอหมอนก็รีบเอามาหนุน

          “นั่น  รองเท้าก็ไม่ยอมถอด”  นิศาบ่น

 

          โยใช้เท้าดันรองเท้าแต่ละข้างให้ถอดออกก่อนจะเสือกมาให้นิศา

 

          นิศาฮึมอัมแยกเขี้ยวในใจอยากจะคว้ารองเท้าคู่นั้นเพ่นกบาลเจ้าของเป็นนักหนา  แต่ติดตรงที่อัฐนั่งยิ้มอยู่ใกล้ ๆ นี่สิ  ที่ทำได้ก็แค่คว้ารองเท้ามาแล้วโยนลงไปข้างล่างอย่างเสียไม่ได้

 

          “ไม่เห็นคุณไปที่โรงเรียน”

          “พอดีว่างานเมื่อเช้ามันยืดเยื้อน่ะค่ะ”  หล่อนโกหกลากโต๊ะไม้ตัวเตี้ยมาวางตรงหน้าอัฐ

 

          แพรวายกกาแฟหอมกรุ่นมาห้าแก้วครบตามจำนวนคน  พร้อมกับคุกกี้จานหนึ่ง  ฟางเดินตามหลังแพรวาออกมา  ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเปียก ๆ

 

          “เอ้ย...แกเอาผ้าขนหนูฉันมานุ่งได้ไง”  นิศาโวยวายเมื่อเห็นฟางนุ่งผ้าขนหนูหล่อนออกมาหน้าตาเฉย  มันกลายเป็นผ้าขนหนูผืนน้อยเลยล่ะเมื่ออยู่บนท่อนล่างของฟาง  ดูหมิ่นเหม่นัก

          “น่า...เรามันคนเคย ๆ กัน”  ไม่พูดเปล่าเจ้าหมอนั่นมานั่งแหมะเบียดชิดเนื้อตัวของหล่อนซะด้วย

          “ง่ะ...ที่ออกจะกว้างมานั่งเบียดฉันทำไมเนี่ย”  นิศากระเถิบหนี

 

           ฟางโอบแขนกระชับร่างเพื่อนสาวมากอด  แกล้งยื่นหน้ามาใกล้

 

          “หอมดูสิ  กลิ่นครีมอาบน้ำของแกมันหอมจริงนะ”

          “ไอ้บ้าฟาง”  นิศาผลักหน้าฟางไปให้พ้นระยะประชิด  หมอนั่นหัวเราะเสียงดัง  ส่วนไอ้คนที่บอกว่าง่วงดันผสมโรงหัวเราะไปด้วย  นิศาเลยใช้เท้าแตะสีข้างมันไปทีหนึ่งอย่างเหลืออด

          “ฟางก็  อย่าแกล้งนิต่อหน้าคุณอัฐสิ”  แพรวาแจกจ่ายแก้วกาแฟ

 

          นิศาใช้เท้าสะกิดโยอีกทีให้ลุกขึ้น

 

          หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กในสายตาของอัฐเมื่อเปรียบกับแพรวาแล้ว  มันดูเหมือนห่างไกลกันลิบเลยทีเดียว

 

          “คืนนี้สองทุ่มผอ.เชิญทุกคนไปกินเลี้ยง  เป็นการขอบคุณนะ”

          “ผมขอตัวนะแพร”

          “ฉันก็ด้วย”  สองหนุ่มปฏิเสธ

          “นิล่ะ  ไปด้วยกันสิ  ผอ.ฝากชวนนิด้วย”

          “ปีนี้นิไม่ได้ช่วยอะไรเลย”  นิศาออกตัว

          “ก็ของขวัญกับไอศกรีมไม่ใช่รึไง”

          “แพรไปกับคุณอัฐเถอะ  นิขอตัวล่ะ”

 

          แพรวามองหน้าอัฐ

 

          “ครับผมคงต้องไป  เอาว่าทุ่มครึ่งผมมารับนะครับ”

          “ค่ะ  คงต้องตามนั้น”

 

          **

          **

 

          แพรวาอยู่ในชุดเดรสสั้นสีชมพูหวานสำหรับงานเลี้ยงขอบคุณในคืนนี้  นิศาเดินไปใส่แพรวาที่รถ

 

          “ฝากพี่สาวนิด้วยนะคะ”

          “ครับผมจะมาส่งให้ตรงเวลา”  อัฐรับคำนิศายิ้ม ๆ

 

          หล่อนยิ้มรู้สึกหัวใจมันโหวง ๆ ปร่า ๆ ฟางยืนรออยู่ตรงบันได

 

          “ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องกันรึไง”  นิศาบ่นเนือย ๆ

          “จะอยู่เป็นเพื่อนแกก่อน”

          “อะไรอีกล่ะ  ฉันอยู่คนเดียวได้”

          “แล้วเมื่อตอนกลางวันทำไมไม่ยอมเข้าไปในโรงเรียน”

          “..............”

          “กินข้าวเถอะ  แกทำข้าวผัดอเมริกันไว้ไม่ใช่เหรอ”

          “มันตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วอ่ะ  คงไม่อร่อยหรอก  ฉันเปิดตำราทำซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต”  นิศายิ้มฝืดฝืน 

 

          ใช่มันครั้งแรกในชีวิตเลยล่ะที่หล่อนลุกขึ้นมาจัดแจงเข้าครัว  นิศาไปหาซื้อของในซุปเปอร์ฯ เพื่อจะทำข้าวผัดอเมริกันไว้ให้พวกเพื่อนได้กินกัน  แต่ดูทุกคนจะอิ่มแปร้มาจากในงานกันแล้ว

 

          “ฉันชิมแล้วอร่อย  มาเถอะ”  ฟางลากมือนิศาเดินเข้าไปในครัว  โยหลับน้ำลายยืดอยู่บนโซฟารับแขก

          “ไม่ปลุกมันมากินด้วยกันเหรอ”

          “ให้พักผ่อนเถอะเดี๋ยวมันตื่นขึ้นมากินเองแหละ”

          “ขอบคุณนะฟาง”  นิศากระชับแขนฟางแน่นน้ำตาซึม

          “แกน่ารักเสมอ”

          “งั้นเปลี่ยนใจมารักฉันได้นา  มาซบอกพี่นี่”  ฟางตบอกตัวเองแล้วหัวเราะ

          “ก็คิดอยู่นะ”  นิศาหัวเราะ  ฟางเขกหัวหล่อนไปทีหนึ่ง

 

          ข้าวผัดอเมริกันเย็นชืดดูจะอร่อยขึ้นมาทันตา  สองคนคุยไปกินไปฟางติโน่นนี่นิศาเกี่ยวกับเรื่องการทำอาหาร  แต่ก็กวาดซะเกลี้ยงจาน

 

          **

          **

 

          “วันใดที่แพรเป็นเจ้าสาว  นิจะยกบ้านของเราหลังนี้ให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน”

 

         แพรวามองญาติสาวอย่างจับสังเกต  หลายวันที่ผ่านมานิศาดูแปลกไป  หล่อนมักจะนั่งเหม่อไม่ค่อยพูดค่อยจาเหมือนอย่างเคย  และมักมีเรื่องให้ต้องออกไปนอกบ้านบ่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีงานอะไร  จนสองคนแทบจะไม่ได้พูดคุยกัน

 

         “นิรักบ้านหลังนี้มากนี่นา”

         “ถึงยังไงก็รักน้อยกว่าที่รักแพรวา  แต่ที่จริงแพรมีบ้านใหญ่โตกว่านี้เป็นไหน ๆ เนอะ  บ้านหลังนี้คงไม่มีความหมายอะไร”

         “...............”

         “มีอะไรรึเปล่า  ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”

         “เปล่า  ไม่มีอะไรหรอก”  นิศาส่ายหน้า

         “แพรเห็นว่าอัฐเป็นไงบ้าง”

         “เป็นคนดีนะ  ดูอบอุ่น  เวลาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ”  แพรวาบอกไปอย่างที่รู้สึกได้จากการได้พูดคุย

         “ดีพอที่จะรักได้หรือเปล่า”

         “ได้สิ  แพรว่านิเลือกคนไม่ผิดหรอก”

         “อย่างงั้นเหรอ”  นิศาถอนหายใจเฮือกใหญ่

         “...............”

         “นิจะออกไปข้างนอกหน่อย  บางทีคืนนี้อาจไม่กลับ”  นิศาตัดบท 

 

         ทั้งที่ในใจอยากจะบอกแพรวา  แต่ก็นั่นแหละแพรจะรู้สึกยังไงบ้าง  จะมองหล่อนด้วยสายตาแบบไหน  จะพูดอะไรออกมา  นิศาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว  หล่อนห่วงความรู้สึกของใคร  ของแพรวาหรือว่าของตัวเองกันแน่

 

         “นิมีอะไรจะพูดกับแพรรึเปล่า”

         “ขอโทษนะหากนิแสดงอะไรที่ทำให้แพรสงสัยไม่แน่ใจ  แต่ขอให้เชื่อเถอะว่านิรักแพร  แพรเป็นเพื่อนเป็นญาติคนเดียวของนิ  นิรักแพรมากกว่าทุกคนที่เข้ามาในชีวิต  ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนิเลือกแพรเป็นคนแรกเสมอ”

         “แพรก็รักนิ”

         “นิรู้”  หล่อนจับมือแพรวา

         “ไปนะ”

 

         แพรวามองเห็นความเจ็บปวดของนิศาได้จากดวงตาคู่นั้นแจ่มชัด  อย่างกับว่าสิ้นหวังกับทุกสิ่งทุกอย่าง  เป็นอะไรกันหนอ  ตั้งแต่รู้จักกันมาเธอไม่เคยเห็นนิศาเป็นแบบนี้มาก่อน  หล่อนมักรื่นเริง  เข้มแข็ง  หรือบางทีสิ่งที่นิศาแสดงออกมาอาจตรงข้ามกับความเป็นจริง

 

          **

          **

 

          “ขอค้างที่นี่ได้มั๊ยคะ”  หล่อนถามเจ้าของร้านแสงตะวัน

          “ด้วยความยินดี”

 

          ชายชรายิ้ม  ลุกเดินออกไปปิดประตูร้าน  เมื่อแขกโต๊ะสุดท้ายลุกจากไป

 

          “อย่างกับว่าไม่เคยมีใครอยู่มาก่อนเลยนะคะ”  หล่อนมองไปทั่วร้าน  เด็กวัยรุ่นชายหญิงเก็บเก้าอี้วางไว้บนโต๊ะ  เตรียมตัวทำความสะอาดร้านเพื่อต้อนรับลูกค้าวันพรุ่ง

 

          ชายชรามองหญิงสาวคราวหลานอย่างพินิจ

 

          “ถ้ายังไม่ง่วงก็คุยกันก่อนสิ”

          “รบกวนคุณลุงรึเปล่าคะ”  นิศาเกรงใจ  เท่าที่มาขอค้างด้วยก็รบกวนมากแล้ว

          “ปกติกว่าจะนอนก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว  อ่านหนังสือ  ฟังวิทยุ  หรือไม่ก็นั่งสมาธิ”  ชายชราส่งถ้วยชาให้หล่อน

          “พิเศษ  สำหรับลูกค้าคนพิเศษ”

          “หอมจังเลยค่ะ  อร่อยด้วย”  หล่อนจิบชาอุ่น ๆ

          “สูตรลับ”  ชายชรากระซิบ

 

          นิศาหัวเราะรู้สึกรื่นรมย์ขึ้นมาหน่อย

 

          “หนูรู้มั๊ย  บางทีการที่เราได้พูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคยนัก  มันดีมากเลยทีเดียว”

          “เพราะอะไรคะ”

          “กับคนที่เราไม่คุ้นเคย  เราสามารถพูดคุยทุกเรื่องกับเขาได้  โดยไม่จำเป็นต้องอำพราง  มันเหมือนกับที่เขาเรียกว่าการสารภาพบาป  อันที่จริงก็คือการได้พูดกับใครสักคนที่เราไว้วางใจ  ว่าเขาจะไม่คายความลับของเรา”

 

          “ความรู้สึกของคนเรานี่มันก็แปลกมากเลยนะคะ  มีอะไรเยอะแยะไปหมดที่เราคาดเดาไม่ได้  หยั่งไม่ถึง  ทำไมคนเราถึงคาดหวังความรักจากคนอื่น  เฉพาะจากเพียงบางคนเท่านั้นด้วย  ในขณะที่มีคนอื่นอีกมากมายที่เราไม่สนใจสักนิดว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับเรา  เกลียดเรา  หรือว่ารักเรามากแค่ไหนก็ไม่ได้ใส่ใจ”

 

          “มนุษย์เกิดมาเพื่อที่จะรัก  และต้องการในสิ่งเดียวกัน”  ชายชราบอกกล่าว

          “...............”

          “อยู่ที่ว่าคนเราจะรับมันได้แค่ไหน  เมื่อรู้สึกว่าสูญเสียสิ่งนั้นไป  ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรที่จะสูญเสีย  เพราะมันไม่ได้เป็นของเรา  เราไม่ได้เป็นเจ้าของหัวใจคนอื่นที่จะไปบังคับเขาได้  เราไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น  และไม่ควรทำด้วย  มันไม่เกิดประโยชน์อันใดที่จะได้มา”

 

          ชายชรามองหล่อน

 

          “ลุงดูจะเข้าใจชีวิต”

          “ลุงผ่านอะไรมาเยอะ  ถ้าเราไม่ยึดติดกับมัน  ปล่อยวางไปเสียบ้าง  เราก็จะมีความสุข”

          “ปล่อยวาง”  หล่อนย้ำประโยคนั้นกับตัวเอง

          “อา...ดูเหมือนว่ามีใครบางคนจะนอนไม่หลับเหมือนกัน”  ชายชราว่า

          “...............”

 

          อัฐเดินลงมาจากบันไดชั้นสองของบ้าน.

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา