รอยต่อแห่งฝัน
เขียนโดย candle
วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 20.36 น.
แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 22.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
4)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
หญิงสาวบนชิงช้าสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีมือแข็งแรงทับลงบนบ่า
“ขอโทษ” ตุลย์กล่าวตกใจเมื่อเห็นอาการของหล่อน
“พี่ตุลย์เองหรอกเหรอ” นิศาผ่อนลมหายใจโล่งอก ยิ้มน้อย ๆ ลบรอยหมองในดวงตา
“คิดอะไรอยู่ ถึงไม่ได้ยินเสียงรถของพี่” ตุลย์เคาะหัวหล่อน
นิศามองรถที่จอดอยู่นอกรั้ว
“เป็นไงบ้าง” ตุลย์วางมือบนหัวหล่อน
“ไม่เป็นไรนี่คะ พี่ก็รู้นิไม่สนใจเรื่องข่าว”
กับข่าวของมายที่หายหน้าไปจากวงการ และเรื่องราวของนิศากับวีนว่าทั้งคู่คบหาเป็นคู่รักกัน ซึ่งเป็นสาเหตุการหายเงียบไปของมายทำให้ตุลย์อดเป็นห่วงไม่ได้ เขารักหล่อนเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง
“ดีแล้ว ต้องทำใจหน่อยนะเลือกจะยืนตรงนี้แล้วนี่”
“ค่ะ”
“มารับไปทานข้าวกลางวัน นัดใครบางคนไว้”
“อ้าว...นัดใครไว้แล้วมาชวนนิทำไม ไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน” หล่อนต่อว่า
“ไม่ไปก็ไม่เป็นไร เรารึอุตส่าห์นัดอัฐไว้ว่าจะทานข้าวด้วยกัน งั้นไปก่อนนะ”
“อัฐเหรอ ไปค่ะไปเลย” หล่อนไม่คิดจะเปลี่ยนชุดหรอก ทั้งที่นุ่งผ้าถุงอยู่ลืมเรื่องราวไม่สบายใจเมื่อครู่เสียสิ้น
********** **********
“พี่ตุลย์ นิไม่กล้าลงจากรถ” หล่อนโอดครวญเมื่อถึงที่หมายเป็นโรงแรมสุดหรู
ตุลย์ปล่อยเสียงหัวเราะเต็มที่แบบสะใจ
“ไม่มีใครจำได้หรอก”
“ก็มันอายนี่นา”
“อย่างแกอายเป็นด้วยเหรอ”
“พี่ตุลย์น่ะไม่เข้าใจ” หล่อนกระเง้ากระงอด จะได้ทานข้าวกับอัฐทั้งทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้
นิศาถอนหายใจ โมโหตัวเองจริง ๆ กับคนอื่นหล่อนไม่อายและไม่สนใจด้วย แต่นี่กับอัฐมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เออหนอคนเรา ความรักนี่ทำให้อะไรต่อมิอะไรกลับตาลปัตไปหมด
********** **********
นิศานั่งบนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาว์เตอร์ หล่อนปรายตามองสองหนุ่มผู้ทำเสียงหล่ออยู่บนเวที ทั้งคู่ยิ้มให้ เมื่อหล่อนยกเบียร์แก้วใหญ่ในมือทักทาย หากหลังรอยยิ้มนั้น หล่อนรู้ว่าฟางกับโยกัดฟันพูดว่า
“มึงมาแ-กเบียร์ให้กูจ่ายอีกแล้วเหรอ”
แต่นิศาไม่สนใจ พวกมันปากหมาไปอย่างนั้นเอง ยังจำได้ว่าสมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่ และฟางเป็นคนเดียวที่ทำงานร้องเพลงในร้านแห่งหนึ่ง พวกเพื่อนยกโขยงไปเป็นกำลังใจและดื่มเสียเต็มคราบ จนเงินเดือนฟางไม่พอจ่าย เลยเป็นอันว่าต้องเลิกไปร้องเพลงที่นั่นนับแต่นั้นมา
“คิวไม่มาเหรอ” หล่อนถามพนักงานแคชเชีย์ซึ่งคุ้นเคยกัน จะว่าไปก็รู้จักกันมาตั้งแต่พวกหล่อนยังเรียนมหา-ลัยนั่นแหละ เพราะที่นี่เป็นร้านของญาติผู้พี่ของฟาง
“เห็นว่าไปถ่ายโฆษณาต่างจังหวัด”
“งั้นเหรอ”
“พี่นิเป็นไงบ้าง”
“สบายดี เธอเห็นว่าพี่ท่าทางแย่หรือเปล่าล่ะ” หล่อนย้อนถาม
“ดูสดใสมากเลยค่ะ ตางี้วิบวับเชียว” เด็กสาวว่ายิ้ม ๆ
“คนมันมีความสุข” หล่อนยิ้ม
“พี่นิตกลงเล่นเอ็มวีให้วีนหรือเปล่าคะ”
“โอ...แฟนวีนอีกคนรึเนี่ย”
“ว่าไงคะ”
“ยังไม่ตัดสินใจ” หล่อนย่นจมูก
“โธ่ ตกลงเถอะค่ะ ใคร ๆ ก็อยากร่วมงานกับวีนทั้งนั้น”
“ชิส์ วีนต่างหากที่อยากร่วมงานกับฉัน”
“ค่ะ ก็แน่ล่ะสิพี่นิออกจะฮอตซะ” เด็กสาวหัวเราะ
“ตกลงว่าไงคะ” เด็กสาวเซ้าซี้
“เจ้าเด็กนี่ จะรับไว้พิจารณา”
“พี่นิก็แหม๋”
ฟางเก็บกีต้าร์และเดินมาหาหล่อน
“ไง มาทำอะไรแถวนี้” ฟางถามคล้ายว่าไม่เคยเห็นหล่อนที่นี่มาก่อนเลย
“โห ถามทุเรศมากเลย”
“เอาเป็นว่าแกคิดถึงพวกฉันว่างั้นเถอะ” ฟางลองเชิง
“เปล่า อย่าเข้าใจผิด” หล่อนยักไหล่
“แค่จะมาบอกว่า ฉันเจอใครบางคนที่ฉันรักแล้วเท่านั้นเอง”
“ใครหนอช่างโชคร้ายเสียงจริง” โยมาทันได้ยินพอดี ไม่วายแขวะหล่อนตามความเคยชินมากกว่าจงใจ
“ไปก่อนนะจ๊ะ” นิศายิ้มละไมไม่สวนกลับโยอย่างที่แล้วมา ตบแก้มสองหนุ่มเบา ๆ หยอกเอินด้วยอารมณ์ดี
“อะไรของมันวะเนี่ย” โยงง ด้วยคาดไม่ถึงในฝ่ายตรงข้าม
“เอ้ย...เดี๋ยวสิมึง” ฟางฉวยแขนหล่อนไว้
********** **********
“อัฐคือคนที่ฉันรัก เขาเป็นคนทำงานศิลปะ มันเหมือนความฝันแทบไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้รู้จักเขาจริง ทันทีที่ได้พูดคุยด้วย ฉันก็รู้เลยว่าคนนี้แหละที่รอคอยมานานแสนนานฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขาในอนาคต ในบ้านหลังเล็กที่มีระเบียงรอบ ๆ แล้วก็มีลูก”
หล่อนเหม่อลอยและแย้มยิ้มด้วยความสุข นิศาลืมเรื่องราวของมายเสียสิ้นแล้ว อย่างคนซึ่งตกอยู่ในความฝัน
ชายหนุ่มสองคนยังคงนั่งฟังหญิงสาวคนหนึ่ง เล่านิทานความรักบนดาดฟ้าของตึกสูง ละอองหนาวแห่งราตรียะเยือกห่มคลุม คล้ายมีลางสังหรณ์ สองคนมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น กับความสุขของเพื่อนอย่างนิศา พวกเขาไม่ต้องการทำลายความฝันอันงดงามของหล่อน แม้ยังมีเรื่องค้างคาซึ่งอยากซักถาม หรือท้วงห้ามก็ตามที
งานแสดงภาพเขียน
นิศาหอบเอากุหลาบช่อใหญ่ไปให้อัฐเมื่อประมาณทุ่มเศษ ๆ
“ขอบคุณครับ ไม่คิดว่าจะมาได้” อัฐรับกุหลาบไปถือไว้ ส่งยิ้มให้
“ต้องมาสิ อัฐอุตส่าห์เชิญทั้งที” นิศาบอกไปอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงน่าจะบอกว่าโอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายนักหรอก มีหรือหล่อนจะพลาด นิศารอคอยมาตลอดนี่นา
“เดี๋ยวก่อน ผมต้องเคยเห็นคุณที่ไหนมาก่อนแน่ ๆ เลย” อัฐจ้องหล่อน รู้สึกคุ้นเคย
นิศาหลบสายตา ก็ทำไมจะไม่เคยเห็นเล่า หล่อนติดตามดูงานแสดงภาพเขียนของเขามาแทบทุกครั้งตั้งแต่เรียนอยู่นั่นแหละ หากนิศาไม่เคยเข้าไปคุยกับเขาเลยสักครั้ง นอกจากเฝ้ามองดู
“ผมปิดงานตอนสองทุ่ม หลังจากนั้นว่างหรือเปล่า” เขาถามหล่อน
“ค่ะ” นิศาพยักหน้า
“ดีครับ ตามสบายนะครับ” อัฐเลี่ยงไปพูดคุยกับนักเรียนช่างศิลป์กลุ่มหนึ่งซึ่งเข้ามาซักถาม
นิศาหยุดมองภาพหนึ่งอยู่นิ่งนาน
ภาพเขียนบ้านริมน้ำหลังหนึ่งที่มีระเบียงชื่นออกมา หล่อนหลงรักบ้านหลังนี้ ตรงบันไดท่าน้ำวางกระถางดอกไม้เรียงไว้ และหล่อนก็เห็นตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นกับเขา
อีกครั้งที่นิศาหลุดไปในโลกแห่งความฝัน ใครบางคนจองภาพนั้นไปแล้วหล่อนเห็นป้าย “จองแล้ว” แขวนไว้ใต้ภาพนั้น
อัฐยิ้มเมื่อเห็นนิศาหยุดมองภาพนั้นอยู่นาน เป็นอย่างที่เขาคิดหล่อนชอบมันจริง ๆ ไม่ผิดแล้ว เขาเข้าใจหล่อนได้ดีทีเดียว
********** **********
“เชิญครับ” อัฐผลักประตูให้หล่อนเข้าไปก่อน
นิศาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชานเมืองที่เงียบสงบไร้ซึ่งความพลุกพล่าน กลับมีร้านขายกาแฟของชายชราท่าทางใจดีที่มีพุงเหมือนแตงโมลูกโต สวมแว่นตากลมใส่เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตมีสายเอี้ยมรั้งกางเกงไว้ ผมถูกหวีไว้เรียบแปล้
ภายในตามฝาผนังประกอบด้วยภาพเขียนสีน้ำมันแบบอิมเพรสชั่นนิสท์ติดอยู่ หล่อนมองตาค้างเมื่อโทรศัพท์รุ่นคุณปู่ตรงเคาว์เตอร์กรีดเสียง นิศาละสายตาเมื่อมองจนแน่ใจว่ามันยังใช้การได้ดีอยู่เช่นปกติ ตรงกลางร้านเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ ลำโพงคล้ายดอกผักบุ้งทะเลวางอยู่บนโต๊ะไม้แกะสลักเก่า ๆ ตัวสูง
โทนสีภายในร้านแต่งด้วยสีน้ำตาลขรึม ๆ อบอวลด้วยกลิ่นกาแฟหอม ๆ และเสียงสนทนาถามถึงสารทุกข์กันระหว่างเจ้าของร้านกับลูกค้า ที่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นคุณลุงคุณป้าเสียเป็นส่วนใหญ่ บางกลุ่มพูดคุยกันถึงความหลังครั้งยังหนุ่มสาว บ้างก็มากันเป็นคู่มองดูน่าอิจฉาถึงความรักที่ยั่งยืนเช่นนี้
“สวัสดีครับ” อัฐกล่าวทักทายชายชราเจ้าของร้าน แกยกชุดกาแฟให้อย่างสนิทสนม
“เป็นร้านที่วิเศษที่สุดลยค่ะ” หล่อนชมจริงใจ ก่อนจะเดินตามอัฐไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง
“โอ้โห อะไรกันนี่” นิศาอุทาน
หล่อนยังไม่วายตื่นเต้นกับผ้าปูโต๊ะสีเปลือกไม้ กับแจกันดินเผาทรงกระบอกที่มีกุหลาบแห้งสีเศร้าอยู่ภายใน
“ร้านในฝัน” หล่อนท้าวคางมองแจกันตรงหน้า ทำตาชวนฝันอย่างเผอเรอ
“อัฐเจอร้านนี้ได้ยังไง”
“โดยบังเอิญ ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก นานมาแล้ว”
“ตุลย์บอกว่าคุณชอบอ่านหนังสือ ลุงแกมีหนังสือเต็มไปหมดเลยผมเคยมานอนค้างที่นี่หลายครั้งแล้ว ไม่เคยได้นอนหรอก อ่านหนังสือจนสว่างทุกที”
“จริงเหรอดีจังเลย” หล่อนตาวาว
อัฐลุกไปชั่วครู่ กลับมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้หล่อน
“แมงมุมเพื่อนรัก” นิศาอ่านชื่อหนังสือ มองหน้าเขาแบบปลื้มสุดชีวิต
“มีคนเก็บหนังสือเล่มนี้ด้วยเหรอ”
อัฐมองหล่อน
“มันเป็นเรื่องที่ฉันอ่านตอนเด็ก ๆ พ่อเป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญ ฉันประทับใจที่สุดเลย”
“คุณยืมหนังสือที่นี่ไปอ่านได้ด้วยนะ”
“ทุกคนยืมไปได้เหรอ” หล่อนถาม
อัฐพยักหน้า
“ทุกคนที่นี่ชอบในสิ่งเดียวกัน ไว้ใจกันและซื่อสัตย์กับตัวเอง”
นิศาหันไปยิ้มกับเจ้าของร้าน
“ขอบคุณ ขอบคุณมาก”
“ผมคิดว่าคุณคงชอบถึงได้ชวนมา”
“ค่ะ ชอบมาก” หล่อนยิ้ม
“เล่าเรื่องแมงมุมเพื่อนรักให้ฟังหน่อยสิ” อัฐบอก เขาชอบที่จะมองดูหล่อนพูด นิศาเหมือนพลุหลากสี
แล้วหล่อนก็เล่าเรื่องราวมิตรภาพระหว่างแมงมุมชาล๊อตกับเจ้าหมูน้อยวิลเบอร์ให้เขาฟัง อัฐมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตั้งใจ หล่อนออกจะห้าว ๆ แต่กลับสวมใส่กระโปรงยาว ๆ นั่งเล่าเรื่องราวให้เขาฟังอยู่นี่เอง นิศาดูจะมีความขัดแย้งกันอยู่ในที เหมือนกับเด็กที่ชอบอะไรก็เอามาเก็บไว้กับตัว โดยไม่คิดว่ามันจะเหมาะรึเปล่า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะไปด้วยกันได้ดี ทั้งอารมณ์ความรู้สึก หล่อนแสดงอารมณ์รักอย่างเปิดเผย จนเขารับรู้ได้จากดวงตาวับวาวคู่นั้น ความรู้สึกบริสุทธ์ไร้ซึ่งร่องรอยแห่งการเสแสร้ง ถ่ายทอดมายังเขาโดยมิต้องบอกกล่าว
"แล้วเจ้าหมูน้อยก็รอดพ้นจากการถูกเชือด เพราะความช่วยเหลือของแมงมุม"
"เก่งครับ"
"อะไรน่ะ อัฐทำเหมือนฉันเป็นเด็กที่ต้องชมเมื่อทำอะไรได้"
"ต้องขอโทษ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น"
นิศายิ้ม
อัฐรู้ว่านิศากับเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน อัฐมองนิศา เขาเข้าใจหล่อนพอ ๆ กับที่เข้าใจตัวเอง
“ดูตายายคู่นั้นสิ” หล่อนยิ้ม มองดูแววตาเอื้ออาทรในดวงตาของคนทั้งคู่ซึ่งถ่ายทอดถึงกันเห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่มีให้กัน
“อัฐเชื่อในความรัก หรือว่าพลังแห่งรักบ้างหรือเปล่า”
“ผมเชื่อนะ แต่มันทำให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่เช่นทุกวันนี้” อัฐยกกาแฟขึ้นจิบมองหล่อน ค้นหาความหมายในคำถาม
“เจ็บปวดเหรอ ทำไมล่ะ น่าจะมีความสุขที่ได้เฝ้ารอคอยใครสักคนเพื่อที่เราจะได้รัก และคงเป็นพรวิเศษเมื่อเราได้เจอ ฉันเชื่อว่าเป็นเพราะพลังแห่งรักล่ะ”
“ความรักทำให้คนเราขาดอิสรภาพ” อัฐบอกความคิดของเขากับหล่อน
“-----o-----” หล่อนมองเขา
“สองอย่างมักไปด้วยกันไม่ได้ แท้จริงแล้วเป็นเพียงอุดมการณ์ เราหลอกตัวเอง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สองอย่างจะไปด้วยกัน โดยธรรมชาติของคนบางทีเราก็อยากอยู่คนเดียว แต่ก็ต้องการมีความรัก เข้าใจหรือเปล่า”
“แต่ชีวิตของคนเรา ควรจะมีที่พักพิงไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ และนั่นเป็นความขัดแย้งที่ทำให้เจ็บปวด เป็นความเห็นแก่ตัวของมนุษย์”
“รักต้องการอ้อมแขน ไม่ใช่กรงขังอัฐต้องการอย่างนั้น”
“คงงั้นมั้ง”
“ถ้าเพียงคนสองคนจะเข้าใจและไว้ใจกัน ไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อผละจากยามเบื่อหน่าย คนเราควรจะหยุดรอนแรมเมื่อมีครอบครัว”
“นิศาเป็นอย่างที่ตุลย์ว่า”
“ว่าไงคะ” หล่อนร้อนตัวขึ้นมาทันที
“คุณน่ารัก อะไรอีกนะที่เขาว่า จิตใจดีใช่จิตใจดี”
นิศาเขินหนัก อย่างนี้สินะความรัก หล่อนมีความสุขเหลือเกินเวลานี้ ก็ใครจะไปคิดเล่าว่าจะได้รู้จักและสนิทสนมด้วยอย่างนี้ และหล่อนก็เชื่อในเวทมนต์แห่งรักซะด้วยสิ
“ไม่น่าเชื่อ ที่ตาแก่ออกปากชมได้” หล่อนหัวเราะคิกคักกับสรรพนามที่ใช้เรียกตุลย์
“เพราะคุณเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต ถึงได้ว่าตุลย์เป็นตาแก่” อัฐว่ายิ้ม ๆ
“จริงสิ จะว่าไปฉันก็อยากเป็นอย่างปีเตอร์แพนเหมือนกันนะ ว่ากันว่าปีเตอร์แพนคือเด็กที่ไม่รู้จักโต ติดอยู่ในโลกของเด็กในดินแดนนิรปฐพี ฉันอยากเป็นอย่างนั้นคงมีความสุขมากเลยนะ ได้บินไปฟังนิทานตามช่องหน้าต่างบ้านที่แม่เล่านิทานให้ลูก ๆ ฟังทุกคืน”
ท่าทางหล่อนจะตกอยู่ในความฝันอีกแล้วสิ อัฐมองเห็นหล่อนเหมือนภาพวาดหนึ่งที่เขาเฝ้ามองอยู่ตรงหน้า ยามเมื่อหล่อนลดทอดอายุของตัวเองเป็นเช่นเด็กน้อยในยามนี้ เขาเองชมชอบที่หล่อนเป็นแบบนี้นัก
ถ้าหากนิศาจะเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ใช่หญิงสาวผู้มาดมั่นและมีชื่อเสียงอย่างนี้ บางทีอัฐอาจไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ ในการที่จะรับนิศาเข้ามาในชีวิตได้โดยง่ายดาย
เขาควรทำไงดี ในเมื่อเขาหลงรักนิศาเข้าให้แล้ว.
********** ฝัน ๆ เพ้อ ๆ ของบทนี้ นี่แหละตัวฉัน
\ |
|||
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ