ตุ๊กตาแสนกล
5.3
เขียนโดย Glover
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.54 น.
9 ตอน
1 วิจารณ์
14.65K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 16.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ตอนที่ 9
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 9
บุรพัชร์ค่อย ๆ ขยับ...เมื่อรู้สึกว่าตัวเองนอนอิ่มเต็มที่แล้ว ชายหนุ่มลืมตาขึ้นพร้อมกับความแปลกใจเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างปรากฏอยู่ตรงหน้า เจ้าลีโอเนลที่ตอนนี้ถูกถอดเสื้อผ้าออกจนหมด และมันกำลังนั่งอ้าซ่าอยู่ตรงกลางอกของเขา
“ลีโอเนล!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงก่อนจะคว้าเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยขึ้นมาดู และยันตัวเองขึ้นนั่ง ฉับพลันในขณะนั้น ก็เหลือบมองเห็นเจ้าตุ๊กตาอีกตัวกำลังนอนตะแคงเท้าแขนเอาไว้อยู่บนหมอนและหันหน้ามาทางเขาพอดี
นี่มันเกิดอะไรขึ้น...? ผู้เป็นเจ้าของได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ ...เจ้าสองตัวนี้ขึ้นมาอยู่บนนี้ได้ยังไงกัน
เขาคว้าแจ๊กกี้ขึ้นมานั่งเคียงข้างกับลีโอเนลซึ่งตอนนี้อยู่บนตักของเขา
“บอกพ่อมาซิ...ใครพาเราสองคนขึ้นมาบนนี้” ...เนื้อเสียงนั้นไม่มีแววต่อว่า มีแต่แววพิศวง บุรพัชร์สำรวจสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
“ต้องมีคนแอบเข้ามาในนี้แน่ ๆ” ผู้เป็นเจ้าของห้องรำพึงเบา ๆ ก่อนจะลุกจากเตียงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ...เสื้อผ้าของลีโอเนลยังดูระเกะระกะอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มแปลกใจมากยิ่งขึ้น
“หรือว่าวิทย์แอบเข้ามาตอนดึก ๆ แล้วคิดจะแกล้งเรา”
...เขาพยายามหาคำตอบที่มันดูสมเหตุสมผล แต่คิดไปคิดมามันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะรายนั้นบอกว่าจะค้างที่บ้านหลังใหญ่ อีกอย่างถ้าแฟนหนุ่มกลับมาที่นี่จริง ๆ ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม โดยปกติแล้วฝ่ายนั้นมักจะปลุกเขาขึ้นมาร่วมรักกันแทบจะทุกครั้ง และสิ่งหนึ่งที่เขาพอจะรู้สึกได้แม้ไปรวิทย์จะไม่มีทีท่าว่ารังเกียจตุ๊กตาของเขา แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยคิดที่จะหยอกล้อเล่นกับเจ้าสองตัวนี้จริง ๆ ซักที
แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?
คราวนี้หัวคิ้วของผู้ที่เป็นเจ้าของห้องและเจ้าของตุ๊กตาเริ่มที่จะขมวดเข้าหากัน...จะว่าเป็นขโมยขึ้นบ้านก็ไม่ใช่ เพราะคนอย่างเขาก็ปิดประตูลงกลอนให้มิดชิดทุกครั้ง แล้วอีกอย่างสภาพที่มีอยู่ภายในก็ไม่มีอะไรสูญหายหรือชำรุดเลยซักนิด จะมีก็แต่เสื้อผ้าของเจ้าลีโอเนลเท่านั้นที่มันกองไม่เป็นท่าอยู่
จะยังไงก็ตาม...แม้บุรพัชร์จะหาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้ได้ก็คือ บุคคลที่กระทำไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากจะกลั่นแกล้งเขาให้พิศวงเท่านั้น
“ใครกันนะที่คิดทำอะไรพิเรนทร์ ๆ แบบนี้...” เขารำพึงพร้อมกับวางตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองตัวเอาไว้ในที่ที่มันเคยอยู่
...รู้ด้วยเหรอว่าพิเรนทร์ แล้วทีตัวเองทำล่ะ...
“พ่อต้องรู้ให้ได้” ...หึ ฝันไปเถอะ คงหาเจอหรอก...
จักรกฤษณ์กล่าวส่งท้ายในใจ ในขณะที่ฝ่ายนั้นเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
………………………………………………..
...เฮ้อ...เซ็ง!...
เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยโอดโอยอยู่เพียงลำพัง...เป็นอีกหนึ่งวันที่เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเช่นนี้ ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาบานยักษ์ที่แขวนอยู่บนหัวนอนของผู้เป็นเจ้าของ มันบ่งบอกเวลาที่จวนจะถึงครึ่งค่อนวันอยู่แล้ว
ชายหนุ่มอดที่จะใจหายไม่ได้เมื่อความเบื่อหน่ายเริ่มเข้ามาครอบคลุมจิตใจ...การเป็นตุ๊กตาจะทำอะไรได้ นอกจากจะต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับที่ ยิ่งนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเองเป็นคนก็ยิ่งพาให้หงุดหงิด การได้เกิดมาเป็นคนไม่ใช่ของง่าย และก็ไม่ง่ายเลยที่จะเสี้ยมสอนให้ใครบางคนเห็นคุณค่าของความเป็นคน
...ค่าของคนอยู่ที่ผลของาน...
เป็นประโยคที่แสนจะเฉิ่มเชยและดูโบร่ำโบราณ...แต่ถึงยังไงมันก็ไม่เคยตกยุค อย่างน้อยที่สุดก็ยังดำรงถ้อยคำมาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
ทุกคนนั้นย่อมรู้จัก ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นคุณค่าและนำมันมาพิจารณาให้ถึงแก่การปฏิบัติได้หรือเปล่า
คนอย่างจักรกฤษณ์เห็นคุณค่าของการทำงานโดยแท้...เพราะฉะนั้นเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในร่างคน จึงพยายามที่สรรค์สร้างผลงานทางศิลปะ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ทางจิตใจทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง ผลงานแล้วผลงานเล่าที่เขาได้ถ่ายทอดออกมา คือเลือดเนื้อที่ทำให้เขาดำรงชีวิตขึ้นมาได้ คือลมหายใจที่ช่วยพยุงหลักของชีวิต ยิ่งคิด ภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายในอดีตก็ผุดขึ้นมา ทำให้เขาเคียดแค้นชิงชังพี่ชายอยู่ไม่หาย และอีกใจหนึ่งก็คิดถึงน้องสาว ป่านนี้จะเป็นยังไงนะ ศพของเขาคงถูกเผาไปแล้วและน้องสาวผู้น่ารักก็คงจะร้องไห้ไปเสียเจ็ดวันเจ็ดคืน...
...เฮ้อ!...เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยถอนหายใจอย่างเอือมระอาเมื่อคิดถึงสภาพปัจจุบันที่เขาเป็นอยู่ ทำยังไงดีนะ เขาไม่อยากจะเป็นตุ๊กตาที่ต้องมานั่ง ๆ นอน ๆ เป็นแมวขี้เกียจอยู่แบบนี้ แล้วเขาจะหาอะไรมาทำดีล่ะ เขาอยากวาดรูป และตอนนี้ก็มีอุปกรณ์เหล่านั้นอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือที่เขานั่งอยู่ครบครัน มันมีดินสอ ปากกา ยางลบ สีไม้ และกระดาษเอสี่อยู่ราวสิบแผ่น...เป็นวัสดุเพียงพอต่อการบรรเลงผลงานเลยทีเดียว แต่ก็นั่นล่ะตุ๊กตาอย่างเขาจะทำอะไรได้
แต่ก็ไม่แน่!
เสียงหนึ่งผุดขึ้นมา...ขนาดคนพิการแขนขาก็ยังใช้ปากวาดแทนได้เลย อย่าว่าแต่คนลิงกับช้างก็ยังวาดได้ แล้วตุ๊กตาอย่างเขาจะยอมแพ้ได้ยังไงกัน อีกอย่างเมื่อพินิจดูอุปกรณ์แล้ว เจ้าแท่งปากกาและสีไม้นั้นก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเขาซักเท่าไร นึกแล้วเจ้าตัวเล็กก็เริ่มมีความหวังและเริ่มวางแผนจินตนาการลงบนกระดาษขนาดเอสี่แต่ไม่เอสี่เลยสำหรับเขา...การเคลื่อนไหวที่ดูเงอะงะราวหุ่นยนต์ค่อย ๆ โอบอุ้มแท่งดินสอขึ้นมาก่อน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองประคองมันได้ที่แล้วก็ค่อย ๆ ลากดินสอนั้นร่างเป็นโครงภาพเบา ๆ ความที่ตัวเล็กเกินกว่าปกติ และไม่ได้มีเลือดมีเนื้อเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ทำให้การวาดภาพของเขาไม่ใช่เป็นเพียงการขยับมือและแขนเท่านั้น แต่ต้องขยับไปทั้งตัวและต้องเดินเหินไปด้วย เพื่อให้โครงภาพและลายเส้นที่ออกมานั้นแลดูเรียบเนียนที่สุด
แต่ตอนนี้ก็ถือว่าดีที่สุดสำหรับตุ๊กตาอย่างเขา เพราะถึงแม้ว่าลายเส้นจะดูขรุขระไปบ้าง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทีเดียว แม้จักรกฤษณ์จะเป็นคนที่เจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย แต่สำหรับงานฝีมือแล้วเขาใจเย็นและละเมียดละไมเสมอ เพราะฉะนั้นงานนี้ชายหนุ่มจึงมองว่ามันเป็นงานที่ท้าทายมากกว่าที่จะมองว่ามันน่าเหนื่อยหน่าย ดังนั้นชายหนุ่มจึงบรรเลงเพลงศิลป์ต่อไปโดยอาศัยความสามารถตามมีตามเกิด
ภาพที่เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยตั้งใจจะวาดเป็นภาพง่าย ๆ ก่อน โดยการร่างภาพเป็นรูปดอกกุหลาบ จากนั้นก็ค่อยระบายสีม่วงทับลงไป กลายเป็นดอกกุหลาบสีม่วงที่โดดเด่นเพียงดอกเดียว จักรกฤษณ์วางแผนในใจและคิดว่าคงจะสำเร็จอย่างแน่นอน แต่อาจต้องใช้ความพยายามและเวลามากหน่อย โชคดีที่การเป็นตุ๊กตาไม่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย ชายหนุ่มจึงไม่รู้สึกกระหายใคร่น้ำ หิว ร้อนหนาว หรือปวดเมื่อยไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การวาดภาพจึงเป็นไปด้วยความเพลิดเพลินและท้าทายว่าจะประคับประคองแท่งสีให้ได้ดีขนาดไหน...
ช่วงเวลาที่เหลือของวันนี้ทั้งวันชายหนุ่มจึงทุ่มเทเวลาให้กับการวาดภาพ แม้จะดูสมบุกสมบันไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...จวบจนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของกลับมาถึงในตอนหัวค่ำเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปดินเนอร์ข้างนอกกับแฟนหนุ่ม
บุรพัชร์ก้าวพ้นประตูห้องด้วยเสียงผิวปากอันพริดพลิ้วเช่นเคย...ทันทีที่เขาเหลือบมองเจ้าตุ๊กตาตัวน้อย ความสนเท่ห์ยิ่งทับทวีมากกว่าเมื่อเช้านี้อีก ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นภาพที่น่ารักแต่ก็ทำให้เจ้าของห้องต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด ด้วยคิดว่าอาจมีใครบางคนเข้ามาก้าวก่ายชีวิตของเขามากเกินไปแล้ว ถ้าเขาคนนั้นเปิดเผยตัวตนก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องทำให้เขาพิศวงแบบนี้ด้วย...
แจ๊กกี้...เกย์ดอลล์ที่เขารักมากที่สุดในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนพื้นกระดาษ มือและแขนทั้งสองข้างกำลังกอดแท่งไม้สีม่วงเอาไว้แน่น ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีว่าเป็นอุปกรณ์วาดภาพสำหรับเขา สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเสมือนตุ๊กตาตัวน้อยกำลังวาดภาพด้วยความทุลักทุเล ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ ๆ หยิบภาพวาดแผ่นนั้นขึ้นมาดู
ภาพวาดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ช่างดูฝืดเคือง เนื้อเส้นไม่ค่อยละเอียดดีเท่าไรนัก ราวกับเป็นผลงานของเด็กอนุบาลที่เพิ่งหัดวาด แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงสร้างของดอกกุหลาบดูสวยงามสมสัดส่วน สีที่ระบายบนเนื้อกุหลาบดูไม่เรียบเนียน แต่กลับมีมิติไปด้วยแสงเงา เน้นสีหนักเบาตามส่วนต่าง ๆ จนดูสมจริง เมื่อชายหนุ่มพินิจดูแล้วและดูลักษณะท่าทางของตุ๊กตา มันชั่งเข้ากัน และทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าแจ๊กกี้มีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ก็คงจะวาดภาพได้ไม่ต่างจากภาพที่เขาเห็นอยู่ ณ ตอนนี้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนบุรพัชร์คงจะพูดจาหยอกล้อเล่นกับตุ๊กตาไปแล้ว ว่าวาดภาพได้สวยงามเหลือเกิน...แต่วันนี้ชายหนุ่มรู้สึกฉงนจนหมดอารมณ์ที่จะพูดคุย รวมทั้งเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เขาก็ยังแปลกใจอยู่ไม่หาย สัญชาตญาณทำให้เขารู้สึกว่ากำลังมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในชีวิต และยากจะหาสาเหตุว่ามันคืออะไร
“ที่รัก...ยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกเหรอครับ”
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจมปลักอยู่กับความคิด ก็มีเสียงที่เขาคุ้นเคยแทรกเข้ามาจากหน้าประตู ไปรวิทย์เดินดิ่งมายังเขา ทันทีที่สายตาสบกับรูปภาพที่อยู่ในมือของบุรพัชร์ ผู้เข้ามาใหม่ก็อุทานออกมาราวกับเห็นอะไรที่อุบาทว์เกินกำลัง
“นั่นฝีมือใครครับ...น่าเกลียดที่สุด คงไม่ใช่ฝีมือของคุณหรอกนะ”
เนื้อเสียงที่ส่อให้เห็นถึงความจริงใจ๊...จริงใจที่จะตำหนิ ทำให้ดวงวิญญาณที่ติดอยู่ในตุ๊กตาชักจะพิโรธขึ้นมาบ้างแล้ว
...หือ...ไอ้ผู้ดีชักโครก กล้าดียังไงมาวิจารณ์ผลงานฉัน...!
จักรกฤษณ์อดที่จะเสียดสีในใจไม่ได้ เพราะดูหน้าคนที่ตำหนินั่นสิ ราวกับจะรักงานศิลปะเสียเต็มประดา
“ไม่ใช่ฝีมือของผมหรอกครับ แต่ผมก็ว่ามันสวยดีนะ ถึงลายเส้นจะดูยุ่งเหยิงไปซักหน่อย แต่ก็มีมิติน่าสนใจดีทีเดียว”
บุรพัชร์ตอบในลักษณะของบุคคลที่ผ่านประสบการณ์งานศิลป์มาพอสมควร...และด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารีอยู่แล้วทำให้เขามองเห็นคุณค่าของงานฝีมือทุกระดับ
“หือ...คุณมองยังไงว่ามันสวย ผมว่ามันเด็กอนุบาลชัดๆ ”
“จะเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าเขามีใจรักงานศิลปะ มันก็สวยงามทั้งนั้นแหละครับ...การสื่อออกมาย่อมไม่เหมือนกัน เพราะคนเราย่อมมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ไม่งั้นคงไม่เรียกว่างานสร้างสรรค์หรอกครับ”
“แหม...ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าจริง ๆ คนวาดรูปนี้ก็คงจะมีจิตใจที่สกปรกพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่วาดออกมาได้อุบาทว์ขนาดนี้”
อีกครั้งที่เจ้าตุ๊กตารู้สึกเดือดดาล...ผลงานที่เขาทุ่มเทมาเกือบทั้งวัน กลับมาถูกอีตานี่วิพากษ์เสียจนยับเยิน ชายหนุ่มอยากจะซัดหน้าหล่อ ๆ ด้วยแท่งสีไม้ที่อยู่ในมือตอนนี้จังเลย แต่จิตสำนึกก็ข่มมันเอาไว้ได้อย่างมิดชิด
“ของแบบนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนดูด้วยนะครับ...ความงามคืออะไร นักวิทยาศาสตร์ยังให้คำตอบไม่ได้เลย บางทีมันก็เป็นเพียงแค่สิ่งสมมติเท่านั้น สวยงามหรือไม่ ดีไม่ดียังไง ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเราเนี่ยแหละครับว่าจะประเมินมันออกมาในแง่ไหน”
บุรพัชร์กล่าวระเรื่อย...เสียงใหญ่ทุ้มของเขาฟังดูเสนาะ มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลอย่างแปลกประหลาด แต่คนพูดหารู้ไม่ว่ามันเข้าไปกระทบจิตใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง
“คุณกำลังบอกว่า จิตใจของผมมันสกปรกงั้นสิ”
คราวนี้เนื้อเสียงของผู้ที่นัดเดทคืนนี้ ชักจะมีแววขุ่นมัวขึ้นมาบ้างแล้ว...ตรงกันข้ามกับหัวใจของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยที่ดูจะสว่างเจิดจ้า และเต็มไปด้วยความชุ่มชื้นจากน้ำคำของผู้เป็นเจ้าของ
“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นซักหน่อย”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่คำพูดของคุณมันบอกผมอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ...ใช่สินะ ผมมันไม่มีความสามารถทางศิลปะเหมือนคุณหนิ ไฉนเลยจะมีจิตใจที่ซาบซึ้งตรึงอารมณ์ได้ขนาดนั้น”
น้อยนักที่ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงสีหน้ากึ่งน้อยใจกึ่งประชดประชันให้เห็นอย่างนี้...บุรพัชร์จึงอดที่จะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาไม่ได้
“สิ่งที่ผมพูดออกไปทั้งหมด...เพราะผมต้องการให้คุณเปิดใจให้กว้าง ไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อว่าคุณเลย”
“ไม่มีเจตนา” ไปรวิทย์ย้อนหางแหลมสูง
“อย่างน้อย ๆ คำพูดของคุณเมื่อสักครู่ ก็สื่อออกมาให้เห็นแล้วว่าจิตใจของผมมันคับแคบมากขนาดไหน” เมื่อไม่มีทีท่าว่าฝ่ายนั้นจะอ่อนลง บุรพัชร์จึงลอบถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดแล้วกัน...เรื่องแบบนี้ใครจะไปห้ามความคิดของใครได้ และคนเราก็มีความคิดที่แตกต่างกันเหลือเกิน ผมเพียงแค่คิดว่า งานฝีมือที่ถ่ายทอดออกมา ไม่จำเป็นต้องดูสวยงามราบเรียบเสมอไปหรอก สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ความตั้งใจต่างหากล่ะ ถ้าเขาได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจเลยซักนิด”
...ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ...
ชายหนุ่มย้อนในใจ...แต่ตอนนี้เขาชักจะรังเกียจคนที่วาดภาพนี้ขึ้นมาซะแล้วสิ เขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นใคร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเกรี้ยวกราดคน ๆ นั้นขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“เอาล่ะครับ...เราอย่ามาทะเลาะกันเลย” ท้ายที่สุดบุรพัชร์ก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “วันนี้ที่รักคนเดิมของผมหายไปไหนนะ เรานัดกันไม่ใช่เหรอครับว่าคืนนี้จะไปดินเนอร์ข้างนอกกัน”
เมื่อเห็นคมหน้าของฝ่ายตรงข้ามยังไม่หายงอง้ำ บุรพัชร์จึงเดินเข้าไปโอบกอดเขาไว้เบา ๆ
“อย่างอนสิครับ...หายโกรธผมนะไม่งั้นดินเนอร์ของเราคืนนี้คงไม่สนุกแน่ ๆ หรือว่าคุณเปลี่ยนใจไม่อยากไปดินเนอร์กับผมแล้ว?”
ไปรวิทย์ยังเงียบอยู่...บุรพัชร์จึงใช้ไม้ตายโดยการแสดงความงอง้ำออกมาบ้าง
“เอางั้นนะ ไม่ไปก็ไม่ไป...ผมไปคนเดียวก็ได้ ดีเหมือนกันจะได้ออกไปหาแฟนใหม่ซักที”
เมื่อคำพูดของแฟนหนุ่มไม่ได้ส่อให้เห็นถึงแววโกรธเคือง ออกจะเป็นคำพูดเชิงหยอกล้อแกมง้องอนเสียด้วยซ้ำ ไปรวิทย์จึงชักจะใจอ่อนขึ้นมาบ้าง เพราะรู้ว่าตัวเองก็ขาดคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เหมือนกัน
“ไม่เอา...ผมรักคุณนะ”
“หือ...จริงเร๊อ...ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่”
“โธ่ คุณก็รู้ว่าผมขาดคุณไม่ได้ ยังไงผมก็ต้องอยู่กับคุณ”
“ไม่เอาละ เอียน” บุรพัชร์เอ่ยขำ ๆ
“เอียนยังไงคุณก็ต้องฟัง เพราะผมรักคุณ”...ไปรวิทย์กล่าวออกไปด้วยความเคยชิน เพราะเขาใช้มันมานักต่อนักแล้ว
“คนรักกันเขาไม่โกรธกันหรอก”
“หายโกรธก็ได้อะ...ก็แค่กระดาษแผ่นเดียว มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ได้ ไหนลองบอกมาซิครับว่าคุณไปเอาภาพวาดนี้มาจากไหน และใครเป็นคนวาด”
“แจ๊กกี้มั้ง...!” แฟนหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดี
“โห...ถ้าแจ๊กกี้มีความสามารถมากขนาดนั้น ผมว่าคุณเอาแจ๊กกี้ของคุณไปขายทอดตลาดน่าจะได้หลายล้านนะ”
“ก็จริงหนิครับ...พอผมเดินเข้ามา ก็เห็นแจ๊กกี้กำลังนั่งกอดเจ้าแท่งสีไม้แท่งนี้เอาไว้อยู่ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าใครเป็นคนวาด” ชายหนุ่มเว้นเสียงซักระยะก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ถามจริง ๆ เถอะครับ คุณแกล้งผมหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรมิทราบ”...ฝ่ายนั้นย้อนออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ก็เรื่องนี้แหละ...วันนี้ผมเจออะไรแปลก ๆ มาสองครั้งแล้วนะ เมื่อเช้าพอผมตื่นขึ้นมาก็เห็นเจ้าลีโอเนลนั่งอ้าซ่าเปลือยเปล่าอยู่ตรงกลางหน้าอกของผมพอดี แจ๊กกี้ก็นอนอยู่ข้าง ๆ ผม ทั้งที่เมื่อคืนผมปิดประตูลงกลอนเอาไว้อย่างดีแล้ว และคงไม่มีใครสามารถเข้ามาได้แน่ ๆ พอมาตอนนี้ก็เจอเจ้ารูปภาพนี้อีก มีคนจับแจ๊กกี้ให้ทำทีเป็นวาดมันด้วยนะ ผมก็เลยแปลกใจ อดคิดว่าคุณแอบแกล้งผมไม่ได้”
“ถ้างั้นคุณก็คิดผิดแล้วล่ะ...คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบทำอะไรพิเรนทร์ ๆ แบบนั้น”
...รวมทั้งการพูดคุยกับตุ๊กตาบ้า ๆ พวกนี้ด้วย ไปรวิทย์แถมท้ายในใจ
“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน...จะว่าเป็นแม่บ้านก็คงไม่ใช่ รายนั้นจะกล้าทำกับผมขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ไม่แน่นะ...ก็คุณชอบพูดจาหยอกล้อกับเจ้าสองตัวนี้อยู่บ่อย ๆ แม่บ้านเห็นเข้าก็เลยคิดว่าคุณคงจะชอบ”
“ชอบยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่แม่บ้านจะกระทำกับเจ้านาย”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นผีแล้วล่ะครับ...หรือไม่เจ้าแจ๊กกี้ของคุณก็อาจจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ เลยคิดที่จะแกล้งคุณบ้างเพราะคุณเองก็ชอบแกล้งมันอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ”
“เหลวไหลน่า แจ๊กกี้จะมีชีวิตขึ้นมาได้ยังไง”
...หึ รู้เหมือนกันเหรอว่ามันเหลวไหล...
แฟนหนุ่มย้อนให้ในใจอีกครั้ง
“ที่ผ่านมาคุณก็คิดว่าเจ้าสองตัวนี้มีลมหายใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...จะแปลกอะไรถ้าสิ่งที่คุณปรารถนาจะเป็นจริงขึ้นมาบ้าง”
“แหม...คุณก็พูดเข้า ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ผมจะปิดห้องเสื้อฉลองซักสามวันเจ็ดวันไปเลย ในฐานะที่ตัวเองได้ครอบครองสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของโลก”
“หรือว่าไม่จริงล่ะ”
“พอเถอะครับ...ผมรู้ว่าคุณพูดจาประชดประชันผม ถึงผมจะดูบ้า ๆ บอ ๆ ยังไงในสายตาคุณ แต่ผมก็ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ถึงยังไงซะแจ๊กกี้กับลีโอเนล ก็ไม่อาจจะมีชีวิตขึ้นมาได้ และทำอะไรที่มันแผลง ๆ อย่างนั้นได้หรอก”
จักรกฤษณ์แอบฟังทั้งสองสนทนาด้วยแววกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ยิ่งผู้เป็นเจ้าของพิศวงมากเท่าไรชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกสนุกมากเท่านั้น...
ดี...ต่อไปจะยิ่งสนุกมากกว่านี้อีก เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยคิดในใจ
“เอาล่ะครับ คุณก็รู้ว่าผมชอบพูดอะไรไปเรื่อย ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับจะได้ไปดินเนอร์กันซักที”
“ถ้างั้นคุณลงไปรอผมข้างล่างดีกว่า...เสร็จแล้วผมจะตามลงไป”
บุรพัชร์กล่าวพร้อมกับละจากคนรักเพื่อไปทำธุระส่วนตัว...แต่ในระหว่างนั้นชายหนุ่มก็อดที่จะพิศวงไม่ได้
...ตุ๊กตามีชีวิตอย่างนั้นน่ะเหรอ...
แม้ฝ่ายนั้นดูจะพูดเล่นก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกวูบวาบอย่างแปลกประหลาด เสมือนมีรอยริ้ว ๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ และคำพูดของแฟนหนุ่มก็ดูจะเพ้อเจ้อเสียจนเกินไป แต่มันกลับเข้าไปสะกิดหัวใจของเขาจนก่อให้เกิดความต้องการนั้นขึ้นมาจริง ๆ ...
...ตุ๊กตามีชีวิต...
...ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสินะ...
ชายหนุ่มได้แต่หวังอยู่ในใจ...หวังอย่างนั้นแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
***************
โปรดติดตามตอนต่อไป
บุรพัชร์ค่อย ๆ ขยับ...เมื่อรู้สึกว่าตัวเองนอนอิ่มเต็มที่แล้ว ชายหนุ่มลืมตาขึ้นพร้อมกับความแปลกใจเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างปรากฏอยู่ตรงหน้า เจ้าลีโอเนลที่ตอนนี้ถูกถอดเสื้อผ้าออกจนหมด และมันกำลังนั่งอ้าซ่าอยู่ตรงกลางอกของเขา
“ลีโอเนล!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงก่อนจะคว้าเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยขึ้นมาดู และยันตัวเองขึ้นนั่ง ฉับพลันในขณะนั้น ก็เหลือบมองเห็นเจ้าตุ๊กตาอีกตัวกำลังนอนตะแคงเท้าแขนเอาไว้อยู่บนหมอนและหันหน้ามาทางเขาพอดี
นี่มันเกิดอะไรขึ้น...? ผู้เป็นเจ้าของได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ ...เจ้าสองตัวนี้ขึ้นมาอยู่บนนี้ได้ยังไงกัน
เขาคว้าแจ๊กกี้ขึ้นมานั่งเคียงข้างกับลีโอเนลซึ่งตอนนี้อยู่บนตักของเขา
“บอกพ่อมาซิ...ใครพาเราสองคนขึ้นมาบนนี้” ...เนื้อเสียงนั้นไม่มีแววต่อว่า มีแต่แววพิศวง บุรพัชร์สำรวจสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
“ต้องมีคนแอบเข้ามาในนี้แน่ ๆ” ผู้เป็นเจ้าของห้องรำพึงเบา ๆ ก่อนจะลุกจากเตียงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ...เสื้อผ้าของลีโอเนลยังดูระเกะระกะอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มแปลกใจมากยิ่งขึ้น
“หรือว่าวิทย์แอบเข้ามาตอนดึก ๆ แล้วคิดจะแกล้งเรา”
...เขาพยายามหาคำตอบที่มันดูสมเหตุสมผล แต่คิดไปคิดมามันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะรายนั้นบอกว่าจะค้างที่บ้านหลังใหญ่ อีกอย่างถ้าแฟนหนุ่มกลับมาที่นี่จริง ๆ ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม โดยปกติแล้วฝ่ายนั้นมักจะปลุกเขาขึ้นมาร่วมรักกันแทบจะทุกครั้ง และสิ่งหนึ่งที่เขาพอจะรู้สึกได้แม้ไปรวิทย์จะไม่มีทีท่าว่ารังเกียจตุ๊กตาของเขา แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยคิดที่จะหยอกล้อเล่นกับเจ้าสองตัวนี้จริง ๆ ซักที
แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?
คราวนี้หัวคิ้วของผู้ที่เป็นเจ้าของห้องและเจ้าของตุ๊กตาเริ่มที่จะขมวดเข้าหากัน...จะว่าเป็นขโมยขึ้นบ้านก็ไม่ใช่ เพราะคนอย่างเขาก็ปิดประตูลงกลอนให้มิดชิดทุกครั้ง แล้วอีกอย่างสภาพที่มีอยู่ภายในก็ไม่มีอะไรสูญหายหรือชำรุดเลยซักนิด จะมีก็แต่เสื้อผ้าของเจ้าลีโอเนลเท่านั้นที่มันกองไม่เป็นท่าอยู่
จะยังไงก็ตาม...แม้บุรพัชร์จะหาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้ได้ก็คือ บุคคลที่กระทำไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากจะกลั่นแกล้งเขาให้พิศวงเท่านั้น
“ใครกันนะที่คิดทำอะไรพิเรนทร์ ๆ แบบนี้...” เขารำพึงพร้อมกับวางตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองตัวเอาไว้ในที่ที่มันเคยอยู่
...รู้ด้วยเหรอว่าพิเรนทร์ แล้วทีตัวเองทำล่ะ...
“พ่อต้องรู้ให้ได้” ...หึ ฝันไปเถอะ คงหาเจอหรอก...
จักรกฤษณ์กล่าวส่งท้ายในใจ ในขณะที่ฝ่ายนั้นเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
………………………………………………..
...เฮ้อ...เซ็ง!...
เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยโอดโอยอยู่เพียงลำพัง...เป็นอีกหนึ่งวันที่เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเช่นนี้ ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาบานยักษ์ที่แขวนอยู่บนหัวนอนของผู้เป็นเจ้าของ มันบ่งบอกเวลาที่จวนจะถึงครึ่งค่อนวันอยู่แล้ว
ชายหนุ่มอดที่จะใจหายไม่ได้เมื่อความเบื่อหน่ายเริ่มเข้ามาครอบคลุมจิตใจ...การเป็นตุ๊กตาจะทำอะไรได้ นอกจากจะต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับที่ ยิ่งนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเองเป็นคนก็ยิ่งพาให้หงุดหงิด การได้เกิดมาเป็นคนไม่ใช่ของง่าย และก็ไม่ง่ายเลยที่จะเสี้ยมสอนให้ใครบางคนเห็นคุณค่าของความเป็นคน
...ค่าของคนอยู่ที่ผลของาน...
เป็นประโยคที่แสนจะเฉิ่มเชยและดูโบร่ำโบราณ...แต่ถึงยังไงมันก็ไม่เคยตกยุค อย่างน้อยที่สุดก็ยังดำรงถ้อยคำมาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
ทุกคนนั้นย่อมรู้จัก ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นคุณค่าและนำมันมาพิจารณาให้ถึงแก่การปฏิบัติได้หรือเปล่า
คนอย่างจักรกฤษณ์เห็นคุณค่าของการทำงานโดยแท้...เพราะฉะนั้นเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในร่างคน จึงพยายามที่สรรค์สร้างผลงานทางศิลปะ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ทางจิตใจทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง ผลงานแล้วผลงานเล่าที่เขาได้ถ่ายทอดออกมา คือเลือดเนื้อที่ทำให้เขาดำรงชีวิตขึ้นมาได้ คือลมหายใจที่ช่วยพยุงหลักของชีวิต ยิ่งคิด ภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายในอดีตก็ผุดขึ้นมา ทำให้เขาเคียดแค้นชิงชังพี่ชายอยู่ไม่หาย และอีกใจหนึ่งก็คิดถึงน้องสาว ป่านนี้จะเป็นยังไงนะ ศพของเขาคงถูกเผาไปแล้วและน้องสาวผู้น่ารักก็คงจะร้องไห้ไปเสียเจ็ดวันเจ็ดคืน...
...เฮ้อ!...เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยถอนหายใจอย่างเอือมระอาเมื่อคิดถึงสภาพปัจจุบันที่เขาเป็นอยู่ ทำยังไงดีนะ เขาไม่อยากจะเป็นตุ๊กตาที่ต้องมานั่ง ๆ นอน ๆ เป็นแมวขี้เกียจอยู่แบบนี้ แล้วเขาจะหาอะไรมาทำดีล่ะ เขาอยากวาดรูป และตอนนี้ก็มีอุปกรณ์เหล่านั้นอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือที่เขานั่งอยู่ครบครัน มันมีดินสอ ปากกา ยางลบ สีไม้ และกระดาษเอสี่อยู่ราวสิบแผ่น...เป็นวัสดุเพียงพอต่อการบรรเลงผลงานเลยทีเดียว แต่ก็นั่นล่ะตุ๊กตาอย่างเขาจะทำอะไรได้
แต่ก็ไม่แน่!
เสียงหนึ่งผุดขึ้นมา...ขนาดคนพิการแขนขาก็ยังใช้ปากวาดแทนได้เลย อย่าว่าแต่คนลิงกับช้างก็ยังวาดได้ แล้วตุ๊กตาอย่างเขาจะยอมแพ้ได้ยังไงกัน อีกอย่างเมื่อพินิจดูอุปกรณ์แล้ว เจ้าแท่งปากกาและสีไม้นั้นก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเขาซักเท่าไร นึกแล้วเจ้าตัวเล็กก็เริ่มมีความหวังและเริ่มวางแผนจินตนาการลงบนกระดาษขนาดเอสี่แต่ไม่เอสี่เลยสำหรับเขา...การเคลื่อนไหวที่ดูเงอะงะราวหุ่นยนต์ค่อย ๆ โอบอุ้มแท่งดินสอขึ้นมาก่อน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองประคองมันได้ที่แล้วก็ค่อย ๆ ลากดินสอนั้นร่างเป็นโครงภาพเบา ๆ ความที่ตัวเล็กเกินกว่าปกติ และไม่ได้มีเลือดมีเนื้อเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ทำให้การวาดภาพของเขาไม่ใช่เป็นเพียงการขยับมือและแขนเท่านั้น แต่ต้องขยับไปทั้งตัวและต้องเดินเหินไปด้วย เพื่อให้โครงภาพและลายเส้นที่ออกมานั้นแลดูเรียบเนียนที่สุด
แต่ตอนนี้ก็ถือว่าดีที่สุดสำหรับตุ๊กตาอย่างเขา เพราะถึงแม้ว่าลายเส้นจะดูขรุขระไปบ้าง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทีเดียว แม้จักรกฤษณ์จะเป็นคนที่เจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย แต่สำหรับงานฝีมือแล้วเขาใจเย็นและละเมียดละไมเสมอ เพราะฉะนั้นงานนี้ชายหนุ่มจึงมองว่ามันเป็นงานที่ท้าทายมากกว่าที่จะมองว่ามันน่าเหนื่อยหน่าย ดังนั้นชายหนุ่มจึงบรรเลงเพลงศิลป์ต่อไปโดยอาศัยความสามารถตามมีตามเกิด
ภาพที่เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยตั้งใจจะวาดเป็นภาพง่าย ๆ ก่อน โดยการร่างภาพเป็นรูปดอกกุหลาบ จากนั้นก็ค่อยระบายสีม่วงทับลงไป กลายเป็นดอกกุหลาบสีม่วงที่โดดเด่นเพียงดอกเดียว จักรกฤษณ์วางแผนในใจและคิดว่าคงจะสำเร็จอย่างแน่นอน แต่อาจต้องใช้ความพยายามและเวลามากหน่อย โชคดีที่การเป็นตุ๊กตาไม่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย ชายหนุ่มจึงไม่รู้สึกกระหายใคร่น้ำ หิว ร้อนหนาว หรือปวดเมื่อยไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การวาดภาพจึงเป็นไปด้วยความเพลิดเพลินและท้าทายว่าจะประคับประคองแท่งสีให้ได้ดีขนาดไหน...
ช่วงเวลาที่เหลือของวันนี้ทั้งวันชายหนุ่มจึงทุ่มเทเวลาให้กับการวาดภาพ แม้จะดูสมบุกสมบันไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...จวบจนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของกลับมาถึงในตอนหัวค่ำเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปดินเนอร์ข้างนอกกับแฟนหนุ่ม
บุรพัชร์ก้าวพ้นประตูห้องด้วยเสียงผิวปากอันพริดพลิ้วเช่นเคย...ทันทีที่เขาเหลือบมองเจ้าตุ๊กตาตัวน้อย ความสนเท่ห์ยิ่งทับทวีมากกว่าเมื่อเช้านี้อีก ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นภาพที่น่ารักแต่ก็ทำให้เจ้าของห้องต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด ด้วยคิดว่าอาจมีใครบางคนเข้ามาก้าวก่ายชีวิตของเขามากเกินไปแล้ว ถ้าเขาคนนั้นเปิดเผยตัวตนก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องทำให้เขาพิศวงแบบนี้ด้วย...
แจ๊กกี้...เกย์ดอลล์ที่เขารักมากที่สุดในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนพื้นกระดาษ มือและแขนทั้งสองข้างกำลังกอดแท่งไม้สีม่วงเอาไว้แน่น ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีว่าเป็นอุปกรณ์วาดภาพสำหรับเขา สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเสมือนตุ๊กตาตัวน้อยกำลังวาดภาพด้วยความทุลักทุเล ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ ๆ หยิบภาพวาดแผ่นนั้นขึ้นมาดู
ภาพวาดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ช่างดูฝืดเคือง เนื้อเส้นไม่ค่อยละเอียดดีเท่าไรนัก ราวกับเป็นผลงานของเด็กอนุบาลที่เพิ่งหัดวาด แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงสร้างของดอกกุหลาบดูสวยงามสมสัดส่วน สีที่ระบายบนเนื้อกุหลาบดูไม่เรียบเนียน แต่กลับมีมิติไปด้วยแสงเงา เน้นสีหนักเบาตามส่วนต่าง ๆ จนดูสมจริง เมื่อชายหนุ่มพินิจดูแล้วและดูลักษณะท่าทางของตุ๊กตา มันชั่งเข้ากัน และทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าแจ๊กกี้มีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ก็คงจะวาดภาพได้ไม่ต่างจากภาพที่เขาเห็นอยู่ ณ ตอนนี้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนบุรพัชร์คงจะพูดจาหยอกล้อเล่นกับตุ๊กตาไปแล้ว ว่าวาดภาพได้สวยงามเหลือเกิน...แต่วันนี้ชายหนุ่มรู้สึกฉงนจนหมดอารมณ์ที่จะพูดคุย รวมทั้งเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เขาก็ยังแปลกใจอยู่ไม่หาย สัญชาตญาณทำให้เขารู้สึกว่ากำลังมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในชีวิต และยากจะหาสาเหตุว่ามันคืออะไร
“ที่รัก...ยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกเหรอครับ”
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจมปลักอยู่กับความคิด ก็มีเสียงที่เขาคุ้นเคยแทรกเข้ามาจากหน้าประตู ไปรวิทย์เดินดิ่งมายังเขา ทันทีที่สายตาสบกับรูปภาพที่อยู่ในมือของบุรพัชร์ ผู้เข้ามาใหม่ก็อุทานออกมาราวกับเห็นอะไรที่อุบาทว์เกินกำลัง
“นั่นฝีมือใครครับ...น่าเกลียดที่สุด คงไม่ใช่ฝีมือของคุณหรอกนะ”
เนื้อเสียงที่ส่อให้เห็นถึงความจริงใจ๊...จริงใจที่จะตำหนิ ทำให้ดวงวิญญาณที่ติดอยู่ในตุ๊กตาชักจะพิโรธขึ้นมาบ้างแล้ว
...หือ...ไอ้ผู้ดีชักโครก กล้าดียังไงมาวิจารณ์ผลงานฉัน...!
จักรกฤษณ์อดที่จะเสียดสีในใจไม่ได้ เพราะดูหน้าคนที่ตำหนินั่นสิ ราวกับจะรักงานศิลปะเสียเต็มประดา
“ไม่ใช่ฝีมือของผมหรอกครับ แต่ผมก็ว่ามันสวยดีนะ ถึงลายเส้นจะดูยุ่งเหยิงไปซักหน่อย แต่ก็มีมิติน่าสนใจดีทีเดียว”
บุรพัชร์ตอบในลักษณะของบุคคลที่ผ่านประสบการณ์งานศิลป์มาพอสมควร...และด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารีอยู่แล้วทำให้เขามองเห็นคุณค่าของงานฝีมือทุกระดับ
“หือ...คุณมองยังไงว่ามันสวย ผมว่ามันเด็กอนุบาลชัดๆ ”
“จะเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าเขามีใจรักงานศิลปะ มันก็สวยงามทั้งนั้นแหละครับ...การสื่อออกมาย่อมไม่เหมือนกัน เพราะคนเราย่อมมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ไม่งั้นคงไม่เรียกว่างานสร้างสรรค์หรอกครับ”
“แหม...ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าจริง ๆ คนวาดรูปนี้ก็คงจะมีจิตใจที่สกปรกพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่วาดออกมาได้อุบาทว์ขนาดนี้”
อีกครั้งที่เจ้าตุ๊กตารู้สึกเดือดดาล...ผลงานที่เขาทุ่มเทมาเกือบทั้งวัน กลับมาถูกอีตานี่วิพากษ์เสียจนยับเยิน ชายหนุ่มอยากจะซัดหน้าหล่อ ๆ ด้วยแท่งสีไม้ที่อยู่ในมือตอนนี้จังเลย แต่จิตสำนึกก็ข่มมันเอาไว้ได้อย่างมิดชิด
“ของแบบนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนดูด้วยนะครับ...ความงามคืออะไร นักวิทยาศาสตร์ยังให้คำตอบไม่ได้เลย บางทีมันก็เป็นเพียงแค่สิ่งสมมติเท่านั้น สวยงามหรือไม่ ดีไม่ดียังไง ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเราเนี่ยแหละครับว่าจะประเมินมันออกมาในแง่ไหน”
บุรพัชร์กล่าวระเรื่อย...เสียงใหญ่ทุ้มของเขาฟังดูเสนาะ มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลอย่างแปลกประหลาด แต่คนพูดหารู้ไม่ว่ามันเข้าไปกระทบจิตใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง
“คุณกำลังบอกว่า จิตใจของผมมันสกปรกงั้นสิ”
คราวนี้เนื้อเสียงของผู้ที่นัดเดทคืนนี้ ชักจะมีแววขุ่นมัวขึ้นมาบ้างแล้ว...ตรงกันข้ามกับหัวใจของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยที่ดูจะสว่างเจิดจ้า และเต็มไปด้วยความชุ่มชื้นจากน้ำคำของผู้เป็นเจ้าของ
“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นซักหน่อย”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่คำพูดของคุณมันบอกผมอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ...ใช่สินะ ผมมันไม่มีความสามารถทางศิลปะเหมือนคุณหนิ ไฉนเลยจะมีจิตใจที่ซาบซึ้งตรึงอารมณ์ได้ขนาดนั้น”
น้อยนักที่ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงสีหน้ากึ่งน้อยใจกึ่งประชดประชันให้เห็นอย่างนี้...บุรพัชร์จึงอดที่จะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาไม่ได้
“สิ่งที่ผมพูดออกไปทั้งหมด...เพราะผมต้องการให้คุณเปิดใจให้กว้าง ไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อว่าคุณเลย”
“ไม่มีเจตนา” ไปรวิทย์ย้อนหางแหลมสูง
“อย่างน้อย ๆ คำพูดของคุณเมื่อสักครู่ ก็สื่อออกมาให้เห็นแล้วว่าจิตใจของผมมันคับแคบมากขนาดไหน” เมื่อไม่มีทีท่าว่าฝ่ายนั้นจะอ่อนลง บุรพัชร์จึงลอบถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดแล้วกัน...เรื่องแบบนี้ใครจะไปห้ามความคิดของใครได้ และคนเราก็มีความคิดที่แตกต่างกันเหลือเกิน ผมเพียงแค่คิดว่า งานฝีมือที่ถ่ายทอดออกมา ไม่จำเป็นต้องดูสวยงามราบเรียบเสมอไปหรอก สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ความตั้งใจต่างหากล่ะ ถ้าเขาได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจเลยซักนิด”
...ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ...
ชายหนุ่มย้อนในใจ...แต่ตอนนี้เขาชักจะรังเกียจคนที่วาดภาพนี้ขึ้นมาซะแล้วสิ เขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นใคร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเกรี้ยวกราดคน ๆ นั้นขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“เอาล่ะครับ...เราอย่ามาทะเลาะกันเลย” ท้ายที่สุดบุรพัชร์ก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “วันนี้ที่รักคนเดิมของผมหายไปไหนนะ เรานัดกันไม่ใช่เหรอครับว่าคืนนี้จะไปดินเนอร์ข้างนอกกัน”
เมื่อเห็นคมหน้าของฝ่ายตรงข้ามยังไม่หายงอง้ำ บุรพัชร์จึงเดินเข้าไปโอบกอดเขาไว้เบา ๆ
“อย่างอนสิครับ...หายโกรธผมนะไม่งั้นดินเนอร์ของเราคืนนี้คงไม่สนุกแน่ ๆ หรือว่าคุณเปลี่ยนใจไม่อยากไปดินเนอร์กับผมแล้ว?”
ไปรวิทย์ยังเงียบอยู่...บุรพัชร์จึงใช้ไม้ตายโดยการแสดงความงอง้ำออกมาบ้าง
“เอางั้นนะ ไม่ไปก็ไม่ไป...ผมไปคนเดียวก็ได้ ดีเหมือนกันจะได้ออกไปหาแฟนใหม่ซักที”
เมื่อคำพูดของแฟนหนุ่มไม่ได้ส่อให้เห็นถึงแววโกรธเคือง ออกจะเป็นคำพูดเชิงหยอกล้อแกมง้องอนเสียด้วยซ้ำ ไปรวิทย์จึงชักจะใจอ่อนขึ้นมาบ้าง เพราะรู้ว่าตัวเองก็ขาดคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เหมือนกัน
“ไม่เอา...ผมรักคุณนะ”
“หือ...จริงเร๊อ...ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่”
“โธ่ คุณก็รู้ว่าผมขาดคุณไม่ได้ ยังไงผมก็ต้องอยู่กับคุณ”
“ไม่เอาละ เอียน” บุรพัชร์เอ่ยขำ ๆ
“เอียนยังไงคุณก็ต้องฟัง เพราะผมรักคุณ”...ไปรวิทย์กล่าวออกไปด้วยความเคยชิน เพราะเขาใช้มันมานักต่อนักแล้ว
“คนรักกันเขาไม่โกรธกันหรอก”
“หายโกรธก็ได้อะ...ก็แค่กระดาษแผ่นเดียว มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ได้ ไหนลองบอกมาซิครับว่าคุณไปเอาภาพวาดนี้มาจากไหน และใครเป็นคนวาด”
“แจ๊กกี้มั้ง...!” แฟนหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดี
“โห...ถ้าแจ๊กกี้มีความสามารถมากขนาดนั้น ผมว่าคุณเอาแจ๊กกี้ของคุณไปขายทอดตลาดน่าจะได้หลายล้านนะ”
“ก็จริงหนิครับ...พอผมเดินเข้ามา ก็เห็นแจ๊กกี้กำลังนั่งกอดเจ้าแท่งสีไม้แท่งนี้เอาไว้อยู่ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าใครเป็นคนวาด” ชายหนุ่มเว้นเสียงซักระยะก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ถามจริง ๆ เถอะครับ คุณแกล้งผมหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรมิทราบ”...ฝ่ายนั้นย้อนออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ก็เรื่องนี้แหละ...วันนี้ผมเจออะไรแปลก ๆ มาสองครั้งแล้วนะ เมื่อเช้าพอผมตื่นขึ้นมาก็เห็นเจ้าลีโอเนลนั่งอ้าซ่าเปลือยเปล่าอยู่ตรงกลางหน้าอกของผมพอดี แจ๊กกี้ก็นอนอยู่ข้าง ๆ ผม ทั้งที่เมื่อคืนผมปิดประตูลงกลอนเอาไว้อย่างดีแล้ว และคงไม่มีใครสามารถเข้ามาได้แน่ ๆ พอมาตอนนี้ก็เจอเจ้ารูปภาพนี้อีก มีคนจับแจ๊กกี้ให้ทำทีเป็นวาดมันด้วยนะ ผมก็เลยแปลกใจ อดคิดว่าคุณแอบแกล้งผมไม่ได้”
“ถ้างั้นคุณก็คิดผิดแล้วล่ะ...คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบทำอะไรพิเรนทร์ ๆ แบบนั้น”
...รวมทั้งการพูดคุยกับตุ๊กตาบ้า ๆ พวกนี้ด้วย ไปรวิทย์แถมท้ายในใจ
“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน...จะว่าเป็นแม่บ้านก็คงไม่ใช่ รายนั้นจะกล้าทำกับผมขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ไม่แน่นะ...ก็คุณชอบพูดจาหยอกล้อกับเจ้าสองตัวนี้อยู่บ่อย ๆ แม่บ้านเห็นเข้าก็เลยคิดว่าคุณคงจะชอบ”
“ชอบยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่แม่บ้านจะกระทำกับเจ้านาย”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นผีแล้วล่ะครับ...หรือไม่เจ้าแจ๊กกี้ของคุณก็อาจจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ เลยคิดที่จะแกล้งคุณบ้างเพราะคุณเองก็ชอบแกล้งมันอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ”
“เหลวไหลน่า แจ๊กกี้จะมีชีวิตขึ้นมาได้ยังไง”
...หึ รู้เหมือนกันเหรอว่ามันเหลวไหล...
แฟนหนุ่มย้อนให้ในใจอีกครั้ง
“ที่ผ่านมาคุณก็คิดว่าเจ้าสองตัวนี้มีลมหายใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...จะแปลกอะไรถ้าสิ่งที่คุณปรารถนาจะเป็นจริงขึ้นมาบ้าง”
“แหม...คุณก็พูดเข้า ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ผมจะปิดห้องเสื้อฉลองซักสามวันเจ็ดวันไปเลย ในฐานะที่ตัวเองได้ครอบครองสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของโลก”
“หรือว่าไม่จริงล่ะ”
“พอเถอะครับ...ผมรู้ว่าคุณพูดจาประชดประชันผม ถึงผมจะดูบ้า ๆ บอ ๆ ยังไงในสายตาคุณ แต่ผมก็ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ถึงยังไงซะแจ๊กกี้กับลีโอเนล ก็ไม่อาจจะมีชีวิตขึ้นมาได้ และทำอะไรที่มันแผลง ๆ อย่างนั้นได้หรอก”
จักรกฤษณ์แอบฟังทั้งสองสนทนาด้วยแววกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ยิ่งผู้เป็นเจ้าของพิศวงมากเท่าไรชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกสนุกมากเท่านั้น...
ดี...ต่อไปจะยิ่งสนุกมากกว่านี้อีก เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยคิดในใจ
“เอาล่ะครับ คุณก็รู้ว่าผมชอบพูดอะไรไปเรื่อย ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับจะได้ไปดินเนอร์กันซักที”
“ถ้างั้นคุณลงไปรอผมข้างล่างดีกว่า...เสร็จแล้วผมจะตามลงไป”
บุรพัชร์กล่าวพร้อมกับละจากคนรักเพื่อไปทำธุระส่วนตัว...แต่ในระหว่างนั้นชายหนุ่มก็อดที่จะพิศวงไม่ได้
...ตุ๊กตามีชีวิตอย่างนั้นน่ะเหรอ...
แม้ฝ่ายนั้นดูจะพูดเล่นก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกวูบวาบอย่างแปลกประหลาด เสมือนมีรอยริ้ว ๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ และคำพูดของแฟนหนุ่มก็ดูจะเพ้อเจ้อเสียจนเกินไป แต่มันกลับเข้าไปสะกิดหัวใจของเขาจนก่อให้เกิดความต้องการนั้นขึ้นมาจริง ๆ ...
...ตุ๊กตามีชีวิต...
...ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสินะ...
ชายหนุ่มได้แต่หวังอยู่ในใจ...หวังอย่างนั้นแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
***************
โปรดติดตามตอนต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
3.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ