ตุ๊กตาแสนกล
เขียนโดย Glover
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.54 น.
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 16.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
ตุ๊กตา!
เป็นไปได้หรือนี่...
ที่เขาเข้ามาอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้...ตุ๊กตาที่มีชื่อเดียวกับเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุบ้า ๆ นั่นเรื่องอุบาทว์ ๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจในชะตากรรม ต้นเหตุเป็นเพราะพี่ชายของเขาแท้ ๆ เชียว ชายหนุ่มรู้แล้วว่าอุบัติเหตุคงทำให้เขาเจ็บเจียนตาย ไม่อย่างนั้นดวงจิตของเขาคงไม่หลุดออกจากร่างและเข้าไปอยู่ในโลกที่มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่ถึงยังไงชายหนุ่มก็ได้พยายามอย่างที่สุดแล้วหนิ พยายามที่จะตั้งจิตสมาธิให้กลับคืนสู่ร่างเดิมแต่ทำไมเหตุการณ์มันถึงกลับตาลปัตรไปได้ หรือว่าเป็นเพราะเสียงนั่น
ใช่! เป็นเพราะเสียงนั่นแน่ ๆ ที่ดึงดวงจิตของเขาเข้ามาอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้...คงไม่ต้องหาคำตอบก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร ถ้าไม่ใช่เสียงของตายักษ์หน้าคมนั่น
ไม่ใช่สิ!ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เจ้ายักษ์ทั้งสองตนก็คงจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ๆ เนี่ยแหละ ...มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่หลุดเข้ามาอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้แล้วดวงจิตก็ถูกย่อสัดส่วนให้เล็กตามมา...เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ใหญ่เบ้อเร่อเบอร่าไปซะหมด
โอ๊ย...ยิ่งคิดยิ่งแค้น แค้นไปหมด แค้นทุกคน ทำไมอีตานี่ถึงได้มาเรียกชื่อเขาเอาตอนนั้นด้วยนะ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีคนให้เรียกแล้วหรือไงถึงได้เรียกแต่ชื่อแจ๊กกี้อยู่ได้ แล้วทำไมเขาต้องเกิดมามีฉายาเดียวกับไอ้ตุ๊กตาตัวนี้ด้วย!
โอ๊ย...ฉันเกลียดแก ไอ้แจ๊กกี้! ฉันเกลียดแก!
จักรกฤษณ์ได้แต่โอดครวญอยู่คนเดียว...ถึงจะดังขนาดไหนแต่บริเวณรอบข้างก็ไม่มีสรรพสิ่งใดเลยที่จะรับรู้ความฉุนเฉียวในจิตใจของเขาได้...แม้กระทั่งเจ้าตุ๊กตาลีโอเนลที่กำลังบรรจงจูบเขาอยู่ตอนนี้ก็ตาม...
***************
นิรชาได้แต่ร้องไห้...สองวันแล้วที่เธอได้รับรู้อาการเจ็บป่วยของพี่ชายหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ร่างนั้นยังนอนไม่ได้สติและดูเหมือนว่า จะต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการเยียวยารักษา...หญิงสาวรู้สึกสะท้าน เธอกลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิต เพราะตอนนี้ชีวิตของเธอก็อ้างว้างเดียวดายมามากพอแล้วถ้าจะต้องเสียพี่ชายสุดที่รักไปอีกคน แล้วเธอจะอยู่ยังไง...พ่อและผู้เป็นพี่อีกคนนั้นก็ดูเหมือนจะไม่แยแสกับอุบัติเหตุที่มันเกิดขึ้นเลยสักนิด สิ่งที่พ่อของเธอกระทำให้ได้ก็เพียงเจียดเงินค่ารักษาพยาบาลและคอยรับรู้อาการห่าง ๆ เท่านั้น นิรชาจึงต้องรับหน้าที่อย่างหนักในการดูแลพี่ชายที่เธอรักและห่วงใยมากที่สุด
หญิงสาวกุมมือพี่ชายไว้แน่น น้ำตาเอ่อล้นเหมือนจะไม่มีวันหยุดไหล ยิ่งเห็นสภาพของจักรกฤษณ์มีรอยฟกช้ำตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ตรงศีรษะมีผ้าพันแผลไว้หนา นิรชาก็ยิ่งใจหาย แม้หมอจะบอกว่าหัวสมองของเขาไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจนถึงขั้นความจำเสื่อม แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าพี่ชายจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้เลย...
“พี่จักร...พี่จักรฟื้นสิคะ”
...เสียงใส ๆ เปรยออกมาพร้อมกับแรงสะอื้น...ไม่นานนักเธอก็สัมผัสถึงมืออุ่น ๆ ของใครบางคนมาวางไว้บนไหล่เบา ๆ
“อย่าคิดมากเลยนะ...แจ็กกี้เป็นคนดี แจ็กกี้จะต้องไม่เป็นอะไร” เนื้อเสียงของบุรุษหนุ่มกังวานใส แม้สำนวนของเขาจะไม่ค่อยชัดเจน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
“ทำไม่พี่จักรยังไม่ฟื้นเลยล่ะคะ...”
นิรชาหันมาสบตากับผู้พูด...บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเสมือนพี่ชายอีกคนหนึ่งของเธอ และคงจะเป็นคนเดียวที่เธอจะพักพิงได้ในตอนนี้
“แจ๊กกี้คงเหนื่อย ปล่อยให้เขาได้นอนหลับซักพักเถอะ...พอเบื่อแล้ว แจ๊กกี้คงฟื้นขึ้นมาเองแหละ...คนดีอย่าร้องเลย”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ...นิดกลัว กลัวพี่จักรจะเป็นอะไร”
“พี่บอกแล้วไง...แจ๊กกี้ไม่เป็นอะไรหรอก...คนดีพระเจ้าคุ้มครองนะ”
นิรชาโถมเข้ากอดคิมไว้...ราวกับจะถ่ายทอดความเดียวดายให้ฝ่ายตรงข้ามปลอบประโลม คิมลูบศีรษะหญิงสาวเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“ถ้าคืนนั้นพ่อไม่ไล่พี่จักรออกจากบ้าน...พี่จักรคงไม่เป็นแบบนี้”
“อย่าพูดถึงมันอีกเลย...ตอนนี้สิ่งที่นิซ่าควรทำ คือเป็นกำลังใจให้แจ๊กกี้ นิซ่าต้องเข็มแข็งรู้ไหม”
“ค่ะ” หญิงสาวพูดได้แค่นั้น
“พี่สัญญา พี่จะไม่ทิ้งนิซ่ากับแจ็กกี้เด็ดขาดหยุดร้องไห้ได้แล้วถ้าแจ๊กกี้รู้เข้าแจ็กกี้คงไม่สบายใจแน่ ๆ เลยที่มีน้องสาวขี้แยแบบนี้”
นิรชาผละออกจากร่างกายของชายหนุ่ม เช็ดน้ำตาที่สองข้างแก้ม โชคดีที่เธอยังมีคิมอยู่เคียงข้าง...ถ้าไม่อย่างนั้นหญิงสาวคงจะเคว้งคว้างไปมากกว่านี้
จักรกฤษณ์ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า....ยิ่งความจริงปรากฏมากเท่าไรจิตใจของเขาก็ยิ่งร้อนรนมากเท่านั้น
แม้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาเขาจะพยายามทำใจให้สงบ ยอมรับกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้ว แต่จิตใต้สำนึกลึก ๆ ก็ยังคงรับไม่ได้
ใครจะทนไหวอยู่ดี ๆ ต้องมากลายเป็นผีเฝ้าตุ๊กตาอยู่แบบนี้ จะกลับคืนสู่ร่างเดิมก็ไม่ จะไปผุดไปเกิดซะเลยก็ไม่ นี่เขาทำเวรทำกรรมอะไรนักหนาชีวิตถึงบัดซบมากมายขนาดนี้...
เฮ้อ...ยิ่งเห็นหน้าเจ้าลีโอเนลที่ถูกจัดท่าจัดทางให้ร่วมรักอยู่กับเขา ก็ยิ่งหงุดหงิด คิดแล้วก็อยากจะสาปแช่งคนที่มีความคิดพิเรนทร์ ๆ แบบนี้ให้เข้ามาติดอยู่ในนี้บ้าง ดูซิจะทำยังไง ชายหนุ่มได้แต่อิดออดอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ค่ำยันสว่าง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยซักนิด แม้แต่อาการง่วงนอนก็ไม่มี นับตั้งแต่หลุดเข้ามาอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ ก็ดูเหมือนเขาจะอิ่มทิพย์ไปเสียทุกอย่าง...
บุรพัชร์รู้สึกตัวก็ลุกขึ้นจากเตียงบิดขี้เกียจอย่างแรง...มองดูผลงานยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ แจ๊กกี้กับลีโอเนลยังอยู่ในท่วงท่าเดิม
“ไงบาร์บี้...สนุกไหม ลีโอเนลอย่ารุนแรงมากนักนะ เดี๋ยวแจ๊กกี้จะระบมไปหมด”
เนื้อเสียงแกมขำของบุรพัชร์ ยิ่งไปตอกย้ำความหงุดหงิดของจักรกฤษณ์ให้ฉุนเฉียวมากขึ้น
...อีตาบ้า ใครเขาสนุกกันล่ะ เอามันออกไปเดี๋ยวนี้นะ...!
แต่แทนที่บุรพัชร์จะได้ยิน กลับพูดจากวน ๆ มากกว่าเดิมอีก
“ดูซิ...แจ๊กกี้เร่าร้อนออกอย่างนี้ แล้วลีโอเนลจะหยุดได้ยังไง ไม่เอา อย่าเร้าใจมากนักสิ พ่อเป็นห่วงนะ”
หือ...คนทุเรศที่สุด ทำน่าเกลียดแล้วยังจะมายืนวิพากษ์วิจารณ์กันอีก!
“เอาละ...พ่อให้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงนะ...กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันให้หนำใจ เสร็จแล้วพ่อจะออกมาแต่งตัวให้”
ผู้เป็นเจ้าของทิ้งท้ายก่อนจะเดินผิวปากเข้าห้องน้ำไป
ครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำ...ใส่เสื้อผ้าในชุดทำงานเรียบร้อยแล้วก็เดินตรงดิ่งมายังโต๊ะเขียนหนังสือ จัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองตัวด้วยความรักใคร่
“รู้ไหม อีกสองอาทิตย์ข้างหน้าพ่อจะจัดงานแฟชั่นโชว์ด้วยล่ะ แจ๊กกี้กับลีโอเนลอยากไปดูด้วยไหม งานนี้พ่อตั้งใจเต็มที่เลยนะ น่าเสียดาย คอลเลคชั่นที่แล้วพ่อไม่ได้พาเราสองคนไปด้วย เลยไม่รู้ว่าพ่อต้องทำงานหนักขนาดไหนกว่าจะหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้เราใส่ได้ แต่ไม่เป็นไร คราวนี้พ่อจะพาเราสองคนไปด้วยนะ ถ้าแจ๊กกี้เห็นหนุ่ม ๆ นายแบบของพ่อต้องน้ำลายไหลแน่ ๆ เลย พ่อกลัวแต่ว่าเราจะติดใจจนไม่อยากกลับบ้านน่ะสิ...อย่างนั้นไม่เอานะ ครั้งต่อไปพ่อจะไม่พาไปด้วยเลยล่ะ”
บุรพัชร์ยังคงกล่าวหยอกเย้ากับตุ๊กตาอยู่เรื่อย ๆ ...ไม่นานไปรวิทย์ก็รู้สึกตัว สลัดความง่วงงุนออกจากเตียงแล้วเดินมายังเขา
“ที่รัก...บ่นอะไรแต่เช้าเชียว”
“กำลังชวนแจ๊กกี้กับลีโอเนล ไปดูงานแฟชั่นโชว์ที่ผมจะจัดด้วยกันนะครับ”
“แล้วเจ้าสองตัวนี้ว่าไงบ้าง”
ไปรวิทย์ถามในเชิงเอาใจมากกว่าจะจริงใจ
“แจ๊กกี้บอกว่างานนี้ไม่มีพลาด...น่าเสียดายคนตายไม่ได้ไป”
ชายหนุ่มตอบขำ ๆ สนุกกับคำพูดที่ตัวเองกุขึ้น
“หือ ขนาดนั้นเชียว...ถ้าอย่างนั้น คุณต้องดูแลเจ้าแจ๊กกี้ให้ดี ๆ นะ เดี๋ยวจะใจแตก หนีตามผู้ชายไปซะก่อน” คำพูดของเขายิ่งทำให้บุรพัชร์ขำมากขึ้น
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ”
“ว่าแต่ทำไมวันนี้ ที่รักของผมแต่งตัวแต่เช้าเชียว”
“ผมนัดกับลูกน้องเอาไว้ตอนเก้าโมง เรามีเรื่องต้องประชุมกันเยอะเลยวันนี้”
“ว้า” แฟนหนุ่มทำหน้ายู่นิด ๆ
“อยู่กับผมอีกซักหนึ่งชั่วโมงก่อนได้ไหมครับ อย่าเพิ่งไปเลยนะ”
ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มยังไล่นิ้วมือไปตามบริเวณแผงอกกว้างนั้น
“ผมก็อยากจะอยู่กับคุณต่อเหมือนกัน แต่เอาไว้ตอนเย็นเถอะ ผมไม่อยากทำให้ลูกน้องต้องรอนาน”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณเป็นเจ้าของ ใครจะว่าอะไรคุณได้”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...คนเราทำงานร่วมกันต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน”
เป็นคำตอบที่จี้ใจดำ...และไปรวิทย์ก็รู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องระงับมารดำเอาไว้ เผยรอยยิ้มให้เห็นว่าจริงใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร...”
“ผมสัญญาเลิกงานแล้วผมจะรีบกลับมาหาคุณทันที”
“ผมจะรอ” ไปรวิทย์กล่าวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะประทับรอยจูบที่ข้างแก้มของฝ่ายตรงข้าม
“ผมก็คิดถึงคุณไม่แพ้กันนักหรอก...เพียงแต่เรื่องที่เราจะประชุมกันวันนี้เป็นงานที่ค่อนข้างจะสำคัญ คุณก็รู้นี่อีกสองอาทิตย์ข้างหน้างานแฟชั่นโชว์ของผมก็จะเริ่มขึ้นแล้ว”
“ครับ ผมเข้าใจ” บุรพัชร์เผยรอยยิ้มที่สดใสขึ้นมาบ้างเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่งอแงอะไรแล้ว...
“เอ๊าะ! ผมลืมบอกคุณไป พรุ่งนี้ผมจะลงไปดูงานที่ประจวบฯ คุณจะไปกับผมด้วยไหม?”
“งานอะไรอีกล่ะ...ไม่เห็นผมรู้เรื่องเลย”
“ผมก็เพิ่งรู้เมื่อวานนี้เอง คุณปิ่นเจ้าของโรงแรมเขารู้จักกับเจ้าของงาน ก็เลยชวนผมไปดูด้วยเผื่อจะได้อะไรดี ๆ กลับมาบ้าง”
“ก็ดีแล้วล่ะครับ...น่าเสียดาย พรุ่งนี้ผมมีนัดกับลูกค้าสำคัญด้วยสิคงไปกลับคุณไม่ได้ ...แล้วคราวนี้คุณจะไปซักกี่วันล่ะ”
“แค่สองวันผมก็กลับแล้วล่ะครับ”
“โห...ตั้งสองวันเชียว...คืนนี้คุณต้องบริการผมให้เต็มที่นะ โทษฐานที่เพิ่งมาบอกกัน" ชายหนุ่มกล่าวแกมขำ ทำเหมือนมันเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากมาย ทั้งที่ในใจของเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย ดีซะอีก...ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเมื่อความคิดร้าย ๆ สว่างขึ้นในจิตใจ
“บริการเต็มที่หรือไม่...มันก็ขึ้นอยู่กับคุณด้วยล่ะครับว่าจะบริการผมให้ถึงใจหรือเปล่า” บุรพัชร์อดที่พูดหยอกล้อกลับไปไม่ได้
“เอาล่ะครับผมคงต้องไปแล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางลุกจากเก้าอี้ วางเจ้าแจ๊กกี้เอาไว้ ลูบหัวของมันด้วยความจริงใจ
“พ่อไปก่อนนะแจ๊กกี้...วันนี้อย่าเถลไถลนักนะเดี๋ยวตอนเย็นพ่อจะซื้อของฝากมาให้..."
ผู้เป็นเจ้าของสัพยอกตุ๊กตาตัวน้อยก่อนจะหันไปทางแฟนหนุ่ม
“ว่าแต่คุณวันนี้ไม่ไปทำงานเหรอครับ”
“ผมขอลาทั้งวัน...สี่ห้าวันที่ผ่านมาผมยุ่ง ๆ กับงานมามากพอแล้ว ตอนเย็นคุณรีบกลับมาแล้วกันผมจะทำกับข้าวไว้รอ"
“ครับผมจะรีบกลับมา...ยังไงวันนี้ฝากคุณช่วยดูแลเจ้าแจ๊กกี้กับลี-โอเนลด้วยนะ"
“เซอเทนลี่ เซ่อร์...ผมจะดูแลให้เป็นอย่างดีเลยมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเชียว พอถึงเวลาให้อาหารก็จะคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ด้วย โอเคไหมครับ?”
บุรพัชร์ไม่ต่อความอะไรได้แต่ยิ้มระรื่นกับคำพูดนั้น...ชายหนุ่มไม่มีวันรู้หรอกว่าความจริงใจที่ฝ่ายนั้นแสดงให้มีความเอือมระอาอยู่ในที พอ ๆ กับ ไปรวิทย์ไม่เข้าใจว่า...คำพูดเล่น ๆ ของบุรพัชร์ที่มีให้กับตุ๊กตาตัวน้อยคือคำพูดที่มาจากใจของเขาจริง ๆ
พอบุรพัชร์เดินออกไปนอกห้องแล้ว...ไปรวิทย์ก็หันมาสบตากับตุ๊กตาทั้งสองตัวเป็นการท้าทาย ที่ผ่านมาเขาปั้นหน้ามามากพอแล้ว ชายหนุ่มเผยร้อยยิ้มเหยียด ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงกร้าว ๆ ออกมา
“หึ...ดูแลเหรอ ผมไม่เอาตุ๊กตาบ้า ๆ ของคุณไปเผาทิ้งมันก็บุญขนาดไหนแล้ว”
หารู้ไม่ว่าคำพูดนั้นมันเข้าไปกระทบใจของตุ๊กตาอย่างแรง
จักรกฤษณ์รู้ดีว่ามนุษย์เรามีหลายประเภท...และบุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือบุคคลหนึ่งที่เขาไม่อยากพานพบเป็นอันขาด ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ถึงเขาจะไม่พอใจที่จะอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ แต่เขากลับรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้าของ
ที่ต้องมาอยู่ร่วมกับคนที่ตีสองหน้าได้เก่งฉกาจถึงบุรพัชร์จะดูบ้า ๆ บอ ๆ ก็เถอะแต่ฝ่ายนั้นก็มีความเป็นคนมากกว่าคน ๆ นี้เหลือคณานับ
*******************
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ