ข้ามขอบฟ้ามาพบรัก
-
เขียนโดย zhengxiuwen
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.32 น.
7 บท
1 วิจารณ์
11.74K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 23.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บทที่6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เมื่อห้าชั่วโมงก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉัตตาตื่นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สดใสนัก เพราะสีหน้าและน้ำเสียงน่ากลัวๆของเผิงเฟยสั่งบ่งการชีวิตเธอจากเมื่อคืนยังคงติดตาติดใจ หญิงสาวรู้สึกหมั่นไส้ปนแค้นนิดๆ เธอจึงคิดหาทางขัดคำสั่งของเขา แต่จะขัดยังไงให้เขาโกรธแต่ก็ว่าอะไรเธอไม่ได้และคนรอบด้านไม่เดือดร้อน? ฉัตตาคิดหาวิธีจนปวดหัว
“คุณเป็นคนพูดเองนะคุณเหว่ยว่าไม่ให้ฉันเข้าใกล้บริเวณมหาลัยภายในรัศมีสองกิโล”
หญิงสาวพูดไปพลางระรัวนิ้วอย่างคล่องแคล่วลงบนแป้นพิมพ์ แผนที่บริเวณรอบๆมหาลัยของเธอปรากฏขึ้นบนหน้าจอ รอยยิ้มที่ราวกับว่าได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่แต้มบนใบหน้าหวาน
‘หึๆๆ ฉันจะดูสิคุณจะว่าอะไรฉันได้เหว่ยเผิงเฟย!’
ฉัตตาเลือกที่จะออกมาเดินเล่นที่“ห้างรอยัลแกรนด์” ห้างที่อยู่ตรงกับประตูทิศใต้ของมหาลัย เพราะห้างแห่งนี้ห่างออกมาจากบริเวณมหาลัยของเธอในระยะสองกิโลเมตรแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แม้จะรู้สึกสงสารเกิ่งซินและเหล่าบอดีการ์ดที่หน้าซีดแล้วซีดอีก แต่ฉัตตาก็อยากจะอยู่ที่นี่นานอีกสักนิด เพราะเธอรู้ คนเจ้าบงการคนนั้นทนไม่ได้หรอกหากมีใครขัดคำสั่ง เขาจะต้องรีบแล่นมาที่นี่อย่างแน่นอน!
ใช่!ตามแผนแล้ว มันควรจะเป็นเขาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ไหงสถานการณ์มันถึงกลับตาลปัตรเป็นแบบนี้กันล่ะเนี่ย!
‘กรี๊ดดด แม่จ๋า ทำไงดีๆๆ เมืองจีนก็ตั้งกว้างใหญ่แต่ทำไมมันถึงกลมอย่างนี้ล่ะ!’
ฉัตตากรีดร้องอยู่ในใจอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะซวยได้ถึงขนาดนี้ ตอนแรกก็แค่อยากจะแกล้งป่วนอะไรเพิ่มขึ้นเล็กๆน้อยๆ เธอจึงแกล้งทำตัวให้พลัดหลงกับเหล่าบอดีการ์ดเล่นๆโดยการเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้และอาศัยร่างเล็กๆของเธอมุดไปมุดมาท่ามกลางฝูงชน แต่เธอก็คอยสังเกตอยู่ตลอดว่าพวกเขายังคงตามอยู่ข้างหลัง เพราะรู้ดีหากพลัดหลงขึ้นมาจริงๆ คนที่ลำบากที่สุดก็จะเป็นเหล่าบอดีการ์ดนี่แหละ แต่ไปไปมามากลายเป็นว่าเธอเกิดพลัดหลงกับพวกเขาขึ้นมาจริงๆเสียอย่างนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ความซวยของเธอยังไม่สิ้นสุด เมื่อระหว่างที่ยืนคอยอยู่ที่จุดเดิมที่หลงอยู่นั้นก็มีชายกลุ่มหนึ่งวิ่งมุ่งหน้าตรงมาที่เธอ และชายคนที่วิ่งนำกลุ่มมาทำเอาเลือดในตัวของเธอจับเป็นน้ำแข็ง คนที่ทำร้ายเธอในวันนั้นไม่ผิดแน่! และเพราะเหตุนั้นเธอจึงต้องมาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่แบบนี้ยังไงล่ะ!
ด้วยความรีบร้อนทำให้เธอไม่ได้สังเกตว่าข้างหน้ามีคนกำลังเดินสวนมา เธอชนกับเขาอย่างจัง หญิงสาวถลาลงพื้นอย่างเต็มแรง ข้อศอกและหัวเข่าเลือดซิบขึ้นทันตา
“คุณเป็นอะไรไหม?” คนถูกชนถามด้วยความเป็นห่วงและเข้ามาประคองให้ฉัตตาลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจ ใบหน้านวลที่ปรากฏเด่นชัดทำเอาชายหนุ่มตะลึงงัน
‘ซิ่วเอ๋อร์!’
“ฉันขอโทษด้วยนะคะ แต่ตอนนี้ฉันรีบมาก ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ” เธอกล่าวขอโทษออกมาจากใจจริง แล้วลุกขึ้นวิ่งต่อ
เหวินป๋อมองตามคนตัวเล็กที่ท่าทางจะเจ็บหนักอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เสียงวิ่งที่ตะบึงมาทางเขาเรียกให้สติของชายหนุ่มกลับมา
‘ลี่เฉิง?’
ชายในชุดดำหยุดกึกในทันทีเมื่อเห็นเหวินป๋อ แม้ใจจริงอยากจะวิ่งไปต่อก็ตาม
“มีอะไรถึงวิ่งหน้าตาตื่นกันมาแบบนั้นล่ะ?”
“เอ่อ...” พวกมันนิ่งอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไร เรื่องนี้เจี้ยนผิงสั่งไว้ให้เป็นความลับจะให้เหวินป๋อรู้ไม่ได้
“เอ่อ...ขโมย! ไล่ตามขโมยน่ะครับ เมื่อกี้นี้มันฉกกระเป๋าสตังค์ของผมไปครับ” หนึ่งในนั้นโพล่งขึ้นมาโดยคิดว่านั่นคือสาเหตุที่เข้าท่าที่สุด
“อ้อ....งั้นขโมยไปทางไหนแล้วล่ะ?” เขาถามอย่างใสซื่อ “ให้ฉันช่วยหาไหม?”เสียงนั้นถามอย่างมีน้ำใจสุดๆ
พวกมันตอบปฏิเสธอย่างกระอักกระอ่วนแล้วรีบจากไป เหวินป๋อมองตามหลังของพวกมันไปอย่างสงสัย พลางคิดถึงใบหน้าของคนตัวเล็กเมื่อครู่อย่างเหม่อลอย
‘เหมือน...เหมือนมาก เหมือนกันมากจนเกินไป......’
---------------------------------------------------------------------------------------------- “อะไรนะ!อิงเหลียนหายไป? นายปล่อยให้เธอคลาดสายตากันไปได้ยังไง” รายงานจากเสียงปลายสายทำเอาเผิงเฟยรู้สึกถึงความปวดที่วิ่งพุ่งปรี๊ดไปที่ขมับ
“รีบตามหาเธอให้เจอ อีกห้านาทีฉันจะไปถึงที่นั่น” เสียงทุ้มสั่งการเสียงเครียด
ให้ตายสิ!ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะหาเรื่องเข้าตัวได้เก่งขนาดนี้ เก่งนักนะ!
รังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากแผ่นหลังกว้างของเผิงเฟย ทำเอาลูกน้องเสียวสันหลังกันไปตามๆกัน
“เจินอิงยกเลิกการประชุมช่วงบ่ายกับนัดเย็นนี้ไปให้หมด อาลู่เตรียมรถ”
“นายน้อยจะไปไหนครับ” อาลู่ถามอย่างสงสัย น้ำเสียงทุ้มกระชากเสียงกร้าว
“ห้างรอยัลแกรนด์!”
เผิงเฟยออกวิ่งตามหาหญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง ที่ที่แห่งนี้เป็นที่ต้องห้ามยิ่งกว่าบริเวณนอบๆมหาลัยของเธอเสียอีก เพราะที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของตระกูลถัง คนของเจี้ยนผิงโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ และยิ่งสถานการณ์ล่าสุดที่รายงานมาคือเห็นกลุ่มคนของเจี้ยนผิงกำลังออกวิ่งไล่ล่าใครคนหนึ่ง นั้นยิ่งทำให้เผิงเฟยทิ้งความเยือกเย็นที่เคยมีไปหมดสิ้น
“ฮึ่ม ถ้าจับตัวได้นะ! ผมจะสอนให้คุณรู้เองว่าโลกของผมมันน่ากลัวขนาดไหน ฉัตตา!”
ฉัตตาทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีใครไล่ตามมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้พักให้หายเหนื่อย เสียงฝีเท้าก็ดังวิ่งไล่มาทางเธอ นาทีนี้หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบหายไป เธอจึงค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากหลืบเสาที่ตัวเองซ่อนตัวอยู่
“เจอตัวแล้ว!”
ฉัตตาอ้าปากเตรียมกรีดร้องแต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียง มือหนาปากเธอเอาไว้แน่น
“ผมเอง!”
เสียงที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคย ทำให้เธอผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“อิงเหลียน” เสียงเรียกตื่นตระหนกเมื่อร่างบางทรุดลงกับพื้น
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ฉัน.. ฉันแค่โล่งอกเท่านั้นเองค่ะ”
เสียงฝีเท้าที่วิ่งตรงเข้ามาใกล้บังคับให้เผิงเฟยต้องชักเจ้าอาวุธสีดำเงาออกมาให้ฉัตตาเห็นอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวตาเบิกกว้างเมื่อเห็นปืนของจริงปรากฏชัดตรงหน้า
“นายน้อย นายหญิงน้อย” เสียงเรียกของเหล่าบอดีการ์ดที่ดังก้อง เผิงเฟยจึงเก็บปืนลงไปเหมือนเดิม ฉัตตาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ต้องใช้มันจริงๆ
“นายน้อย นายหญิงน้อย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เจินอิงถามขึ้นเพื่อต้องการเช็คความปลอดภัยของทั้งคู่
“ไม่เป็นไร” เผิงเฟยตอบเสียงเย็น พลางปลายตามองหน้าเกิ่งซินกับทีมดูแลหญิงสาวอย่างคาดโทษด้วยสายตาเย็นชา
“โทษของพวกนายสี่คนฉันจะจัดการพรุ่งนี้ ส่วนเธอ...คืนนี้เราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาว” น้ำเสียงที่นิ่งเย็นและแววตาไร้ความรู้สึกที่ปรากฏออกมา ทำเอาบอดีการ์ดทั้งหลายต่างรู้สึกเย็นวาบลึกไปสุดขั้วหัวใจ ภายในใจต่างช่วยกันสวดภาวนาขอให้ฟ้าคุ้มครองว่าที่นายหญิงน้อยให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเถิด!
บรรยากาศภายในรถเงียบมาตลอดทางจนถึงคฤหาสน์หลังงาม เมื่อรถจอดนิ่งสนิท เผิง-เฟยก็คว้าข้อมือของหญิงสาวแล้วเดินลงไปจากรถทันที โดยไม่สนใจสายตาของใครๆทั้งสิ้น
“ปล่อยฉันนะคะคุณเหว่ย” ฉัตตาพยายามสะบัดข้อมือให้ตนเองเป็นอิสระ
“ฉันมีเหตุผลนะคะที่ทำแบบนี้ คุณฟังฉันก่อนสิคะ” หญิงสาวพยายามต่อรองเสียงอ่อน
อาลู่และเจินอิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งเข้าไปรายงานสถานการณ์ให้คุณป้าแม่บ้านกิตติมศักดิ์ทราบ เพราะในบ้านนี้นอกจากนายหญิงแล้วคนที่คอยห้ามปรามนายน้อยยามน็อตหลุดได้แล้วล่ะก็เห็นทีก็จะมีแต่จางจินเหมยที่เลี้ยงดูเผิงเฟยมาแต่อ้อนแต่ออกคนนี้คนเดียว ป้าจางทิ้งทุกอย่างในมือแล้วรีบวิ่งออกมาจากครัว ภาพผู้หญิงตัวเล็กๆที่พยายามยื้อยุดต่อสู้อยู่กับผู้ชายตัวโตที่ไม่สะทกสะท้านอะไรทำเอาป้าจางอยากจะเป็นลม
“ตายจริง!นี่มันอะไรกันคะนายน้อย ปล่อยนายหญิงน้อยก่อนเถอะค่ะ ข้อมือเธอยังไม่หายดีนะคะ” ป้าจางรีบเข้ามาแกะมือหนาออกจากข้อมือของหญิงสาว ทันทีที่ข้อมือหลุดออก ฉัตตาก็รีบวิ่งไปแอบหลังป้าจางทันที
“ดิฉันรู้นายน้อยกำลังโกรธอยู่ แต่ต่อให้นายหญิงน้อยจะทำผิดขนาดไหน ก็อย่ารุนแรงแบบนี้สิคะ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้” ป้าจางพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
เผิงเฟยไม่พูดไม่จาเดินดุ่มๆเข้าไปหาแล้วมองหน้าป้าจางนิ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนของฉัตตาเอาไว้แทนแล้วกึ่งลากกึ่งกระชากคนตัวเล็กให้เดินขึ้นไปบนบ้าน
“นายน้อย!”
ป้าจางปราดเข้ามาจะห้ามแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเย็นยะเยือกจ้องมองมา
“ไม่มีคำสั่งของฉัน ไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้นมาเป็นอันขาด!”
คำสั่งประกาศิตฟาดเปรี้ยงลงมา คนในบ้านได้แต่ตัวแข็งไม่กล้าขัดคำสั่ง ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าแม้แต่ป้าจางก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ หญิงสาวขืนตัวสุดฤทธิ์ มือเล็กคว้าเกาะราวบันไดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แถมมือเล็กๆนั่นยังเกาะไว้ได้เหนียวแน่นอย่างเกินคาด!นั่นยิ่งเป็นการยั่วโมโหเผิงเฟยให้โกรธหนักขึ้นไปอีก เขาจึงจัดการแงะมือเธอออกดึงเนคไทมามัดมือของฉัตตาไว้แน่น แล้วจัดการรวบตัวของเธออุ้มเดินขึ้นบันไดไป แน่นอนว่าหญิงสาวต้องไม่ยอมง่ายๆ เธอทั้งดิ้นทั้งสะบัด
“ถ้าหากเธอจะยังดิ้นต่อไปล่ะก็ ฉันจะโยนเธอลงไปจริงๆ ถ้าไม่เชื่อจะลองดิ้นต่อไปดูก็ได้นะ” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมเอาจริง ฉัตตาจึงสิ้นฤทธิ์ได้ง่ายๆ เมื่อมาถึงชั้นบนเผิงเฟยจึงวางเธอลง เปิดห้องแล้วผลักเธอเข้าไป
“กริ๊ก” เสียงล็อคประตูห้องทำเอาหญิงสาวสะดุ้งโหยง
“ฉันว่าเรามาคุยกันดีๆก่อนเถอะนะคะ” ฉัตตาต่อรองเสียงสั่น
“มันสายไปแล้วล่ะ หลินอิงเหลียน” เสียงราบเรียบพูดเรื่อยๆ แต่เย็น...เย็นจนฉัตตารู้สึกหนาวสะท้าน เหงื่อเม็ดโตเริ่มซึมชื้นตามไรผม มือเล็กๆกำแน่นเพื่อเสริมกำลังใจให้ตัวเอง
“ฉ..ฉันไม่ใช่ลูกน้องของคุณนะ ม..ไม่ต้องมาขู่ฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้หรอก” ถึงจะปากดีพูดออกไปแบบนั้น แต่เธอก็เดินถอยหลังนี้โดยไม่รู้ตัว
เผิงเฟยค่อยๆเดินไปหาเธอทีละก้าว แต่ละย่างก้าวลงหนัก แรงกดดันมากมายมหาศาลไหลออกมาท้วมท้นจนฉัตตาสัมผัสได้
“รู้ไหมว่าที่ที่เธอไปในวันนี้มันเป็นเขตพื้นที่ของคนพวกนั้น รู้ตัวไหมว่าเอาตัวเองเสี่ยงแค่ไหน?นี่ดีแค่ไหนที่ฉันไปเจอเธอก่อน ดีแค่ไหนที่ไม่เกิดเสียเลือดเสียเนื้อขึ้นมาจริงๆ”
“ม..ไม่ใช่ความผิดของฉันอย่างเดียวสักหน่อย ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าที่ไหนเขตใครของใคร นี่ถ้าคุณยอมบอกฉันมาตรงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องวันนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก!” ฉัตตาใช้เสียงเข้าข่ม เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่าไม่ได้กลัวเขาเลยสักนิด
“แล้วคุณจะอยากรู้มันไปทำไม ไอ้ความจริงพวกนั้นน่ะรู้ไปมันก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นหรอกนะ” ด้วยการสติปัญญาที่เฉียบคมและการตัดสินใจที่เฉียบขาด บวกกับตำแหน่ง “ผู้นำตระกูล”คนต่อไปแล้ว คำพูดของเผิงเฟยจึงถือเป็นคำขาดเสมอ ไม่เคยมีใครกล้าขัดคำสั่ง เรื่องเถียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้โทสะของเขาจึงเริ่มก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
“แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันไม่ใช่รึไงล่ะ!” ฉัตตาขึ้นเสียงตวาด
“ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้รึยังไงกันว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมคุณถึงต้องคอยเจ้ากี้เจ้าการสั่งนู่นสั่งนี่อยู่ตลอดด้วยล่ะ”
ประโยคสุดท้ายของฉัตตาก็เหมือนกับราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ดวงตาสีนิลลุกวาววาบ
“อยากจะรู้นักใช่ไหมว่าอะไรที่มันเกิดขึ้น?ในเมื่ออยากจะรู้นัก ฉันจะบอกให้ก็ได้” เสียงทุ้มข่มความโกรธที่กำลังล้นทะลักออกมาจนแหบพร่า
“เพราะพวกมันคิดว่าคุณมีส่วนเกี่ยวพันกับผม มันจึงคิดอยากได้ตัวเธอเพื่อที่จะเค้นข้อมูลที่เธอรู้”
“แต่ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคุณเสียหน่อยนี่!”
“หึ แต่พวกมันไม่เห็นเป็นแบบนั้นนี่ ถ้าบอกจะมีใครยอมเชื่อไหมล่ะว่าผู้หญิงคนนึงยอมช่วยผู้ชายที่กำลังโดนมือปืนนับสิบไล่ฆ่าอยู่ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน” คำถามสั้นๆง่ายๆที่ทำเอาฉัตตาพูดไม่ออก นี่หมายความว่าไอ้เรื่องซวยๆที่เธอเจออยู่ในตอนนี้มันเป็นเพราะเธอเป็นคนดีเกินไปสินะ?
“แล้วเพราะตอนนี้พวกมันยังหาตัวเธอไม่ได้เพื่อที่จะล่อให้เธออกมาแม่กับน้องของเธอก็เลยโดนลากให้เข้ามาเกี่ยวพันด้วย เรื่องพวกนี้ใช่ไหมที่เธออยากจะรู้มากนักถึงขนาดวางแผนหาเรื่องใส่ตัว?”
ฉัตตาหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินว่าแม่กับน้องโดนดึงเข้ามาเกี่ยวพันด้วย แต่ยังไม่ได้พูดอะไรเสียงทุ้มก็ตอกย้ำให้เธอได้รับรู้ว่าเธอได้เปิดกล่องแพนโดร่าเข้าเสียแล้ว
“ฉันพยายามกันเธอออกไปจากเรื่องพวกนี้เพราะไม่อยากให้เธอต้องกังวลแต่ดูเหมือนว่านั่นจะกลายเป็นเผด็จการเจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าท่าสินะ?”
“ฉ..ฉัน...ฉัน...”ฉัตตาพูดอะไรไม่ออก เธอเหมือนโดนค้อนทุบเข้าที่หัวอย่างจัง มันมึนงงไปหมด
“เจี้ยนผิงเป็นคนโหด มันไม่สนหรอกว่าเธอจะมีข้อมูลหรือไม่มี และไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเธอก็จะจบลงด้วยการตายอย่างน่าสยองและหายไปอย่างไร้ร่องรอย พี่แท้ๆ หลานในไส้ของมันมันยังลงมือเผาทั้งเป็นได้ สาอะไรกับหมากตัวเล็กอย่างเธอกัน!” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยแรงโทสะดังขึ้นเรื่อยๆ ฉัตตาเองก็เริ่มเสียใจ
“แล้วเธอรู้ไหมว่าหลังจากที่มันทรมานเธอเพื่อเค้นคำตอบแล้วมันจะทำอะไรต่อ?เธอคิดว่ามันจะฆ่าเธอให้ตายด้วยกระสุนเพียงนัดเดียวไหม?” เสียงเหี้ยมเกรียมกระซิบเข้าข้างหู
“ความตายน่ะมันง่ายไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรแค่ใช้มือข้างเดียว” เผิงเฟยพูดพลางใช้มือแกร่งลากผ่านและออกบีบเบาๆ
‘กลัว!น่ากลัว!’
หยาดน้ำตาค่อยๆไหลกลิ้งลงมาจากดวงตาคู่งามนั้นโดยที่ฉัตตาไม่รู้ตัว เสียงเย็นชาไร้หัวใจที่เอ่ยประโยคบอกเล่าต่อมาทำเอาเธอขนลุกซู่ ร่างกายไร้สิ้นเรี่ยวแรง
“พวกมันจะทำให้เธอได้รู้ซึ้งถึงว่านรกบนดินมันเป็นยังไง ก่อนที่วิญญาณของเธอจะไปยมโลกแล้วจริงๆเสียอีก!”
พูดจบเผิงเฟยก็ผลักร่างบางเต็มแรงและโถมตัวเข้าคร่อมคนตัวเล็กและล็อคเธอไว้ภายใต้ร่างหนา เงาดำทะมึนสูงใหญ่ของเขาเข้าทาบทับร่างเล็กๆของเธอ ดวงตาสีนิลดำดิ่งลึกเหมือนหุบเหวไม่มีอารมณ์ใดๆ จ้องมองมาที่เธอ ตอนนี้ฉัตตารู้แล้วว่าความกลัวสดขั้วหัวใจนั้นมันเป็นแบบนี้นี่เอง!
“คุณเหว่ย ปล่อยนะคะ” เธอพยายามดิ้นหนีอย่างบ้าคลั่ง
ปึ่ด!แควก!
เสียงของเนื้อผ้าที่ถูกฉีกกระชากออกและเม็ดกระดุมที่หลุดกระเด็น ดังสะท้อนเข้าไปในจิตใต้สำนึกของฉัตตา ความเย็นเยียบไหลเข้าเกาะกุมทั่วร่าง เธอช็อคจนไม่มีเสียง น้ำตาไหลเป็นสายกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น สัมผัสก้าวร้าวรุนแรงทั่วร่างกาย ยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำเธอว่านี่คือเรื่องจริง
เผิงเฟยก้มหน้าซุกไซ้เข้ากับต้นคอนวลของหญิงสาว แล้วไล่ไปที่ใบหู เสียงนุ่มทุ้มแหบต่ำกระซิบที่ข้างหู
“หึ คุณคิดว่าน้ำตาของคุณจะทำให้พวกมันใจอ่อนไหมล่ะ? ที่แน่ๆน้ำตาของคุณใช้ไม่ได้ผลกับผม”
พูดจบริมฝีปากเรียวก็ทาบทับบดขยี้ลงบนริมฝีปากอิ่ม รสเค็มของน้ำตาและกลิ่นของคาวเลือดในปาก ยิ่งทำให้เธอกลัวผู้ชายคนนี้อย่างสุดหัวใจ และไม่ว่าจะผลักไสหรือดิ้นรนสักเท่าไหร่เธอก็ไม่สามารถหลุดจากพันธนาการนี้ได้เลย ฉัตตาเริ่มสำนึกในสิ่งไร้สาระที่ตนทำลงไปและทิฐิโง่ๆที่สร้างขึ้นมา
“ข...ขอโทษค่ะ ฉั...ฉันขอโทษ” เธอหลับหูหลับตาพูดพร่ำขอโทษอยู่อย่างนั้น เมื่อชายหนุ่มถอนจุมพิตร้อนแรง
“ฉันขอ...โทษที่ดื้อดึง..ฉัน..เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้วจริงๆ ฉันขอโทษ”
คำขอโทษกระท่อนกระแท่นที่ปนมากับเสียงสะอื้นทำให้เขาถอนลมหายใจยาว เธอคงไม่รู้หรอกว่าตอนที่เกิ่งซินโทรมารายงานว่าเธอหายไปเขาตกใจมากแค่ไหน ยังดีที่เธอยังรู้จักเอาตัวรอด ยังโชคดีที่เขาหาตัวเธอได้ก่อน เผิงเฟยไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกมันได้ตัวเธอไป อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แค่คิดในใจของเขาก็หวิวโหวง
“คุณรู้รึยังว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนถ้าผมไปช่วยคุณไม่ทัน ”
ร่างบางสั่นสะท้านทั้งกลัวในสิ่งที่เขาพูดทั้งเพราะแรงสะอื้น
“ทีหลังห้ามทำแบบนี้อีกนะ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ถึงน้ำตาจะหยุดไหลแล้วแต่ร่างบางยังสะอื้นอยู่
“จำบทเรียนบทนี้ให้ขึ้นใจนะอิงเหลียน!”
เสียงบิดลูกบิดที่ดังขึ้นอยู่สองสามที ทำให้เผิงเฟยจ้องมองประตูราวกับต้องการจะแช่แข็งใครก็ตามที่กล้าขัดคำสั่งของเขา
“ฉันสั่งแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าถ้าไม่มีคำสั่งของฉันไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้นมาน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับหรือคำแก้ตัวใดๆ เผิงเฟยนึกแปลกใจเล็กน้อยแต่เสียงนิ่มๆหวานๆที่ดังเข้ามาพร้อมกับเสียงไขกุญแจและบานประตูที่เปิดออก ทำเอาเลือดในกายของเผิงเฟยเย็นเฉียบ นายน้อยตระกูลเหว่ยผู้ที่ไม่เคยเกรงกลัวใครนิ่งงัน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับกาย!
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉัตตาตื่นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สดใสนัก เพราะสีหน้าและน้ำเสียงน่ากลัวๆของเผิงเฟยสั่งบ่งการชีวิตเธอจากเมื่อคืนยังคงติดตาติดใจ หญิงสาวรู้สึกหมั่นไส้ปนแค้นนิดๆ เธอจึงคิดหาทางขัดคำสั่งของเขา แต่จะขัดยังไงให้เขาโกรธแต่ก็ว่าอะไรเธอไม่ได้และคนรอบด้านไม่เดือดร้อน? ฉัตตาคิดหาวิธีจนปวดหัว
“คุณเป็นคนพูดเองนะคุณเหว่ยว่าไม่ให้ฉันเข้าใกล้บริเวณมหาลัยภายในรัศมีสองกิโล”
หญิงสาวพูดไปพลางระรัวนิ้วอย่างคล่องแคล่วลงบนแป้นพิมพ์ แผนที่บริเวณรอบๆมหาลัยของเธอปรากฏขึ้นบนหน้าจอ รอยยิ้มที่ราวกับว่าได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่แต้มบนใบหน้าหวาน
‘หึๆๆ ฉันจะดูสิคุณจะว่าอะไรฉันได้เหว่ยเผิงเฟย!’
ฉัตตาเลือกที่จะออกมาเดินเล่นที่“ห้างรอยัลแกรนด์” ห้างที่อยู่ตรงกับประตูทิศใต้ของมหาลัย เพราะห้างแห่งนี้ห่างออกมาจากบริเวณมหาลัยของเธอในระยะสองกิโลเมตรแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แม้จะรู้สึกสงสารเกิ่งซินและเหล่าบอดีการ์ดที่หน้าซีดแล้วซีดอีก แต่ฉัตตาก็อยากจะอยู่ที่นี่นานอีกสักนิด เพราะเธอรู้ คนเจ้าบงการคนนั้นทนไม่ได้หรอกหากมีใครขัดคำสั่ง เขาจะต้องรีบแล่นมาที่นี่อย่างแน่นอน!
ใช่!ตามแผนแล้ว มันควรจะเป็นเขาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ไหงสถานการณ์มันถึงกลับตาลปัตรเป็นแบบนี้กันล่ะเนี่ย!
‘กรี๊ดดด แม่จ๋า ทำไงดีๆๆ เมืองจีนก็ตั้งกว้างใหญ่แต่ทำไมมันถึงกลมอย่างนี้ล่ะ!’
ฉัตตากรีดร้องอยู่ในใจอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะซวยได้ถึงขนาดนี้ ตอนแรกก็แค่อยากจะแกล้งป่วนอะไรเพิ่มขึ้นเล็กๆน้อยๆ เธอจึงแกล้งทำตัวให้พลัดหลงกับเหล่าบอดีการ์ดเล่นๆโดยการเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้และอาศัยร่างเล็กๆของเธอมุดไปมุดมาท่ามกลางฝูงชน แต่เธอก็คอยสังเกตอยู่ตลอดว่าพวกเขายังคงตามอยู่ข้างหลัง เพราะรู้ดีหากพลัดหลงขึ้นมาจริงๆ คนที่ลำบากที่สุดก็จะเป็นเหล่าบอดีการ์ดนี่แหละ แต่ไปไปมามากลายเป็นว่าเธอเกิดพลัดหลงกับพวกเขาขึ้นมาจริงๆเสียอย่างนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ความซวยของเธอยังไม่สิ้นสุด เมื่อระหว่างที่ยืนคอยอยู่ที่จุดเดิมที่หลงอยู่นั้นก็มีชายกลุ่มหนึ่งวิ่งมุ่งหน้าตรงมาที่เธอ และชายคนที่วิ่งนำกลุ่มมาทำเอาเลือดในตัวของเธอจับเป็นน้ำแข็ง คนที่ทำร้ายเธอในวันนั้นไม่ผิดแน่! และเพราะเหตุนั้นเธอจึงต้องมาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่แบบนี้ยังไงล่ะ!
ด้วยความรีบร้อนทำให้เธอไม่ได้สังเกตว่าข้างหน้ามีคนกำลังเดินสวนมา เธอชนกับเขาอย่างจัง หญิงสาวถลาลงพื้นอย่างเต็มแรง ข้อศอกและหัวเข่าเลือดซิบขึ้นทันตา
“คุณเป็นอะไรไหม?” คนถูกชนถามด้วยความเป็นห่วงและเข้ามาประคองให้ฉัตตาลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจ ใบหน้านวลที่ปรากฏเด่นชัดทำเอาชายหนุ่มตะลึงงัน
‘ซิ่วเอ๋อร์!’
“ฉันขอโทษด้วยนะคะ แต่ตอนนี้ฉันรีบมาก ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ” เธอกล่าวขอโทษออกมาจากใจจริง แล้วลุกขึ้นวิ่งต่อ
เหวินป๋อมองตามคนตัวเล็กที่ท่าทางจะเจ็บหนักอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เสียงวิ่งที่ตะบึงมาทางเขาเรียกให้สติของชายหนุ่มกลับมา
‘ลี่เฉิง?’
ชายในชุดดำหยุดกึกในทันทีเมื่อเห็นเหวินป๋อ แม้ใจจริงอยากจะวิ่งไปต่อก็ตาม
“มีอะไรถึงวิ่งหน้าตาตื่นกันมาแบบนั้นล่ะ?”
“เอ่อ...” พวกมันนิ่งอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไร เรื่องนี้เจี้ยนผิงสั่งไว้ให้เป็นความลับจะให้เหวินป๋อรู้ไม่ได้
“เอ่อ...ขโมย! ไล่ตามขโมยน่ะครับ เมื่อกี้นี้มันฉกกระเป๋าสตังค์ของผมไปครับ” หนึ่งในนั้นโพล่งขึ้นมาโดยคิดว่านั่นคือสาเหตุที่เข้าท่าที่สุด
“อ้อ....งั้นขโมยไปทางไหนแล้วล่ะ?” เขาถามอย่างใสซื่อ “ให้ฉันช่วยหาไหม?”เสียงนั้นถามอย่างมีน้ำใจสุดๆ
พวกมันตอบปฏิเสธอย่างกระอักกระอ่วนแล้วรีบจากไป เหวินป๋อมองตามหลังของพวกมันไปอย่างสงสัย พลางคิดถึงใบหน้าของคนตัวเล็กเมื่อครู่อย่างเหม่อลอย
‘เหมือน...เหมือนมาก เหมือนกันมากจนเกินไป......’
---------------------------------------------------------------------------------------------- “อะไรนะ!อิงเหลียนหายไป? นายปล่อยให้เธอคลาดสายตากันไปได้ยังไง” รายงานจากเสียงปลายสายทำเอาเผิงเฟยรู้สึกถึงความปวดที่วิ่งพุ่งปรี๊ดไปที่ขมับ
“รีบตามหาเธอให้เจอ อีกห้านาทีฉันจะไปถึงที่นั่น” เสียงทุ้มสั่งการเสียงเครียด
ให้ตายสิ!ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะหาเรื่องเข้าตัวได้เก่งขนาดนี้ เก่งนักนะ!
รังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากแผ่นหลังกว้างของเผิงเฟย ทำเอาลูกน้องเสียวสันหลังกันไปตามๆกัน
“เจินอิงยกเลิกการประชุมช่วงบ่ายกับนัดเย็นนี้ไปให้หมด อาลู่เตรียมรถ”
“นายน้อยจะไปไหนครับ” อาลู่ถามอย่างสงสัย น้ำเสียงทุ้มกระชากเสียงกร้าว
“ห้างรอยัลแกรนด์!”
เผิงเฟยออกวิ่งตามหาหญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง ที่ที่แห่งนี้เป็นที่ต้องห้ามยิ่งกว่าบริเวณนอบๆมหาลัยของเธอเสียอีก เพราะที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของตระกูลถัง คนของเจี้ยนผิงโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ และยิ่งสถานการณ์ล่าสุดที่รายงานมาคือเห็นกลุ่มคนของเจี้ยนผิงกำลังออกวิ่งไล่ล่าใครคนหนึ่ง นั้นยิ่งทำให้เผิงเฟยทิ้งความเยือกเย็นที่เคยมีไปหมดสิ้น
“ฮึ่ม ถ้าจับตัวได้นะ! ผมจะสอนให้คุณรู้เองว่าโลกของผมมันน่ากลัวขนาดไหน ฉัตตา!”
ฉัตตาทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีใครไล่ตามมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้พักให้หายเหนื่อย เสียงฝีเท้าก็ดังวิ่งไล่มาทางเธอ นาทีนี้หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบหายไป เธอจึงค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากหลืบเสาที่ตัวเองซ่อนตัวอยู่
“เจอตัวแล้ว!”
ฉัตตาอ้าปากเตรียมกรีดร้องแต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียง มือหนาปากเธอเอาไว้แน่น
“ผมเอง!”
เสียงที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคย ทำให้เธอผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“อิงเหลียน” เสียงเรียกตื่นตระหนกเมื่อร่างบางทรุดลงกับพื้น
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ฉัน.. ฉันแค่โล่งอกเท่านั้นเองค่ะ”
เสียงฝีเท้าที่วิ่งตรงเข้ามาใกล้บังคับให้เผิงเฟยต้องชักเจ้าอาวุธสีดำเงาออกมาให้ฉัตตาเห็นอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวตาเบิกกว้างเมื่อเห็นปืนของจริงปรากฏชัดตรงหน้า
“นายน้อย นายหญิงน้อย” เสียงเรียกของเหล่าบอดีการ์ดที่ดังก้อง เผิงเฟยจึงเก็บปืนลงไปเหมือนเดิม ฉัตตาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ต้องใช้มันจริงๆ
“นายน้อย นายหญิงน้อย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เจินอิงถามขึ้นเพื่อต้องการเช็คความปลอดภัยของทั้งคู่
“ไม่เป็นไร” เผิงเฟยตอบเสียงเย็น พลางปลายตามองหน้าเกิ่งซินกับทีมดูแลหญิงสาวอย่างคาดโทษด้วยสายตาเย็นชา
“โทษของพวกนายสี่คนฉันจะจัดการพรุ่งนี้ ส่วนเธอ...คืนนี้เราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาว” น้ำเสียงที่นิ่งเย็นและแววตาไร้ความรู้สึกที่ปรากฏออกมา ทำเอาบอดีการ์ดทั้งหลายต่างรู้สึกเย็นวาบลึกไปสุดขั้วหัวใจ ภายในใจต่างช่วยกันสวดภาวนาขอให้ฟ้าคุ้มครองว่าที่นายหญิงน้อยให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเถิด!
บรรยากาศภายในรถเงียบมาตลอดทางจนถึงคฤหาสน์หลังงาม เมื่อรถจอดนิ่งสนิท เผิง-เฟยก็คว้าข้อมือของหญิงสาวแล้วเดินลงไปจากรถทันที โดยไม่สนใจสายตาของใครๆทั้งสิ้น
“ปล่อยฉันนะคะคุณเหว่ย” ฉัตตาพยายามสะบัดข้อมือให้ตนเองเป็นอิสระ
“ฉันมีเหตุผลนะคะที่ทำแบบนี้ คุณฟังฉันก่อนสิคะ” หญิงสาวพยายามต่อรองเสียงอ่อน
อาลู่และเจินอิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งเข้าไปรายงานสถานการณ์ให้คุณป้าแม่บ้านกิตติมศักดิ์ทราบ เพราะในบ้านนี้นอกจากนายหญิงแล้วคนที่คอยห้ามปรามนายน้อยยามน็อตหลุดได้แล้วล่ะก็เห็นทีก็จะมีแต่จางจินเหมยที่เลี้ยงดูเผิงเฟยมาแต่อ้อนแต่ออกคนนี้คนเดียว ป้าจางทิ้งทุกอย่างในมือแล้วรีบวิ่งออกมาจากครัว ภาพผู้หญิงตัวเล็กๆที่พยายามยื้อยุดต่อสู้อยู่กับผู้ชายตัวโตที่ไม่สะทกสะท้านอะไรทำเอาป้าจางอยากจะเป็นลม
“ตายจริง!นี่มันอะไรกันคะนายน้อย ปล่อยนายหญิงน้อยก่อนเถอะค่ะ ข้อมือเธอยังไม่หายดีนะคะ” ป้าจางรีบเข้ามาแกะมือหนาออกจากข้อมือของหญิงสาว ทันทีที่ข้อมือหลุดออก ฉัตตาก็รีบวิ่งไปแอบหลังป้าจางทันที
“ดิฉันรู้นายน้อยกำลังโกรธอยู่ แต่ต่อให้นายหญิงน้อยจะทำผิดขนาดไหน ก็อย่ารุนแรงแบบนี้สิคะ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้” ป้าจางพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
เผิงเฟยไม่พูดไม่จาเดินดุ่มๆเข้าไปหาแล้วมองหน้าป้าจางนิ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนของฉัตตาเอาไว้แทนแล้วกึ่งลากกึ่งกระชากคนตัวเล็กให้เดินขึ้นไปบนบ้าน
“นายน้อย!”
ป้าจางปราดเข้ามาจะห้ามแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเย็นยะเยือกจ้องมองมา
“ไม่มีคำสั่งของฉัน ไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้นมาเป็นอันขาด!”
คำสั่งประกาศิตฟาดเปรี้ยงลงมา คนในบ้านได้แต่ตัวแข็งไม่กล้าขัดคำสั่ง ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าแม้แต่ป้าจางก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ หญิงสาวขืนตัวสุดฤทธิ์ มือเล็กคว้าเกาะราวบันไดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แถมมือเล็กๆนั่นยังเกาะไว้ได้เหนียวแน่นอย่างเกินคาด!นั่นยิ่งเป็นการยั่วโมโหเผิงเฟยให้โกรธหนักขึ้นไปอีก เขาจึงจัดการแงะมือเธอออกดึงเนคไทมามัดมือของฉัตตาไว้แน่น แล้วจัดการรวบตัวของเธออุ้มเดินขึ้นบันไดไป แน่นอนว่าหญิงสาวต้องไม่ยอมง่ายๆ เธอทั้งดิ้นทั้งสะบัด
“ถ้าหากเธอจะยังดิ้นต่อไปล่ะก็ ฉันจะโยนเธอลงไปจริงๆ ถ้าไม่เชื่อจะลองดิ้นต่อไปดูก็ได้นะ” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมเอาจริง ฉัตตาจึงสิ้นฤทธิ์ได้ง่ายๆ เมื่อมาถึงชั้นบนเผิงเฟยจึงวางเธอลง เปิดห้องแล้วผลักเธอเข้าไป
“กริ๊ก” เสียงล็อคประตูห้องทำเอาหญิงสาวสะดุ้งโหยง
“ฉันว่าเรามาคุยกันดีๆก่อนเถอะนะคะ” ฉัตตาต่อรองเสียงสั่น
“มันสายไปแล้วล่ะ หลินอิงเหลียน” เสียงราบเรียบพูดเรื่อยๆ แต่เย็น...เย็นจนฉัตตารู้สึกหนาวสะท้าน เหงื่อเม็ดโตเริ่มซึมชื้นตามไรผม มือเล็กๆกำแน่นเพื่อเสริมกำลังใจให้ตัวเอง
“ฉ..ฉันไม่ใช่ลูกน้องของคุณนะ ม..ไม่ต้องมาขู่ฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้หรอก” ถึงจะปากดีพูดออกไปแบบนั้น แต่เธอก็เดินถอยหลังนี้โดยไม่รู้ตัว
เผิงเฟยค่อยๆเดินไปหาเธอทีละก้าว แต่ละย่างก้าวลงหนัก แรงกดดันมากมายมหาศาลไหลออกมาท้วมท้นจนฉัตตาสัมผัสได้
“รู้ไหมว่าที่ที่เธอไปในวันนี้มันเป็นเขตพื้นที่ของคนพวกนั้น รู้ตัวไหมว่าเอาตัวเองเสี่ยงแค่ไหน?นี่ดีแค่ไหนที่ฉันไปเจอเธอก่อน ดีแค่ไหนที่ไม่เกิดเสียเลือดเสียเนื้อขึ้นมาจริงๆ”
“ม..ไม่ใช่ความผิดของฉันอย่างเดียวสักหน่อย ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าที่ไหนเขตใครของใคร นี่ถ้าคุณยอมบอกฉันมาตรงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องวันนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก!” ฉัตตาใช้เสียงเข้าข่ม เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่าไม่ได้กลัวเขาเลยสักนิด
“แล้วคุณจะอยากรู้มันไปทำไม ไอ้ความจริงพวกนั้นน่ะรู้ไปมันก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นหรอกนะ” ด้วยการสติปัญญาที่เฉียบคมและการตัดสินใจที่เฉียบขาด บวกกับตำแหน่ง “ผู้นำตระกูล”คนต่อไปแล้ว คำพูดของเผิงเฟยจึงถือเป็นคำขาดเสมอ ไม่เคยมีใครกล้าขัดคำสั่ง เรื่องเถียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้โทสะของเขาจึงเริ่มก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
“แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันไม่ใช่รึไงล่ะ!” ฉัตตาขึ้นเสียงตวาด
“ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้รึยังไงกันว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมคุณถึงต้องคอยเจ้ากี้เจ้าการสั่งนู่นสั่งนี่อยู่ตลอดด้วยล่ะ”
ประโยคสุดท้ายของฉัตตาก็เหมือนกับราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ดวงตาสีนิลลุกวาววาบ
“อยากจะรู้นักใช่ไหมว่าอะไรที่มันเกิดขึ้น?ในเมื่ออยากจะรู้นัก ฉันจะบอกให้ก็ได้” เสียงทุ้มข่มความโกรธที่กำลังล้นทะลักออกมาจนแหบพร่า
“เพราะพวกมันคิดว่าคุณมีส่วนเกี่ยวพันกับผม มันจึงคิดอยากได้ตัวเธอเพื่อที่จะเค้นข้อมูลที่เธอรู้”
“แต่ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคุณเสียหน่อยนี่!”
“หึ แต่พวกมันไม่เห็นเป็นแบบนั้นนี่ ถ้าบอกจะมีใครยอมเชื่อไหมล่ะว่าผู้หญิงคนนึงยอมช่วยผู้ชายที่กำลังโดนมือปืนนับสิบไล่ฆ่าอยู่ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน” คำถามสั้นๆง่ายๆที่ทำเอาฉัตตาพูดไม่ออก นี่หมายความว่าไอ้เรื่องซวยๆที่เธอเจออยู่ในตอนนี้มันเป็นเพราะเธอเป็นคนดีเกินไปสินะ?
“แล้วเพราะตอนนี้พวกมันยังหาตัวเธอไม่ได้เพื่อที่จะล่อให้เธออกมาแม่กับน้องของเธอก็เลยโดนลากให้เข้ามาเกี่ยวพันด้วย เรื่องพวกนี้ใช่ไหมที่เธออยากจะรู้มากนักถึงขนาดวางแผนหาเรื่องใส่ตัว?”
ฉัตตาหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินว่าแม่กับน้องโดนดึงเข้ามาเกี่ยวพันด้วย แต่ยังไม่ได้พูดอะไรเสียงทุ้มก็ตอกย้ำให้เธอได้รับรู้ว่าเธอได้เปิดกล่องแพนโดร่าเข้าเสียแล้ว
“ฉันพยายามกันเธอออกไปจากเรื่องพวกนี้เพราะไม่อยากให้เธอต้องกังวลแต่ดูเหมือนว่านั่นจะกลายเป็นเผด็จการเจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าท่าสินะ?”
“ฉ..ฉัน...ฉัน...”ฉัตตาพูดอะไรไม่ออก เธอเหมือนโดนค้อนทุบเข้าที่หัวอย่างจัง มันมึนงงไปหมด
“เจี้ยนผิงเป็นคนโหด มันไม่สนหรอกว่าเธอจะมีข้อมูลหรือไม่มี และไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเธอก็จะจบลงด้วยการตายอย่างน่าสยองและหายไปอย่างไร้ร่องรอย พี่แท้ๆ หลานในไส้ของมันมันยังลงมือเผาทั้งเป็นได้ สาอะไรกับหมากตัวเล็กอย่างเธอกัน!” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยแรงโทสะดังขึ้นเรื่อยๆ ฉัตตาเองก็เริ่มเสียใจ
“แล้วเธอรู้ไหมว่าหลังจากที่มันทรมานเธอเพื่อเค้นคำตอบแล้วมันจะทำอะไรต่อ?เธอคิดว่ามันจะฆ่าเธอให้ตายด้วยกระสุนเพียงนัดเดียวไหม?” เสียงเหี้ยมเกรียมกระซิบเข้าข้างหู
“ความตายน่ะมันง่ายไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรแค่ใช้มือข้างเดียว” เผิงเฟยพูดพลางใช้มือแกร่งลากผ่านและออกบีบเบาๆ
‘กลัว!น่ากลัว!’
หยาดน้ำตาค่อยๆไหลกลิ้งลงมาจากดวงตาคู่งามนั้นโดยที่ฉัตตาไม่รู้ตัว เสียงเย็นชาไร้หัวใจที่เอ่ยประโยคบอกเล่าต่อมาทำเอาเธอขนลุกซู่ ร่างกายไร้สิ้นเรี่ยวแรง
“พวกมันจะทำให้เธอได้รู้ซึ้งถึงว่านรกบนดินมันเป็นยังไง ก่อนที่วิญญาณของเธอจะไปยมโลกแล้วจริงๆเสียอีก!”
พูดจบเผิงเฟยก็ผลักร่างบางเต็มแรงและโถมตัวเข้าคร่อมคนตัวเล็กและล็อคเธอไว้ภายใต้ร่างหนา เงาดำทะมึนสูงใหญ่ของเขาเข้าทาบทับร่างเล็กๆของเธอ ดวงตาสีนิลดำดิ่งลึกเหมือนหุบเหวไม่มีอารมณ์ใดๆ จ้องมองมาที่เธอ ตอนนี้ฉัตตารู้แล้วว่าความกลัวสดขั้วหัวใจนั้นมันเป็นแบบนี้นี่เอง!
“คุณเหว่ย ปล่อยนะคะ” เธอพยายามดิ้นหนีอย่างบ้าคลั่ง
ปึ่ด!แควก!
เสียงของเนื้อผ้าที่ถูกฉีกกระชากออกและเม็ดกระดุมที่หลุดกระเด็น ดังสะท้อนเข้าไปในจิตใต้สำนึกของฉัตตา ความเย็นเยียบไหลเข้าเกาะกุมทั่วร่าง เธอช็อคจนไม่มีเสียง น้ำตาไหลเป็นสายกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น สัมผัสก้าวร้าวรุนแรงทั่วร่างกาย ยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำเธอว่านี่คือเรื่องจริง
เผิงเฟยก้มหน้าซุกไซ้เข้ากับต้นคอนวลของหญิงสาว แล้วไล่ไปที่ใบหู เสียงนุ่มทุ้มแหบต่ำกระซิบที่ข้างหู
“หึ คุณคิดว่าน้ำตาของคุณจะทำให้พวกมันใจอ่อนไหมล่ะ? ที่แน่ๆน้ำตาของคุณใช้ไม่ได้ผลกับผม”
พูดจบริมฝีปากเรียวก็ทาบทับบดขยี้ลงบนริมฝีปากอิ่ม รสเค็มของน้ำตาและกลิ่นของคาวเลือดในปาก ยิ่งทำให้เธอกลัวผู้ชายคนนี้อย่างสุดหัวใจ และไม่ว่าจะผลักไสหรือดิ้นรนสักเท่าไหร่เธอก็ไม่สามารถหลุดจากพันธนาการนี้ได้เลย ฉัตตาเริ่มสำนึกในสิ่งไร้สาระที่ตนทำลงไปและทิฐิโง่ๆที่สร้างขึ้นมา
“ข...ขอโทษค่ะ ฉั...ฉันขอโทษ” เธอหลับหูหลับตาพูดพร่ำขอโทษอยู่อย่างนั้น เมื่อชายหนุ่มถอนจุมพิตร้อนแรง
“ฉันขอ...โทษที่ดื้อดึง..ฉัน..เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้วจริงๆ ฉันขอโทษ”
คำขอโทษกระท่อนกระแท่นที่ปนมากับเสียงสะอื้นทำให้เขาถอนลมหายใจยาว เธอคงไม่รู้หรอกว่าตอนที่เกิ่งซินโทรมารายงานว่าเธอหายไปเขาตกใจมากแค่ไหน ยังดีที่เธอยังรู้จักเอาตัวรอด ยังโชคดีที่เขาหาตัวเธอได้ก่อน เผิงเฟยไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกมันได้ตัวเธอไป อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แค่คิดในใจของเขาก็หวิวโหวง
“คุณรู้รึยังว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนถ้าผมไปช่วยคุณไม่ทัน ”
ร่างบางสั่นสะท้านทั้งกลัวในสิ่งที่เขาพูดทั้งเพราะแรงสะอื้น
“ทีหลังห้ามทำแบบนี้อีกนะ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ถึงน้ำตาจะหยุดไหลแล้วแต่ร่างบางยังสะอื้นอยู่
“จำบทเรียนบทนี้ให้ขึ้นใจนะอิงเหลียน!”
เสียงบิดลูกบิดที่ดังขึ้นอยู่สองสามที ทำให้เผิงเฟยจ้องมองประตูราวกับต้องการจะแช่แข็งใครก็ตามที่กล้าขัดคำสั่งของเขา
“ฉันสั่งแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าถ้าไม่มีคำสั่งของฉันไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้นมาน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับหรือคำแก้ตัวใดๆ เผิงเฟยนึกแปลกใจเล็กน้อยแต่เสียงนิ่มๆหวานๆที่ดังเข้ามาพร้อมกับเสียงไขกุญแจและบานประตูที่เปิดออก ทำเอาเลือดในกายของเผิงเฟยเย็นเฉียบ นายน้อยตระกูลเหว่ยผู้ที่ไม่เคยเกรงกลัวใครนิ่งงัน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับกาย!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ