ข้ามขอบฟ้ามาพบรัก
เขียนโดย zhengxiuwen
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.32 น.
แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 23.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่1
ฉัตตาลืมตาตื่นขึ้นอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก แต่กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโรงพยาบาลแบบนี้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
“บัว!” ต้นข้าวร้องเรียกเพื่อนเสียงหลงอย่างยินดี
“ตื่นแล้ว ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาเสียที เราเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ” เธอกอดฉัตตาเอาไว้แน่นพลางพูดด้วยเสียงที่สั่นพร่า
“ต้นข้าวๆเบาๆหน่อย อย่าลืมตอนนี้เราเป็นคนป่วยนะ”
“เออ ขอโทษ เราดีใจมากไปหน่อย เดี๋ยวเราไปตามหมอมาดูอาการบัวก่อนนะ” พูดจบต้นข้าวก็กระวีกระวาดออกไปตามหมอ ไม่นานทั้งหมอทั้งพยาบาลก็เข้ามายุ่งวุ่นวายตรวจร่างกายเธออยู่สักพักหนึ่ง จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเธอปรกติดีทุกอย่างแล้ว จึงปล่อยให้เธอพักผ่อน เมื่อสองสาวอยู่ด้วยกัน ต้นข้าวจึงเริ่มร่ายยาว
“ทีหลังห้ามทำแบบนี้นะ!รู้ไหมเราตกใจแทบแย่ ถ้าบัวเป็นอะไรไปเราจะไปบอกแม่บัวยังไงล่ะ”
“ก็บอกไปว่าเราอยากทดสอบว่าระหว่างเรากับรถอันไหนจะแข็งแรงคงทนกว่ากันไง” ฉัตตาพูดติดตลก
“ไม่ขำ!”
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเริ่มเอาจริง ฉัตตาจึงต้องเอาจริงเหมือนกันบ้าง
“งั้นเอาอย่างงี้ เราถามหน่อย ถ้าเหตุการณ์มันกลับกันเป็นเราจะโดนรถชนต้นข้าวจะยืนดูเฉยๆปล่อยให้เราโดนรถชนไหม?”
“จะบ้าหรอ ใครจะปล่อยให้เพื่อนโดนชนต่อหน้าต่อตากัน” พูดจบต้นข้าวก็ต้องชะงักไปเหมือนกัน เพราะคำตอบของเธอก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเพื่อนสนิทเลย เมื่อเห็นต้นข้าวเงียบลงเธอจึงรีบฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่ข้าวรู้รึเปล่าว่าใครที่ช่วยเราเอาไว้ เรากะว่าถ้าเราหายดีแล้วเราจะไปขอบคุณเขาน่ะ อย่างน้อยๆเราก็รอดมาได้เพราะเขานะถ้าเขาไม่สนที่จะช่วยเรา เราอาจนอนตายเพราะเลือดหมดตัวก่อนจะถึงโรงพยาบาลก็ได้ ใครจะรู้”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันก็พอมาถึงเราก็ถูกแยกออกไปตรวจอีกห้องนึงเลย พอกลับมาอีกทีหมอก็เย็บแผลบัวเสร็จ เขาก็หายตัวกันไปหมดแล้วอะ ”
“อืม น่าเสียดายจัง เลยไม่รู้จะขอบคุณเขายังไงดีเลย” หญิงสาวรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเขา พูดถึงตอนนี้ฉัตตาก็นึกถึงใบหน้าที่เห็นเลือนรางก่อนที่จะหมดสติไป เธอรู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อพยายามนึกหัวของเธอก็ปวดจี๊ดขึ้นมา
“บัว เป็นอะไรรึเปล่า” ต้นข้าวถามขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อเห็นเพื่อนกุมศีรษะ ใบหน้าซีดเผือด
“ไม่ ไม่เป็นไร แค่ปวดหัว”
“เดี๋ยวเราไปตามหมอให้” ต้นข้าวกระวีกระวาดลุกขึ้นจะไปตามหมอ
“ไม่ต้องข้าว เราไม่เป็นไร แค่ปวดหัว”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่หรอก หายแล้ว เราไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”
ระหว่างที่ต้นข้าวกำลังลังเลอยู่ว่าจะเอายังไงดี เสียงประตูที่เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของคุณหมอหนุ่มหน้าตาใจดีก็ทำให้เธอโล่งอก แต่ความรู้สึกโล่งอกก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าโดนปล่อยให้อยู่กับระเบิดนิวเคลียร์ลูกย่อมๆที่เพิ่งจะถูกปลดล็อคเอาไว้เพียงลำพัง ในระหว่างการตรวจคุณหมอก็ดูพอใจกับอาการของเพื่อนรักของเธอมากแต่กลับลงความเห็นให้นอนค้างที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งคืนและเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดในวันรุ่งขึ้น แน่นอนบัวถึงกับค้านเสียงหลง ต้นข้าวรู้ดีเพื่อนของเธอยากจะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้ไปเสียเลยด้วยซ้ำ ศึกโต้วาทีของคุณหมอกับคนไข้ก็เริ่มขึ้น แล้วชัยชนะก็ตกเป็นของคุณหมอหนุ่ม
“มันเป็นคำขอร้องจากคนที่พาคุณมาส่งน่ะครับ ถ้าหมอไม่ทำตามก็จะถูกตำหนิได้เหมือนกัน เขาก็แค่ต้องการให้คุณได้รับการตรวจอย่างละเอียดอีกรอบ เพื่อจะได้สบายใจได้ว่าคุณหายเป็นปรกติแล้วจริงๆ คุณก็ถือว่านี่เป็นการตอบแทนเขาก็แล้วกันนะครับ”
เหตุผลแบบนี้ก็มีด้วย?!?ต้นข้าวรู้บัวอยากจะเถียงใจจะขาด แต่ท่าทีที่ใจเย็นอย่างคงเส้นคงวาทำให้เธอเถียงไม่ออก ที่สำคัญถ้าหมอไม่ให้ออกเธอจะออกไปได้ยังไงกันล่ะ ฉัตตาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
“เฮ้อ เอาเถอะ ก็แค่คืนเดียวแหละนะ”
-----------------------------------------------------------------------------------------------
เสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เผิงเฟยเงยหน้าผละจากกองเอกสารอย่างเสียไม่ได้ แต่เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์แล้ว อารมณ์ขุ่นมัวก็คลายลงไปได้เยอะ
“ว่าไงชิอากิ” เสียงนุ่มทุ้มเรียกชื่อญาติผู้น้องเชื้อสายญี่ปุ่นด้วยชื่อแบบคนญี่ปุ่นไม่ใช่ชื่อที่ถอดมาจากอักษรจีนอย่างคนอื่นๆทั่วไป
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ผลตรวจของคุณอิงเหลียนออกมาแล้วนะทุกอย่างปรกติเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ตอนนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลไปเรียบร้อยแล้ว” เสียงของคุณหมอหนุ่มบอกอย่างอารมณ์ดี
“ขอบใจนายมากนะชิอากิ” เผิงเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเย็นชาเหมือนปรกติ แต่สำหรับคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ไม่มีเสียล่ะที่จะไม่รู้ว่าในความราบเรียบเย็นชานั้น มันมีความโล่งใจปนอยู่ไม่น้อย
“ทีนี้นายเองก็โล่งใจได้แล้วล่ะนะ ฉันตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว รับรองได้เลยว่า ว่าที่นายหญิงน้อยของพาราไดซ์กรุ๊ปร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเดิมทุกประการ”
‘นายหญิงน้อย’ คำพูดของชิอากิทำให้ทายาทแห่งพาราไดซ์กรุ๊ปเผยรอยยิ้มอย่างน้อยนักที่จะปรากฏขึ้นมาให้ใครได้เห็น ใช่สิ เขาตามหาเธอมาตั้งห้าปี แต่เธอก็เหมือนกับเป็นเพียงแค่ความฝันอันเลือนราง เพราะไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ แต่แล้วก็โชคชะตากลับเล่นตลก เขาเจอกับเธออีกครั้งในสภาพที่เธอเลือดอาบไปทั้งร่าง ไม่มีใครรู้หรอกว่าในตอนนั้นใจของเขามันร้อนรนเพียงใด ตัวเขาเองก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานเลยแม้แต่น้อย ได้ยินว่าเธอปลอดภัยดีแบบนี้ก็เหมือนกับยกภูเขาออกจากอกจริงๆ
“อา... ใช่... นายหญิงน้อยของพาราไดซ์กรุ๊ปน่ะปลอดภัยแล้ว ปรากฏตัวแล้ว แล้วนายหญิงน้อยของตระกูลอาคิโมโตะล่ะปรากฏตัวขึ้นรึยัง?” เผิงเฟยลากเสียงช้าเนิบหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี
“ฮ่าๆ ก็คงใกล้แล้วล่ะมั้ง ครั้งนี้ท่านแม่ลงทุนออกโรงเองแล้วทั้งทีนี่” ชิอากิพูดไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี
“เอ๋...ดูเหมือนนายจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยนะ”
“ก็นะ...” ชิอากิตอบอย่างสั้นๆ แต่ในคำตอบแฝงไว้ซึ่งเรื่องราวอันซับซ้อน
“เอาเถอะๆ ถ้าคุณน้าลงมือเองก็คงรอไม่นานหรอก เอาเป็นว่าฉันจะรอดื่มเหล้ามงคลของนายแล้วกัน”
"หน้าบานเป็นใบบัวแบบนี้ แสดงว่าเจ้าชิอากิมันโทรมาบอกข่าวแล้วล่ะสิท่า”
เสียงยียวนของใครคนนึงดังขัดขึ้นหลังจากวางสายไปได้ไม่นาน ไม่ต้องบอกเผิงเฟยก็รู้ได้เลยว่า ผู้มาเยือนเป็นใคร เพราะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเดินเข้ามาหาเขาได้อย่างถือวิสาสะเช่นนี้
ตั้งแต่เด็กเขาต้องมีชีวิตที่ต้องคอยระวังตัวอย่างเสมอ เพราะเขาเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล “เหว่ย”ตระกูลเก่าแก่ของเทียนจิน เจ้าของพาราไดซ์กรุ๊ปที่ควบคุมเขตการค้าและท่าเรือที่สำคัญของเทียนจินไว้ในกำมือ ตระกูลที่คิดก่อตั้งธุรกิจโรงแรมแห่งแรกๆในประเทศ เจ้าของโรงแรมพาราไดซ์ ที่มีสาขาย่อยอยู่ตามเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง มาเก๊า ฯลฯ อีกทั้งเหว่ยจื้อหมินบิดาของเขาเป็นนักธุรกิจที่ใสซื่อมือสะอาด ทำให้ในบางครั้งก็เข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ของใครหลายๆคน ดังนั้นทั้งตัวเขาและครอบครัวจึงมักตกเป็นเป้าอยู่เสมอๆ ตัวเขาเองจึงได้รับการฝึกป้องกันตัวเรียกได้ว่าเกือบจะทุกรูปแบบ แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาทรอบๆตัวเขาต้องมีบอดีการ์ดอย่างน้อยสองสามคนอยู่เสมอและมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด น้อยคนนักที่จะสามารถเดินเข้ามาหาเขาได้สบายๆโดยไม่ต้องผ่านคำขออนุญาตจากเขาแบบนี้
“ท่าทางนายจะว่างมากนะซึลกีถึงได้มีเวลามาหาฉันแต่เช้าแบบนี้” เผิงเฟยถามไปก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารไปอย่างไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
“ก็ไม่ว่างมากหรอกแต่พอดีเมื่อกี้แวะไปหาชิอากิมันที่โรงพยาบาลมา เลยถามถึงอาการของคุณอิงเหลียนว่าเป็นไงมั่งแล้วก็เลยมาบอกนายนี่แหละ แต่เห็นทีเจ้าชิอากิมันจะไวกว่า เร็วชะมัด”
ชายเจ้าของนาม “ซึลกี” ตอบอย่างอารมณ์ดี เขารู้ดีว่าตั้งแต่*วีรบุรุษช่วยสาวงามเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน คนตรงหน้าเขาคนนี้คนที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งญาติสนิทของเขาเก็บความรู้สึกกังวลกระสับกระส่ายไว้ภายใต้ใบหน้าที่สงบนิ่ง ใครทำอะไรให้ไม่พอใจนิดหน่อย ดวงตาดำสนิทคู่นั้นก็จะจ้องมองอย่างเย็นชา ไม่มีคำพูดตำหนิติเตียนหรือเสียงตะคอกดุดัน แค่สายตาที่มองมาต่อให้เป็นผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกบอดีการ์ดส่วนตัวนั่นถูกจ้องจนขาอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้นได้เหมือนกัน ดังนั้นช่วงสองวันนี้เขาก็เลยต้องมาดูๆ “ญาติผู้พี่” คนนี้ของเขาเสียหน่อย ก่อนที่คุณเลขาคนล่าสุดที่เขาช่วยหามาให้ไม่ถึงสองเดือนจะร้องไห้มาขอลาออกกับเขาอีก
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าตัวเขา เผิงเฟยและชิอากิมีความสัมพันธ์เกี่ยวกันทางสายเลือด มารดาของพวกเขาทั้งสามเป็นพี่น้องกัน แถมยังเป็นฝาแฝดกันเสียด้วย พวกเขาทั้งสามจึงสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าสนิทเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันเสียด้วยซ้ำ
“นายไปหาชิอากิมา?”เผิงเฟยเงยหน้าจากกองเอกสารกองโตมองซึลกีอย่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่จำความได้ซึลกีไม่เคยป่วยเลยสักครั้ง
“นายเป็นอะไร?” ปลายเสียงตวัดถามด้วยน้ำเสียงแข็งๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ก็...พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรมาก อ่อ ใช่ ช่วงมิถุนาฉันจะไปเมืองไทย”ซึลกีรีบพูดถึงเรื่องสำคัญก่อนที่จะลืม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการเบี่ยงประเด็น
เห็นเครื่องหมายคำถามที่เขียนอยู่บนหน้าของเผิงเฟยแล้ว ซึลกีจึงต้องอธิบายต่อ
“แม่ฉันเปิดโรงเรียนที่นั่น...”
เผิงเฟยมองหน้าของเขาอย่างจะบอกว่าเอาแต่เนื้อน้ำไม่เอาไม่ต้องเท้าความให้มากนัก
“ทีนี้มันมีปัญหาขึ้นมานิดหน่อย จริงๆแม่บอกว่าฉันไม่ต้องไปก็ได้ แต่ฉันก็รู้สึกห่วงอยู่ดีก็เลยว่าจะไปดูสักหน่อย อีกอย่างถือโอกาสนี้ไปตรวจดูบริษัทที่นู่นก็ดีเหมือนกัน”
“อืม ไปที่ไทยแล้วนายมีอะไรให้ช่วยก็บอกมาแล้วกัน” เสียงเรื่อยๆกับท่าทางที่แข็งๆที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจของเผิงเฟยนั้น ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะคิดว่า เขาพูดไปอย่างนั้น แต่ซึลกีรู้ดีว่าเผิงเฟยนั้นพูดออกมาจากใจจริง
“ขอบใจมาก พี่ชาย” ซึลกีเอ่ยยิ้มๆ
“นายน้อยครับ” เสียงเรียกของ “เจินอิง” บอดีการ์ดคนสนิทดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาเผิงเฟยพยักหน้าสองสามทีอนุญาตให้เจินอิงเข้ามาในห้อง ท่าทางรีๆรอๆและดวงตาที่หลุกหลิกของมือขวาคนเก่ง ทำให้เขาคิดว่าเจินอิงอาจจะไม่สะดวกใจที่จะให้คนนอกอย่างซึลกีได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างของภายในบริษัท
“ไม่เป็นไรซึลกีก็เป็นน้องของฉันไม่ใช่คนนอก มีอะไรก็ว่ามาได้เลยไม่ต้องอึกๆอักๆ”
ได้ยินแบบนี้เจินอิงก็ไม่ได้ทำให้เจินอิงรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เพราะเรื่องที่จะรายงานต่อไปมันเป็นเรื่องราวความเจ็บปวด ความบาดหมางของสองตระกูลเอาไว้ด้วยกัน
“คือว่าถังเจี้ยนผิง...”
แค่ได้ยินชื่อ “ถังเจี้ยนผิง” เลือดในร่างกายของเผิงเฟยก็เหมือนจะเดือดพล่าน ใบหน้านิ่งเย็นเหมือนกับน้ำแข็งแกะสลักนั้นเหมือนโดนแดดแผดเผาจนเริ่มหลอมละลาย ไอความแค้นความชิงชังไหลท่วมท้น ซึลกีเห็นท่าไม่ดีจึงต้องรีบเตือนสติ
“พี่ใหญ่”
“มันทำไม” เสียงทุ้มพยายามข่มความโกรธอย่างเต็มที่
“เอ่อ...คือ...เรื่องที่นายน้อยให้ไปสืบมา เป็นไปตามคาดจริงๆครับ ถังเจี้ยนผิง มันเป็นคนบงการเรื่องราวต่างๆอยู่จริงๆ รวมไปถึง....”
“รวมไปถึงอะไร”
ไม่ต้องบอกเจินอิงก็รู้ดีว่าอะไรจะคอยอยู่เบื้องหน้า ถึงแม้นายน้อยของเขาจะไม่ใช่ประเภทไม่สบอารมณ์อะไรแล้วไปลงกับลูกน้อง แต่รังสีที่แผ่กระจายออกมาเวลาโกรธจัดๆนั้น ต่อให้เป็นผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาก็ไม่สามารถต้านทานได้ไหว เจินอิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดรวบรวมกำลังใจ แล้วตอบรวดเดียวแบบไม่หายใจ
“รวมไปถึงการฆ่าล้างตระกูลถังเมื่อแปดปีที่แล้วด้วยครับ”
* วีรบุรุษช่วยสาวงาม หรือ 英雄救美(yīngxiōngjiùměi อิงสยงจิ้วเหม่ย)เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินอยู่บ่อยๆในภาษาจีน ซึ่งมีความหมายเหมือนกับมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยนั่นเองค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ