ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  37.31K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) คาบเรียนที่ 14 : พี่น้อง คำขอโทษ และชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           คาบเรียนที่ 14 : พี่น้อง คำขอโทษ และชมรม (บทรู้สึกผิด)

           “พี่ธัน” ไคแสดงออกถึงความตกใจผ่านสีหน้า “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”

           “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นน่ะ แล้วพีชก็ตายไปแล้วด้วยฉันถึงออกมาได้” ธันมองดูไคด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ขอโทษนะแค่เพราะฉันอยากเจอกับน้องก็เท่านั้น พอได้มีโอกาสก็เลยคว้าไว้ตามอำเภอใจเรื่องทุกอย่างเลยเป็นแบบนี้”

            แววตาของไคเบิกกว้างรู้สึกใจหายผสมตกใจกับเรื่องที่พีชตายแล้ว แต่เมื่อมองไปยังธันที่กำลังทำสีหน้าอมทุกข์อยู่เขาก็พยายามทำใจให้เย็นลง ตั้งสติก่อนเอื้อนเอ่ย “ไม่ ใช่ความผิดของพี่ธันหรอกครับ ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ผมไม่รู้หรอกว่าสาเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ถ้ามันเกิดไปแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากก้าวเดินต่อไป” ไคเริ่มถามอย่างค่อยเป็นค่อยไป “ที่โรงเรียนเกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

            ธันเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เด็กหนุ่มฟังอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งเรื่องที่วิญญาณพีชคุ้มคลั่งไล่ทำร้ายเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในอาคารรวมถึงโตกับแนน และ เรื่องความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งนั่นทำให้ไครู้สึกสลดใจเป็นอย่างมาก เขาไม่อาจทำอะไรได้เลยเนื่องจากอยู่ภายนอกอาคาร ส่วนทางของธันเองก็ไม่อาจสู้แรงกดดันวิญญาณของพีชได้ ทั้งคู่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

           “นี่เด็กใหม่ ฉันขอฝากนายดูแลน้องชายของฉันทีได้มั้ย” ธันเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ

           “ครับและผมจะต้องหาทางให้พี่กับแทงค์คุยกันให้ได้” ไคพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งแต่กลับแฝงไปด้วยความเจ็บใจ ความรู้สึกของเขาตีกันไปมาจนอยากจะร้องตะโกนให้ดังไปถึงขอบฟ้า

            ธันส่ายหน้าช้าๆ “ฉันพอแล้วล่ะ”

            เด็กหนุ่มไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นเเละได้ยิน “ทำไมล่ะครับ แทงค์เขาอยากเจอพี่มากเลยนะครับ” เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะให้ทั้งสองคนได้พบกันอีกสักครั้ง

           “แทงค์ น่ะเข้มแข็งกว่าเมื่อก่อนขึ้นมากเลย ฉันเห็นทั้งหมดในวันนี้แล้วล่ะ เขาน่ะไม่ต้องพึ่งพาพี่ชายอย่างฉันอีกแล้ว แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ ก็เพราะยังเป็นเด็กอยู่ล่ะนะ ส่วนฉันแค่ได้สัมผัสกับชีวิตอีกครั้งก็รู้สึกคุ้มค่าแล้ว ขอบใจนายมากเลยนะ” ธันอธิบายความรู้สึกให้ไคฟัง เขาลอยเข้ามานั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่ม “อีก อย่างฉันก็ไม่อยากให้ทุกคนต้องลำบากมากไปกว่านี้แล้วด้วย ฉันน่ะพอแล้วล่ะ ทั้งอีฟ ทั้งโต และเพื่อนๆ ในโรงเรียนต้องมารับเคราะห์จากความเอาแต่ใจ ฉันไม่อยากเห็นมันอีก”

            เด็กหนุ่มน้ำตาเริ่มล้นเอ่อ “แทงค์เขาเป็นเด็กดีนะครับ” เขาใช้มือปาดเม็ดน้ำตาที่ไหลออกมา สูดน้ำมูกหนึ่งปื้ด “เขามีพวกเราชมรมวิจัยเรื่องลึกลับอยู่ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนพวกเราก็จะสู้เคียงข้างไปด้วยกัน น้องชายของพี่พวกผมจะดูแลเองครับ”

            ธันยิ้มให้กับไค “ต่อ จากนี้พวกนายจะต้องเจอเรื่องลำบากอีกเยอะ ฉันรู้สึกแบบนั้นนะ โรงเรียนของพวกเราเจอกับเหตุการณ์นี้เข้าไป ฉันคิดว่าคงต้องปิดไปพักใหญ่ ”

           “แล้วพี่ล่ะครับ” ไครู้สึกว่าธันเริ่มมีแสงสีทองส่องประกายอยู่รอบๆ ตัว “จะไปเกิดแล้วหรือครับ”

            ธันหัวเราะ “ฮ่าๆ ฉันยังไปเกิดไม่ได้หรอก บุญฉันยังไม่พอ ฉันคิดว่าจะไปอยู่วัดฟังพระสวดแผ่บุญกุศลเหมือนที่ผีทั่วๆ ไปเขาทำกัน บางทีอาจจะช่วยได้บ้าง” แล้วธันก็เงียบลง ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ฉัน รู้สึกว่าที่โรงเรียนของเรามีเรื่องไม่ชอบมาพากลอยู่ กลิ่นไอความมืดที่ทำให้พีชคลั่งขึ้นมานั้นไม่ธรรมดาแน่ ฟังฉันให้ดีนะเด็กใหม่สัญญากับฉันมาข้อหนึ่ง”

           “ครับ” ไครับคำอย่างรวดเร็ว เขาขมวดคิ้วสบตากับธัน รอฟังอย่างตั้งใจ

           “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ห้ามให้แทงค์เป็นอันตรายเด็ดขาด” ธันพูดน้ำเสียงหนักแน่นแต่กลับมองอย่างอ้อนวอน

           “ผมสัญญาครับ จะทำให้ดีที่สุด และเรื่องกลิ่นไอความมืดนั่น ผมจะต้องจัดการกับมันให้ได้ก่อนที่ทุกสิ่งจะเลวร้ายไปกว่านี้”

            ธันเห็นเด็กหนุ่มทำท่าทีจริงจังแบบนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “เรื่อง นี้ฉันว่านายไม่ควรทำมันคนเดียวนะ มันอันตรายเกินไป ขนาดโตเองก็ยังบาดเจ็บเจียนตายมาแล้ว มันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ เอาล่ะฉันว่าฉันเริ่มสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ขอบใจนะเด็กใหม่” ว่าแล้วร่างของธันก็เริ่มเป็นละอองสีทองหายตัวไป

            ไค ยังคงนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน คอยภาวนาให้อีฟปลอดภัย คิดเสียแต่ว่าถ้าให้เกิดขึ้นกับตัวเองแทนได้คงจะดีกว่า คนสำคัญของเขาต้องบาดเจ็บไปพร้อมๆ กันถึงสองคน นั่นเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจสำหรับเขาในตอนนี้

***********************************************************************************************************************************

            หนึ่งคืนที่แสนจะหดหู่ผ่านไป เป็นไปตามอย่างธันได้พูดไว้ไม่มีผิด โรงเรียนของไคถูกสั่งปิดไปสองสัปดาห์ เพื่อทำการสืบสวนคดีและปรับปรุงโรงเรียน เหตุการณ์นี้เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งในเช้าวันถัดมา

            ไคสะดุ้งตื่นขึ้นจากเตียงด้วยความเคยชินว่าต้องรีบไปโรงเรียนให้ทัน ทว่าเมื่อเขาหันไปมองรอบข้างแล้ว ก็เริ่มนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างมาเป็นทางตรง ชวนให้เงียบเหงา จีนน้องสาวคนสวยของเขาก็ไม่ได้มาปลุกอย่างทุกวัน ทำให้รู้สึกใจหายชอบกล

            เด็กหนุ่มออกจากห้องนอนเดินลงมาตามบันไดบ้าน เห็นแอนนานอนหลับอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อกลางดึก ต่างคนต่างจิตตกไม่เว้นแม้แต่แอนนา ไคหันไปทางโต๊ะอาหารมีขนมปังกับไข่ดาวที่น้องสาวทำไว้เป็นมื้อเช้า พร้อมกับโน้ตทิ้งไว้ให้ปลุกแอนนาขึ้นมาร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยว่า “ถึงพี่ยา พี่ แอนนาเขาเป็นห่วงพี่มากนะ เธอกลับมาบ้านดึกมากหลังจากพี่หลับไปแล้ว พี่แอนนาเขาตามหาพี่มาตลอดทั้งคืนที่เกิดเหตุเลยนะ ใจดีกับเขาหน่อยสิคะพี่ อย่าลืมปลุกให้พี่เขาทานอาหารด้วยนะ”

            ไคน้ำตาไหลพรากหลังจากได้อ่านข้อความที่น้องทิ้งไว้ให้ก่อนไปโรงเรียน เขาลืมคิดถึงเพื่อนสนิทคนสำคัญที่สุดที่เขาควรจะอยู่ด้วยในยามที่เธอลำบาก แต่เมื่อวานเขากลับหายหน้าหายตาไปจากเธอเลยทั้งวัน  เรื่องที่ธันเล่าให้ฟังเมื่อวานก็ทำให้เขารู้แล้วแท้ๆ ว่าแอนนาต้องเจอกับอะไรที่สะเทือนใจมาบ้าง เขากลับยังคงนิ่งนอนใจอยู่ได้ ด้วยความรู้สึกผิดที่ฝังแน่นอยู่ในอก ไคเดินตรงเข้าไปหาแอนนาในทันที

            ใบหน้าตอนนอนของหญิงสาวนั้นช่างดูไร้เดียงสา ไคค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปจัดปอยผมที่ปิดแก้มของหญิงสาวออก ดูใบหน้าที่ชวนให้หลงใหลนั้นแล้วเอ่ยเบาๆ “ขอโทษนะ” แล้วจึงเขย่าตัวของเธอ “เฮ้ ตื่นได้แล้วแอนนา อาหารเช้ารออยู่นะ ฉันหิวแล้วด้วย”

           “อื้ม” เด็กสาวพึมพำด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “อาหารเช้ารอหน่อยนะเดี๋ยวเค้าจะไปหา ง่ำๆ” เป็นเสียงที่ดูน่ารักมาก หากแต่กระเพาะของเด็กหนุ่มไม่คิดเช่นนั้น

           “ตื่นได้แล้วแอนนา ไม่อย่างนั้นฉันทานก่อนนะ”

           “กริยาเหรอ นั่นกริยาใช่มั้ย เธอไปไหนมา” เสียงเด็กสาวสลึมสลือ เมื่อเด็กหนุ่มพินิจดูแล้วเธอยังไม่ตื่น แต่เธอกำลังละเมอ “กริยาอย่าทิ้งเรานะ กริยา”

            คำพูดของเธอทำให้ไคตอกย้ำถึงความรู้สึกผิด และบางทีเขาอาจไม่เหมาะจะเป็นคนที่คอยอยู่ดูแลเธอด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรเอาเสียเลย “ฉันคงรับปากเธอไม่ได้หรอกแอนนา เรื่องที่ฉันต้องเจออยู่นั้น มันอันตรายเกินกว่าจะให้เธอไปเสี่ยงด้วย” ไคกัดฟันกำมือแน่นเล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนรู้สึกเจ็บ “ขอโทษนะ”

           “อื้ม” แอนนาเริ่มบิดขี้เกียจ ดูแล้วคล้ายกับแมวอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มคลายมือที่กำไว้ “หาว..เช้าแล้วเหรอ”

            ไคพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ “ก็เช้าแล้วน่ะสิ เอาล่ะทานข้าวกันเถอะเนอะ” เขายื่นมือไปลูบหัวแอนนาด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังลูบหัวแมว

            แอนนาพยักหน้า ทำท่าตกใจเหมือนนึกบางอย่างได้แล้วมองไคด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “อื้ม ว่าแต่กริยาเธอหายไปไหนมา เมื่อวานเราหาทั้งวันทั้งคืนเลยนะ”

             “ฉันทำงานน่ะแล้วก็เดินเล่นด้วย เราคงสวนทางกันมั้งคนเยอะมากหากันไม่เจอก็ไม่แปลก” เด็กหนุ่มไม่อาจตอบตรงๆ ได้เนื่องจากเรื่องยันต์นั้นเป็นความลับ และแอนนาเองก็ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเด็กๆ อย่างแทงค์ โซเฟีย และคนอื่นๆ นอกเหนือจากชมรม เรื่องนี้ควรเป็นความลับ “เอาล่ะเรามาทานอาหารเช้ากันเถอะ”

            ว่าแล้วไคก็เดินตรงไปยังโต๊ะอาหารทันที โดยมีแอนนาขยี้ตาเดินตามหลังมาอย่างงัวเงีย นั่งลงบนเก้าอี้และรับประทานอาหารร่วมกัน ไคมองดูแอนนาตลอดการรับประทานอาหาร เขาไม่เคยทานมื้อเช้ากับเธอสองต่อสองมาก่อน นอกจากจะเงียบแล้ว ยังรู้สึกสงบกว่าทุกครั้ง ไม่มีเสียงของน้องสาวที่คอยสั่งนู่นสั่งนี่ให้เขารำคาญ ทุกท่าการรับทานอาหารของแอนนาชวนให้หลงใหลในความน่ารักของเธอ ทั้งเวลาที่กินอาหารแล้วซอสเลอะปาก เธอจะใช้ลิ้นเล็กๆ ของเธอเลียแพร่บไปตรงจุดนั้นๆ ถ้าเป็นเอิร์ธมาทำแบบนั้นไคคงได้สำลักตายแน่ๆ หากแต่นี่เป็นแอนนาสาวน้อยที่ทำให้เขารู้จักความหมายของการปกป้องที่แท้จริง

            เวลาทานอาหารเช้าผ่านไปอย่างเงียบสงบ เมื่อทั้งสองคนทานเสร็จไคก็นำแก้วและจานไปล้างในอ่าง พลางคิดหาวิธีที่จะใช้ขอโทษเธอ

            ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงมือถือของเด็กหนุ่มดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกง ทำให้เขาต้องหยุดงานไว้กลางคัน ล้างมือแล้วเช็ดก่อนหยิบมือถือขึ้นเลื่อนเพื่อรับสาย “ฮัลโหลครับ”

           “ฮัลโหล ไคนี่พี่เองนะ” เสียงโจดังขึ้น “พี่จะเอาข่าวดีมาบอก ตอนนี้อีฟพ้นขีดอันตรายแล้วนะ”

           “จริงเหรอครับ” เป็นข่าวน่ายินดีที่ทำให้เด็กหนุ่มโล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก เขาคอยแต่เป็นห่วงอีฟและโตอยู่ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งเก็บเอาไปฝัน “แล้วพี่โตล่ะครับเป็นอย่างไรบ้าง” แอนนาหันหน้ามายังไคฟังบทสนทนาด้วยความสนใจ

           “...” โจเงียบไปพักหนึ่ง

           “พี่โจครับแล้วพี่โตล่ะ” ไคถามย้ำอีกครั้ง เขาเริ่มรู้สึกกังวลใจมากขึ้น หลังจากฟังข่าวเกี่ยวกับโตจากปากของธันเมื่อคืนที่ผ่านมา

           “หายตัวไป” โจพูดอย่างหมดกำลังใจ “แทงค์ เล่าว่าครั้งสุดท้ายพาเขาไปไว้ในห้องพยาบาล พอกลับมาอีกทีพี่เขาก็หายตัวไปแล้ว ทั้งๆ ที่อาการสาหัสมาก ตำรวจเองก็กำลังสืบค้นอยู่น่ะ” รุ่นพี่อธิบายให้เด็กหนุ่มฟัง

           “ไม่จริงน่า” ไคยืนโซเซแทบจะล้มลง ณ ตอนนั้น “หายตัวไป ทั้งๆ ที่บาดเจ็บขนาดนั้น เป็นไปได้อย่างไรกัน” เขาหันมองดูแอนนาซึ่งก็อึ้งกับสิ่งที่ได้ยินพอๆ กัน เธอลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงเข้าห้องของเธอไปในทันที

            นั่นไม่แปลกเลยที่แอนนาจะรู้สึกเสียใจ  ที่โตต้องบาดเจ็บขนาดนั้นก็เป็นเพราะปกป้องเธอเอาไว้ การที่เขาหายตัวไปนั้นทำให้เธอเป็นห่วงอย่างมาก คำขอบคุณที่เธออยากเอื้อนเอ่ยที่สุดยังแตะอยู่ที่ริมฝีปาก คำขอโทษที่ตอกอยู่ในอกยังไม่ถูกถอนออกไป

            หลังวางสายจากโจ ไครีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมพร้อมมุ่งหน้าไปยังโรงเรียน โดยเชื่อมั่นว่าความจริงทั้งหมดต้องอยู่ที่นั่น พร้อมกับสาเหตุการหายตัวไปของโต ต้องมีอะไรบางอย่างที่เขามองข้ามไป และยันต์ทั้งหมดนั้นหากปล่อยไว้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาต้องทำอะไรสักอย่างถึงแม้จะตัวคนเดียวก็ตาม

           “แอนนาฉันจะไปซื้อของสักหน่อยนะอาจกลับช้า เธออยู่คนเดียวไหวมั้ย” ไคยืนพูดอยู่หน้าประตูห้องของเด็กสาว “ฉันขอโทษนะต้องปล่อยเธอไว้แบบนี้อีกแล้ว”

           “อื้ม เราไม่เป็นไรหรอก ขออยู่คนเดียวสักพักนะ” แอนนาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังร้องไห้

            เด็กหนุ่มได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นก็อดรู้สึกรำคาญหัวใจไม่ได้ “เธอร้องไห้อยู่เหรอ”

           “เราแค่แพ้ฝุ่นน่ะ ฮัดชิ่ว!” แอ นนาพูดให้เด็กหนุ่มสบายใจ แล้วแกล้งจามเบาๆ เธอไม่อยากให้เขาเห็นใบหน้าของเธอยามทุกข์ใจ เพราะไคคือคนที่คอยมอบความสุขให้กับเธออยู่เสมอตลอดเวลาที่รู้จักกัน ดังนั้นการที่เธอเศร้าใจอยู่นั้นจะไม่ยอมให้เขารู้สึกไม่ดีไปด้วยโดยเด็ดขาด

           “อย่างนั้นเหรอฝุ่นสินะ” ไคหัวเราะดัง เหอะ เบาๆ (‘ฝุ่น ที่ไหนกันล่ะ ในห้องนั้นน่ะ จีนดูแลอย่างดีทุกวันเลยนะ ทั้งๆ ที่ยัยนั่นเป็นภูมิแพ้ยังหายใจได้สบายเลย จะหาข้ออ้างก็ดีๆ หน่อยสิยัยบ้าเอ้ย’) เด็กหนุ่มน้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง “โล่งอกไปทีนะ ฉันก็นึกว่าเธอกำลังร้องไห้ซะอีก” เขาปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดแล้วเดินไปยังประตูบ้าน (‘ขอบใจนะ แอนนา’)

            ไคเปิดประตูแล้วตรงออกไปข้างนอกบ้านมุ่งหน้าไปยังโรงเรียน ที่ซึ่งปริศนาทั้งหมดรอเขาอยู่

 

 

            ทางด้านแทงค์ ซึ่งกลับมาบ้านหลังจากสอบปากคำในคืนเกิดเหตุ เขายังรู้สึกเสียใจกับการจากไปของพี่สาวที่แสนดี ซึ่งเขาไม่สามารถปกป้องเอาไว้ได้ เด็กชายที่ยังคงเจ็บปวดเกินกว่าที่คนรอบข้างจะเข้าใจ ขณะนี้เขายืนอยู่หน้าโกศของพี่ชาย จุดธูปพนมมือเล่าเรื่องราวต่างๆ  เหมือนเป็นการระบายความรู้สึกอัดอั้นในอก

           “พี่ ครับบางครั้งผมก็รู้สึกอยากจะเป็นอย่างพี่ได้บ้าง เป็นที่รักของคนทุกคน และพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ผมปกป้องพี่สาวไว้ไม่ได้เลย” เด็กชายพูดน้ำตาคลอด้วยความเจ็บใจ "ถ้าผมเเข็งเเกร่งกว่านี้ ถ้าผมเข้มเเข็งกว่านี้ ทำไมผมถึงอ่อนแออย่างนี้ครับพี่"

            ฟุบ! รูปภาพใบหนึ่งถูกพัดลอยตกลงมาจากหิ้ง ร่วงลงบนตักของแทงค์พอดี เขาก้มลงมองดูรูปที่เขาถ่ายคู่กับพี่ชายในวันที่เขาเรียนจบ ป.6 เด็กชายพลิกดูที่ด้านหลังรูปมีข้อความเป็นลายมือของพี่ชายถูกเขียนทิ้งไว้

           “เจ้า น้องชายเรียนจบไปได้อีกขั้นแล้วในฐานะพี่ก็ดีใจด้วย แต่อย่าคิดว่าต่อจากนี้จะสบายนะ ยิ่งเราโตขึ้นเรื่องลำบากก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ไม่มีสิ่งไหนจะง่ายขึ้นหรอกหากเราไม่พัฒนา สู้ๆ นะ จาก พี่”

            แทงค์เมื่อได้อ่านข้อความนี้แล้วเขาก็ไหว้หนึ่งครั้งแล้วปักธูปลง นำรูปที่อยู่ในมือไปวางไว้ที่เดิม เช็ดคราบน้ำตาทั้งหมด และสาบานกับตัวเองว่าจะเติบโตขึ้นเป็นชายที่เข้มแข็งมากพอจะแบกรับความลำบาก ไว้แล้วก้าวต่อไปได้โดยลำแข้งของตัวเอง หัวใจของเด็กชายตอนนี้รู้สึกมีพลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาพร้อมแล้วที่จะเติบโต

            ปี๊ดๆ ! เสียงแตรรถดังขึ้น “ผมรักพี่นะครับ” แทงค์พูดเบาๆ แล้วเดินออกจากบ้านไปขึ้นรถคาดิลแลคสีดำคันยาวที่โซเฟียนั่งมารับพร้อมกับคน ขับรถวัยกลางคน มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมอีฟ

            ภายในรถดูเรียบหรู แทงค์นั่งเบาะฝั่งตรงข้ามกับเด็กหญิงมองไปรอบๆ  อย่างตื่นเต้นและประหม่า “ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ยว่าพี่โซเฟียเป็นคุณหนูกับเขาด้วย”

            โซเฟียยิ้มให้กับท่าทีตกอกตกใจของเด็กชาย “พ่อของพี่เป็นเจ้าของธุรกิจพันล้านน่ะ แต่พี่ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่หรอก ไม่รู้เหมือนกันแฮะว่าธุรกิจอะไร”

           “น่าแปลกนะครับมีรถหรูขนาดนี้ได้เนี่ยผมนึกว่าจะมีแต่ดาราฮอลลิวูดเสียอีก” แทงค์มองไปรอบๆ ด้วยแววตามันวาว

           “ฮ่าๆ นั่นสินะบางทีพ่อของพี่อาจทำธุรกิจเกี่ยวกับภาพยนต์ก็ได้เนอะ” โซเฟียพูดรับมุขกับน้องชาย

            แทงค์หันหน้ามาถามโซเฟียด้วยแววตาสนอกสนใจ “พี่โซเฟียไม่รู้เลยจริงๆ หรือครับว่าพ่อพี่เขาทำธุรกิจอะไร”

             “...” เธอยิ้มตอบกลับมาแต่ไม่มีคำพูดใดๆ

 

            ณ โรงเรียน ซึ่งถูกสั่งปิดหลังจากเกิดเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมา มีตำรวจเดินตรวจตราอยู่ทั่วบริเวณนับตั้งแต่หน้ารั้วจนถึงตัวอาคาร ข้าวของจากบูทต่างๆ ยังไม่ถูกรื้อเก็บเพื่อเป็นการรักษาสภาพที่เกิดเหตุ

            เด็กหนุ่มเดินมาจนถึงโรงเรียนแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เขาได้แต่นั่งยองๆ ถอนหายใจอยู่ข้างหน้ารั้ว ก่อนจะใช้เวลาสักพักถอดใจแล้วเดินหันกลับบ้าน “ให้ตายสิเสียเวลาชะมัด” เด็กหนุ่มพึมพำอย่างเจ็บใจ

           “อะไรกันอุตส่าห์มาถึงทั้งทีจะถอดใจกลับแล้วหรือ” เสียงยียวนกวนประสาทคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังของเขา  

            ไคหันขวับกลับไป เป็นเอธรยืนอยู่อย่างที่คาดไว้  “เอธรแกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ไคมองแล้วมองอีกอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเอธรจะโผล่มาให้เห็นตัวเป็นๆ

           “ฉันก็อยู่มาตั้งแต่แรกแล้วนี่ ข้างๆ ไอ้หมอนี่” เอธรเคาะกะโหลกใส่นายตำรวจที่ยืนเฝ้าอยู่หน้ารั้ว ดวงตาของเขาแข็งทื่อตัวยืนตรงราวกับหุ่น

            “นายทำอะไรกับเขาน่ะ”

           “ก็แค่เล่นของใส่นิดหน่อย ทำให้หลับในไปก็เท่านั้น ถ้าฉันคลายมนต์สะกดเดี๋ยวก็หายเองแหละน่า” เอธรตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “คนข้างในมีแต่พวกตำรวจและผู้ต้องสงสัย จำนวนคนน้อยกว่าวันปกติ เป็นโอกาสดีนะที่จะใช้ค้นหายันต์”

           “ไม่ล่ะวันนี้ฉันไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น” ไคตอบปฏิเสธไปอย่างฉับไว “พี่โตหายตัวไป ฉันต้องการร่องรอยมากที่สุดในตอนนี้”

           “ชิ ไอ้หมอนั่นมันมีค่าขนาดนั้นเชียวเหรอ” เอธรแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉันจะบอกอะไรอย่างหนึ่งให้เจ้าซื่อบื้ออย่างนายได้รู้ไว้นะ”

           “อะไรกันอีกล่ะ” ไคพูดปัดๆ เขาไม่ค่อยสนใจคำพูดที่มาจากคนเจ้าเล่ห์สักเท่าไหร่

           “พี่โตน่ะไม่ใช่คนดีอย่างที่นายรู้จักหรอกนะ” เอธรพูดพร้อมกับมองไคด้วยสายตาที่แอบแฝงความโศกเศร้า “หมอนั่นน่ะไม่ช้าก็เร็ว จะต้องหักหลังพวกนายทุกคน”

           “เรื่องแบบนั้นฉันไม่เชื่อหรอกน่า ยิ่งมาจากปากคนอย่างนายแล้วยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ใจของไคเองก็เริ่มสั่นไหวไปด้วยความหวาดระแวงและความกลัวเสียแล้ว “เรื่องไร้สาระช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าเข้าไปข้างในกันก่อนดีกว่า ถ้านายไปด้วยละก็ตำรวจก็คงจับไม่ได้หรอกมั้ง” เขามองไปยังหน้าของเอธรแล้วทำหน้าแหยแบบไม่ค่อยไว้ใจ

           “มองฉันแบบนั้นจะดูถูกกันเหรอ เดี๋ยวได้รู้กันว่าใครกันแน่ที่เก๋าที่สุด ถ้าตำรวจจับได้ฉันจะยอมติดคุกเลยคอยดู หึๆ แต่คงไม่มีวันนั้นซะหรอก” เอธรตะคอกกลับด้วยความโมโหที่โดนไคยั่วใส่

           “อ๋ออย่างนั้นเหรอ อย่างนั้นก็แสดงฝีมือให้ดูหน่อยสิ” ไคทำท่าทากวนประสาทใส่ต่อ แล้วแอบหันหลบไปยิ้มเจ้าเล่ห์ (‘เยส หลอกใช้สำเร็จ’)

            แล้วทั้งคู่ก็ย่างก้าวเข้าไปในโรงเรียนที่รายล้อมไปด้วยตำรวจอย่างระมัด ระวัง การตามหาโตที่หายตัวไปได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พร้อมกับบทเริ่มต้นของความมืด ตำนาน ภูติผี และความเชื่อด้วยเช่นกัน

จบตอน

            โปรดติดตามตอนต่อไป 

ปล. รักนะคนอ่าน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา