ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  37.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) คาบเรียนที่ 10.5 : ยันต์ผีผ่าน และชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)            

คาบเรียนที่ 10.5 : ยันต์ผีผ่าน และชมรม (บทอำลา 3)

            40 นาทีก่อนหน้า

          “ก็ประมาณนั้น...แต่ว่าพอหาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใบสุดท้ายก็โผล่ออกมาเองนั่นแหละ”

            “อย่าพูดจาไร้ความรับผิดชอบแบบนั้นสิฟระ!!” ไคเกาศีรษะครุ่นคิด “สมมุติ ที่นายพูดเป็นจริง ยันต์ก็จะไม่ได้มีแค่ใบเดียว แต่จะเป็นไปได้ไง มีถึงหลายใบแต่พี่โตที่เดินตระเวนหามาตลอดทั้งสัปดาห์กลับหาไม่เจอแม้แต่ใบ เดียว” เด็กหนุ่มมุ่งตรงไปยังบันไดเขาคิดที่จะไปยังห้องชมรม “มันต้องอยู่ในที่ซึ่งพี่โตไม่เคยคิดจะค้นหา”

          “นั่นสินะ แต่ฉันว่านายควรจะระวังตัวบ้างก็ดีนะ”เอธรพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำให้อารมณ์หวาดเสียวปนมากับจริงจัง

            “หมายถึงอะไร” ไคเหงื่อตก

            “ก็นายน่าจะรู้แล้วนี่นา...ว่ายันต์นั่นมีพลังในการเรียกวิญญาณทุกที่มารวมตัวกัน ซึ่งเมื่อนายไปถึงนั่นก็หมายความว่า มีผีเป็นดงไงล่ะ”

         “เดี๋ยวนะ!! จริงสิ!” เด็กหนุ่มทำทีเหมือนจะนึกบางเรื่องออก (‘ที่ห้องชมรมไม่น่าจะมีอะไรหรอก! นั่นก็เพราะว่า’) ไคเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจากระเบียงทางเดิน “จริง อยู่ที่ความสามารถของพี่โตไม่สามารถตามหายันต์ได้เพราะถูกกลิ่นไอกลบกันเอง แต่ของแบบนั้นใช้กับฉันไม่ได้ผล.. มิหนำซ้ำมันยังง่ายที่สุดซะด้วย”

          “จริงสิ แกมองเห็นผีนี่นา”เสียงเอธรดูจะมีชีวิตชีวากว่าทุกครั้ง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรกันเนี่ยกุญแจอยู่ใกล้ตัวพี่โตขนาดนี้แท้ๆ แต่หมอนั่นกลับไม่เคยคิดถึงสักนิด”

          “ใช่แล้ว!! ฉันก็แค่ตามหาสถานที่ที่มีเหล่าวิญญาณรวมตัวกันมากผิดปรกติก็พอ” ไคยิ้มอย่าง เจ้าเล่ห์ (‘ที่ห้องชมรมซึ่งไม่มีวี่แววของวิญญาณอื่น..นอกพี่ชายของแทงค์จึงตัดไปได้เลย..’)

          ทว่าผ่านไปได้ไม่นานเด็กหนุ่มก็ต้องหุบยิ้มแล้วกลับมาครุ่นคิดอีกครั้ง (‘แต่ แปลกนะ...ทั้งที่เราน่าจะเห็นอะไรแปลกๆ ในโรงเรียนแท้ๆ แต่ตลอดสัปดาห์มานี้กลับไม่เจออะไรเลย.. ไม่สิไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ วิญญาณเร่ร่อนอะไรที่ลุงภารโรงพูดถึงก็ไม่เจอเลย... ถ้ายันต์นั่นมีหลายใบวิญญาณก็น่าจะกระจายไปทั่วเป็นจุดๆ สิ’)

            “นั่นก็แสดงว่าจะต้องถูกซ่อนจากพลังของนายด้วยสินะ ชิ! เป็นศัตรูที่เอาเรื่องแฮะ”เสียง เอธรกัดฟันกรอดด้วยความไม่พอใจ  เขาสามารถอ่านความคิดของไคได้ในขณะที่อยู่ในสภาพกายทิพย์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาโต้ตอบกันได้โดยไม่พูด

            “หึ! ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกน่า.. ต่อให้ศัตรูจะเป็นคนในชมรมก็ตาม” ไคพูดด้วยน้ำเสียงโกรธซึ่งแฝงความเศร้าเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ

            “อะไรกัน.. นายเองก็ใกล้ความจริงเข้าไปอีกขั้นแล้วนี่!”

          “หมายความว่าไง!? นายรู้ตัวการแล้วเหรอ” ไคถามอย่างตกใจ   เมื่อได้ฟังคำพูดที่เกินคาดของเอธร

            “ฉัน เองก็ไม่ใช่คนใจดีถึงขนาดจะใบ้ให้หรอกนะ เพราะถ้าฉันบอกแกไปแล้วละก็...จะโดนเล่นงานทันทีล่ะนะ หมอนั่นยิ่งไม่ธรรมดาเรื่องมนต์ดำซะด้วยสิ” เอธรพูดเสียงสั่นแสดงถึงความกลัวที่มีอยู่ไม่น้อย

            “คิก!! แม้แต่นายเองก็มีคนที่เก่งกว่าสินะ ทำยังกับโดนร่ายมนต์ไม่ให้บอกชื่อตัวคนร้ายงั้นแหละ” ไคทำทีจะหัวเราะแต่หยุดไว้ได้ทัน ในใจของเขาอยากจะเค้นความจริงแทบตาย แต่ก็ไม่อาจหยุดความกลัวที่สุดจะรับได้กับการต้องทำร้ายเพื่อน

            “หุบปากซะ ฉันไม่เกี่ยวเรื่องตัวการอะไรนั่น ที่ฉันจะช่วยก็แค่ทำลายยันต์เท่านั้น ของแบบนั้นนายตามสืบเองเถอะ” ไคสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจ

            “ก็ได้..ความจริงแล้วฉันก็ไม่เคยคิดจะพึ่งแกอยู่แล้วล่ะ แต่พอลองคิดดูแล้วที่ที่น่าสงสัยก็คงจะเป็นห้องพระ ห้องศิลปะ กับ ห้องของชมรมอื่นๆ นะ” ไคลองนึกภาพขณะที่โตตามหาตอนกลางคืน “ตอนกลาง คืนเท่านั้นที่พี่โตจะออกตามหายันต์ได้อย่างอิสระ แต่ถึงอย่างนั้นห้องเหล่านี้ก็จะถูกลงกลอนทำให้เข้าไปตรวจสอบไม่ได้ จึงมีโอกาสสูงที่จะไม่เจอในห้องเหล่านั้น”

          “ฟัง ดูฉลาดนะ เพราะแบบนั้นวิญญาณจึงอยู่แต่ในห้องนายจึงมองไม่เห็น...แต่ว่าถ้าเป็นแบบ นั้นเวลาที่นายเรียนตลอดหนึ่งสัปดาห์ยังไงก็ต้องเข้าห้องพระ กับห้องศิลปะในคาบเรียนอยู่ดี แต่กลับไม่เจออะไรผิดแปลกเลยไม่ใช่หรือไง” หลักการของเอธรแย้งกับเด็กหนุ่มได้อย่างมีเหตุผล

            “อา..แต่ บางห้องที่ปิดไม่ให้คนนอกเข้านอกจากคนในชมรม อย่างห้องของชมรมทำงานบ้านที่เป็นห้องวิทยาศาสตร์เก่าก็ยังปิดไม่ให้คนอื่น เข้าเลยนี่” ไคโต้แย้งอย่างมั่นใจ

            “นั่นสินะ หรือก็คือ... ห้องเฉพาะ”

            “ถูกต้องแล้ว!”

          เมื่อ ได้ข้อสรุปดังนั้นไคจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นห้องเฉพาะของแต่ละชมรม ซึ่งตอนนี้บางห้องก็เปิดให้เข้าไปเล่นกิจกรรมเนื่องจากเป็นงานเทศกาล ส่วนบางห้องนั้นก็ปิดเพราะไม่มีใครอยู่ในห้อง

            เด็กหนุ่มเดินขึ้นอาคารอีกครั้ง คราวนี้เขาเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นหลังจากที่หาเป้าหมายโดยใช้หลักการ ไคใช้วิธีซึ่งง่ายที่สุดในการเข้าห้องชมรมต่างๆ ด้วยการเข้าไปใช้บริการของแต่ละชมรม เริ่มแรกที่ชมรมทำอาหารซึ่งเป็นห้องคหกรรมโดยมีการเปิดให้ทุกคนเข้ามารับการ สอนทำอาหารโดยเสียเงินคนละ 50 บาทค่ายืมวัสดุและวัตถุดิบ ซึ่งจะมีคนของชมรมคอยควบคุมดูแลอยู่ตลอดเวลาการทำ และก็เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มคิดไว้ มีเหล่าวิญญาณเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งอยู่ภายในห้องนอกจากนั้นเมื่อเอธรค้นภายใน ห้องยังพบยันต์ถูกซ่อนอยู่ในตู้เก็บจานชาม เด็กหนุ่มทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ กับชมรมที่เปิดให้เข้าไปในห้อง แล้วแอบแกะยันต์ออกมา จากชมรมทำอาหารมุ่งไปสู่ชมรมภาพยนตร์ ต่อด้วยชมรมวรรณกรรมซึ่งจะเปิดห้องสมุดให้ทำกิจกรรมแข่งขันแต่งเรื่องสั้น ผ่านไป 20 นาทีหลังจากการเข้าร่วมโดยหลีกเลี่ยงการเสียเวลา จึงรวบรวมยันต์มาได้ 2 ใบจากการตามหามาสามห้อง

            “แบบนี้...คงจะพอลดจำนวนลงได้บ้างนะ” เด็กหนุ่มปาดเหงื่อซึ่งไหลเข้าตา

            “คิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้นเลยเหรอไงเจ้าโง่ แค่สองใบน่ะมันไม่ระคายเคืองอะไรเลยด้วยซ้ำ!”คำพูดที่ตัดกำลังใจแบบนี้ช่างสมกับเป็นเอธรเสียจริงเด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น

            “ห้องที่เปิดให้เข้าร่วมรู้สึกจะมีห้องโถงการแสดงด้วยนะ แต่กว่าจะเปิดก็บ่ายโมงระหว่างนั้นลองเดินหาที่ชมรมพฤกษศาสตร์ชั้น 5 ดูก็ดีนะ” หลังจากเด็กหนุ่มเสนอก็ไม่รอช้ารีบเดินขึ้นไปยังชั้น 5 ทันที

            ระเบียงชั้น 5 จะยื่นออกไปมีลักษณะคล้ายดาดฟ้าทอดยาวตลอดตัวอาคาร มีหลังคาเรือนกระจกเป็นโดมใสครอบคลุมไว้เป็นแนวยาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า ต้นไม้นานาพันธุ์เรียง รายตลอดทางเดิน แต่นักเรียนทั่วไปไม่อาจจะเข้าไปข้างในโดมได้เนื่องจากเพื่อป้องกันไม่ให้ สภาพแวดล้อมเสื่อมลงจากการเด็ดหรือการกระทำใดๆ ที่ส่งผลต่อต้นไม้

            ทว่าวันนี้เป็นโอกาสพิเศษที่คนในชมรมและคณาอาจารย์อนุญาตให้นักเรียนเข้าชม ได้ทีละกลุ่ม  แต่หากมาคนเดียวก็ยินดีให้เข้าชมได้ทันทีหากคนไม่ล้นโดม

            อย่างไรก็ตามช่างเงียบเหงาและเป็นชมรมที่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจเท่าไรนัก จะมีก็เพียงหนุ่มสาวเข้าไปเดินเล่นกันอยู่สองสามคู่กับคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสะดวกในการค้นหามากกว่าชมรมอื่นๆ

            “เอ่อ…ถ้าจะเข้าชมนี่ต้องทำยังไงหรือครับ” เด็กหนุ่มถามรุ่นพี่สาวที่นั่งเฝ้าทางเข้าอย่างเขินอาย

            เด็กสาวกลัดเข็มประจำชั้น ม.5 ผมปล่อยผมยาวสลวย ใบหน้าสดใสเงยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “อ๋อ ไม่ต้องทำอะไรหรอกน้องจ่ายค่าเข้าชม 10 บาทแปะสติ๊กเกอร์ก็เข้าได้แล้วจ้า”  เธอแบมือเป็นการใบ้ว่าส่งเงินมา พลางใช้อีกมือถือสติ๊กเกอร์ไว้

            เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋าสตางค์เปิดช่องเก็บเหรียญยื่นให้รุ่นพี่ แล้วเดินเข้าไปในโดม

 (‘เสียค่าขนมปังไป 20 กว่าบาท เสียค่าเข้าชมรมคหกรรม 50 บาท เสียค่าเข้าชมรมภาพยนตร์ 20 บาท เสียค่าเข้าชมรมนี้อีก 10 บาทหมดไป 100 บาทแล้วสินะฉัน....เอาเถอะเพื่อโรงเรียนและชมรม!’) เขาคิดในใจขณะเดินควานหายันต์ภายในแต่ละจุดของสวนพฤกษศาสตร์

             ขณะค้นหาไคก็ชะงักเมื่อนึกเรื่องสำคัญได้ (‘ว่าแต่แกยังกลัวเจ้าตัวการแท้ๆ แต่ทำไมถึงยัง..ร่วมมือกับฉันทำลายยันต์ล่ะ ทั้งที่แกอาจจะซวยไปด้วย เอธร’) เด็กหนุ่มติดต่อกับร่างทิพย์ของเอธรผ่านความคิด

            “ตูดของใครอึแล้วก็ต้องล้างเอง ยันต์นั่นเป็นฝีมือของฉันดังนั้นคนที่จะทำลายมันก็คือฉันมันก็เท่านั้นแหละ เลิกจับผิดฉันแล้วหาต่อไปซะ” เสียงพูดแสดงออกถึงความรำคาญ

          ระยะ เวลาผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่ากลุ่มหนุ่มสาวที่เดินอยู่ข้างหน้าดูแปลกพิกล ทั้งที่เดินอยู่ในสวนแต่ทำไมเท้าจึงไม่เลอะดินเลยแม้แต่น้อย  นั่นทำให้เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกผวา “จะว่าไงดีล่ะ.....เจอจุดแล้ว..ล่ะมั้ง!?”

          สัก พักกลุ่มคนที่เดินอยู่เบื้องหน้าก็หยุดยืนอยู่ข้างต้นไม้ซึ่งดูแล้วเหมือนจะ เป็นต้นไทร เด็กหนุ่มไม่รอช้าเดินไปยังที่หมายทันที คนเหล่านั้นเป็นวิญญาณอย่างแน่ชัดดูได้จากร่างกายซึ่งโปร่งแสงและท่าทางดู เหม่อลอย

            “เจอแล้วสินะ” เอธรน้ำเสียงดูดีใจ

            “อา...น่าจะอยู่ที่ต้นไทรล่ะนะแต่.....ส่วนไหนล่ะ!?” ไคเหงื่อตกและคิดหนัก เพราะถ้าหากยันต์อยู่สูงจนต้องปีนแล้วละก็เขาไม่อาจทำได้ในขณะที่คนของชมรมเฝ้าดูอยู่หรือแม้แต่เอธรซึ่งเป็นกายทิพย์ก็ไม่อาจจับต้องสิ่งของได้

            “ฉันจะหาให้เองพอเจอแล้วจะมาบอก ระหว่างนั้นแกหาวิธีแกะยันต์ไป”เอธรพูดขณะลอยสำรวจเป็นวงกลมรอบต้นไม้

            เด็กหนุ่มนั่งกัดฟันครุ่นคิดอยู่ใต้ต้นไทร เขาหาทุกวิถีทางที่จะแกะยันต์หากมันถูกแปะไว้บนต้นไม้ ซึ่งไม่นานนักเอธรก็ลอยลงมา "เสียใจด้วยนะ.."

            (‘ไม่มีงั้นหรือ?’) เด็กหนุ่มดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะก้มลงคิดต่อ ทว่าเมื่อลองก้มดูเด็กหนุ่มก็สะดุดตากับป้ายข้อมูลของต้นไทร มันดูใหม่กว่าป้ายชื่อของต้นอื่นๆ ราวกับเพิ่งจะนำมาปักไม่กี่วันก่อน

            เขานั่งยองมองดูแผ่นป้าย พิจารณาจนแน่ใจแล้วว่าถูกพิมพ์ขึ้นมาใหม่ จึงใช้ตัวเองกำบังทำทีเป็นอ่านแล้วแกะกระดาษข้อมูลออกมาจากป้ายที่ทำด้วยฟี เจอร์บอร์ดเกินคาดที่อีกหน้าหนึ่งของข้อมูลเป็นยันต์ (‘เจอแล้ว..แต่ฉลาดกว่าที่คิดแฮะ เขียนยันต์ไว้ที่อีกด้านหนึ่งของกระดาษแล้วนำมาแปะให้เห็นเป็นข้อมูลสินะ..’) ไคพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงขณะที่เอธรร่ายมนต์คลายอาคมยันต์

            “ต่อไปที่ไหนดีล่ะ..” เอธรถามอย่างสนใจ

            “เจ้าตัวการเป็นคนที่ฉลาดมาก....และซ่อนของเก่งซะด้วย..ถ้าเป็นแบบนี้คงหาแค่ผิวเผินไม่ได้ซะแล้วสิ” เด็กหนุ่มเกาศีรษะเช่นเคย (‘ไม่ใช่แค่ใช้ประโยชน์จากยันต์ของพี่โตกับเอธร..แต่ยังเอามาใช้เป็นของตัวเองได้อีก ที่สำคัญใช้ได้อย่างฉลาดมาก...หึ’)

            เด็กหนุ่มวางมือลงจากศีรษะ “ที่ศาลเจ้ากลางแจ้ง”

            “เห...นอกอาคารงั้นเหรอ!?”

            “ศาล เจ้ากลางแจ้งอยู่ติดกับอาคารเรียนจึงไม่แปลกที่จะโยงถึงกันได้ นอกจากนั้นที่นั่นยังไม่มีใครเข้าไปใช้มาเป็นชาติแล้ว เก่าพอตัวจะมีวิญญาณก็ไม่แปลก..และเพราะถึงจะมีก็ไม่แปลกนี่ล่ะจึงเหมาะแก่ การซ่อนยันต์ผีผ่านไงล่ะ” ไค ไม่รอช้ารีบวิ่งลงไปยังชั้นหนึ่งทันที เขาต้องรีบทำเวลาเพราะยันต์ต้นฉบับนั้น หากไม่รีบแกะยันต์อันอื่นออกให้หมดก่อนก็ไม่มีโอกาสหาเจอได้ง่ายๆ นอกจากนั้นยังอาจทำให้มันมีพลังมากกว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่

            เมื่อไปถึงที่หมายเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าศาลเจ้ากลางแจ้ง ลักษณะคล้ายบ้านไม้ธรรมดา มีศาลพระภูมิตั้งอยู่ข้างหน้า ประตูไม่ได้ลงกลอนเพราะเปิดให้คนเข้าไปไหว้พระได้ แต่น้อยคนนักที่จะเข้าไป เด็กหนุ่มเห็นเจ้าที่เจ้าทางเป็นกลุ่มไอสีขาวปกคลุมบริเวณรอบศาล ราวกับห่อหุ้มบางสิ่งบางอย่างเอาไว้

            ทันทีทันใดเมื่อเด็กหนุ่มก้าวเท้าเดินไปยังหน้าประตูไม้พลันได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู “อย่าเข้าไป” เขาชะงักอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลั้นลมหายใจบอกกับตัวเองว่าคงเพียงหูฝาด แล้วผลักประตูเข้าไป

            ภายในศาลเจ้ามืดสนิท ไม่มีแสงเล็ดลอดผ่านช่องไม้ช่างแปลกตา เขามุ่งหน้าเข้าไปอย่างใจหวั่นแต่ก็ต้องยอมทำเพราะหากปล่อยไว้จะยิ่งลำบาก ปัง!!  ประตูปิดเอง! เด็กหนุ่มใจหายวาบ ความหนาวเย็นเริ่มกระจายไปทั่วห้องกลิ่นของไม้และไอชื้นลอยฟุ้ง อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศแบบนี้ชวนให้นึกถึงตอนที่เขาอยู่ในห้องพระแล้วเผชิญหน้ากับวิญญาณ ร้าย เหงื่อของเขาไหลพรากเข้าตาจนแสบ สายตาของเขากวาดดูทั่วห้อง มืดจนมองแทบไม่เห็นแม้แต่ภาพลางๆ เงียบกริบไม่ได้ยินเสียงผู้คนในงานเทศกาลเลยแต่เพียงน้อย  หัวใจเต้นระรัวราวกับเสียงกลอง ตุบๆ ตุบๆ ! มืด! มองไม่เห็นอะไรเลย เด็กหนุ่มสับสนในใจราวกับคนตาบอด

            (‘มันต้องอยู่ในนี้แน่...แต่ทำไมล่ะ!? ดูมีพลังมากกว่าอันก่อนๆ ในห้องชมรมอีก’) สัมผัสทั้งห้าของเด็กหนุ่มเริ่มชา ทั้งที่น่าจะเป็นห้องเล็กๆ ที่เปิดมาก็เจอหิ้งพระได้ทันที แต่ครั้งนี้กลับดูกว้างราวกับหลุดไปอีกโลกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

            “โยม..ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ” เสียงหนึ่งลอยเข้ามาในหัวของไค... เสียงที่ฟังแล้วดูอบอุ่น เป็นเสียงที่คืนสติให้กับเขา

            เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับตัวเองกำลังยิ้มอยู่ เขาพอจะรู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร ถึงจะหลุดเข้ามาในหัวแค่เพียงไม่กี่วินาที ก็ทำให้อุ่นใจได้มาก (‘พระ...อาจารย์’) เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องที่โจเคยพูดถึงเกี่ยวกับพิธีกรรมซึ่งย้ายพระอาจารย์จากห้องพระมาอยู่ที่ศาลเจ้ากลางแจ้ง.. ใช่แล้ว! ที่ที่เขายืนอยู่นี้เอง

            “ขอบคุณครับ” ไค ตั้งสมาธิเดินตรงไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ผ่านไปทีละก้าว เขาเดินเป็นเส้นตรง อย่างที่เขาสังหรณ์ใจไว้ ภายในห้องนี้กว้างขึ้นทั้งที่ปรกติเดินแค่ก้าวสองก้าวก็ถึงหิ้งพระแล้วแท้ๆ แต่กลับไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่ถึงสักที

            (‘เอธรแกรู้วิธีออกจากความมืดนี้รึเปล่า!?’)

            “ไม่ไหวหรอก นี่ไม่ใช่มนต์คาถาของมนุษย์แต่เป็นพลังอำนาจของวิญญาณเร่ร่อนนับร้อยนับพัน..ฉันคนเดียวไม่ไหวแน่”

          (‘นั่นสินะ...แม้แต่พระอาจารย์ก็ยังไม่สามารถสะกดไว้ได้ ไม่ใช่แค่ตนสองตนแน่ๆ’) เป็นไปตามอย่างที่เด็กหนุ่มคิด เพราะถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม แต่มีสายตานับร้อยที่กำลังจับจ้องไปยังเขา สายตาที่เย็นชา สายตาที่ไร้อารมณ์ สายตาที่ไร้แววความมีชีวิต สายตาเหล่านั้นมองเห็นเขา

            เด็กหนุ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศแฝงไปด้วยแรงกดดัน เขาเริ่มจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของหลายตัวตน การมีอยู่ของใครหลายคนนอกจากเขา

          ไค เริ่มเข้าใจแล้วว่าภูตผีที่น่ากลัวนั้นยังไม่อาจน่ากลัวมากกว่าการอยู่ใน ความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุด เขายอมมองเห็นวิญญาณนับพันดีกว่าอยู่ในความมืดที่ไร้หนทางเช่นนี้ แต่ถึงเช่นนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้

            เขาเริ่มคิดหาทางขณะเดินต่อไปเป็นเส้นตรง (‘จะทำยังไงดี... หาทางไปต่อยังไงดี..คิดสิคิด’) เขาสั่งตัวเองอย่างเจ็บใจ (‘ไฟมือถือ..ไม่สิของแบบนั้นมันใช้ไม่ได้หรอก......เอาวะ’) เด็กหนุ่มใช้มือล้วงกระกางเกงคว้ามือถือกำไว้แน่นแล้วหยิบออกมากดมั่วๆ อย่างไรก็ได้ให้มีแสง ทว่า...เขาก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี

            “เห..ฉลาดดีนี่..ไฟมือถืองั้นเหรอ”เอธรพูดราวกับตัวเองมองเห็น

            “เอ๊ะ! นี่นาย..มองเห็นงั้นเหรอ!”

            “อา.......นี่แกมองไม่เห็นจริงๆ เหรอฉันยังเห็นแกลืมตาอยู่เลยนะ...”

         “ก..ก็มองไม่เห็นจริงๆ นี่!”

          “หรือว่า...!?”

          “หรือว่าอะไรวะ”

          “ผีบังตา...”

          “ผีบังตา!?”

          ใช่ แล้ว...เป็นอย่างที่เอธรพูด ตอนนี้ที่แผ่นหลังของไคมีวิญญาณเด็กขี่หลังปิดตาอยู่ ทว่าเด็กหนุ่มไม่สามารถสัมผัสวิญญาณได้เขาจึงไม่อาจแกะมือออก! เด็กหนุ่มนึกถึงคำพูดของพระอาจารย์ (‘ตั้งจิต...ให้เป็นสมาธิ’) ความเงียบเข้าครอบงำ เด็กหนุ่มหลับตานึกถึงภาพพระพุทธรูปสีทองอร่าม แม้ตอนนี้ร่างกายของเขาจะหนาว แต่จิตใจกลับร้อนระอุดั่งไฟ เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น

            “ฉัน....สวดมนต์ไม่เป็น...นายช่วยทีสิเอธร” สุดท้ายแล้วเขาก็พบทางออกที่ดีที่สุดพบ

            “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ของกล้วยๆ ถ้ากะแค่วิญญาณตัวเดียวละก็นะ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มผมยาวก็ร่ายมนต์สลายวิญญาณ

            เสียเวลาไปห้านาที กว่าจะร่ายมนต์เสร็จ วิญญาณของเด็กก็ยอมปล่อยมือออกจากตาของไค เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น คราวนี้เขาออกจากความมืดได้  ทว่าถึงอย่างไรก็ตามเขาก็ยังมองเห็นแค่เพียงแสงจากโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

            “เอาวะ..ก็ยังดีกว่ามืดสนิทมิดลูกตาล่ะนะ” เด็กหนุ่มถอนหายใจขณะเหงื่อตก เพราะเขารับได้ถึงแรงกดดันรอบข้าง และเพราะเริ่มมองเห็นจึงรู้ถึงตัวตนนับพันที่จ้องมองเขาอยู่

            “ขอบคุณฉันซะล่ะ แกคนเดียวตายแหงแซะ”

          “ชิ ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละน่า!” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่พอใจ (‘กลับบ้านไปจะอ่านหนังสือสวดมนต์เป็นเล่มๆ จนจำขึ้นใจเลยคอยดู’)

            เด็กหนุ่มสังเกตเห็นหิ้งพระอยู่รำไรจึงเริ่มออกตัววิ่งทันที “ในที่สุด!!” 

  “ในที่สุดก็เจอสินะ”

 “อา...ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ...ว่าจะมาอยู่ที่นี่..จริงๆ”

..........................................................................................................................................................

            ปัจจุบัน

          หลังจากวิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยก็มาจนถึงหิ้งพระจนได้ “แฮ่กๆ ! ถึงแล้ว”

          “ชิ เหนื่อยง่ายจริงนะแกเนี่ย”

          “ก็เออสิวะตูไม่ได้ถอดจิตเหมือนเอ็งนี่!!!” ไคพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ว่าแต่ทำไมมันไกลขนาดนี้ฟระเนี่ย”

          “บาง ที...อาจเป็นเพราะมีวิญญาณนับร้อยนับพันมารวมกันอยู่ในที่แคบๆ จึงต้องขยายอาณาเขต หรือไม่ก็... เพราะยันต์ผีผ่านขยายขอบเขตของวิญญาณ เดิมทีที่นี่ก็มีวิญญาณไม่ใช่น้อยๆ อยู่แล้วนี่นะ”   เอธรอธิบาย

           “แบบนี้ก็เล่นเอาเหนื่อยแฮะ!”

            “เอาล่ะ! มันน่าจะอยู่สักที่แถวหิ้งนี่ล่ะ รีบหาให้เจอกันเถอะ” เอธรออกคำสั่งอย่างรีบร้อนซึ่งก็ทำให้ไคขมวดคิ้วไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็หมดแรงที่จะต่อต้านใดๆ

ไค มองหาทั่วทั้งบริเวณหิ้ง ทั้งหยิบมาดูใต้องค์พระ ทั้งค้นกระถางใส่ธูป ทั้งดูใต้เทียนขนาดใหญ่ แม้แต่หาใต้จานรองเทียนก็ไม่พบ เอธรก็ไม่มีท่าทีว่าจะเจอ เด็กหนุ่มเริ่มเหนื่อยแล้วนั่งลงพัก ขณะเดียวกันก็คิดหาสถานที่ซ่อนของยันต์

             “หรือว่าจะ…” เด็กหนุ่มตากลมโต ขณะนึกอะไรออกในชั่ววินาที ก่อนจะใช้สองมือคลำหาใต้หิ้งพระ สัมผัสของเด็กหนุ่มคลำหาสิ่งแปลกปลอมอย่างสุดความสามารถ

              ทว่า... “ไม่มี.....” เด็กหนุ่มทำทีถอดใจก่อนจะส่ายหน้าสะบัดความท้อแท้ทิ้งไป

            เขาเริ่มใช้ความคิด และนึกถึงนิสัยของตัวการที่ซ่อนยันต์บางที่อย่างแนบเนียน แม้บางครั้งจะหาเจอได้ง่าย แต่บางที่กลับหาได้ยาก และยากขึ้นไปอีก เด็กหนุ่มนึกถึงยันต์ที่พบในโดม ซึ่งนั่นสามารถบ่งบอกได้ว่า ยันต์ไม่จำเป็นจะต้องเขียนลงบนแผ่นกระดาษเปล่าเท่านั้น

            ทันทีทันใดเด็กหนุ่มรีบนึกหาสิ่งที่พอจะใช้เขียนยันต์ได้ภายในห้อง เขาสาดแสงมือถือหาไปทุกจุดอย่างละเอียด และสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างกระถางธูป

            “หนังสือสวดมนต์...” ไคเปิดหาอย่างละเอียดทีละหน้า จนกระทั่งจบเล่ม

            “มันจะไปมีได้ยังไงกันเล่ายันต์ผีผ่านกับหนังสือพระไม่เข้ากันเลยซักนิด” เอธรตอกย้ำเข้าสู่กลางใจของไค

            “หุบปากน่า! นายเองก็ช่วยคิดซะบ้างสิฟะ”        

          “อย่ามาสั่งฉันนะ! จะว่าไปรีบๆ เข้าหน่อยก็ดีนะ หึๆ เพราะถ้าชักช้าฉันเกรงว่าพวกที่อยู่รอบข้างเราตอนนี้จะไม่อยู่เฉยซะน่ะ”คำพูดชวนให้เด็กหนุ่มสงสัย

            “หมายความว่าไง?” หัวใจเต้น ตุบๆ เด็กหนุ่มกวาดสายตามองเหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่ใกล้เข้ามาทีละนิด “พ...พวกมันเคลื่อนที่ได้” เขารีบคลานถอยหลังจนชนกับหิ้ง “พวกมันจะทำอะไรเรา?”

          “ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผีเร่ร่อนจะมุ่งเข้าหาคนน่ะนะ แต่ถ้าจำนวนมากแบบนี้ต่อให้เป็นฉันก็ไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ รีบๆ หาเข้า”น้ำเสียงฟังดูปลุกเร้าให้รีบหาในทันที

            ด้วยความรีบร้อนและลนลานเขารีบนำองค์พระวางลงกับพื้น ยกกระถางธูปและจานเทียนลงจากหิ้ง ก่อนจะรีบเคลื่อนย้ายหิ้งออกจากบริเวณที่มันอยู่

            “แบบนี้นี่เอง…” น้ำเสียงของเอธรประหลาดใจ

            “อา.......ในเมื่อหาบนหิ้งหรือใต้หิ้งไม่เจอก็มีอยู่วิธีหนึ่งที่จะซ่อนให้มิดชิดล่ะนะ” เด็กหนุ่มพูดขณะใช้ท่อนแขนปาดเหงื่อที่ไหลลงหน้าผากพรากๆ

            บริเวณที่เคยตั้งหิ้งอยู่มียันต์จริงๆ แต่ทว่าเขาก็พบกับสิ่งที่เหนือคาดอยู่เช่นกัน “นี่มัน..อะไรกัน!?” ยันต์ที่ปรากฏบนพื้นไม่ได้ถูกเขียนลงด้วยกระดาษ แต่เป็นการขูดขีดใส่พื้นไม้เป็นรอยยันต์ และนั่นทำให้เขาไม่มีเวลาคิดมากนัก         

            “เห..”

            “อย่ามัวแต่เหสิโว้ย รีบคลายมนต์ซะ” ไคตะโกนสั่งเอธรอย่างรีบร้อนขณะคว้ากุญแจบ้านจากกระเป๋าขูดขีดพื้นห้องที่มีรอยยันต์

            “ชิ! ก็บอกว่าอย่าสั่งฉันไงเล่าไอ้เบื๊อกเอ๊ย!!”

          สุดท้ายแล้วเอธรก็ยอมคลายมนต์ของยันต์ ขณะที่เหล่าวิญญาณเร่ร่อนยังคงคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ

            “ท...ทำไมมันยังไม่หยุดเคลื่อนเข้ามาล่ะ” ไคพูดเสียงหลง

            เอธรที่คลายมนต์เสร็จก็เริ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วิญญาณมากันเยอะขนาดนี้ต่อให้ทำลายยันต์สำเร็จ ก็ไม่ใช่ว่าจะหายไปล่ะนะ...ก็แค่จะไม่เพิ่มมากไปกว่านี้เท่านั้นเอง”

          “ล..แล้วจะให้ทำยังไงกันล่ะทีนี้”

          ความหนาวเย็นยังไม่มีท่าทีว่าจะหายไป เหล่าวิญาณเร่ร่อนยังคงมุ่งตรงมายังเด็กหนุ่ม ซึ่งเขาไม่อาจหาวิธีต่อกรได้

            เขาคว้าหนังสือสวดมนต์ที่วางอยู่กับพื้นมาถือไว้ในมือที่สั่น ไล่เปิดหน้าอย่างรวดเร็วจนดูลำบาก เขาแทบไม่มีสติความกลัวกำลังปกคลุมจิตใจ เขาได้แต่ภาวนาให้ใครมาช่วย

            แอด!! ตึก! ตึก! ตึก! แสงสว่างรำไรไกลออกไปดูจะเป็นแสงที่ลอดผ่านประตูก่อนจะมืดมิดลงทันหลังจากเสียง ปัง!! มีใครบางคนกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มร่า

            “ฮิฮิฮิ...โชคดีจริงๆ นะที่ฉันไม่ได้อุดอู้อยู่ในแต่ในห้องพยาบาล..จริงมั้ย…ไค”

          “พ...พี่โต!!!!”

          ประธานหนุ่มย่างก้าวอย่างช้าๆ เข้าหาไค “พอดีเห็นแกรีบร้อนวิ่งลงมาน่ะ..ก็เลย.ลองตามมา ถึงจะขอร้องให้เอธรช่วยนายไปด้วยแล้วก็เถอะนะ” โตเกาคางขณะยืนเก๊กพูด “ก็ สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีล่ะนะ กำลังคิดว่าจะเข้าไปดีไม่ดี หลังจากยืนลังเลอยู่สิบนาที เพราะกลัวจะขัดแข้งขัดขาแต่ดูๆ ไปแล้วมันไม่น่าจะนานขนาดนั้นสำหรับห้องเรือนไทยเล็กๆ แค่นี้ก็เลย..”

            “เอ่อ..เรื่องบรรยายไว้ก่อนเถอะครับพี่ ช่วยรีบหาวิธีแก้ไขไอ้สถานการณ์ตอนนี้ทีเถอะครับ!!!” ไคตะโกนอย่างรีบร้อนและดีใจ

            “ฮิฮิฮิ วัยรุ่นนี่ดีจริงๆ เน้อ... เอาล่ะ มาทำลายไอบรรยากาศสะอิดสะเอียนนี่กันเถอะ!!”

 

จบตอน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

ปล. รักนะคนอ่าน 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา