How can i say? ให้ตาย....ฉันพูดอะไรลงไป

-

เขียนโดย steponstep

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 07.09 น.

  11 ตอน
  0 วิจารณ์
  14.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 07.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ไปเมกา....ไปเมกา....ไปเมกา...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 
       "ฉันจะกินแมก"
       "เงียบน่า"
        ........
       "ก็ฉันจะกินแมกหนิ ฉันจะกินแมก ฉันจะกินแมก"
       "เงียบได้แล้ว งอแงเป็นเด็กไปได้"
       "ทำไมนายไม่ตามใจฉันหล่ะ ก็ฉันจะกินแมกหนิ ฉันจะกินดับเบิลเบอเกอร์ บิ๊กเฟรนฟราย กับแป๊ปซี่แก้วโตๆอ่า ซื้อให้ฉันซี่ ซื้อให้ฉัน"
       "เอาน่า ซิสเลอร์แทนได้มะ หมูย่างเกาหลีก็ได้นะ ทั้งหมดที่ฉันพูดมายังจะดีกว่าที่เธอเลือกอีก แถม...เมื่อกี๊เธอพึ่งกินแดดดี้โดล์ไปทั้งกล่อง แถมไม่แบ่งฉันด้วย เอาเปรียบฉันชัดๆ เทออยากจะน้ำหนักขึ้น 20 กิโล รึไง ห๊า สั่งแต่อาหารขยะอยู่ได้ โถ่เอ๊ย..."เขาทำหน้าตาบู๊บี๊ แล้วมองหน้าฉันด้วยหางตา แต่ฉันก็ยังหลบตา ทั้งๆที่มันไม่ได้น่ากลัวแม้แต่นิดเดียวเล๊ย
      
       "ก็ฉันไม่ได้กินคนเดียวหนิ" ฉันยังคงแกล้งหลบตาเขา แล้วมองไปที่ท้องของตัวเอง รู้สึกผิดเลยหล่ะสิยะ นายหน้ารองเท้า
       "โถ่เอ๊ย...พูดเบาๆสิ เดี๋ยวคนอื่นก็มาได้ยินหมดหรอก พอโดนไล่ออกแล้วจะมาโทษฉันไม่ได้นะ"เขาจุ๊ปาก เขารีบตอบกลับทันทีด้วยเสียงที่เบาจนเหมือนเด็กพูด
       "ห่วงฉันเหรอ"ฉันแกล้งประเหลาะเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ผู้ชายทุกคนพร้อมที่จะละลาย
       "อะไร เปล่าหนิ ฉันห่วงเงินในกระเป๋าเธอมากกว่า คนอย่างฉันไม่มีทางห่วงเธอแน่นอน สาบาน เชอะ.." บาร์เถียงฉัน หน้าของเขาแดงขึ้นมาทันที เห็นไหมหล่ะว่าวิธีของฉันมันได้ผลเกินคาด ฮึฮึ นายติดกับฉันแน่นอน
       "นี่...โอเค เราจบเรื่องของเราแล้วเรามาเข้าเรื่องงานกันเถอะค่ะ เพื่อนร่วมงาน แต่ที่นี่บรรยากาศมันไม่ดีเอาซะเลย ฉันว่าเราไปคุยกันต่อในแมกโดนัลดีกว่า ที่นี่หน่ะลมมันเย็น เย็น และเย็นมากๆ จนตอนนี้ฉันเริ่มง่วงๆแล้วสิ ถ้านายยังตัดสินใจชักช้าอยู่หล่ะก็ ฉันขอนอนก่อนละกันนะ บายยยยย ไว้คิดได้เมื่อไหร่รีบปลุกฉันด้วย ลาหล่ะ" ฉันยิ้มหวานตาเย้มให้เขาก่อนที่จะล้มตัวลงนอน บนโซฟานิ่มๆหน้าโต๊ะทำงานของฉัน
        ....................
       "ไอ ไอ ให้ตายเถอะ เธอหลับจริงๆด้วย แค่ไม่กี่วินาทีเองเนี่ยนะ อะไรของเธอเนี่ย...ลุกขึ้นมานะยัยอ้วน...จะขึ้นอืดคาออฟฟิตรึไง ห๊ะ "เขาพูดพร้อมกับดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นยืน ชิ...ชิ..ชิ.....นายมันไม่มีความรู้เอาซะเลย ธรรมชาติของฉันก็ต้องเป็นแบบนี้หน่ะแหล่ะ แต่ว่า..ให้ตายยยยยเถอะ..ฉันอ้วนขึ้นแล้วจริงๆ มันมองออกแล้วอย่างงั้นหรอ ใหนอ่าเนี่ย รอบพุงๆๆๆ ฉันพยายามคว้าหาพุงตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับปลาหมึกที่พึ่งขึ้นมาบนผิวน้ำ ว่าแต่น้องพุง อยู่ไหนๆ
       "ไอ ไอ..เธอ เธอเป็นอะไรรึป่าว ฉันเล่นแรงงเกินไปใช่ไหม ฉันหมายถึง...ง" เมื่อเขาพูดจบเขาก็ชี้เพื่อให้ฉันรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ToT เชอะ...ทีฉันไม่เคยห่วง แต่ห่วงลูกมากว่า แย่ชะมัด แต่...ไม่สิ ฉันตั่งหากหล่ะที่โชคดี แล้วลูกก็จะเป็นตัวประกันของฉันนั่นเอง
       "โอ้ยยยย..โอ้ยยย ท้องฉัน ทำไม นาย  ถึง ทำ ร้าย ฉัน "ฉันพูดพร้อมกับค่อยๆ ล้มตัวลงที่พื้นช้าๆ บาร์ตกอกตกใจอย่างมาก หน้าของเขาซีดลงทันที เขายืนนิ่ง มือทั้งสองข้างสั่นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะรีบคุกเข่าลงอุ้มฉันขึ้นมา ฉันมองหน้าเขาได้ถนัดตามากขึ้น ดวงตาคู่ดำสนิทของเขาเริ่มมีน้ำตาออกมาคลออยู่รอบๆ เขาเริ่มทำท่าจะออกวิ่ง ก้นบึ้งในหัวใจของฉันบอกกับตัวเองว่าฉันกำลังจะทำผิดมหัน เขาไม่ผิดอะไรแม้แต่น้อย แม้แต่เด็กที่เกิดมาก็ไม่ต่างอะไรกับปุยนุ่นอันบริสุทธิ์ ฉันต่างหากที่ไม่ยอมเข้าใจว่าคนทุกคนพยายามเข้ามาช่วยให้โลกของฉันดีกว่าเดิมแค่ไหน และที่สำคัญฉันไม่เคยคิดว่าพ่อของลูกฉันจะมีจิตใจที่อ่อนโยนแบบนี้ เขารักเด็กคนนี้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ถึงแม้ความรักนั้นจะไม่มีทางส่งมาถึงฉันก็ตามแต่ฉันกลับรับรู้ได้เสมอ เพียงแต่ ฉันให้สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่ตกตะกอนในใจเท่านั้น ในเมื่อความรักของเขาช่างบริสุทธิ์เช่นนี้ ฉันควรเหรอที่จะรังแกเขาด้วยวิธีโง่ๆอันเห็นแก่ตัว เพียงเพื่อให้ตัวเองได้แก้แค้น ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ ฉันเพียงแค่อยากแก้แค้นเขาด้วยการทำร้ายจิตใจของเขาเล่นๆ แล้วคิดว่าตัวเองจะสนุกขึ้นมา แต่ตอนนี้ฉันทำแบบนั้นไม่ลงซะแล้ว เพราะฉันไม่ควรทำร้ายความรักอันบอบบางของเขาและควรจะห่วงเจ้าตัวน้อยที่เป็นตัวประกันของฉันให้มากว่าตัวเอง เหมือนเขาพยายามบอกกับฉันตลอดว่า คุณพ่อเสียใจรู้มั้ย แต่หนูก็รักแม่นะ ใช่ และเวลาที่ฉันนึกอะไรแบบนี้ขึ้นมาฉันจะตอบกลับในใจเหมือนกันว่า ที่จริงแม่ห่วงตัวเองมากขึ้นเพราะห่วงหนูนะ นักวางมาดอย่างฉันก้อรู้ว่าสิ่งมี่ควรทำที่สุดคืออะไร
      "หยุดนะ ถ้าฉันล่วงหล่ะ" ฉันลืมตาขึ้นเพื่อให้เขารู้ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรและกำลังโกหกเขาอยู่
       "ยัยบ้า เธอเล่นอะไรหน่ะ นี่...นี่...ลูกฉันไม่ได้เป็นอะไรใชมั้ย (ฉันส่ายหัว แล้วอมยิ้มให้เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น) ยัยบ้า ฉันตกใจหมดเลย คราวหน้าห้ามเล่นแบบนี้อีกแล้วนะ ที่แกล้งล้มเมื่อกี๊เดี๋ยวกระทบกระเทือนอะไรขึ้นมาจะว่ายังไง คิดเองไม่เป็นรึไง อ่ะอ่า หรือว่าที่เธอทำแบบนี้เพราะที่จริงแล้วเธอจะอ้อนฉันใช่มั้ย เธอหิวขนาดนั้นเลยหรอยัยอ้วน หรือเพราะว่าฉันหล่อก็เลยแกล้งอ่อยฉัน ก็ได้น้องสาว....พี่ให้อภัย แต่ไม่ต้องลงจากอ้อมแขนอันอบอุ่นของพี่หรอกนะ ฉันจะอุ้มเธอไปจนถึงรถเลย ฉันกลัวเธอทำร้ายลูกฉันอีก และฉันจะเลิกห่วงเงินในกระเป๋าตังค์เธอแล้ว รู้ไว้ซะด้วย"
       "ไอ้บ้า"ฉันตะโกนใส่เขา
       "ไม่ได้ยิน"ดูเขาตอบสิ
       "ไอ้ปัญญาอ่อน"
       "ไม่ได้ยิน"
       "แล้วเป็นบ้าอะไรของนายถึงต้องมาทำงานไซน์เดียวกับฉันด้วยเล่า พอฉันถามนาย นายก็ตอบมั่วจากที่มันควรจะมีคำตอบเดียวให้ฉันแต่นายกลับให้ฉันมาเกือบ 20 คำตอบแล้วนะ โกหกตลอดเลยหนิ หรือว่าความจริง เพราะฉันสวยมาก จะจีบฉันใช่มั้ยๆๆๆๆ บอกความจริงกับฉันมา"
       "ความจริงก็คือ ฉันจับฉลากได้ตั้งหากหล่ะ ใครอยากจีบเธอ ยัยอ้วน"กริ๊ดดดด อะไรๆก็ยัยอ้วน เป็นการโกหกครั้งที่ 21 เก่งมากคุณพ่อ
       "โกหกอีกแล้ว ในบริษัทใหญ่ๆแบบนั้นไม่มีทางทำอะไรติ๊งต๊องแบบนี้แน่นอน จับฉลากหน่ะเหรอ ไม่มีทาง ยิ่งจะเลือกคนไปทำงานที่เมืองนอกด้วยหล่ะก็ "ฉันเถียง
       "หรอจ้ะ...ทีออฟฟิตประหลาดของเธอยังไม่มาทำงานกันตอนกลางวันเลย อะไรก็เกิดขึ้นได้ เชื่อฉันสิ ตอนแรกฉันคิดว่าโชคดีที่จะได้มาดูแลเธอใกล้ๆ แต่ตอนนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้ว"หวังว่าครั้งนี้เขาคงไม่โกหกฉันนะ เขาก้มลงมากระพิบตาข้างเดียวให้ฉันพร้อมกับเดินเร็วขึ้น ฉันชักสงสารแขนของเขาแล้วสิ ฉันคงตัวหนักขึ้นจริงๆด้วย
       "บอกแล้วว่าที่จริง นายอยากจีบฉัน ถึงยอมทำแบบนี้"
       "ฉันห่วงลูกมากกว่า เพราะมีแม่ที่คิดอะไรไม่ค่อยได้อย่างเธอนี่ไง เห็นไหมว่าฉันมีพระคุณกับเธอมากแค่ไหน เลิกเซ้าซี้ฉันได้มั้ย รำคาญ สรุป ก็คือ ฉันจับฉลากได้จริงๆ เชื่อฉันเถอะนะ สาบานเลยอ่ะ" 
       "ฉันจะแกล้ง...เชื่อนาย" พูดตอบเสียงเรียบจนดูราวกับเชื่อฟังเขาทุกคำพูด
       "ฉันก็จะแกล้งคิดว่าเธอเชื่อ"เขายิ้มพร้อมกับกอดฉันแน่นขึ้น ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และมีอีกเสียงในใจที่ดังขึ้นอย่าร่าเริง เราเป็นครอบครัวแล้วนะคุณแม่ ถึงแม้จิตใต้สำนึกของฉันอยากจะตอบเขาดังๆว่า ยังหรอกลูก แต่ฉันกลับเลือกอีกคำพูดที่อยู่ตรงข้ามกัน ใช่ เราเป็นครอบครัวแล้วจร้ะ
...........................................................................................................................................................
       วันแห่งเริ่มต้นการทำงาน....ทำให้แมกโดนัลเงียบเหงาลงถนัดตา แต่โชคของฉันยังไม่ดีพอ ถัดจากโต๊ะที่ฉันนั่งไปอีกสองสามโต๊ะมีกลุ่มของเด็กนักเรียนหญิงม.ปลายนั่งกัดแฮมเบอร์เกอร์กันอย่างเอร็ดอร่อยแถมยังแอบมองบาร์ไม่ได้หยุด รวมทั้งกำลังซุบชิบกันอย่างเมามัน หรือว่าพวกเขากำลังแอบเมาท์ฉันรึป่าวนะ มีการแอบเหลือบมามองฉันด้วย  แหม เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้จริงๆ บางครั้งฉันก็อยากเป็นคนดีแสนดี แต่ตอนนี้ เมื่อฉันเจอบรรยากาศแบบนี้ หึหึ ฉันอยากเลวขึ้นมาแล้วนะยะ ขอหาอะไรสนุกๆทำบางเถอะคอยดูละกัน ในเมื่อเราสองคนก็คุยเรื่องงานกันจนสำเร็จครบทุกเรื่องและทุกขั้นตอนหมดแล้ว ถ้าหากว่าจะต้องปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์มากกว่านี้รับรองว่าโลกใบนี้ที่นอกจากจะอยู่ยากแล้วคงน่าเบื่อขึ้นอีกเป็นกอง ฉันจึงถามนายหน้ารองเท้าด้วยคำถามที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินมาก่อน
       "นี่...นายเคยเห็นรูปอัลตร้าซาวลูกของเราแล้วใช่มั้ย" เขาทำหน้างงๆ พร้อมกับพยักหน้าเมื่อฉันเริ่มพูด เด็กนักเรียนนักกลับเริ่มนิ่งเงียบหมือนอย่างกับจะแอบฟังพวกเราอยู่ หนอยแน่ เป็นด็กเป็นเล็กแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัยงั้นหรอ ดี ได้การหล่ะ
       "ใช่...แม่เธอ เอามาให้ฉันดูเมื่อวาน"เมื่อเขาพูดจบ ฉันยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะพูดว่า
       "อยากจับเขาดูมั้ยหล่ะ"เขาอึ้งอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาคงตามสิ่งที่ฉันคิดอยู่ไม่ทัน
       "อืม..ไม่อยากรู้หรอว่าเขาโตรึยัง"ฉันรีบฉวยโอกาศพูดต่อโดยไม่เว้นระยะให้เขาพูดแทรก เมื่อฉันพูดจบ เขาก็ยิ้มกว้างออกมาจนฉันไม่คิดว่าเขาจะดีใจขนาดนี้
       "เธอไม่ได้พูดเล่นใช่มั้ย งั้นฉันขอ ..ขอ ...จับหล่ะนะ"เขาค่อยๆเอื่อมมือลงมาจับที่ท้องของฉันอย่างเบามือราวกับกำลังโอบอุ้มปุยนุ่นอย่างไงอย่างงั้น เขาช่างดูอ่อนโยนมากจริงๆ จนฉันไม่คิดว่าเขาคือเพื่อนคนเดิมของฉัน
       "นี่..ไอ ทำไมลูกไม่ดิ้นเลยหล่ะ แถมท้องเธอยังแฟบอยู่เลย"
       "ตาโง่ พึ่งเกือบๆ 2 เดือนเองนะ เด็กยังตัวแค่ 5 เซนเอง ยังดิ้นไม่ได้หรอก"ฉันยิ้มพร้อมกับเอามือของตัวเองวางทับบนมือของเขาแล้วจึงกดมือของเขาให้สัมผัสกับท้องของฉันได้มากขึ้น
       "ทีนี่ลองใช้ใจฟังดูแล้วจะรู้ว่าลูกพูดอะไรกับเธอ ความลับของฉันก็คือ ฉันสามารถฟังสิ่งที่ลูกคิดได้นะ"นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันไม่ได้โกหกในวันนี้
       "ยัยบ้า เล่นอยู่ได้ แล้วลูกพูดอะไรกับฉัน "ถึงแม้เขาจะกัดฉันแต่ก็ยังแอบมีความเป็นคุณพ่ออยู่สูงมากๆ
       "อยากรู้จริงเหรอ " ฉันถามเขาด้วยรอยยิ้ม
       "ใช่ ฉันอยากรู้จริงๆ"
       "ฟังฉันดีๆนะ เพราะฉันจะพูดแค่ครั้งเดียว ลูกบอกฉันว่า ลูกรักเธอ"เมื่อฉันพูดจบ ใบหน้าขอบาร์แทบจะกลายเป็นตัววี เขายิ้มจนน้ำตาหยดออกมา ฉันก็รู้สึกปลื้มใจจริงๆที่เป็นแบบนี้ เด็กนักเรียนที่นั่งอยู่ต่างก็คุยกันสียงดังขึ้นในทันทีหลังจากที่ผลการสังเกตุออกมาว่าฉันท้อง จิตใต้สำนึกของฉันทั้งสนุกและสะใจ เป็นไงหล่ะเด็กๆ แอบฟังผู้ใหญ่มันไม่ดีนะจร้ะ แต่ฉันอยากจะพูดจริงๆว่า ผู้ชายคนนี้หน่ะของฉันนะยะ ให้ตัวฉันเองได้รู้สึกเหมือนกับฉันกำลังเป็นนางเอกหนังดังก็ไม่ปาน ต่างกันก็เพียงแต่ เพื่อนคนนี้ที่ฉันเคยทะเลาะด้วยทุกวัน กลับกลายมาเป็นคนในแบบที่ฉันคิดเสมอว่าชาตินี้คงไม่มีทางหาคนประเภทนี้มาเดินเคียงคู่ชีวิตได้ ช่างอ่อนโยนและไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาน่าเบื่อแม้แต่น้อย และไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปขนาดนี้หรืออันที่จริงเขาเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ที่สำคัญ ในเวลา.....นี้ฉันคงทำอะไรไม่ได้นอกจาก ยิ้ม ยิ้ม และยังคงยิ้มต่อไปเรื่่อยๆ
   ......................................................................................................
         ถึงแม้เวลาบนโลกนี้จะเดินไปเร็วแค่ไหน แต่ความเร็วของวีซ่าไม่ได้เดินตามมาด้วย ทุกคนที่ไปทำงานที่จะไปทำงานที่เทคซัสต่างกลุ้มใจกันทั้งหมด เพราะถ้าเราไปเสนองานกับเขาช้าหล่ะก็ มีหวังคงโดนสถาปนิกเจ้าถิ่นแย่งซีนแน่ๆ แถมงานของพวกเรายังทำไปแล้วครึ่งทาง ซึ่งไม่มีทางหยุดได้แล้วในตอนนี้ ฉันเองมีหน้าที่เลือกวัสดุให้เข้ากับอากาศของที่นั่น ฉันนั่งจมอยู่กับสีสันที่ซ้ำซากมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ มันช่างเป็นเรื่องชวนอ้วกให้กับฉันอย่างมาก ส่วนบาร์ก็ไม่ได้ต่างกันนัก เขาต้องขนงานกลับไปทำที่ห้องของเขาเสมอ ส่วนฉันต้องแอบขนเอกสารไปทำที่บ้านด้วยเช่นกัน ถ้าแม่รู้หล่ะก็...ว่าเวลาของการพักผ่อนที่ฉันเคยมีลดลงไปอีกสองถึงสามชั่วโมง มีหวังฉันคงโดนไล่ออกจากบ้านจริงๆแน่ ตอนนี้ฉันกับบาร์ยังไม่ปรึกษาเรื่องชีวิตคู่หรือการจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันแม้แต่น้อย ทุกๆวันมีแต่งาน งาน งานและงาน และฉันเองก็ยังไม่อยากคิดเรื่องนั้น ฉันยังติดนิสัยแบบเด็กๆที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน ถ้าไม่อยู่กับแม่หล่ะก็ แล้วใครจะรับฉันได้หล่ะ จริงมั้ย แต่เมื่อฉันโหมทำงานหนักขึ้น ฉันก็เริ่มมีบางสิ่งที่ผิดปกติไป จากเมื่อก่อนที่ไม่เคยตื่นมาอาเจียนตอนเช้ากลับทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน คุณหมอ(แม่)ของฉันบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ฉันรู้ดีว่าสาเหตุหลักมาจากอะไร ทุกๆวันฉันมักจะหน้ามืดตอนหลังจากที่เข้าออฟฟิตเสมอ ฉันจึงต้องนั่งอยู่กับที่นั่งตลอดอย่างกับมีรากงอกทะลุลงไปสักครึ่งตึก บอสก็เอาแต่ชมว่าฉันขยัน อดทน สมกับที่จบจากมหาลัยชื่อดัง โดยที่เขาไม่รู้ความจริงใดๆ ต้องขอบคุณกลุ่มผู้ร่วมงานของฉันมากๆที่มาเริ่มทำงานตอนเช้าแล้วกลับบ้านเหมือนคนปกติ แต่ฉันรู้ดีว่าคงเป็นแบบนี้ไปอีกไม่นาน เมื่อหมดงานนี้ ออฟฟิตแห่งนี้จะกลับคืนสู่สภาพสังเวียนผีดิบดังเดิม ฉันยังคงเลือกวัสดุอาคารต่อไปเรื่อยๆเหมือนมันไม่มีที่สิ้นสุด ฉันเริ่มเวียนหัวเล็กน้อยอย่างที่เคยเป็น ฉันคว้าแซนวิสอันโตที่ทำเองเมื่อเช้ามากิน อาการต่างๆก็ดีขึ้น 
       "เฮ้ย...น้องไอ..กินทั้งวัน กลายเป็นหมูแน่น้องเอ้ย"พี่อชิแซวฉันทันทีที่เห็นฉันกัดลงไปคำแรก
       "โถ่..พี่อชิคะ งานเครียดซะขนาดนี้จะไม่ให้โมโหหิวได้ไงคะ ยอมเป็นหมูดีกว่าค่ะพี่"ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบดี บอสก็เข้ามาพร้อมกับชุดสูทแบบมาเฟีย ในมือของเขาคือวีซ่าของทุกคน งานทั้งหมดหยุดลงในทันที ในไม่ถึงครึ่งวินาทีเสียงโห่ร้องดีใจก็ดังระงมไปทั่วออฟฟิต ฉันเองได้แต่นั่งปรบมือ และรับมันมาเก็บไว่ในกระเป๋า แล้วทำงานต่อได้ไม่นาน ฉันง่วงมากจนต้องค่อยๆฟุบหลับไปบนโต๊ะ ฉันรอว่าจะมีใครมาปลุกหรือไม่...แต่ก็ไม่มี ฉันจึงปล่อยให้ตัวเองหลับไปอย่างใจเย็น
         บาร์บอกให้ฉันรู้หลังจากที่ตื่นขึ้นมาว่าบอสของฉันเป็นคนบอกไม่ให้ใครมาปลุกฉัน เพราะฉันทำงานแบบไม่ได้ลุกไปไหนเลย ทั้งๆที่ความจริงฉันลุกไม่ได้ เพราะกลัวเป็นลมตายคาออฟฟิตต่างหาก
                                     ...........................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา