How can i say? ให้ตาย....ฉันพูดอะไรลงไป

-

เขียนโดย steponstep

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 07.09 น.

  11 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 07.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) เมื่อเล่าปี่ ปะทะ โจโฉ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บอร์ดดิ่ง!!!

                ตัวหนังสือที่วิ่งขึ้นมาบนบอร์ดเหนือศรีษะของเราทุกคนทำให้ฉันรู้ว่าแถวที่เราต่อกันเกือบยี่สิบนาทีกำลังจะยุติลง ฉันก้าวขาที่ใกล้จะเป็นตะคริวของตัวเองออกช้าๆจนเหมือนกับคนแก่ที่กำลังเดินมาข้างๆฉันอีกสองคน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก เพื่อนร่วมงาน ของฉันนั่นเอง อันที่จริงควรเรียกว่าผู้อาวุโสที่ทำงานด้วยกันมากกว่า ทริปนี้มีคนไปด้วยกันทั้งหมดเพียง 6 คนเท่านั้น  คนแก่ทั้งสองคนนั้นเป็นวิศวกรที่มาจากบริษัทของบาร์ มาเพื่อเป็นผู้ต่อรองในการก่อสร้างเท่านั้น  รวมแล้ว...ในความคิดของฉัน งานใหญ่แบบนี้เราควรต้องมีคนไปทำงานมากกว่านี้สิ แต่นี่...อะไรกัน มีเพียงคนจากบริษัทของบาร์ 3 คน และจากออฟฟิตของฉันอีก 3 คน เมื่อมองไปข้างหน้าของพี่อชิ หญิงแก่ๆ ที่มีลักยิ้มแสนสวยคือ ป้าโจโจ เธอเป็นสถาปนิกผู้ก่อตั้งออฟฟิตของฉันร่วมกับบอส แถมเธอยังเป็นคนตั้งชื่อออฟฟิตด้วย และคุณป้าโจโจมีหน้าที่เดียวกับชายสองคนนั้น คือ การต่อรอง ฉันอยากรู้จริงว่ามันสำคัญถึงขนาดต้องเอาคนต่อรองมาถึงอเมริกาแต่กลับให้วิศวกรกับสถาปนิกชั้นแนวหน้าอยู่ที่เมืองไทยแต่กลับส่งเด็กที่พึ่งทำงานเป็นมาทำงานถึงหน้าไซน์อย่างฉันกับบาร์ หรือไม่อย่างนั้นก็คงเพราะค่าตัวของพี่อชิแพงเกินไป สถาปนิกผู้ช่วยจึงจำเป็นต้องเป็นเด็กใหม่อย่างเรา ตอนแรกฉันไม่เข้าใจเหตุผลจริงๆว่าทำไมการทำงานมันต้องเป็นแบบนี้ ฉันรู้เพียงว่างานของเราคือต้องไปทำงานต่อเติมความหรูหราสไตน์ไทยให้กับคาสิโนสุดหรูแห่งลาสเวกัส ที่มีชื่อว่า JiBBorn เหตุผลว่าทำไมต้องเป็นความสวยงามแบบไทยหน่ะเหรอ เหตุผลมันช่างง่ายนิดเดียว เพราะภรรยาคนใหม่ล่าสุดของเจ้าของคาสิโนแห่งนี้คิดถึงประเทศไทยอย่างหนักหน่วง เธอจึงขอร้องให้เขาต่อเติมความเป็นไทยให้กับคาสิโนนี้ แถมยังทำอาบ อบ นวดแบบไทยขนาดใหญ่ที่มีเธอเป็นมาม่าซังเองเสียด้วย เธอคงฟันถึงสิ่งนี้มานาน ฉันคิดว่าคงหาที่ไหนในไทยไม่ได้แน่นอน และที่สำคัญเมื่อฉันขอพี่อชิดูแบบก่อสร้างของอาบ อบ นวดโดยรวมแล้วยังมีห้องแยกเป็นห้องย่อยๆเข้าไปอีก ฉันจึงเข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไร ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่สาวนักเที่ยวแต่ฉันก็เข้าใจแบบกระจ่างแจ้งแล้วว่าทำไมบอสถึงได้เลือกพี่อชิ หวังว่าเมื่อมันเปิดตัวเมื่อไหร่ ที่นี่คงจะเป็นที่ๆคนเข้ามาใช้บริการมากกว่าคาสิโนเสียอีก มันอย่างกับสวรรค์บนดินที่มีโอเอซิสขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางและเมื่อถ้ามองออกไปข้างนอกก็เหมือนกับตัวเองกำลังอยู่บนชายหาดสีขาวแสนสวย หนุ่มนักเที่ยวอย่างพี่อชิออกแบบได้สุดยอดจริงๆ

                ในที่สุด ฉันต้องย้ายมานั่งหน้าบาร์ที่ริมหน้าต่างเพื่อให้พวกเขาทั้งสี่คนเตรียมตัวคุยงานกันได้สะดวกขึ้น ทั้งๆที่ความจริงฉันต้องเข้าร่วมวงด้วย แต่บังเอิญที่มีชาวต่างชาติคนนึงที่พูดภาษาอังกฤษ แทบไม่ได้ ยืนยันเสียงแข็งว่าเขานั่งที่ตรงนี้ ข้างๆสี่คนนี้ ทั้งๆที่ความจริงนั่นคือที่นั่งของฉันต่างหาก แต่เมื่อผู้อาวุโสไม่อยากมีเรื่องกับเขาแถมงานของฉันยังเป็นงานหน้าไซน์มากกว่าที่จะต้องมานั่งคุยกันล่วงหน้า พวกเขาจึงเนรเทศฉันให้มานั่งตรงนี้แทน เหงาจริงๆ แต่มันแย่ที่ว่า มันคือที่นั่งติดกับประตูทางออกฉุกเฉิน ซึ่งแน่หล่ะ ถ้าเครื่องบินตกเมื่อไหร่ตำแหน่งที่ฉันนั่งต้องเป็นคนเปิดประตูนี่ เมื่อฉันมองไปที่ป้ายคำเตือนที่อยู่ถัดออกไป มันช่างเหมือนกับฉันย้อนเวลาไปตอนที่เล่นไวกิ้งที่ดรีมเวิร์ลกำลังเคลื่อนตัวออกยังงัยยังงั้น เพราะตาของฉันถูกล็อกไว้ที่คำว่าห้ามคนท้องนั่ง เมื่อกี๊หมอนั่นเป็นคนยืนยันเสียงแข็งให้ฉันมานั่งตรงนี้ เชอะ...นายมัน มัน มัน ฮึ่ย...ฉันควรด่าสถาณการณ์หรือเริ่มด่าเขาก่อนดี

                มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ในขณะที่เครื่องบิน..กำลังแล่นไปบนปุยเมฆสีขาว อาหารที่มาเสริฟล้วนเป็นอาหารแบบอเมริกัน รสชาสมันๆเลี่ยนๆ ซึ่งมันทำให้คนไทยเกือบทั้งหมดพยายามแย่งอาหารไทยที่มีจำนวนจำกัดบนเครื่อง ฉันเป็นคนนึงที่พลาดอาหารไทยถาดสุดท้าย ฉันจึงต้องบังคับบาร์ให้แลกอาหารกับฉัน ถึงแม้ว่าอาหารอเมริกันอย่างสปาเก็ตตี้ที่อยู่ตรงหน้าของฉันจะเป็นอาหารที่ฉันคุ้นเคย แต่กลับแทบจะกินมันไม่ได้ด้วยซ้ำ นอกจากสีของมันจะบอกให้รู้ว่าสายการบินนี้สามารถสกัดน้ำมันเองได้แล้ว กลิ่นของมันดันเหม็นมากๆ อย่างกับขยะเน่า บาร์แอบลุกขึ้นมาดูฉัน พอเขาเห็นว่าฉันแทบไม่แตะอะไรเลย เขาก็บังคับให้ฉันกินเดี๋ยวนั้น ฉันค่อยๆกล้ำกลืนมันลงไปในคอทีละคำๆ ฉันกินไปได้แค่ครึ่งถาดก็หมดความอดทน ฉันค่อยๆลุกอย่างมีมารยาทไปที่ห้องน้ำแล้วปล่อยมันออกมาทางปากจนหมด แย่ชะมัด หิวก็หิวแต่ก็กินอะไรไม่ได้ โอ้ย...ทรมานจริงๆ เมื่อฉันเปิดประตูห้องน้ำออกมา ก็พบว่าบาร์ยืนอยู่ข้างหน้าพอดี เข้าดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ แถมยังหน้าซีดกว่าฉันที่ใกล้จะเป็นลมซะอีก

                “นายเป็นอะไรรึป่าว หน้าซีดอย่างกับอะไร” ฉันถามด้วยอาการที่ไม่สู้ดีนัก

                “ถอยไป ฉัน ฉัน จะ...”เมื่อฉันหมุนตัวเองออกจากห้องน้ำ บาร์ก็วิ่งเข้าไปอาเจียนทันที ให้ตายเถอะ อาหารเป็นพิษแหงๆ แต่เมื่อฉันมองไปรอบๆ ผู้โดยสารทุกคนยังอยู่ในอาการปกติ ยกเว้นก็เฉพาะฉันกับเขา

                “นายเป็นอะไรมากมั้ย นายทำงานหนักไปรึป่าว ไม่ได้นอนหล่ะสิ”ฉันพูดทันทีเมื่อเขาออกจากห้องน้ำ

                “ขอบคุณที่ห่วง ฉันไม่ได้เป็นอะไร ว่าแต่ เมื่อกี๊เธอเข้าไปทำอะไร” เขาคุยกับฉันด้วยสีหน้าอ่อนแรง

                “ทำแบบเดียวกับนายนั่นแหล่ะ แต่ฉันว่าไม่ใช่เพราะอาหารเป็นพิษหรอก ”

                “นั่นสิ ไม่มีใครเป็นอะไรเลย แต่เดี๋ยวนะ งั้นก็เท่ากับว่าเธอไม่ได้กินอะไรเลยหล่ะสิ”สีหน้าเขาเริ่มจริงจัง

                “ใช่ แถมฉันยังกินอะไรไม่ลงเลย แค่เปิดถาดมันก็เหม็นจนฉันแทบทนไม่ได้แล้ว”

                “อ้อ...คงเป็นเพราะเธอแพ้...”ฉันรีบเอามือปิดปากเขา

                “เงียบนะ ความลับ”ฉับแทบไม่มีแรงจะเถียงกับเขา

                “อืม...ความลับ”    เขาเองคงไม่ต่างกัน

                เมื่อเรากลับไปถึงที่นั่ง บาร์หยิบเอากระเป๋าของเขาลงจากชั้นวางแล้วเอาขนมขึ้นมาสองห่อ เขายกให้ฉันทั้งหมดแต่ฉันรับไว้ทั้งหมดไม่ได้จึงยัดให้เขากลับไปหนึ่งห่อเมื่อฉันแกะห่อขนมออก แทนที่อาการจะแย่กว่าเดิมแต่มันกลับดีขึ้น แล้วรีบกินขนมจนหมดห่ออย่างรวดเร็ว เมื่อฉันหันหลังกลับไปมองบาร์เขากลับมีอาการแย่กว่าฉันซะอีก จนฉันชักเริ่มเป็นห่วงแล้วสิ และผู้อาวุโสทั้งสามก็เอาแต่แซวเขาว่าเขาแพ้ท้องแทนเมีย ทั้งๆมันอาจดูตลก น่ารัก แต่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโจษที่แท้จริงหน่ะคือฉัน

                อันที่จริง เมื่อฉันย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องที่บาร์โดนแซว ถ้ามันเป็นเรื่องจริงหล่ะก็ เขาคงช่างน่าสงสารสิ้นดี นอกจากจะโดนฉันกวนประสาทอยู่บ่อยๆแล้วยังต้องมาแพ้ท้องแทนฉันอีกแต่ก็ดีที่ฉันไม่ต้องมีอาการแบบนั้นอีกแล้ว ไม่งั้นลูกฉันต้องอดตายแน่ๆ

                เมื่อฉันก้าวขาเหยียบลงสู่พื้นสนามบินลาสเวกัส ความรู้สึกของฉันมันเหมือนกับกำลังพบชัยชนะอย่างนึงของชีวิต เพราะมันพึ่งจบกับเหตุการณ์อันน่าเบื่อของการต่อเครื่องบิน รวมทั้งอาหารที่เลี่ยนจนแทบจะกินไม่ได้ ฉันรีบยืดเส้นยืดสายทันที เวลาตอนนี้คือ ตีห้าสิบห้านาที ข้างนอกสนามบินยังมืดสนิท แต่หิมะเริ่มโปรยลงมาเหมือนปุยสำลีบางๆ คนเอเชียที่ไม่เคยสัมผัสหิมะอย่างฉันจึงรีบเดินออกไปยืนข้างนอกทันที ถึงแม้ว่ามันจะหนาวมากก็ตาม ส่วนบาร์เอง ถึงใบหน้ารวมถึงสีของเขาใกล้จะเป็นศพมากขึ้นทุกทีแต่ก็ยังอดกระโดดโลดเต้นไม่ได้ ทุกคนเอาแต่ถ่ายรูปกันจนลืมความเหน็บหนาวที่ราวกับจะกรีดเนื้อเราทุกคนกันสนิท

เมื่อทุกคนกลับเข้าสู่ในสนามบิน มันช่างอุ่นจนต่างกับข้างนอกอย่างสิ้นเชิง ร้านขายของด้านในมีโกโก้ร้อนขายในราคาที่เหมาะสมกับฤดูหนาวแบบสุดๆ จะทำไมหน่ะเหรอ มันแพงยังกับแฮมเบอร์เกอร์บิ้กไซน์หนึ่งอันที่แถมโค้กหนึ่งแก้ว แต่สุดท้ายโกโก้ร้อนกลิ่นยั่วยวนก็มาตกอยู่ในมือของฉันจนได้ ฉันต้องตัดใจซื้อมันมาเพราะฉันทนฟังเสียงท้องตัวเองร้องไม่ไหว บาร์ยืนห่างฉันไปเกือบร้อยเมตร เขายังได้กลิ่นอาหารไม่ได้อยู่ดี  ฉันซื้อมาเผื่อเขาอีกแก้วแต่สุดท้ายแก้วนั้นก็เสร็จฉัน

รถจากคาสิโนมารับเราได้ตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน เรานั่งในรถตู้ขนาดใหญ่ที่พร้อมจะจุคนได้มากกว่านี้อีกเท่าตัว ภายในไม่ถึงสี่สิบห้านาทีเราก็มาถึงคาสิโนที่ไม่เคยมีวันหลับใหลซะที ฉันก้าวลงจากรถอย่างระวังเพราะพื้นมีแต่น้ำเปียกไปหมดคงจะเป็นหิมะที่พึ่งละลายสินะ ฉันสูดอากาศที่เย็นสุดขั้วเข้าไปเต็มปอด พวกเราถูกเชิญให้เข้าข้างในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีแต่เจ้าของคาสิโนที่นั่งอยู่เพียงคนเดียว เขาชื่อร็อบ เป็นลูกครึ่งอิตาลีที่ดูภายนอกเหมือนคนเอเชียมากกว่า เขาค่อยๆลุกขึ้นอย่างสุภาพและแนะนำนู่นนี่ไปเรื่อยๆ จนเรา เข้าใจทุกซอกทุกมุมในคาสิโนแห่งนี้ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องมาสาธยายถึงประเทศไทยอีกเกือบชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มคุยถึงงานอย่างจริงจัง เขาให้บริกรพาเราไปที่ห้องพักของแต่ละคน มันช่างหรูหราราวกับในโรงแรมชั้นหนึ่ง รวมถึงบรรยากาศช้างนอกก็สวยมากด้วย เมื่อเก็บของเสร็จ บาร์มาเคาะประตูห้องของฉัน เพื่อชวนฉันไปทานอาหารเช้า แต่ฉันเฉียงกับเขาตั้งนานกว่าจะได้ไปกิน ฉันมีข้อแลกเปลี่ยนกับเขาโดยที่เขาต้องไม่ไปทำงาน ใช่...เขาต้องพักผ่อนมากๆ ฉันอุตส่าห่วงเขาด้วยความจริงใจ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องขาดรายได้ไปหลายชั่วโมงก็ตาม(แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน)

                “ได้...ฉันไม่ไปก็ได้ แต่ต้องให้ฉันอยู่ห้องเธอระหว่างรอ ยุติธรรมมั้ยหล่ะ ” เขาพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาในห้อง

                “หมายความว่าไง ” ฉันพูดพร้อมกับปิดประตู

                “ความจริงก็คือ ฉันลืมแลกเงินดอลล่ามาหน่ะสิ”เขาพูดหน้าตาเฉย

                “โง่จริงๆ ที่จริงนายจะมายืมเงินฉัน ก็พูดมาตรงๆเลยสิยะ อ้อมค้อมอยู่ได้” ฉันพูดกับเขาโดยที่ทิ้งให้เขายิ้มกับฉันอย่างเจ้าเล่ห์

                “อ่ะฮ่า...เธอเดาไม่ผิด แต่...แต่....แต่ ฉันจะไม่เอาเปรียบเธอโดยการขอเงินเธอฟรีๆหรอกนะ ฉันจะทำงานส่วนของเธอให้เป็นการตอบแทน ตอนกลางคืนเธอจะได้หลับอย่างสบาย หรือจะไปช็อปปิ้งก็ได้นะ”

                “หนิ...คิดว่าฉันทำเองไม่ได้รึไง สมองฉันก็มี มือเท้าฉันก็มี แล้วทำไม.....”ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ

                “แต่ลูกฉันจะนอน ”เขายืนกรานเสียงแข็ง ฉันได้แต่ยืนมองหน้าเขา โดยที่เฉียงอะไรไม่ออก

ตื๊ดดดดด......ตื๊ดดดดด......ตื๊ดดดดดด........

                โทรศัพท์ของฉันเอง เมื่อฉันเดินไปดู แม่สุดสวยของฉันโทร.ข้ามประเทศมาเชียวเหรอเนี่ย

                “ฮัลโหล...ไงคะแม่”ฉันรับโทรศัพท์ด้วยเสียงที่ร่าเริง

                “ว่าไง...ลูกสาว ไม่ได้นอนอยู่ใช่มั้ย”แม่ของฉันเสียงสดใสมาก เวลาที่ฉันได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ก็เดาได้เลยว่าคงพึ่งทำคลอดมา เวลาที่ได้ยินเสียงของเด็กที่พึ่งเกิดมามักทำให้แม่ของฉันมีความสุขเสมอ

                “ยังหรอกค่ะ นอนบนเครื่องบินจนเพลียแล้ว แถมตอนอยู่บนเครื่องยังอาเจียน กินอะไรก็ไม่ได้ตลอดเลยด้วย ลูกหนูคงหิวน่าดูเลย แต่น่าแปลกนะคะ ตอนนี้คนที่มีอาการแพ้ท้องหนักที่สุดคือบาร์ค่ะ ส่วนหนูเองอาการดีขึ้นเฉยเลย พอเครื่องลงจอดก็เริ่มกินทันทีเลยค่ะ” ในขณะที่ฉันกำลังมีความสุข บาร์แอบไปค้นกระเป๋าของฉันพร้อมกับคว้าเงินไปเกือบหมด ทิ้งไว้ให้ฉันดูต่างหน้าแค่เงินที่ทำให้ฉันได้กินอาหารได้แค่หนึ่งวัน ทันทีที่ฉันหันไปเห็นภาพนั้น เขากลับรีบวิ่งแบบไม่คิดชีวิตออกไปข้างนอกพร้อมกับปิดประตูดังลั่นอย่างกับฉันจะไปฆ่าเขา ฉันถึงกับปรี๊ดขึ้นมาทันที เขาทำบ้าอะไรของเขา ถ้ากลับมาหล่ะก็นายตายแน่ ฉันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ

                “นี่...ไอ ...เป็นอะไรรึป่าว ทำไมเงียบไปอย่างนั้นหล่ะ แล้วนั่นเสียงอะไร”แม่ทำให้ฉันคืนสติมาได้

                “อ่อ..อ่อ..หนูแค่กำลังนึกหน่ะค่ะว่า ออฟฟิตที่หนูทำงานอยู่เนี่ยมันเพี้ยนสุดๆไปเลย ตั้งแต่บอสไปจนถึงพนักงาน อย่างพี่อชิก็ด้วย คงมีแค่วันสัมภาษณ์งานมั้งคะที่ดูปกติที่สุดแล้ว แต่ไม่..ไม่ปกติหรอกค่ะ เพราะบอสหลอกหนูแถมยังขู่ด้วยว่าต้องทำงานคนเดียวทั้งจริงเราก็มีทีม”ฉันพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

                “เค้าเรียกว่าการรับน้องในที่ทำงาน รู้รึป่าวที่ไหนก็มีทั้งนั้นแหล่ะ ว่าแต่..ที่นั่นอากาศหนาวมั้ยลูก”แม่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเหมือนอย่างเคย ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ

                “หิมะตกเลยหล่ะคะ" บรรยากาศตอนนี้มันทำให้ฉันเลิกคิดถึงบาร์ไปสนิท"พอมันละลายหนูเกือบลื่นตั้งหลายรอบแหน่ะ อยากให้แม่มาเห็นมันจัง ”ฉันพูดพร้อมกับยิ้มไปด้วย

                “ขนาดนั้นเลยหรอ ต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆนะ เธอห้ามเป็นหวัดเด็ดขาด แม่ไม่อยากให้ลูกกินยาอะไรเลย”

                “มันจะอันตรายงั้นเหรอคะ”ฉันเริ่มกลัวขึ้นมาทันที

                “ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่มันเป็นแค่ความต้องการของแม่หน่ะ”

                “ค่ะ..หนูจะจำไว้ แม่คะ...คิดถึงแม่จัง อีกแค่หนึ่งอาทิตย์เราจะเจอกันแล้ว อยู่ที่นี่หน่ะ มันเหงามากๆเลย”

                “อันที่จริง...เพราะเธอไม่มีใครให้ทะเลาะหล่ะสิ”แม่ฉันพูดพร้อมกับหัวเราะ

                “แม่ก็ด้วยใช่มั้ยหล่ะ ไม่มีใครให้ทะเลาะหล่ะสิ หนูหน่ะเกิดมาเพื่อแม่เลยนะ เพราะหนูไงคะ ชีวิตแม่เลยไม่เงียบเหงา”เมื่อฉันพูดจบ ฉันกลับหยุดคิดในสิ่งที่พึ่งพูดออกไป เมื่อกี๊ ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนไม่ใช่คำพูดที่จริงจังนัก แต่ทุกคำล้วนมาจากก้นบึ้งหัวใจของฉันอย่างแท้จริง

                “ใช่...เธอหน่ะเกิดมาเพื่อแม่จริงๆ รู้มั้ย ตอนที่ลูกพึ่งเกิดหน่ะ พอแม่ค่อยๆเอื้อมมือเข้ามาในตู้อบ ลูกของแม่ตัวเล็กกว่าในทฤษฏีที่แม่เรียนมาซะอีก แม่เอาแต่คิดว่า ลูกจะรอดมั้ยน๊า ลูกของฉันจะรอดมั้ยน๊า แต่หลังจากนั้นแม่รู้สึกยังไงรู้มั้ย ว๊าว ฉันเกิดมาเพื่อปกป้องเด็กคนนี้จริงๆ เขาเป็นลูกของฉันจริงๆเหรอเนี่ย”ยังไม่ทันที่แม่จะทันได้พูดจบน้ำตาของฉันก็ไหลเอ่อล้นออกมาทันที ฉันรับรู้ได้ว่าความหมายของคำเหล่านี้หมายถึงอะไร ฉันค่อยๆยกมือขึ้นลูบที่ท้องที่ตัวน้อยของฉันอยู่ตรงนี้ ทำไมตอนแรกฉันถึงอยากทำร้ายเขา ทั้งที่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของฉัน ฉันเริ่มร้องไห้อย่างหนัก ฉันตะโกนในใจดังๆ เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ใช่ ลูกรัก แม่เกิดมาเพื่อปกป้องลูกและรักลูก เข้าใจมั้ย

                “ลูกสาวแม่คงโตขึ้นแล้วหล่ะ ต่อไปห้ามเครียดและห้ามร้องไห้อีก คนเป็นแม่เค้าไม่ร้องไห้กันหรอกนะ เข้มแข็งไว้”

                “ฮ่าๆๆ นั่นสิคะ หนูหนิ ไม่ได้เรื่องเลย”

ฉันพยายามหัวเราะกับสิ่งที่แม่พูด เพื่อให้แม่สบายใจขึ้น ก่อนที่จะวางสาย

                “แม่คะ...มีคำถามนึงที่หนูอยากจะรู้ เมื่อไหร่ลูกถึงจะเริ่มดิ้นหรอคะ หนูรู้สึกกลัว เพราะไม่รู้เลยว่าเขายังแข็งแรงดีอยู่รึป่าว บางทีหนูกลับรู้สึกว่า..” ความจริงฉันหมายถึง ฉันกลัวว่าลูกจะตายในท้องของฉัน

                “อย่ากังวนเลย ยังไม่ถึงเวลา แต่อีกไม่นานเกินรอ คุณแม่มือใหม่จะเริ่มสัมผัสได้แล้วหล่ะ”

                “จริงเหรอค่ะ ตื่นเต้นจัง งั้นหนูไปกินอาหารเช้าก่อนนะคะ หนูรักแม่ค่ะ”ฉันพูดอย่างรีบเร่ง

                “ไอ...กินให้เยอะๆ" เสียงของแม่เบาลง"แม่รักทั้งลูกทั้งหลานเลย”

                “ค่ะ นี่ ยายเค้าบอกว่ารักด้วยได้ยินมั้ย ”ฉันพูดติดตลก พร้อมกับกระแอ่มเสียงในคอ ก่อนจะวางสาย ถึงแม้จะวางสายไปแล้วมือของฉันก็ยังอยู่บนท้องอย่างเดิม ฉันเริ่มดูตัวเองในกระจก แทนที่ฉันจะอ้วนขึ้นแต่กลับผอมลงถนัดตา ฉันค่อยๆยกเสื้อขึ้นเพื่อดูขนาดท้องของตัวเอง ว๊าว....ลูกของฉันโตกว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อนจริงๆด้วย ถึงแม้ว่าท้องของฉันจะนูนขึ้นมานิดเดียว แต่ฉันก็รู้สึกได้ น้ำตาของฉันค่อยไหลลงมาอีกครั้ง ให้ตายเถอะ...ฉันดูแลเขาจนเริ่มโตได้อย่างนี้แล้วเหรอเนี่ย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา