How can i say? ให้ตาย....ฉันพูดอะไรลงไป
-
เขียนโดย steponstep
วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 07.09 น.
11 ตอน
0 วิจารณ์
15.23K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 07.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) สัญญา....ที่ไม่มีวันจบสิ้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ นานแสนนาน....ฉันคิดว่าความรักมักขึ้นอยู่กับเวลาและการพิสูจน์ แต่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอะไรคือความหมายที่แท้จริงของคำว่ารักและอะไร...ทำให้เกิดสองสิ่งที่ทำให้ต้องพิสูจน์รักแท้ ชายหนุ่มคนที่แสนดีที่สุดเท่าที่ชีวิตของฉันเคยพบเจอยืนอยู่ตรงหน้า สองดวงตาจ้องมองกันราวกับคืนวันจะสลายไปในวันรุ่งขึ้น ฉันอยากกอดเขาแล้วบอกกับเขาว่าตอนนี้ฉันอยากให้เราจบสิ้นสัญญานั้นเสียที ไม่ต้องรอคอยเวลาหรือเหตุผลใดๆอีกต่อไป คนที่ฉันพร้อมจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตของฉันและมีหายใจไปพร้อมๆกับเขา คงเป็นเขาเท่านั้น อาร์มี่ ว่าที่คุณหมอที่แสนดีและรอยยิ้มที่แสนหวานอันชวนให้หลงใหล อีกสองเดือนข้างหน้าเขาจะเป็นคุณหมออย่างเต็มตัว เขาคงได้มาเรียนที่โรงพยาบาลนี้ แต่น่าแปลกที่ฉันไม่รู้เรื่องเลย ทำไมเขาจึงไม่ยอมบอกฉันเลยนะ ทั้งๆที่แม่ของฉันก็ทำงานอยู่ที่นี่ มีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วสิ แต่ทุกๆครั้งที่ฉันกำลังตกที่นั่งลำบากเขาจะโผล่เข้ามาได้ถูกเวล่ำเวลาเสมอ อย่างเช่นในตอนนี้ ตอนที่ฉันกำลังคิดว่าฉันไม่เหลือใคร..... เขากับฉันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยม.ต้น เขาเป็นเด็กบ้าเรียนมากๆ ส่วนฉันก็บ้าวาดภาพ คลั่งไคล้งานศิลปะ เราสองคนมีขั่วชีวิตที่แตกต่างกัน แต่เขามักจะดีกับฉันเสมอ จนกระทั่ง.... วันปัจฉิมนิเทศหรือที่พวกเราม.6 เรียกกันว่า วันงานพรอม เขาคือคนสุดท้ายที่มอบของขวัญให้ฉัน ในตอนที่ทุกคนเข้าไปในงานกันหมดแล้ว เขาส่งข้อความในโทรศัพท์มือถือให้ฉันออกมาหา และที่แน่นอน...เขาเข้ามาหาฉันแบบเดียวกับที่ทำในวันนี้ แต่ฉันรู้สึกโชคดีมากกว่าที่ไม่มีใครมาเห็นเข้า ไม่งั้น คงอายเป็นบ้าเลย ในมือของเขาไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้หรือกล่องของขวัญใดๆทั้งสิ้น น่าประหลาดชะมัด "อืม.....นายเรียกฉันมานี่ เอ่อ....นายจะให้ของขวัญอะไรเหรอ ทำไม..ไม่เห็นมีเลยหล่ะ" ฉันถามอาร์มี่ด้วยความประหม่า แล้วชี้ไปที่มือของเขา "อ้อ..ฮ่าๆ..มิสิ แค่เธอยังไม่เห็น ที่จริง....เธอก็ไม่น่าเห็นหรอก"พอเขาพูดจบ ก็ได้ส่งงรอยยิ้มและแววตาที่แสนหวานมาให้ฉัน ฉันเดาว่าตอนนั้นฉันคงหน้าแดงมากแน่ๆ "อะไร หมายถึง ที่นายจะเอามาให้ฉัน หน่ะ ของขวัญไง ของขวัญ"อย่ามองฉันแบบนี้สิ ฉันจะเขินตายอยู่แล้วนะ "ฉันชอบเธอ" "ห๊ะ...." "ตั้งนานแล้ว" "ห๊ะ...." "คบกับฉันมั้ย" "ห๊ะ......" "............"เขาจ้องมองฉันในแบบที่หวังว่าคงจะมีคำตอบอย่างอื่นบ้าง "เอ่อ....ฉัน คือ กำลังตกใจอยู่หน่ะ" "อืม เข้าใจ มันเร็วมาก ฉันเข้าใจ" "ok นาย....คิดกับฉันแบบนั้นจริงๆเหรอ" "แน่นอน ชัวร์" ดีใจจัง....เขาชอบฉัน พระเจ้า.....เขาชอบฉัน แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าความจริงนั้นฉันเองก็ปลื้มอาร์มี่สุดๆไปเลย ปลื้มตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ไม่ว่าจะน้ำเสียงของเขา แววตาที่อ่อนโยน หรือแม้กระทั่งท่าล้วงกระเป๋าที่ดูเก้ๆกังๆ....ทุกๆสิ่งฝังลึกในใจฉันตลอดมา ไม่คิดมาก่อนว่าฉันจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกแบบนี้ เอาหล่ะ...ถึงเวลาต้องตอบคำถามของเขาแล้วนะไอ "ฉันว่า...เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปก่อนดีกว่า"ฉันตอบ "หมายความว่า เธอไม่ได้คิดอย่างที่ฉันคิดกับเธอ....ใช่มั้ย" "ป่าว...ฉันก็ชอบนาย" "แล้วทำไม..." ............................ เราทั้งสองคนหยุดนิ่ง แล้วจ้องมองหน้าของกันและกันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่ฉันจะเริ่มต้นพูดอะไรอีกครั้ง "นับจากนี้เป็นต้นไป เราคงจะแทบไม่ได้เจอกันอีกหรือไม่ได้เจอกันเลย" "แต่ไอ...." "ฟังนะ อาร์มี่ ว่าที่คุณหมออย่างนายเรียนหนักมากแน่ๆ ฉันรู้ ส่วนฉันเองก็เรียนหนักไม่แพ้กับนาย ความหมายของฉันก็คือ เราคงไม่มีเวลาให้กันแน่นอน นายเข้าใจใช่มั้ย" "ฉันเข้าใจ ยังมีเหตุผลอื่นอีกมั้ย" "ใช่....ยังมี "ฉันยืนยัน "ว่ามา...." เขาพูดทั้งที่ยังยิ้มให้ฉันอยู่ "ฉันเดาเอานะ นายเชื่อมั้ย...เราคงได้เจอกันอีกที ตอนใครคนใดคนหนึ่งเรียนจบ(เขาพยักหน้ารับ) กว่าจะถึงตอนนั้น เราสองคนคงต้องเจอคนอื่นอีกมาก ฉันอาจจะไม่ใช่คนที่ใช่ของนาย ส่วนนายก็อาจจะไม่ใช่คนที่ใช่ของฉัน" "อ่าห๊ะ.." "ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่คิดอะไรกับนายนะ เอ่อ...ที่จริงฉันคิด คิดมากๆด้วย แค่ฉันอยากให้เราสองคนให้โอกาสตัวเองก็เท่านั้นเอง" "แล้วถ้าฉันไม่เปลี่ยนใจหล่ะ หมายถึง ถ้าฉันยังชอบเธออยู่" "ฉันก็เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกไง" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ฉันส่งยิ้มให้เขา ก่อนที่เราสองคนกำลังจะเดินแยกออกจากกัน ความคิดบางอย่างก็แทรกเข้ามา "อาร์มี่.....เดี๋ยวก่อน" เขารีบหันหลังกลับมาทันที "ว่าไง.." "ถ้าตอนเราอายุ 30 แล้วยังไม่เจอคนที่ใช่ แต่งงานกันมั้ย" "ให้ตาย..เธอกำลังขอผู้ชายแต่งงานอยู่นะ" "ก็ใช่....ฉันขอนายแต่งงานไง" "ตกลง...ฉันตกลง สัญญาแล้วนะ เชื่อเถอะว่าฉันไม่เปลี่ยนใจหรอก" "นั่นน่าจะเป็นคำพูดของฉันมากกว่านะ" "ฮ่าๆฮ่าๆ" ทั้งฉันและเขาหัวเราะใส่กันโดยที่ต่างคนต่างก็หน้าแดงทั้งคู่ ให้ตาย...ฉันพูดอะไรออกไป เขินเป็นบ้า ทำไงได้ฉันพูดไปแล้วหนิ ช่างมันเถอะ ทันใด....นั้นหน้ากากผีแฟรงเกนสไตน์ที่มีรอยเย็บประมาณ 8 - 9 รอย คงถูกเหวี่ยงมาจากที่ไหนสักที่ ใครกันนะ....โรคจิตรึป่าว เล่นอะไรบ้าๆ ทำให้ฉันกับอาร์มี่แยกไปยืนห่างกันประมาณเมตรได้ ฉันก้มลงเก็บหน้ากากขึ้นมาทันที แล้วจึงเดินหาเจ้าของๆมันทันที "เฮ้...เฮ้...ไอ ไอ เอาหน้ากากฉันคืนมา" ฉันรู้แล้วว่าใคร บาร์ นายเองเหรอที่เป็นเจ้าของไอ้หน้ากากนี่ หนอย....ต้องเจอดีหน่อยซะแล้ว แถมยังมาผิดเวล่ำเวลาด้วย "ใครใช้ให้นายขว้างไอ้นี่มาที่ฉัน ห๊ะ ฉันอยากฆ่านายจริงๆ ถ้าฉันหัวใจวายตายขึ้นมาจะว่ายังไงห๊ะ" "อย่างเธอหน่ะไม่ตายหรอก ยัยโก๊ะ อ่อ...ที่อยากฆ่าฉันเพราะฉันมาขัดจังหว่ะเธอกับแฟนหล่ะสิ โอเค เข้าใจ แต่คืนหน้ากากมาก่อน มามะ" "เอาไปเลย แต่ฉันกับเขาไม่ใช่แฟนกันนะ"ฉันเถียง "อ้าว....จริงเหรอ เมื่อกี้ยังเห็นสวีทกันอยู่เลย" "อะไร..นี่นายแอบดูฉันอยู่เหรอ" "ตั้งนานละ" "โรคจิตป่ะเนี่ย อ้อ..นี่นายจงใจแกล้งฉันใช่มั้ย" "ให้ตายเถอะ...ใครมันจะอยากไปแกล้งเธอ ห๊ะ" "อ้าว....แล้วนายจะโยนไอ้นี่มาที่ฉันทำไม"ฉันประชด "สาวๆในงานตั่งหากที่เป็นคนโยน" "เหอ...อ่อ หรอ" "ช่าย...ก็ฉันใส่หน้ากากไปแกล้งเขามาไง ก็เลย....คนตกใจก็งี้แหล่ะ" "โห.....นายพูดได้ไม่น่าเชื่อมากๆเลยนะ แต่ฉันจะคิดซะว่าเชื่อก็แล้วกัน" "มันต้องอย่างงี้สิ เพื่อนรัก" บาร์มักจะกวนประสาทฉันเสมอ แถมยังโผล่ในช่วงเวลาที่ผิดที่ผิดเวลา แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น ฉันต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยและยังอยู่ในคณะเดียวกันด้วย นรกชัดๆ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราสองคนจะอยู่กลุ่มเดียวกันและยังเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้น เขายัง..... ............................................................................................................. "นี่.....ยัยเอ๋อ เธอมัวยืนอึ่งอะไรเนี่ย จะขอฉันแต่งงานอีกรอบเหรอไง" อาร์มี่เรียกฉันกลับคืนมาสู่โลกปัจจุบัน และรอยยิ้มที่คุ้นเคยก็หวนกลับมาอีกครั้ง "ป่าว ป่าว อะไร ใครจะไปขอเธออีกรอบห๊ะ" "ฮ่าๆ ยังรั่วเหมือนเดิมเลยนะ" เขาหัวเราะขึ้นมาทันที "แน่นอน...ฉันยังเหมือนเดิมอยู่แล้ว" "แล้วยังชอบฉันเหมือนเดิมรึป่าว" ".........." ฉันอ้าปากค้าง และนิ่งอึ่งไปพักใหญ่ๆ "ฉันล้อเล่นน่า แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ ดึกมากแล้วนะ" "มานอน คือ หมายถึงจะมาค้างที่ห้องแม่หน่ะ ไม่อยากกลับบ้านคนเดียว" "อ่อ งั้นเหรอ ดีแล้ว ปลอดภัยดี" "เฮ้....แต่นี่...ที่นายอยู่มาที่นี่ แสดงว่านายมาเรียนที่นี่งั้นเหรอ ทำไมไม่โทร.บอกฉันหล่ะ ให้ตายเถอะ...แม่ก็ไม่บอกฉันด้วย แย่จริง" "อย่าคิดแบบนั้นเลยน่า ฉันไม่ได้มาเรียนที่โรงพยาบาลนี้ ฉันมาเป็นมือปืนตะหาก" "อะไรนะ" "ฉันมาฆ่าคน" "นายพูดจริงหรอ" ตอนนี้ฉันตกใจมาก ............................................... "บ้าไปแล้ว..เธอเชื่อฉันจริงด้วย ที่ฉันบอกว่าเป็นมือปืน มันเป็นภาษาหมอหน่ะ ฉันรับจ้างเข้าเวรกลางคืนแทนรุ่นพี่ฉัน" "แล้วแม่ฉันรู้เรื่องนี้มั้ยเนี่ย..." "ถ้าเธอไม่บอกรับรองว่าไม่รู้แน่นอน" "นายโคตรขี้โกงเลย" "เรียกว่าหารายได้ตะหาก"เขาเถียง "เรียกว่า..งก..ดีกว่านะ ฮ่าๆ ฮ่า" "นั่นสิ...ว่าแต่ เธอเริ่มเมื่อยรึยังเนี่ย ฉันว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่ามั้ย อีกตั้ง 1 ชั่วโมงกว่าฉันจะไปเข้าเวร " "อืม...นายอยากกินกาแฟรึป่าว ฉันพอรู้จักที่เจ๋งๆ อยู่ร้านนึง พวกนุกศึกษาแพทย์ของที่นี่ชอบมากินกัน" "ดีสิ...อยากกินอยู่พอดี เดี๋ยวฉันเลี้ยงเธอเอง นำไปเลยเจ้าถิ่น" "ตามมาเลยค่ะคุณหมอ" ฉันพาอาร์มี่ผ่านทางลัดมาที่หลังโรงพยาล มันคือตรอกเล็กๆ ที่ฉันใช้ผ่านเข้าออกประจำแต่ที่น่าสนใจคือกลิ่นของที่นี่ เมื่อเราก้าวเข้าสู่ทางเดินเล็กๆ กลิ่นไอของบุหรี่ยังคงคละครุ่ง ใช่...มุมนี้คือมุมที่พวกนักศึกษาแพทย์แอบมาสูบบุหรี่กัน จนที่นี่ได้รับการขนานนามว่า smokyway แต่ตอนนี้กลิ่นบุหรี่ชัดเจนมาก จนฉันมั่นใจว่าพึ่งมีคนเข้ามาสูบบุหรี่ที่นี่ คงเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่พวกเขาใกล้สอบแล้วด้วย ...................................................................................................................
บรรยากาศในร้านหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นไอของเม็ดกาแฟบดราวกับว่านี่คือเช้าวันใหม่ ฉันมองไปรอบๆร้านที่ประดับด้วยแสงไปสีส้มอ่อนมันช่างเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้อะไรขนาดนี้โชคดีที่วันนี้ลูกค้าในร้านไม่เยอะมากเราสองคนเลยมีที่นั่ง อาร์มี่เดินตามฉันมาติดๆ และทิ้งตัวลงนั่งตามฉัน เขาสั่งลาเต้ร้อน ส่วนฉันสั่งโกโก้ร้อน พอเป็นพิธี ระหว่างรอ อาร์มี่เล่าเรื่องของเขาสมัยตอนที่ยังเรียนปีต้นๆให้ฉันฟังอย่างสนุกสนาน อีกแค่ 2 เดือนเศษเขาก็จะได้เป็นคุณหมออย่างเต็มตัว อันที่จริงเขาตอนนี้เป็นคนตลกขึ้นมากกว่าตอนม.ปลายซะอีก และมันยังทำให้เขาน่าสนใจมากขึ้นด้วย แต่แล้ว จ๊อกกกก.....จ๊อกกกกกก..... ท้องฉันร้องดังมาก น่าขายหน้าจริงๆ ฉันพึ่งกินข้าวไปเองนะ ร้องอีกเหรอ "โอ๊ะ...ขอโทษนะ ท้องฉันร้องดังมากเลย เสียมารยาทจริงๆ" "สงสัยเขาคงหิวหน่ะ" "อ่อใช่.....นายว่าไงนะ"ฉันโวยวายเสียงดัง "หมายถึงเจ้าตัวเล็กในท้องของเธอไง"เขาชี้มาที่ท้องของฉันแล้วพูดเบาๆ "นาย นายรู้ได้ไง" "อย่าโกรธนะ....ฉันแอบอ่านประหวัดคนไข้บนโต๊ะทำงานแม่ของเธอมา" "ไม่นะ นาย นาย" "ฉันแค่บังเอิญไปเห็น มันเป็นชื่อของเธอ ฉันขอโทษนะ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรร้ายแรง ก็มันดันไม่ไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่หนิ โอเค ฉันผิดจรรยาบรรณ แต่ฉันห่วงเธอก็เลย" "ช่างมันเถอะ...ไม่เป็นไร ในโรงพยาบาล มีแค่นายกับแม่ฉันเท่านั้นแหละ...ที่รู้" "หมายความว่าไง" ฉันจึงจำใจต้องเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง เขายังคงตั้งใจฟังโดยที่แทบจะไม่แตะกาแฟที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ ทันทีที่ฉันเล่าจบ อาร์มี่ค่อยๆพูดแทรกขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล "เธอเชื่อมั้ย....ถ้าสักวันเพื่อนคนนั้นเขาไม่อยากเป็นพ่อของลูกเธอ ฉันหมายถึง ฉันเป็นพ่อแทนเขาได้นะ เพราะตอนนี้...ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ....ฉันก็ยังรักเธอ " "อาร์มี่ ...นาย"
บรรยากาศในร้านหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นไอของเม็ดกาแฟบดราวกับว่านี่คือเช้าวันใหม่ ฉันมองไปรอบๆร้านที่ประดับด้วยแสงไปสีส้มอ่อนมันช่างเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้อะไรขนาดนี้โชคดีที่วันนี้ลูกค้าในร้านไม่เยอะมากเราสองคนเลยมีที่นั่ง อาร์มี่เดินตามฉันมาติดๆ และทิ้งตัวลงนั่งตามฉัน เขาสั่งลาเต้ร้อน ส่วนฉันสั่งโกโก้ร้อน พอเป็นพิธี ระหว่างรอ อาร์มี่เล่าเรื่องของเขาสมัยตอนที่ยังเรียนปีต้นๆให้ฉันฟังอย่างสนุกสนาน อีกแค่ 2 เดือนเศษเขาก็จะได้เป็นคุณหมออย่างเต็มตัว อันที่จริงเขาตอนนี้เป็นคนตลกขึ้นมากกว่าตอนม.ปลายซะอีก และมันยังทำให้เขาน่าสนใจมากขึ้นด้วย แต่แล้ว จ๊อกกกก.....จ๊อกกกกกก..... ท้องฉันร้องดังมาก น่าขายหน้าจริงๆ ฉันพึ่งกินข้าวไปเองนะ ร้องอีกเหรอ "โอ๊ะ...ขอโทษนะ ท้องฉันร้องดังมากเลย เสียมารยาทจริงๆ" "สงสัยเขาคงหิวหน่ะ" "อ่อใช่.....นายว่าไงนะ"ฉันโวยวายเสียงดัง "หมายถึงเจ้าตัวเล็กในท้องของเธอไง"เขาชี้มาที่ท้องของฉันแล้วพูดเบาๆ "นาย นายรู้ได้ไง" "อย่าโกรธนะ....ฉันแอบอ่านประหวัดคนไข้บนโต๊ะทำงานแม่ของเธอมา" "ไม่นะ นาย นาย" "ฉันแค่บังเอิญไปเห็น มันเป็นชื่อของเธอ ฉันขอโทษนะ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรร้ายแรง ก็มันดันไม่ไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่หนิ โอเค ฉันผิดจรรยาบรรณ แต่ฉันห่วงเธอก็เลย" "ช่างมันเถอะ...ไม่เป็นไร ในโรงพยาบาล มีแค่นายกับแม่ฉันเท่านั้นแหละ...ที่รู้" "หมายความว่าไง" ฉันจึงจำใจต้องเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง เขายังคงตั้งใจฟังโดยที่แทบจะไม่แตะกาแฟที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ ทันทีที่ฉันเล่าจบ อาร์มี่ค่อยๆพูดแทรกขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล "เธอเชื่อมั้ย....ถ้าสักวันเพื่อนคนนั้นเขาไม่อยากเป็นพ่อของลูกเธอ ฉันหมายถึง ฉันเป็นพ่อแทนเขาได้นะ เพราะตอนนี้...ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ....ฉันก็ยังรักเธอ " "อาร์มี่ ...นาย"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ