How can i say? ให้ตาย....ฉันพูดอะไรลงไป

-

เขียนโดย steponstep

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 07.09 น.

  11 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.01K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 07.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ความลับที่ไม่อยากรู้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 บัดซบที่สุด!!!! ลิฟท์อพาทเม้นท์ของไอ้เพื่อนบ้านี่ก็ดันมาเสียซะตอนนี้ได้ ทำไมโชคชะตาถึงได้โหดเหี้ยมกับฉันแบบนี้ ฉันได้แต่หยุดยืนเฉยๆที่หน้าลิฟท์เผื่อว่าความสงบเล็กๆหรือเรียกง่ายๆว่าไว้อาลัยให้กับตัวเองนั่นเอง โอเค...มันอาจจะช่วยให้ฉันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอะไรได้บ้าง หลังจากที่ฉันสติแตกอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถ้าการฆ่าตัวตายไม่ใช่สิ่งที่บาปฉันคงทำไปแล้ว ฮือ ฮือ แต่แล้ว ฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เท่าสิ่งที่ฉันเคยเรียนชีวะ สุขศึกษา เพศศึกษาบ้าบอนั่นตอนม.ปลายคงจะช่วยชีวิตฉันได้บ้าง ถึงเวลาที่ต้องใช้พลังสมองของเด็กสายวิทย์ซะแล้ว ว่าแต่...ฉันเรียนชีวะเรื่องระบบสืบพันธุ์ไปตอนม.อะไรนะ แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เอาหล่ะ...ฉันจะต้องเริ่มต้นตรงไหนก่อนดีนะ เอ...เมื่อคืนตอนที่บาร์ทำมิดีมิร้ายกับฉัน ให้ตายเถอะ...ภาพยังติดตาอยู่เลย คงผ่านมาราวๆ 8 ชั่วโมง ให้ตายเถอะ หวังว่าสเปิร์มหื่นๆคงยังไม่ทำอะไรกับไข่ที่น่าสงสารของฉันหรอกนะ ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ฉันรู้แล้ว...ฉันจะลองวิ่งอย่างสุดแรงเกิดลงบันไดไปดีกว่า เผื่อว่าจะกระทบกระเทือนบ้าง ซึ่งการวิ่งลงไปก็จะทำให้ฉันได้ไปซื้อยาคุมกำเนิดให้ทันเวลา นี่หล่ะ..แผนการของฉัน เพราะฉันเองก็คิดออกแค่นี้ 
        ฉันวิ่งลงจากชั้นเจ็ดของตึกไปสู่ประตูด้านหน้า ด้วยสภาพเหงื่อออกจนดูโทรมอย่างกับนักกีฬาโอลิมปิกที่พึ่งลงจากสังเวียน นั่นไง...ร้านขายยาอยู่ฝั่งตรงข้าม เยี่ยม...ฉันจะข้ามไปเดี๋ยวนี้เลย
        เอี๊ยดดดดดดดด.....ตู้มมมมมมมมมมมมม!!!!!
        ฉันหยุดชะงักเมื่อรถยนต์สองคันชนกันเข้าอย่างจัง แถมยังห่างจากฉันไปไม่กี่เมตร กระจกแตกกระจายเกลื่อนไปบนพื้นถนน คนที่เดินบนฟุตบาทต่างกรีดร้องด้วยความตกใจรวมทั้งฉันด้วย ในไม่กี่วินาทีต่อมา เภสัชกรในร้านขายยาก็ออกมาปฐมพยาบาล ว้าว....เขาคือพระเอกในชุดขาวจริงๆ แล้ว.....นั่นเขาจะไปไหน เหมือนว่าเขาจะพาคนเจ็บขึ้นรถยนต์ที่หน้าร้านของเขา คงเป็นรถของเขาสินะ แต่เฮ้!....มาขายยาให้ฉันก่อน ไม่อย่าพึ่งไป อย่ามาทำตัวเป็นฮีโร่ตอนนี้นะ
        บรืนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
        รถยนต์สีดำของเภสัชกรพุ่งพรวดออกจากริมถนนทันที หัวใจของฉันแทบสลาย แถวนี้ไม่มีร้านขายยาอีกร้านซะด้วย ทำไมฉันถึงน่าสงสารขนาดนี้ ฮือ  ฮือ  ถ้าจะไปหายามากิน ป่านนี้คงไม่ทันซะแล้วหล่ะมั้ง ฉันคงต้องกลับบ้านไปสงบจิตสงบใจของตัวเองก่อน ถ้าสวรรค์ยังคิดจะเมตตาฉันอยู่ ขออย่าให้ฉันให้สิ่งที่ฉันจินตรนาการไว้เป็นจริงเลย ด้วยโปรด....
        ในระหว่างที่ฉันนั้นอยู่บนรถเมย์ ความฟุ้งซ่านได้เข้ามาวนเวียนในใจฉันไม่ได้หยุดหย่อน ทั้งภาพเมื่อคืน...ภาพที่ฉันกำลังเลี้ยงลูกในจินตรนาการ โอ่....ฝันร้ยชัดๆ มันทำให้ฉันรู้ว่าควรจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟัง แน่หล่ะ...มันต้องทำให้ฉันดีขึ้น ว่าแต่ฉัน...จะระบายให้ใครฟังดีหล่ะ เรื่องดราม่าแบบนี้
         อ่า...ฉันนึกออกแล้ว ยัยน้ำปลากับยัยผักกาดไง ตอนนี้ยัยสองคนนั้นจะไปทำงานกันรึยังนะ ว้า...สายแล้วหนิหน่า โอ้ย..จะไปหรือไม่ไป ฉันไม่สนหรอก พวกแกต้องมาฟังเล่าเดี๋ยวนี้ ไม่กี่เซี้ยววินาที ฉันจัดการโทร.หาน้ำปลาก่อน แถมยัยนั่นกำลังทำงานอยู่จริงๆด้วย แต่ก็ยังสามารถแอบเจ้านายมาคุยกับฉันได้ ฉันจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้น้ำปลาฟัง ยัยนั่นถึงกับช็อก จะไม่ช็อกได้ไง ขนาดตัวฉันเองยังช็อกเลย ฉันจึงนัดน้ำปลาให้มาค้างที่บ้านฉัน เพื่อจะไม่สติแตกตอนกลางดึก
       ในคืนนั้น...............
       "แกจะไม่คุยอะไรเลยกับบาร์จริงหรอวะ"น้ำปลาถามฉันอย่างระมัดระวัง
       "แน่นอน...ฉันจะไม่คุยกับมัน แต่ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ ฉันยังทำใจไม่ได้จริงๆนะแก เห็นใจฉันหน่อยสิ" ฉันพยายามทำเสียงให้ธรรมดาที่สุด ทั้งที่ในใจก็รู้ว่าพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเวลา
       "นี่ไอ...ฉันเล่าเรื่องของแกให้ผักกาดฟังแล้วนะ มันฝาก....เอ่อ จะพูดยังไงดี ฝากแสดงความเสียใจมาด้วย วันนี้มันมานอนบ้านแกไม่ได้ คืนนี้ติดประชุม"
       "ไม่เป็นไร แค่รู้ว่าจะมีแกสองคนช่วยแก้ปัญหาก็เอาแล้ว"ฉันตอบโดยพยายามฝืนยิ้ม
       "โถ่เอ้ย...พวกฉันรักแกจะตาย เวลาแกมีปัญหาอะไร ถ้าไม่มีพวกฉันแกคงตายแน่ ว่ามั้ย"
       "อืม..." ฉันน้ำตาคลออีกแล้ว
       "ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันอยากให้แกลืมเรื่องคืนนั้นทุกเรื่อง อะไรที่ไม่ดีก็ปล่อยให้มันเลือนหายไปกับกาลเวลา คิดซะว่าตัดวันนั้นทิ้งไปจากปฏิทินของแก แล้วเริ่มนับมันใหม่ที่วันนี้ สิ่งดีๆอาจจะกำลังรอเกิดขึ้นกับแกอยู่ก็ได้ ทำให้ฉันหน่อยได้มั้ย"
       เพื่อนสาวของฉันช่างแสนดีจริงๆในการให้กำลังใจของเธอ จนฉันแทบจะร้องไห้ออกมา แต่ยังพอกลั้นไว้ได้
       "แน่นอน ฉันทำได้แน่นอน"
       "มันต้องอย่างนั้น คืนนี้เรามาหาหนังตลก กับ ร้องคาราโอเกะให้บ้านแตกไปเลย โอป่ะ"
       "เอ่อ...นี่บ้านฉันนะเนี่ย"ฉันแกล้งแหย่ออกไป
       "คิดซะว่าเป็นบ้านฉันแล้วกัน"
........................................................................................
       1 สัปดาห์ผ่านไป ฉันและบาร์ยังไม่คุยกัน โชคดีที่เขาไม่พยายามติดต่อมาหาฉันโดยวิธีใดๆทั้งสิ้น ไม่งั้นฉันคงต้องสติแตกอีกแน่ๆ
       2 สัปดาห์ผ่านไป บริษัทต่างๆที่ฉันและเพื่อนทุกคนไปสมัครงานเริ่มติดต่อกลับมา บาร์ยอมสละที่นั่งให้ฉันแทบทุกบริษัท จนคนอื่นพากันอิจฉา แต่สำหรับฉันกลับรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันเริ่มรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าเรื่องคืนนั้นมันเป็นแค่อุบัติเหตุ จะโทษใครได้ในเมื่อเขาก็เมาจนไม่มีสติ ฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะกลับไปคุยกับเขาเหมือนเดิมในเร็วๆนี้ แต่ต้องหลังจากที่ได้ที่ทำงานเสียก่อน
       หลังจากที่บริษัทต่างๆ ติดต่อกลับมาประมาณ 1 สัปดาห์ ฉันพยายามหาบริษัทที่ดีที่สุด และก็เจอจนได้ สวัสดิการก็สูง เงินเดือนก็ดี เยี่ยมเลย...พรุ่งนี้ฉันจะไปสัมภาษณ์ประเดิมเป็นที่แรก ต้องได้งาน ต้องได้งาน ต้องได้งาน เย้เย้....
   ......................................................................................
       ติ๊ด....ติ๊ด.....ติ๊ด.......
       เสียงนาฬิกาปลุกของฉันดังฉล่มลั่นบ้าน ทำให้ฉันกระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงทันที แล้วจึงรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าสคริปจากหัวเตียงแล้ววิ่งลงไปที่ห้องครัวทันที วันนี้จะหาอะไรมาประทังชีวิตจากตู้เย็นได้มั่งน๊า 
       เอ๊ะนั่น...ใครนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวหน่ะ จะเป็นขโมยรึปล่าว แต่ขโมยต้องมาตอนกลางคืนสิ นี่เช้าแล้ว ไม่ใช่หรอก...ไม่ใช่  
       เอาหล่ะ ฉันต้องค่อยๆเข้าไปดู ใช่....ต้องค่อยๆย่องเข้าไป ไหนขอดูหน้าหน่อยซิ
       "อ้าว...แม่เองหรอเนี่ย " 
       "ก็ใช่หน่ะสิ แกตกใจเวลาเห็นแม่ตัวเองรึไง"
       "ค่ะ วันนี้ทำไมแม่ไม่อยู่ในโรงพยาบาลหล่ะ"
       แม่ของฉันเป็นสูตินรีแพทย์ที่เก่งมาก ปกติแม่จะต้องเข้าเวรตั้งแต่เช้า ไหงมานั่งตรงนี้ก็ไม่รู้ 
       "ฉันมีประชุมตอนเช้า หาคนมาเข้าเวรแทนแล้ว"
       "อ้อ...คิดว่าโดดงาน เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ ถ้าแม่ได้ไปประชุมแต่เช้าอย่างงี้ แม่ก็ใกล้จะได้เป็นผอ.โรงพยาบาลแล้วคะ"
       "อย่าว่าแต่โดดเลย ตายก็ไม่ได้ อีกอย่าง...ฉันหน่ะเหรอจะเป็นผอ. รักอิสระอย่างฉัน ไม่มีทาง แล้ววันนี้แกจะไปสัมภาษณ์งานแล้วใช่มั้ย"
       "ถูกต้องนะคร๊าบ" ฉันเริ่มต้นกวนคุณแม่แต่เช้า
       "นี่แกกำลังตื่นเต้นอยู่ใช่มั้ย"
       "ไม่หนิคะ ตื่นเต้นตรงไหน" ฉันพูดไปงั้นแต่ความจริงตื่นเต้นมากๆ
       "เชอะ...ตอนเด็กชอบเล่นซ่อนหา แต่พอโตมาชอบซ่อนความรู้สึกนะ แล้วอย่าไปทำอะไรเปิ่นๆหล่ะ เดี๋ยวบริษัทจะไล่เธอออกก่อนได้จะทำงาน"
       "เพคะ...หม่อมแม่" ฉันยิ้มก่อนจะรีบตอบ
       นี่คือการทักทายยามเช้าที่ไม่ค่อยมีบ่อยเท่าไรนัก ถึงแม่ของฉันจะเป็นหมอแต่ก็เป็นหมอที่มีมุขตลกอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้ง ฉันแทบแยกไม่ออกว่าแม่เป็นหมอรึว่าเป็นตลกกันแน่
       ฉันไขกุญแจประตูรถ แต่ทำไมหน้ามืดจัง...สงสัยต้องหิวข้าวแน่ๆ ไว้สัมภาษณ์เสร็จก่อนดีกว่าค่อยไปกินข้าวจานโตๆ ฉันขับรถยนต์คันโปรดที่ซื้อมาด้วยเงินจากการทำงาน part time ตลอดชีวิตไปบริษัทอาร์ที กรุ๊ป      
       อ่า...ถึงแล้ว  ฉันก้าวเข้าบริษัทอย่างประหม่า กลัวจริงๆว่าบอสจะถูกใจคำตอบของฉันรึปล่าว หวังว่าคงไม่ใช่ตาแก่โจมโหดหรอกนะ 
       "คุณชื่ออะไร แนะนำตัวหน่อยครับ"
       ตาแก่จอมโหดที่ฉันจินตนาการไว้มาปรากฎอยู่ต่อหน้าแล้ว
      "ชื่อ ไอรดาค่ะ นามสกุล...."
      "อ่า...ไม่ต้องละ มีในใบเอสเสของคุณหมดแล้ว"เขาอยู่อารมณ์ไหนเนี่ย ฮือ ฮือ ฉันจะได้งานมั้ยนะ 
      "ค่ะ" ฉันตอบอย่างประหม่าจนถึงที่สุด
      "คุณพึ่งจบ และยังไม่มีครอบครัวใช่มั้ย"
      "ใช่ค่ะ"
      "ขอโทษด้วยที่ผมถามก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ แต่คุณต้องรู้ไว้ด้วยว่าผู้หญิงที่เป็นสถาปนิกของบริษัทเราหน่ะ ต้องทำงานหนักเท่ากับผู้ชาย คือ พูดง่ายๆนะ คุณจะต้องออกไปดูไซน์งานเอง เขียนแบบเอง สรุปคือ คุณต้องทำเองทั้งหมดนั่นแหละ ที่นี่เน้นเรื่องสไตน์ใครสไตน์มัน  เราไม่ทำงานเป็นทีม ยอมรับว่าหนักนะ แต่ค่าตอบแทนคุ้มแน่นอน (บ้าไปแล้ว...นี่มันโรงงานนรกชัดๆ ) ส่วนใหญ่...ถ้าเกิดมีครอบครัวขึ้นมาจะทำให้ทำงานได้น้อยลง ประเด็นก็คือบริษัทของเราไม่อยากจ้างคนประเภทนั้นอีกแล้ว พอเข้าใจนะ"
      "ค่ะ" ฉันชักหวั่นๆแล้วสิ
      "ประหวัดการเรียนและผลงานของคุณดีทั้งหมด โดยส่วนตัวเนี่ย ผมชอบนะ เอาหล่ะ พรุ่งนี้คุณเริ่มงานได้ ห้ามมาสายและห้ามแอบหลับขณะทำงาน"
      เขายิ้มให้ฉันก่อนที่จะส่งแฟ้มสมัครงานคืนมาให้ฉัน
      "ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ"
      ฉันออกจากห้องสัมภาษณ์อย่างโล่งอก พอมานึกถึงคำพูดของบอส มีครอบครัวงั้นเหรอ ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันต้องรวยและเป็นมหาเศรษฐีตั่งหาก ว้า....ท้องร้องซะแล้ว ไปหาข้าวกินดีกว่า
      ฉันขับรถไปตามถนนสายเล็กๆ เพื่อหาร้านข้าวอร่อยๆ พร้อมกับเปิดเพลงดังลั่นรถ ว๊าว..รู้สึกสบายใจจริงๆ ฉันขับรถไม่เร็วมากเพื่อจะได้ชมบรรยากาศข้างทางแบบชิวชิว รถของฉันแล่นผ่านโรงพยาบาลที่แม่ของฉันทำงาน อีกไม่นานก็จะถึงร้านข้าวแล้ว จะว่าไปฉันน่าจะนัดบาร์มากินข้าวด้วยกันดีกว่า เผื่อจะได้ปรับความเข้าใจกันซักที เอ....โทรศัพท์ฉันไปไหนแล้วนะ ให้ตาย...ตกไปที่พื้นเบาะข้างๆหน่ะเอง ต้องเก็บขึ้นมา อึ๊บ...
      เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมา
      เอี๊ยดดดดดด......ตู้มมมมมมมมมมม...........
      รถของฉันชนเข้ากับรถที่แซงสวนทางมาเข้าอย่างจัง ฉันยกแขนข้างซ้ายของฉันขึ้นมาบังหัวเอาไว้ แต่ตอนนี้มันไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หัวของฉันก็ปวดไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของฉันกำลังกลายเป็นสีขาว หรือว่าฉันกำลังจะตาย ความตายมันเป็นแบบนี้เองเหรอ อะไรกันทำไมมันถึงมาหาฉันไวแบบนี้ ทำไมฉันต้องจากโลกนี้ไปด้วยสภาพแบบนี้ด้วย โลกที่ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่จริงมันกว้างใหญ่แค่ไหนหรือแม้แต่บางสิ่งบางอย่างที่ฉันรอคอยมันคืออะไร ภาพในสมัยเด็กเริ่มผุดขึ้นมาในสมองของฉัน ฉันคิดถึงแม่จังเลย ป่านนี้คงประชุมอยู่ใช่มั้ยหรือกำลังรักษาคนไข้อยู่ แม่คะ...หนูยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าหนูรักแม่ ลาก่อนเพื่อนๆ และโลกที่เคยโอบกอดฉันไว้ ลาก่อน......................................
      ......................................................................
      อ่า...ฉันคงอยู่สวรรค์แล้วสินะ ทำไมบนสวรรค์นี่เย็นจังเลย ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์หนิ นี่มันห้องของโรงพยาบาลที่แม่ฉันทำงานอยู่ เมื่อฉันมองลงไปที่ตัวก็พบว่าแขนข้างซ้ายของฉันใส่เฝือกอยู่ ส่วนแขนขาที่เหลือ ไม่ได้ขาดหายไป ว๊าว...มันอยู่ครบหนิ โชคดีจัง นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มสิบห้านาที ที่เตียงญาติคนป่วยข้างๆมีแม่ของฉันนอนเฝ้าอยู่ มองดูไม่เหมือนหมอจริงๆเลย คงเหนื่อยสินะ ฉันควรจะเรียกแม่ดีรึปล่าว เอาไงดี....ตัดสินใจละ เรียกดีกว่า
      "แม่คะ แม่คะ หนูตื่นแล้ว"ฉันปลุกแม่ด้วยเสียงที่แหบแห้ง
      "อ้าว...ตื่นแล้วเหรอ"แม่รีบลุกขึ้นมาอย่างรีบร้อน แต่ทำไมสีหน้าแม่ไม่ดีเลย แสดงว่าเรามีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอ รึว่ารถคันที่ชนกับฉันตายไปแล้ว ไม่นะ..ต้องไม่ตายสิ ถ้าเขาตายฉันก็บาปหน่ะสิ ขอให้ไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดด้วยเถิด
      "รถคันที่หนูไปชน เป็นยังไงบ้างคะ ยังไม่ตายใช่มั้ย"
      "เขาไม่เป็นอะไรหรอก มีแต่เธอที่เป็น" แม่พูดแปลกๆเฮอะ ชักใจคอไม่ดีแล้วสิ
      "หนูจะเป็นอะไรได้ยังไงหล่ะคะ แค่แขนหักเนี่ยนะไม่เห็นจะหนักหนาเลย ฮ่าๆ" ฉันพูดไปยิ้มไป แต่ก็ยังหวั่นในใจหนักขึ้น เมื่อสีหน้าของแม่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง
      "หนักสิ หนักมากด้วย รู้มั้ย เธอท้อง" แม่พูดด้วยเสียงที่หนักแน่น
      "แม่ว่ายังไงนะคะ" ฉันร้องออกมาเสียงหลง
      "มีแฟนทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนี้ อย่างน้อยก็ควรจะแต่งงานกันก่อนสิ" 
      "หนูไม่มีแฟน"
      "ว่าไงนะ....."แม่อึ้งกับคำพูดของฉัน พร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้ๆฉันเรื่อยๆ
      "หนูพูดจริงๆค่ะ หนูไม่มีแฟน"
      "ถ้าไม่มีแฟนแล้วจะมีลูกได้ยังไง แม่อยากฟังนะ เรื่องทั้งหมดมันอะไรกัน"
     ยังไม่ทันที่แม่จะพูดจบ ฉันคว้าแม่เข้ามากอดพร้อมกับร้องไห้โฮ ฉันพยายามรวบรวมสติก่อนที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่แทบจะร้องไห้ตามฉันเมื่อฉันเล่าจบ แต่โชคดีที่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจฉัน ฉันจึงเริ่มถามในสิ่งที่ฉันอยากรู้ทันที
      "แม่ตรวจเจอเด็กได้ยังไงคะ นี่แค่สามอาทิตย์กว่าๆเอง"
      "ไม่ยากหรอก เธอเลือดออก แม่เองก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วแม่ก็เจอแจ็คพอตเลย"
      "ถ้างั้นหนูก็แท้งแล้วสิคะ" ในใจลึกๆฉันแอบดีใจ
      "ไม่ ยังไม่แท้ง อาการตกเลือดของเธอคืออาการปกติของคนที่ท้องอ่อนๆ ไม่ใช่เพราะที่รถชนอะไรหรอก"
      ทำไมมันถึกจังวะ ฉันว่าความจริงคงเพราะความเก่งของแม่ฉันด้วย เด็กบ้านี่ก็เลยรอด
      "ทำไมไม่แท้งไปเลยนะ บ้าจริง"
      "อย่าพูดแบบนั้นสิ ถ้าฉันพูดกับแกแบบนั้นบ้างแกจะรู้สึกยังไง"
      "แม่คะ แต่นี่หนูไม่อยากให้เขาเกิดขึ้นมาเลยนะคะ แถมไม่ได้เกิดมาจากความรักด้วยแล้วหนูจะรักลงมั้ยล่ะคะ"
       แต่ที่สำคัญ โอ้...ไม่ บริษัทของฉันไม่อยากได้คนมีครอบครัวมาทำงานนี่หนา ไม่นะ ฉันเกลียดแก ไอ้เด็กบ้า เลือกเกิดไม่ถูกเวล่ำเวลา ฉันอยากจะร้องไห้อีกรอบจริงๆ
      "แกโตแล้วนะ ไอ ลูกก็ต้องเจอกับปัญหาบ้าง แล้วลูกต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้สิ "
      "แต่หนูทำให้แม่ต้องอายหนิคะ ป่านนี้คงรู้กันทั้งโรงพยาบาลแล้ว"
      "ไม่มีใครรู้หรอก"
      "เป็นไปได้ยังไง แล้วพวกพยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน..." ฉันตั้งคำถาม
      "ได้สิ แม่มาเจอแกตอนที่กำลังเข้าห้องฉุกเฉิน แม่เลยเข้ามารักษาแกเองเลย แม่ให้พวกพยาบาลคอยทำแผลแต่แม่ตรวจร่างกายไง แล้วตอนที่แกเลือดออก มันไม่ได้ออกมากขนาดนั้น ฉันมีลางสังหรณ์แล้วหล่ะ จังหวะที่ทุกคนเผลอแม่ก็แอบตรวจแบบคร่าวๆ สุดท้ายแม่ก็รู้ความจริงทั้งหมด ถ้าฉันเป็นโรคหัวใจคงตายตอนนั้นแล้ว"
      "หนูรักแม่จัง"
      แม่ฉันยิ้มอย่างเขินๆ ดีใจจังที่คุณหมอยิ้มออกแล้ว
      "สัญญากับแม่นะว่าหลังจากนี้จะไม่ทำอะไรโง่ๆ สัญญาสิ"
      "สัญญา"
      ฉันเอ่ยปากสัญญา แต่ในใจยังคงสับสน ฉันกำลังจะหาทางออกไม่ได้แล้วจริงๆ สงบสติอารมณ์ไว้ก่อน สงบสติอารมณ์ไว้ก่อน....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา