The Esper : Evolution of collapse
8.3
เขียนโดย ขนนกแดง
วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 02.32 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
6,595 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ. 2556 00.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ 2 : Evolution
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความราวกับเวลาได้หยุดลง... ในเสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างได้เกิดขึ้น เหมือนกับยาวนานเป็นชาติภพ ทุกภาพ ทุกฉาก ทุกตอน ชัดเจนจนยากจะลืมเลือน ราวกับเป็นการประชด ดวงตาที่อาบไปด้วยเลือดของเด็กชายจ้องมองและจดจำมันได้ทุกรายละเอียด หูที่อื้ออึงของเขากลับได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน มันยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงที่เด็กชายจะไม่มีวันลืม และเขาจะไม่มีวันได้ยินมันอีกแล้ว...
"พี่....เจรัส..............."
สิ้นเสียงสุดท้าย ร่างของเด็กหญิงก็ถูกโยนทิ้งราวกับเศษผ้ากองหนึ่ง เธอลงไปกองอยู่กับพื้นและแน่นิ่ง เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุดจากบาดแผลของเธอ กรงเล็บของเจ้าตัวประหลาดแทงทะลุอกของเธออย่างสยดสยอง ไม่มีเสียงใดๆ... เธอไม่ทันได้ร้องออกมาด้วยซ้ำ ท้ามกลางความเงียบงัน ดวงตาของเด็กหญิงยังคงเปิดกว้าง แต่มันไร้ซึ่งวี่แววของชีวิตใดๆ เธอจากไปแล้ว...
"ยูอาาาาาาาาาา !!!!..." เจรัสตะโกนขึ้นสุดเสียง ราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง ความเจ็บปวดเหลือประมาณถ้าโถมเข้าใส่เขา มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกายอย่างที่เป็นอยู่ หากแต่มันบีบรัดและทิ่มแทงลึกลงไปในจิตใจของเด็กชาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันเกินที่เขาจะรับได้
ราวกับฟางเส้นสุดท้ายที่เชื่อมเขาไว้กับทุกสิ่งได้ขาดลง ความหวาดกลัวที่มีถูกแทนที่ด้วยความโกรธแค้น เจรัสโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต เขาโกรธจนรู้สึกเหมือนตัวเองจะลุกเป็นไฟ โลกและสิ่งต่างๆรอบตัวเลือนหายไป เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ลมหายใจของตัวเอง ความคิด เหตุผล หรือความรู้สึกใดๆก็ไม่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขาอีกแล้ว สิ่งเดียวที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือศัตรู ศัตรูที่มันพรากสิ่งสำคัญของเขาไปต่อหน้าต่อตา
เจ้าตัวประหลาดหันมาทางเจรัสแล้วกรีดร้องอย่างบ้าครั่ง ภายไต้สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่น้อยนิด เจรัสพบว่าเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายวิ่งเข้าใส่เจ้ายักษ์นั่น ทั่งที่ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เขายังเจ็บจนลุกไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องประหลาดยังคงเกิดขึ้นกับตัวเขาอย่างต่อเนื่อง เจรัสรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้ากำลังวิ่งไปทั่วร่างจนเขารู้สึกชาไปทั้งตัว แขนและซี่โครงที่หักเหมือนจะกลับมาเป็นปรกติอย่างน่าประหลาด หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนสัตว์ร้ายที่พยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ จากนั้นอุณหภูมิร่างกายของเขาก็สูงขึ้นจนผิดปรกติเหมือนว่าตัวเขาจะลุกเป็นไฟขึ้นมาจริงๆ แต่ด้วยความโกรธทำให้เจรัสไม่สนใจสิ่งใด เขาวิ่งเข้าใส่เจ้าตัวประหลาดอย่างไม่คิดชีวิต
เจ้าตัวประหลาดเองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง มันกระโจนเข้าหาเจรัสทันทีเช่นกัน ในจังหวะที่จะเข้าปะทะกัน ด้วยช่วงตัวที่ได้เปรียบกว่ามันเป็นฝ่ายตวัดกรงเล็บตรงเข้าใส่เจรัสก่อน ซึ่งหากดูตามทิศทางที่เจรัสพุ่งไปแล้วเขาคงต้องขาดเป็นสองท่อนอย่างแน่นอน... แต่น่าประหลาด! เจรัสพบว่าตัวเขาเองสามารถหลบการโจมตีนั้นได้อย่างหวุดหวิด แต่เขาก็ต้องเสียหลักล้มกลิ้งไปกับพื้น เจ้าตัวประหลาดเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน มันเสียหลักจากแรงเหวี่ยงของตัวเองจนเซไปกระแทกเข้ากับผนังและปประตูเหล็กจนแตกเป็นทางยาว เจรัสพยายามพลิกตัวเพื่อตั้งหลัก เขายันตัวเองลุกขึ้นด้วยอาการมึนงง อุณหภูมิในร่างกายของเขาก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขารู่สึกราวกับกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายกำลังจะหลอมละลาย เขาสับสนและทรมานกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิด เจ้าตัวประหลาดหันกลับมาและตรงเข้าเล่นงานเขาอีกครั้ง
ชั่วพริบตานั้นประสาทสัมผัสของเจรัสก็ตื่นตัวสุดขีด เขาสัมผัสได้ทันทีถึงแรงสั่นสะเทือนในทุกก้าวที่เจ้ายักษ์วิ่ง ได้ยินแม้แต่เสียงอากาศที่แหวกออกเป็นทาง ในระยะหลายเมตรนี้เจรัสแทบจะมองเห็นรูขุมขนของเจ้าตัวประหลาดนั่นด้วยซ้ำ และเพียงการมองแค่แวบเดียวเขาก็สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวประหลาดออก มันเหมือนกับว่าเขาสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ล่วงหน้า ในเสี้ยววินาทีที่เจ้าตัวประหลาดกระโจนเข้าใส่เขา ภาพเหตุการณ์หลากหลายรูปแบบถูกเรียบเรียงขั้นในสมองของเจรัส ทำให้เขารู้ทันทีว่าต้องตัดสินใจอย่างไร
เจรัสกระโดดหลบไปทางซ้ายในจังหวะที่ฉิวเฉียด พริบตานั้นเจ้าตัวประหลาดก็เข้ามาแทนที่ตำแหน่งเดิมของเขาทันที จนทำเอาพื้นตรงนั้นแตกกระจาย แต่มันก็เป็นไปตามที่เจรัสคิดไว้ เจ้าตัวประหลาดชะงักไปพักนึง เนื่องจากดวงตาที่อยู่ผิดที่ผิดทางทำให้การมองเห็นทางฝั่งขวาของมัน(ซ้ายมือของเจรัส)ไม่ดีเท่าไหร่ มันพยายามมองหาเจรัส แต่เจรัสก็พยายามรักษาระยะให้อยู่ในมุมอับสายตาของเจ้ายักษ์ พลางมองหาจุดที่จะโจมตีและสิ่งที่พอจะเป็นอาวุธได้ ปืนตกอยู่ข้างๆร่างที่แน่นิ่งของยูอา เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในใจเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น และมันก็ทำให้เขายิ่งโกรธแค้นขึ้นไปอีก เขามองตรงไปยังปืนที่ตกอยู่ เขาจำเป็นต้องใช้มัน แต่มันก็อยู่ไกลเกินไป แถมยังมีสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ยืนขวางอยู่อีก เขาต้องโดนจัดการก่อนจะวิ่งไปถึงแน่ๆ
เจ้าตัวประหลาดดูจะหงุดหงิดหนักกว่าเดิมเมื่อมันมองหาเหยื่อของมันไม่เจอ มันกรีดร้องเสียงแหลม จนเจรัสต้องรีบเอามืออุดหูตัวเองไว้ ประสาทสัมผัสที่ดีเกินไปก็ดูจะเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย เจรัสตัดสินใจเป็นฝ่ายลงมือ เขาหยิบเศษคอนกรีตที่ตกอยู่ขึ้นมา แล้วปาเข้าใส่เจ้าตัวประหลาดอย่างสุดแรง ซึ่งก็โดนเข้าที่หัวมันอย่างจัง มันรีบหันกลับมาด้วยความโมโหแล้วเหวี่ยงแขนใส่เจรัสทันที เขากระโดดหลบอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายต้องเสียหลักอีกครั้ง เจรัสอาศัยจังหวะนั้นวิ่งไปยังผนังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกันนั้นเขาก็ล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันคือเครื่องฉายภาพสามมิติของเขานั่นเอง เขารีบกดปุ่มให้มันบันทึกภาพของทางเดินหลักโล่งๆไว้
ในจังหวะที่เจ้าตัวประหลาดตั้งหลักได้ เจรัสก็ไปยืนอยู่ที่ผนังฝั่งตรงข้ามแล้ว เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ได้ดูเป็นผนังแข็งๆ เพราะมันได้ถูกฉายทับด้วยภาพสามมิติให้เห็นเป็นทางเดินโล่งๆที่ทอดตัวยาวออกไป ซึ่งที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้สมจริงมากนักหรอก แต่สำหรับเจ้าตัวประหลาดที่มีสมองอยู่น้อยนิดและกำลังคลุ้มคลั่ง มันพุ่งเข้าใส่เจรัสทันที มันพุ่งเข้ามาสุดแรงเพื่อหวังจะจัดการเหยื่อของมัน
เจรัสยืนนิ่งเพื่อรอจังหวะ เจ้าตัวประหลาดใกล้เข้ามา และในระยะที่แทบจะหายใจรดต้นคอ เจรัสก้มตัวหลบและพลิกตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวประหลาดชนเข้ากับผนังคอนกรีตอย่างแรงจนสั่นสะเทือน ผนังถึงกับแตกกระจายและยุบตัวเป็นหลุมลึกทันที เจรัสอาศัยจังหวะนี้วิ่งไปที่ปืน แต่เจ้าตัวประหลาดก็อึดเกินคาด มันงัดตัวเองออกมาจากผนังอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่มันก็ดูมีอาการมึนอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ยอมละความพยายามที่จะไล่ตามเหยื่อของมัน มันสะบัดหัวไปมาและกรีดร้องหนักเข้าไปอีก เมื่อมันเห็นเจรัสมันก็วิ่งตามทันทีด้วยความโกรธแค้น
เจรัสรีบวิ่งสุดชีวิต แต่เจ้าตัวประหลาดก็วิ่งได้เร็วมากผิดกับรูปร่างที่ใหญ่โตของมัน มันไล่ตามเจรัสจวนจะทันอยู่แล้ว เจรัสตัดสินใจกระโดดสไลด์ตัวไปข้างหน้า เขาคว้าปืนมาได้ในที่สุด เขาพลิกตัวตั้งหลักทันที แต่ก็ยังช้าเกินไป ในจังหวะที่เขาหันปืนกลับมาทางเจ้าตัวประหลาด กำปั้นขนาดยักษ์ของมันก็พุ่งแหวกอากาศตรงมาที่เขา เจรัสทำสิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนั้น เขายกปืนขึ้นมากันเอาไว้ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แรงกระแทกทำให้เขากระเด็นไปไกลเกือบสิบเมตร เขารู้สึกชาไปทั้งตัว แต่ก็น่าแปลกที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ปืนในมือก็ยังอยู่ในสภาพดี ถึงแม้มันจะมีน้ำหนักเบาแต่ก็น่าจะทำจากวัสดุที่แข็งแรงมากๆจึงไม่เกิดความเสียหายใดๆเลย
เจรัสรีบยันตัวลูกขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ร่างกายของเขาร้อนมากจนเหงื่อถึงกับระเหยเป็นไอ เขาต้องพยายามกัดฟันทนกับอาการที่เป็นอยู่ พอตั้งหลักได้เจรัสก็ต้องฟิวส์ขาดอีกครั้งเมื่อเห็นสิ่งที่เจ้าตัวประหลาดมันทำ มันคว้าร่างของยูอาขึ้นมาแล้วเหวี่ยงเข้าใส่เขา เจรัสต้องรีบปล่อยมือจากปืนซึ่งเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวของเขาและรับร่างของเด็กหญิงไว้ แรงปะทะทำให้เขาล้มหงายไปข้างหลัง เขารีบลุกขึ้นและอุ้มร่างของเด็กหญิงขึ้นมา ร่างของเธอชโลมไปด้วยเลือดที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด มันไหลลงมาอาบแขนทั้งสองข้างของแจรัส
ความรู้สึกแสนปวดร้าวเสียดแทงมาจากส่วนลึกสุดของหัวใจเมื่อต้องจ่องมองร้างของเด็กหญิงตัวเล็กๆในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มในความทรงจำ บัดนี้เหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ เจรัสไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่มีได้อีกต่อไป ความโศกเศร้าและโกรธแค้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคุณ เจรัสเบี่ยงตัวหลบเจ้าตัวประหลาดที่พุ่งเข้ามาอย่างหวุดหวิด โดยที่ยังอุ้มร่างของยูอาไว้ พอได้จังหวะเขาก็วิ่งไปหลบหลังประตูบานที่พังจากการโจมตีก่อนหน้านี้ เจรัสวางร่างของเด็กหญิงลงอย่างทะนุถนอม แม้เขาจะรู้ดีว่าเธอจะไม่มีวันเจ็บอีกแล้วก็ตาม น้ำตาที่ไหลออกมาเริ่มระเหยกลายเป็นไอแม้แต่เลือดของยูอาที่ติดตามตัวของเขา เจรัสพบว่าเขาไม่สามารถอยู่นิ่งๆได้นาน เพราะอุณหภูมิในร่างกายจะยิ่งสูงขึ้น มันเหมือนกับว่ามีพลังงานมหาศาลอัดแน่นอยู่และพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
เจรัสทุ้มความสนใจทั้งหมดกลับไปที่เจ้าตัวประหลาด เขาค่อยๆเดินออกมาจากหลังบานประตูช้าๆ ทุกย่างก้าวดูหนักแน่นไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ สายตาที่เด็ดเดี่ยวและเคียดแค้นจับจ้องเพียงศัตรูของเขา เขาสาบานกับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะยังไงเขาจะต้องให้มันได้ชดใช้สิ่งที่มันทำ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเจรัส ปฏิกิริยาของมันก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกครั้ง คือวิ่งเข้าใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา เจรัสยังยืนนิ่งจ้องมองมันวิ่งเขาหาอย่างไม่กลัวแกรง ภาพต่างๆกำลังเรียบเรียงขึ้นในความคิดของเจรัสอีกครั้ง เพียงพริบตาเขาก็รู้แล้วว่าต้องลงมืออย่างไร เขาเตะเศษคอนกรีตก้อนเล็กๆที่ตกอยู่สุดแรงเหมือนนักฟุตบอลที่กำลังยิงจุดโทษ ก่อนคอนกรีตก้อนนั้นจะพุ่งเป็นเส้นตรงกระแทกเข้าที่ลูกตาข้างหนึ่งของเจ้าตัวประหลาดอย่างแม่นยำ แรงกระแทกทำให้ตาข้างนั้นบอดสนิททันที เจ้าตัวประหลาดเสียหลักล้มไปกับพื้น ร่างของมันเฉียดผ่านเจรัสไปโดยที่เขาไม่ต้องขยับตัวเลยแม้แต่น้อย มันลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เจรัสวิ่งตรงไปที่ปืนที่ตกอยู่ห่างออกไป เบื้องหลังเขาเจ้าตัวประหลาดลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง มันกำลังอาละวาดสะเปะสะปะด้วยความโกรธที่เสียดวงตาไป เมื่อตาข้างที่เหลือของมันเห็นเจรัส มันก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น นอกจากกระโจนเข้าใส่เจรัสอีกครั้ง
การหลบหลีกเจ้าตัวปละหลาดกลายเป็นสิ่งที่ไม่ยากเย็นเลยสำหรับเจรัสในตอนนี้ เขาแทบไม่ต้องหันไปมองด้วยซ้ำ รูปแบบการโจมตีของมันนั้นเรียบง่ายและซ้ำซาก เพียงฟังจากเสียงการเคลื่อนที่ของอากาศเจรัสก็สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้หมดแล้ว เขาหลบการโจมตีของเจ้าตัวประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ตอนนี้เขาคว้าปืนมาอยู่ในมือได้แล้ว มันน่าจะเป็นปัญหาตรงที่ว่าเขาไม่เคยใช้ปืนมาก่อนในชีวิต แต่เปล่าเลย เรื่องนั้นดูเหมือนจะไม่สำคัญ เขารู้ได้ทันทีว่าต้องใช้มันยังไง ถึงกระนั้น เขาก็ตระหนักดีถึงความจริงที่ว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ปืนกว่าสามสิบกระบอกยังไม่สามารถทำอะไรไอ้บ้านี่ได้เลย
เจรัสเห็นกระสุนฝังอยู่ตามผิวหนังของมันเต็มไปหมด แต่ไม่มีนัดไหนลึกพอที่จะทำอันตรายเจ้าตัวประหลาดได้ ทั้งที่กระสุนพวกนั้นสามารถเจาะผ่านคอนกรีตที่หนาเป็นเมตรได้สบาย การโจมตีเข้าใส่มันตรงๆคงเป็นอะไรที่สูญเปล่า เจรัสไม่คิดจะทำอย่างนั้นแน่นอน เขาสังเกตเห็นแล้วว่ามีจุดที่พอจะโจมตีมันได้อยู่ เขารีบลงมือทันทีอย่างไม่ลังเล
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมๆกับแรงถีบที่แทบจะทำเอาเจรัสหงายหลัง แต่เขาก็ยันตัวเองเอาไว้ได้ กระสุนนัดแรกพุ่งตรงเข้าสู่ตาข้างที่เหลือของเจ้าตัวประหลาดอย่างแม่นยำ เมื่อสูญเสียการมองเห็นมันก็เริ่มอาละวาดไปทั่ว เจรัสวิ่งอ้อมมาอยู่ข้างหลัง เขาเล็งปืนไปตรงตำแหน่งที่เป็นข้อพับด้านหลังเข่าของมัน แล้วเหนี่ยวไกในจังหวะที่มันกำลังก้าวขา กระสุนไม่สามารถเจาะทะลุผิวหนังตรงส่วนนั้นเข้าไปได้ แต่มันก็ทำให้เจ้าตัวประหลาดเสียหลักล้มไปกับพื้น หัวของมันชนเข้ากับผนังเต็มแรง เจรัสอาศัยจังหวะนี้เข้าประชิดตัว แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้เขาเป็นฝ่ายพลาดซะเอง เขาถูกแขนที่เหวี่ยงมาของเจ้าตัวประหลาดฟาดจนกระเด็นไปอีกครั้ง
เจรัสกระอักเลือดออกมา แต่อาการบาดเจ็บก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นและมองกลับไปที่เจ้าตัวประหลาด มันวิ่งอาละวาดไปทั่ว พยายามทำลายทุกอย่างที่มันหาเจอและกรีดร้องไม่หยุด
“แหกปากอยู่ได้ น่ารำคาญโว้ยยย !!”
เจรัสยกปืนขึ้นมาเหนี่ยวไกทันทีโดยที่แทบจะไม่ได้เล็ง กระสุนพุ่งตรงเข้าไปในปากของเจ้าตัวประหลาดสองสามนัด มันรีบยกแขนขึ้นมาบังไว้ เสียงร้องเงียบลงทันที ดูท่าทางมันจะเจ็บไม่น้อยเลย เจรัสรีบวิ่งตรงเข้าหามัน เขาจำเป็นต้องเข้าไปจัดการมันในระยะประชิดจึงจะฆ่ามันได้ แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อหูของเขาได้ยินเสียงบางอย่างเข้า มันคือเสียงร้องของเจ้าตัวประหลาดไม่ผิดแน่ เพียงแต่ไม่ใช่ตัวที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ มันเป็นเสียงของเจ้าตัวประหลาดอีกตัว และเจ้าตัวนั้นก็กำลังตรงมาทางนี้ซะด้วย ...ซวยแล้ว!!
ในพริบตาที่เสียสมาธิ เจรัสก็ต้องพลาดท่า กรงเล็บของเจ้าตัวประหลาดเหวี่ยงมาสุดแรง ในขณะที่เขาเองกำลังวิ่งตรงเข้าใส่มัน เจรัสดึงสติกลับมา เขารีบยั้งตัวเองเอาไว้และพยายามเหวี่ยงตัวหลบให้พ้นระยะ แต่ก็ยังช้าไป เขาไม่สามารถหลบการโจมตีของมันได้เต็มที่ แขนของเขาถูกกรงเล็บกรีดเป็นทางยาวลึกจนถึงกระดูก เลือดทะลักออกมาทันที ปืนที่ถืออยู่ถูกกระแทกลอยขึ้นไปในอากาศ แรงปะทะทำให้เจรัสเสียหลักในท่าหงายหลัง เท้าลอยขึ้นจากพื้น ในสภาวะที่เสียการทรงตัว เจรัสตระหนักดีถึงอันตรายที่กำลังตามมา แขนอีกข้างของไอ้ตัวประหลาดกำหมัดไว้แน่นและกำลังพุ่งเหวกอากาศตรงมาที่เขา ...ฉันตายแน่!!...
เสี้ยววินาทีนั้น เจรัสรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ได้แน่ เขาไม่มีอะไรที่จะใช้ป้องกันตัวได้ ไม่มีแม้แต่เวลาให้คิดหาทางออก ความหวาดกลัวที่หายไปก่อนหน้านี้กลับเข้ามาบีบรัดหัวใจ อย่างที่เขาว่ากัน ก่อนตายคนเรามักจะเห็นภาพอดีตของตัวเอง ภาพของพ่อแม่ปรากฏขึ้นในความคิดของเจรัส มันแสนจะเลือนราง แต่เขาก็จำมันได้ พ่อนั่งอยู่ข้างๆเขา พ่อบอกเขาว่าสักวันเราจะไปนั่งดูท้องฟ้าด้วยกัน ไปดูสิ่งที่เรียกว่าทะเลแล้วก็ภูเขาที่ปู่เคยเล่าให้พ่อฟังตอนเด็กๆ จากนั้นภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป เขาอยู่ในห้องนั่งเล่นของเขตที่พัก พวกเด็กๆพากันเอาของเล่นมาให้เขาซ้อม อีกฟากหนึ่งของห้องอิริกกำลังเล่านิทานที่เขาอ่านมาจากหนังสือให้พวกเด็กฟังอย่างสนุกสนาน มันคือภาพที่เกิดขึ้นเป็นประจำตั้งแต่เขามาอยู่ที่ศูนย์วิจัย เด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาหมีสีชมพูอยู่ตรงกลางห้อง เธอหันมาแล้วยิ้มกว้างให้เจรัส ยูอานั่นเอง... ทันใดนั้น ภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เสียงกรีดร้องหวยหวนแสบแก้วหู กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง ร่างของยูอาเต็มไปด้วยเลือด ที่อกของเธอถูกเสียบทะลุด้วยกรงเล็บขนาดยักษ์ แววตาแน่นิ่งไร้วิญญาณ......
“ไม่ มี ทางงงงงงงงงงงงง !!!!.....”เจรัสตะโกนออกมาสุดเสียง ความโกรธพุ่งขึ้นถึงขีดสุด หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นจนเหมือนกับมันไม่ใช่ของเขา วินาทีนั้นราวกับทุกอย่างดับวูบลง
เจรัสปล่อยทุกอย่างไปตามที่สัญชาติญาณบอก เขาพลิกตัวกลางอากาศในองศาที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ใช้เท้ายันพื้นเพื่อทรงตัวได้อย่างมั่นคง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นตั้งการ์ดรับการโจมตี แทบจะในจังหวะเดียวกันกับที่หมัดของเจ้าตัวประหลาดเข้าปะทะ แรงสั่นสะเทือนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ตั้งแต่แขนไปจนถึงปลายเท้า พื้นที่เหยียบยุบตัวแตกทันที แต่เจรัสก็สามารถรับกำปั้นที่ใหญ่กว่าตัวเขาเกือบสองเท่าไว้ได้ เขารู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ในทุกเซลล์ อุณหภูมิร่างกายทะลุจุดเดือด เสื้อผ้าแทบจะไหม้เกรียม แผลที่แขนปิดสนิท เลือดและไอน้ำรอบตัวระเหยเป็นควัน
เมื่อแรงหมัดของอีกฝ่ายสลายไป การเคลื่อนไหวของมันก็หยุดชะงักลง เจรัสกลับมาเป็นฝ่ายลงมือบ้าง เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีดันหมัดของเจ้าตัวประหลาดกลับไป พื้นที่เท้าถึงกับแตกยุบลงไปอีก เจ้าตัวประหลาดเสียหลักทำท่าจะหงายหลัง เจรัสอาศัยจังหวะนี้กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ คว้าปืนที่กำลังตกลงมา เหวียงปืนไปข้างหลังแล้วเหนี่ยวไก อาศัยแรงถีบจากปืนพุ่งตัวเข้าหาศัตรู ใช้เท้าเหยียบไปที่อกของมัน มือข้างหนึ่งคว้าลิ้นของมันไว้แล้วกระชากสุดแรง เมื่อปากของไอ้ตัวประหลาดอ้าออกจนกว้าง เจรัสก็จับปืนยัดเข้าไปจนมิดปากกระบอก นิ้วจรดอยู่ที่ไกปืนแล้วเหนี่ยวมันทันทีอย่างไม่ลังเล
กระสุนทุกนัดที่เหลืออยู่ถูกกรอกใส่ปากของเจ้าตัวประหลาดจนหมด เมื่อเสียงปืนหยุดลง เจ้าตัวประหลาดก็แน่นิ่ง ควันลอยคลุ้งออกมาจากปากของมัน สักพักมันก็ล้มหงายหลัง โดยมีเจรัสยืนเหยียบอยู่บนอกของมัน เด็กชายยืนหายใจหอบ เขายังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาควรจะดีใจ เขาชะนะแล้ว เขาแก้แค้นให้ยูอาได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องพวกนั้น เจ้าตัวประหลาดอีกตัวใกล้เข้ามาแล้ว เจรัสรู้สึกได้จากแรงสั่นสะเทือน เขาไม่มีเหตุผลจะต้องสู้กับมัน รึต่อให้อยากจะสู้ เขาก็ไม่มีอะไรที่จะเอาไปสู้กับมันแล้ว ตอนนี้เขาต้องรีบหนี ถ้าโชคดีอาจจะยังไปทันพวกอิริก เด็กชายหันกลับไปมองร่างของยูอาเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากทิ้งเธอไว้ที่นี่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว น้ำตาไหลออกมาแล้วก็ระเหยไป
“ขอโทษนะ...” เจรัสพูดออกมาเบาๆ เหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับตัวเอง ในขณะที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หันกลับมามองอีก
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว แรงสั่นสะเทือนแทบจะทำให้เจรัสเสียหลัก เขาพยายามทรงตัวและรีบหันไปมองตามทิศทางของเสียง หัวใจของเจรัสแทบจะตกวูบลงไป พระเจ้า !! ตรงนั้นมันสถานีขนส่งนี่... สิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดของเขาก็คือ อิริกกับพวกเด็กๆ คำถามมากมายเกิดขึ้นตามมา มันเกิดอะไรขึ้น? มีใครเป็นอะไรรึป่าว? พวกอิริกจะปลอดภัยไหม? เจรัสรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อนึกไปถึงกรณีที่ร้ายแรงที่สุด เขารีบสะลัดความคิดนั้นทิ้งไป มันต้องไม่เป็นอย่างนั้น เขาไม่อยากจะสูญเสียไปมากกว่านี้แล้ว เจรัสพยายามควบคุมความวิตกกังวนทั้งหมดไว้ เขาต้องไปดูให้เห็นกับตา
วิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เจรัสก็ต้องล้มลงไปกับพื้น ความเจ็บปวดที่หายไปกลับเข้ามาชนิดที่เรียกว่า ‘เอาคืนเป็นสิบเท่า’ ความปวดร้าวแทรกซึมไปทุกเซลล์ในร่างกาย มันเจ็บจนเจรัสไม่สามารถขยับตัวได้เลย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมของเขา มันช่วยให้เขารับรู้ความเจ็บปวดได้ดีขึ้นอีกหลายเท่า อุณหภูมิร่างกายของเขาเริ่มลดลง พร้อมๆกับหัวใจที่ค่อยๆกลับมาเต้นในระดับปรกติ แต่ที่แย่ที่สุดคืออาการปวดหัว มันรุนแรงมากจนไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายได้เลย เจรัสไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา เขาไม่มีคำตอบใดๆให้กับตัวเองเลย แต่ยิ่งเขาพยายามใช้ความคิด เขาก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นไปอีก
เจรัสนอนทรมานอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงันเพียงลำพัง เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือเปล่งเสียงใดๆออกมาได้เลย สติของเขาเริ่มเลือนรางลงทุกที แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง เขาคงต้องตายอยู่ตรงนั้นแน่นอน แม้ว่าความเจ็บปวดที่มีมันก็แทบจะทำให้เขาขาดใจตายอยู่แล้วก็ตาม เจรัสพยายามกัดฟันทนกับความเจ็บปวดทั้งหมด เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามพลิกตัวเองมาอยู่ในท่านอนหงาย
เมื่อเจรัสพลิกตัวขึ้นมาได้ สิ่งที่เขาได้เห็นก็คือเงามหึมาของเจ้าตัวประหลาดที่กำลังยืนจ่องเขาอยู่..........
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ